ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
“ฝ่าบาท ในรัชสมัยนี้ขาดแคลนชายหนุ่มอย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ!”“ร้ายแรงถึงขั้นไหน”“ในหนึ่งร้อยคน มีชายหนุ่มไม่ถึงยี่สิบคน หลายปีมานี้ มีหญิงสาววัยเหมาะสมจำนวนมากจบชีวิตตนเองเพราะไม่มีใครแต่งงานด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ารากฐานของแผ่นดินอาจสั่นคลอนได้พ่ะย่ะค่ะ”“จงประกาศราชโองการลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกเขตการปกครอง เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองให้ดำเนินการจัดสรรการแต่งงาน ผู้ใดยินดีรับมากกว่าสามคน มอบรางวัล!”“ผู้ใดให้กำเนิดบุตรชาย มอบรางวัลใหญ่!”“ภายในสามปี ต้องพลิกปรากฏการณ์หญิงมากชายน้อยของแผ่นดินให้จงได้!”-เฉินฝานตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องไห้รบกวนเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ตนไม่รู้จักมีหญิงสาวนั่งปิดหน้าร้องไห้เสียงเบานั่งอยู่ข้างกาย“หยุดร้องได้แล้ว ข้ารำคาญ!”เมื่อได้ยินเสียงของเฉินฝาน หญิงสาวปาดน้ำตาและมองเขาทันที “นายท่าน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!”เฉินฝากเงยหน้ามองหญิงสาว……ผมเผ้าดำเงาวับ ผิวขาวนวลผุดผ่องดังหยก ดวงตาคู่งามแลมองหมุนรอบเป็นพันครั้ง ทุกการขมวดคิ้วคือการตีความคำว่าสง่างามน่าประทับใจผ้าดิบหยาบกระด้าง ก็ไม่อาจปกปิดรูปร่างน่าเอ็นดูของนางเฮ้ย
“นายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”“……” เฉินฝานทำหน้ามึนงง นางมีความผิดอะไร!เขาโน้มตัวจะพยุงฉินเย่ว์โหรวให้ลุกขึ้น ปรากฏว่านางโขกศีรษะกับพื้นโป๊ก ๆ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสถึงตัว“ข้าน้อยรู้ว่านายท่านรังเกียจฝีมือของข้าน้อยเสมอมา ข้าน้อยจะไปร่ำเรียนกับกลุ่มสตรีในชุมชนเจ้าค่ะ”“ก่อนหน้านี้ ท่านลงโทษจนขาขวาของข้าน้อยหักแล้ว หากท่านลงโทษจนขาซ้ายของข้าหักอีก ข้าน้อยก็จะปรนนิบัติท่านไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”!!!แท้จริงแล้วเจ้าของร่างเดิมเป็นคนตีขานางหัก!!เมื่อมองขาขวาที่หักของฉินเย่ว์โหรว พลางมีเสียงหวีดดังขึ้นในหัวของเฉินฝานคนสวยขนาดนี้ทั้งคน ยังนอบน้อมอ่อนโยนเช่นนี้อีก มีแต่อยากเอ็นดู เจ้าของร่างเดิมคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงกล้าลงมือเช่นนี้!“เมื่อขาเจ้าไม่สะดวก งั้นก็ลุกขึ้นเถิด!”ฉินเย่ว์โหรวตัวสั่นและกลัวเฉินฝานมาก นางแทบไม่ได้รู้ว่าเฉินฝานพูดอะไร “ได้โปรดนายท่าน อย่าทุบตีข้าเลย อย่าทุบข้าเลย”ร่างกายที่สั่นจนควบคุมไม่ได้และสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นกลัวเห็นได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมทุบตีนางเป็นประจำจนนางกลัวเฉินฝานพูดสามครั้งติดต่อกันว่าจะไม่ทุบตี จากนั้นฉินเย่ว์โหรวก็หยุ
