ได้ฟังถ้อยคำของเฉินฝานขุนนางเมืองเหอตูหลายคนต่างกลั้นหัวเราะ บางคนถึงขั้นไม่อาจกลั้นหัวเราะ หลุดหัวเราะออกมาพวกเขาไม่ได้ใจกล้า แต่คำพูดของเฉินฝาน เพ้อเจ้อเกินไปแล้วจริงๆเมืองเฟิ่งหวงแทบจะเป็นเมืองยากจนที่สุดของต้าชิ่ง การจะให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่งเทียบเท่ากับ การให้คนไม่รู้แม้กระทั่งคัมภีร์สามอักษรสอบผ่านจอหงวน“เอ่อ...” อ๋องตวนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเอียงตัวหันมาถามเฉินฝานเสียงเบา “เจ้าเมาหรือไม่? หืม!”อ๋องตวนพูด แล้วส่ายหน้ากับตนเอง “ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเหล้าดอกท้อของแคว้นจ้าวค่อนข้างแรง ข้าไม่ควรให้เจ้าดื่ม”เฉินฝานบอกว่า เขาจะทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่งคืนวันนั้น มีคนออกเดินทางจากเมืองเฟิ่งหวง ขี่ม้าเร็วส่งข่าวนี้ไปยังเมืองหลวงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเสิ่นหมิงหยวนหัวเราะกันจนฟันแทบหลุดฉินเย่ว์เหมยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าของนางไม่แตกต่างจากอ๋องตวนเท่าใดนัก พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย รู้สึกประหม่าอย่างมากไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อเฉินฝาน แต่การทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่ง ยากรา
“พื้นที่ต้าเฮยนั่น!” เฉินฝานกล่าว“พื้นที่ต้าเฮยที่พวกโจรป่าอาศัยอยู่หรือ?”“ถูกต้อง!”“ข้าว่าพื้นที่ต้าเฮยนั่น นอกจากโคลนดำที่ดูดมนุษย์ได้แล้ว ภูเขาโดยรอบก็เป็นภูเขาหัวโล้น ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ แล้วจะอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร?”“ภูเขาหัวโล้นเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่มากล้น”“เสี่ยวฝาน!” ทันใดนั้นเองดวงตาของอ๋องตวนทอประกาย “หรือว่าด้านในภูเขามีทองคำเช่นนั้นหรือ?”อ๋องตวนครุ่นคิด ภูเขาหัวโล้นมีความร่ำรวยซ่อนอยู่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทองคำ“ไม่ใช่ทองคำ ชั่วขณะหนึ่งอธิบายให้ท่านฟังก็ไม่อาจเข้าใจได้ อีกสองสามวันพวกเราไปพื้นที่ต้าเฮย ถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เอง”เฉินฝานเพิ่งตื่นนอน ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดพื้นที่ต้าเฮยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโจรป่า มีความร่ำรวยที่มากล้นเมื่อคืน หลังออกมาจากห้องของเฉินฝาน อ๋องตวนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวิ่งไปถามเหอหรันที่คุกข่าวลือจึงแพร่สะพัดเช่นนี้ผู้คนมากมายต่างไปถามคนที่เคยเป็นโจรป่ามาก่อน ว่าพื้นที่ต้าเฮยร่ำรวยมากใช่หรือไม่ข่าวลือนี้เกินจริงไปเรื่อยๆ กล่าวถึงขั้นว่าพื้นที่ต้าเฮอยที่พวกโจรป่าอยู่นั้นมีสมบัติล้ำค่
“เสี่ยวฝานสบายดี พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ตอนนี้เมืองเหอตูไม่มีท่านเจ้าเมืองชั่วคราว ข้ามีเรื่องงานอยากขอคำชี้แนะจากท่านใต้เท้า ท่านอ๋อง ท่านเชิญใต้เท้าออกมาให้พวกข้าได้หรือไม่ขอรับ?”อ๋องตวนเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะเอาชนะพวกขุนนางวิชาการได้อย่างไร ชั่วขณะหนึ่งก็หลงกลพวกเขาแล้วเวลานี้ เขาจะไปตามเฉินฝานออกมาได้อย่างไร?อ๋องตวนไม่ตามเฉินฝานออกมา เช่นนั้นก็พิสูจน์ว่าหากเฉินฝานไม่ป่วย เช่นนั้นเขาก็กำลังหลบหน้าไม่กล้าเจอผู้คน“เอี๊ยด!”ขณะที่อ๋องตวนกำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉินฝานเปิดประตูห้อง“เสี่ยวฝาน!”การปรากฏตัวของเฉินฝาน คนที่ดีใจที่สุดคืออ๋องตวน “เจ้าออกมาได้อย่างไร?”“ขืนข้ายังไม่ออกมา ข้าจะป่วยตายในห้องแล้วขอรับ” ขณะเฉินฝานพูด สายตาเย็นชาของเขามองไปทางพวกขุนนางเมืองเหอตูตำแหน่งที่สายตาของเขากวาดมองไปนั้น ทำให้เกิดความสั่นเทาท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายคนนี้ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แต่ยามลงโทษคน วิธีการของเขานั้นร้ายกาจยิ่งนัก กระทำเพียงเล็กน้อย ก็ปลดท่านเจ้าเมืองคนหนึ่งได้แล้ว“ท่านอ๋อง ไป พวกเราไปขุดสมบัติกัน!” เฉินฝานกล่าว“ขุด ขุดสมบัติ? ได้ ได้สิ
อ๋องตวน: “สิ่งที่ข้าเหยีบคือก้อนหินสีดำสนิท มีอัญมณีที่ใดกัน?”เฉินฝาน “ก้อนหินสีดำสนิทเหล่านี้คืออัญมณีขอรับ”“เสี่ยวฝาน...” อ๋องตวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน “เจ้าบอกว่านี่คืออัญมณี”เฉินฝานพยักหน้ารวมถึงอ๋องตวน ทุกตนต่างเบิกต้ากว้างมองเฉินฝานด้วยความตกตะลึงอย่างช้าๆ สายตาตกตะลึงของขุนนางเมืองเหอตูแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนและหัวเราะเยาะ“หากหินสีดำนี้คืออัญมณี เช่นนั้นเมืองเฟิ่งหวงร่ำรวยมหาศาลจริงๆ!”หลี่เต๋อเจียงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนหัวเราะเยาะเสียงดัง“ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่กลับปัญญาอ่อนเช่นนี้”“คนเช่นนี้ เป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร?”“เพ้อเจ้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร”คนจากเมืองอื่นที่มาดูความครึกครื้น ตำหนิเฉินฝาน ตามหลี่เต๋อเจียงแม้กระทั่งชาวเมืองเฟิ่งหวงที่เคารพเฉินฝาน ก็เริ่มมองเฉินฝานด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยหินสีดำเช่นนี้ มีอยู่ทั่วเมืองเฟิ่งหวงชาวเมืองเฟิ่งหวง เกลียดหินสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด ภูเขาและพื้นดินที่มีหินสีดำเยอะ ล้วนไม่อาจปลูกอาหารและต้นไม้ได้อีกทั้งหินสีดำนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย แค่เคาะก็แตกแล้ว ไม่อาจนำ
ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
“พวกเฉินฝานยังกลับไม่ถึงเมืองเฟิ่งหวง พวกเขาเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูเมืองคนพวกนั้น พวกเขาล้วนเป็นเด็ก สตรีและคนชราของพื้นที่ต้าเฮยแม้พวกเขาไม่ได้ตามไป แต่พวกเขาทราบเรื่องหินนิลดำสามารถนำมาเป็นฟืนแล้วเฉินฝานเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ประตูเมือง ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้น ต่างคุกเข่าลงเฉินฝานยังไม่ทันได้ตั้งตัว นางเหอที่คุกเข่าด้านหน้าสุดพูดเสียงดัง“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านคือเทพเซียนลงมาจุติเมืองเฟิ่งหวงของเรา!”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านคือเทพเซียนผู้ช่วยเหลือชาวบ้านจากความยากลำบาก!”“ขอบคุณใต้เท้า ชาวเมืองเฟิ่งหวง จะระลึกถึงบุญคุณของท่านใต้เท้า”ชาวบ้านด้านหลังนางเหอก็กล่าวขอบคุณเฉินฝานตามนางเหอเห็นเด็กสตรีและคนชราคุกเข่าขอบคุณเฉินฝาน พวกชาวบ้านที่ตามไปพื้นที่ต้าเฮย รวมถึงเหอจื้อเฟย ต่างก็คุกเข่าเช่นเดียวกันชั่วขณะหนึ่ง เสียงกล่าวขอบคุณเฉินฝาน ดังสนั่นหวั่นไหวการขอบคุณที่เป็นทางการและยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลับทำให้เฉินฝานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย“ลุกขึ้น ลุกขึ้นกันเถอะ!”เฉินฝานรีบเดินเข้าไปใกล้ โน้มตัวพยุงนางเหอ“ตอนนี้เพียงค้นพบเชื้อเพลิง หลังจากนี้ยังต้องตีตลาดอีก
อิจฉาเหอจื้อเฟยที่โชคดีเช่นนี้เฉินฝานยื่นเอกสารในมือให้เหอจื้อเฟย“เอกสารนี้เป็นความลับ มีแค่ท่านเท่านั้นที่อ่านได้”“หลังจากกลับไป ท่านศึกษาทุกวัน ทุกภาพในนี้ ทุกข้อที่เขียนไว้ ล้วนเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เมืองเฟิ่งหวงของพวกท่านร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่ง”คำพูดของเฉินฝานเกินจริงเล็กน้อยประเด็นสำคัญคือการตลาดบางส่วนที่เขียนไว้ ทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะแค้นอื่นเห็นแล้วไม่สบายใจนอกเหนือจากนี้ เฉินฝานพูดเช่นนี้ เพราะอยากให้เหอจื้อเฟยเห็นความสำคัญ ทำตามสิ่งที่เขาต้องการอย่างเข้มงวด“ขอรับ ใต้เท้า ข้าจะทำตามขอรับ!”ตอนเหอจื้อเฟยรับเอกสารมาจากมือของเฉินฝาน มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเนื้อความในกระดาษเหล่านี้ มีเคล็ดลับที่จะทำให้ชาวเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ร่ำรวยช่วยให้ชาวเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ดี คือปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเหอจื้อเฟย“อีกเรื่องหนึ่ง”เหอจื้อเฟยกำลังจะคุกเข่าขอบคุณ เฉินฝานพูดขึ้นอีก “ปล่อยตตัวเหอหรันออกมา เขาชำนาญพื้นที่ต้าเฮย ถ่านหินของพื้นที่ต้าเฮยต้องการเขา ให้เขานำสหายก่อนหน้านี้ช่วยกันทำถ่านอัดก้อน ถือเป็นโอกาสให้เขาทำความดีชดเชยความผิด”“ท่านใต้เท้า”เหอจื้อเฟย
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