เฉินฝานพลันตะโกนเสียงแข็ง จูต้าอันกับผู้ชายอีกสองคนถึงกับสะดุ้งตกใจไอ้หมอนี่ กล้าพูดจาเสียงดังกับพวกเขา!ภายในห้องเงียบสงบในทันใด“เฉินฝาน!” จูต้าอันแสดงหน้าถมึงทึง “ตั้งแต่พวกเราเข้ามา เจ้าก็ทำกร่างตลอด เมื่อครู่นี้ข้าถือว่าเจ้าเพิ่งตกเขากลับมาร่างกายยังไม่หายดี แต่เจ้าอย่าทำตัวไว้หน้าแล้วไม่สนใจ ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ เมื่อเจ้ารับเงินไปแล้วก็ต้องทำตามที่ตกลงไว้”ตอนที่จูต้าอันกำลังพูด ผู้ชายสองคนด้านหลังยืนขึ้นแล้วผู้ชายสองคนนั้น ทั้งตัวสูงและบึกบึนหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริง ๆ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ เพียงแต่ว่า……เฉินฝานชำเลืองมองฉินเย่ว์โหรวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง“โหย ดูสมองข้าสิ!” เฉินฝานกุมหัวแสดงสีหน้าเหมือนเจ็บปวด “หลังจากตกเขาและฟื้นขึ้นมาข้าก็ไข้ขึ้นไม่หยุด จนป่านนี้หัวของข้าก็ยังเจ็บตื้อ ๆ ไม่หาย และลืมเรื่องต่าง ๆ ไปเยอะมาก ข้าขออภัยด้วย”เมื่อเห็นสีหน้าของชายสามคนผ่อนคลายลง เฉินฝานพลางรีบเอ่ยถามจูต้าอัน “พี่จู ก่อนหน้านี้ข้าตกลงกับพี่เรื่องอะไรนะ!”“หากเป็นเช่นนั้น……ก็ช่างเถอะ!” จูต้าอันส่งสัญญาณให้สองคนนั่งลง “ตกเขาฤดูหนาวแต่ไม่ถูกหมาป่าคาบ
“ขอร้องแม่เจ้าสิ!” เฉินฝานยกอีกถ้วยหนึ่งขึ้น“ปึก!”“ดูซิว่าข้าจะกล้าตีเจ้าหรือไม่ ?”“อ๊าก!” จูต้าอันที่ไม่ทันระวังตัวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ต่อมาเขาพยายามจะลุกขึ้น แต่เฉินฝานไม่ให้โอกาสเขาเลย“ปึก!”“กล้าไหม!”“ปึก!”“กล้าไหม!”เขาพูดคำว่ากล้าไหมหนึ่งครั้ง ก็ฟาดจูต้าอันหนึ่งครั้งกำลังมือที่เฉินฝานฟาดลงไปหนักขึ้นทุกครั้งศีรษะของจูต้าอันกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปากแข็งในตอนเริ่มต้น แต่ภายหลังส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังสนั่นและร้องขอความเมตตาไม่หยุดชายสองคนที่มาจากหอนางโลมอี๋ชุนย่วนวางมือลงและมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยจูต้าอันสักคนไอ้เฉินฝานนี่ เหตุใดถึงไม่เหมือนอย่างที่รู้จักเฉินฝานที่พวกเขารู้จัก นอกจากผู้หญิงในเรือนตนเองแล้วก็สู้ใครไม่ได้เลย คำว่าอันธพาลของหมู่บ้านล้วนได้มาเพราะอยู่กับจูต้าอันและล้วนเพราะมีจูต้าอันคอยหนุนหลังทำไมตอนนี้กลับ……“ปึกๆๆ!” เฉินฝานยังทุบไม่หยุด“นายท่านเจ้าคะ นายท่าน!” ฉินเย่ว์โหรวนั่งลงข้างเฉินฝาน “หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้ว ถ้ายังตีต่อไปเขาจะตายได้นะเจ้าคะ!”ครอบครัวไม่อาจไร้ผู้นำ หากเฉินฝานเข้า
“วืด”“ตุบ!” ธนูดอกหนึ่งเสียบตรงบานประตูเฉินฝานมองลูกธนูที่อยู่ห่างเขาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรอย่างตาโต เขามีความรู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์กรรม หากธนูลูกนี้เฉียงอีกเพียงเล็กน้อย……ใคร!ใครสามหาวถึงเพียงนี้!คนสูงโปร่งรูปสวยคนหนึ่งพลันแสดงตัวขึ้นตรงหน้าเฉินฝาน“พี่สาม!”เฉินฝานยังไม่ทันได้ตอบโต้ ฉินเย่ว์โหรวก็วิ่งไปพี่สาม!ฉินเย่ว์เจียว?ในความทรงจำ ฉินเย่ว์เจียวเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของฉินเย่ว์โหรว ภรรยาอีกคนของเขาเฉินฝานมองฉินเย่ว์โหรวอย่างละเอียดมองจากสายตาน่าจะสูงราว 170 เซนติเมตร ความสูงนี้ ในสมัยโบราณถือว่าสูงมากรูปหน้าคล้ายคลึงกับฉินเย่ว์โหรวแต่ก็มีความแตกต่างนางมีโครงหน้าชัดกว่า ร่างกายอวบอิ่มกว่าฉินเย่ว์โหรว สีผิวค่อนไปทางเหลืองข้าวสาลี ประกอบกับความสูงของนางแล้ว ช่างชวนให้รู้สึกมีความองอาจ เย้ายวนแทบทุกอิริยาบถอาจเป็นเพราะวิ่งเร็ว สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวจึงแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อหยดลงจากหน้าผาก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ……เห้อ!เฉินฝานหันหน้าหนีอย่างเร็วหากพูดว่าฉินเย่ว์โหรวที่อ่อนแอแต่อ่อนโยนทำให้รู้สึกอยากปกป้อง ถ้าเช่นนั้นฉินเย่ว์เจียวท
เมื่อมาถึงยามนี้ ฉินเย่ว์เจียวไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก นางถอดด้ามธนูออกจากคันธนู กำไว้ในมือแน่น ขณะที่จ้องเฉินฝานถมึงทึงเฉินฝานยังรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ว์เจียวเลย เขาฟังแล้วยังอยากบีบคอนายท่านคนเดิมให้ตายไปเสียฉินเย่ว์โหรวลดแขนที่กางออกลงอย่างช้า ๆ แสงในดวงตาหรี่ลงทีละน้อย ฉินเย่ว์เจียวพูดถูก ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้พวกนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ เลยสักวันหลายครั้งที่นางเองก็สงสัย ความตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตอยู่หรือไม่“น้องสี่ เจ้ามายืนข้างข้า” ฉินเย่ว์เจียวดันฉินเย่ว์โหรวไปด้านข้าง พลางชี้ด้ามธนูและคันธนูไปยังเฉินฝานอีกครั้ง“อา!” ฉินเย่ว์โหรวหลับตาไม่กล้ามองผ่านไปชั่วพริบตา“ท่าน......”ฉินเย่ว์เจียวจ้องมองเฉินฝานตรงหน้านางอย่างว่างเปล่า ในขณะนี้เฉินฝานกำลังจับมือของนางที่ถือคันธนูอยู่“เหตุใดท่านถึง ถึงได้...” ฉินเย่ว์เจียวเอ่ยขึ้นตะกุกตะกักเขาเข้ามาตรงหน้านางและจับมือนางได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เขาจะมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไรหากเขามีทักษะเช่นนี้ ฉินเย่ว์โหรวคงถูกขายไปนานแล้ว จะรอให้นางออกไปแล้วค่อยแอบขายฉินเย่ว์โหรวทำไมกัน“เย่ว์.
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
อ๋องตวน: “สิ่งที่ข้าเหยีบคือก้อนหินสีดำสนิท มีอัญมณีที่ใดกัน?”เฉินฝาน “ก้อนหินสีดำสนิทเหล่านี้คืออัญมณีขอรับ”“เสี่ยวฝาน...” อ๋องตวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน “เจ้าบอกว่านี่คืออัญมณี”เฉินฝานพยักหน้ารวมถึงอ๋องตวน ทุกตนต่างเบิกต้ากว้างมองเฉินฝานด้วยความตกตะลึงอย่างช้าๆ สายตาตกตะลึงของขุนนางเมืองเหอตูแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนและหัวเราะเยาะ“หากหินสีดำนี้คืออัญมณี เช่นนั้นเมืองเฟิ่งหวงร่ำรวยมหาศาลจริงๆ!”หลี่เต๋อเจียงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนหัวเราะเยาะเสียงดัง“ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่กลับปัญญาอ่อนเช่นนี้”“คนเช่นนี้ เป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร?”“เพ้อเจ้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร”คนจากเมืองอื่นที่มาดูความครึกครื้น ตำหนิเฉินฝาน ตามหลี่เต๋อเจียงแม้กระทั่งชาวเมืองเฟิ่งหวงที่เคารพเฉินฝาน ก็เริ่มมองเฉินฝานด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยหินสีดำเช่นนี้ มีอยู่ทั่วเมืองเฟิ่งหวงชาวเมืองเฟิ่งหวง เกลียดหินสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด ภูเขาและพื้นดินที่มีหินสีดำเยอะ ล้วนไม่อาจปลูกอาหารและต้นไม้ได้อีกทั้งหินสีดำนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย แค่เคาะก็แตกแล้ว ไม่อาจนำ
“เสี่ยวฝานสบายดี พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ตอนนี้เมืองเหอตูไม่มีท่านเจ้าเมืองชั่วคราว ข้ามีเรื่องงานอยากขอคำชี้แนะจากท่านใต้เท้า ท่านอ๋อง ท่านเชิญใต้เท้าออกมาให้พวกข้าได้หรือไม่ขอรับ?”อ๋องตวนเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะเอาชนะพวกขุนนางวิชาการได้อย่างไร ชั่วขณะหนึ่งก็หลงกลพวกเขาแล้วเวลานี้ เขาจะไปตามเฉินฝานออกมาได้อย่างไร?อ๋องตวนไม่ตามเฉินฝานออกมา เช่นนั้นก็พิสูจน์ว่าหากเฉินฝานไม่ป่วย เช่นนั้นเขาก็กำลังหลบหน้าไม่กล้าเจอผู้คน“เอี๊ยด!”ขณะที่อ๋องตวนกำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉินฝานเปิดประตูห้อง“เสี่ยวฝาน!”การปรากฏตัวของเฉินฝาน คนที่ดีใจที่สุดคืออ๋องตวน “เจ้าออกมาได้อย่างไร?”“ขืนข้ายังไม่ออกมา ข้าจะป่วยตายในห้องแล้วขอรับ” ขณะเฉินฝานพูด สายตาเย็นชาของเขามองไปทางพวกขุนนางเมืองเหอตูตำแหน่งที่สายตาของเขากวาดมองไปนั้น ทำให้เกิดความสั่นเทาท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายคนนี้ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แต่ยามลงโทษคน วิธีการของเขานั้นร้ายกาจยิ่งนัก กระทำเพียงเล็กน้อย ก็ปลดท่านเจ้าเมืองคนหนึ่งได้แล้ว“ท่านอ๋อง ไป พวกเราไปขุดสมบัติกัน!” เฉินฝานกล่าว“ขุด ขุดสมบัติ? ได้ ได้สิ
“พื้นที่ต้าเฮยนั่น!” เฉินฝานกล่าว“พื้นที่ต้าเฮยที่พวกโจรป่าอาศัยอยู่หรือ?”“ถูกต้อง!”“ข้าว่าพื้นที่ต้าเฮยนั่น นอกจากโคลนดำที่ดูดมนุษย์ได้แล้ว ภูเขาโดยรอบก็เป็นภูเขาหัวโล้น ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ แล้วจะอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร?”“ภูเขาหัวโล้นเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่มากล้น”“เสี่ยวฝาน!” ทันใดนั้นเองดวงตาของอ๋องตวนทอประกาย “หรือว่าด้านในภูเขามีทองคำเช่นนั้นหรือ?”อ๋องตวนครุ่นคิด ภูเขาหัวโล้นมีความร่ำรวยซ่อนอยู่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทองคำ“ไม่ใช่ทองคำ ชั่วขณะหนึ่งอธิบายให้ท่านฟังก็ไม่อาจเข้าใจได้ อีกสองสามวันพวกเราไปพื้นที่ต้าเฮย ถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เอง”เฉินฝานเพิ่งตื่นนอน ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดพื้นที่ต้าเฮยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโจรป่า มีความร่ำรวยที่มากล้นเมื่อคืน หลังออกมาจากห้องของเฉินฝาน อ๋องตวนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวิ่งไปถามเหอหรันที่คุกข่าวลือจึงแพร่สะพัดเช่นนี้ผู้คนมากมายต่างไปถามคนที่เคยเป็นโจรป่ามาก่อน ว่าพื้นที่ต้าเฮยร่ำรวยมากใช่หรือไม่ข่าวลือนี้เกินจริงไปเรื่อยๆ กล่าวถึงขั้นว่าพื้นที่ต้าเฮอยที่พวกโจรป่าอยู่นั้นมีสมบัติล้ำค่
ได้ฟังถ้อยคำของเฉินฝานขุนนางเมืองเหอตูหลายคนต่างกลั้นหัวเราะ บางคนถึงขั้นไม่อาจกลั้นหัวเราะ หลุดหัวเราะออกมาพวกเขาไม่ได้ใจกล้า แต่คำพูดของเฉินฝาน เพ้อเจ้อเกินไปแล้วจริงๆเมืองเฟิ่งหวงแทบจะเป็นเมืองยากจนที่สุดของต้าชิ่ง การจะให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่งเทียบเท่ากับ การให้คนไม่รู้แม้กระทั่งคัมภีร์สามอักษรสอบผ่านจอหงวน“เอ่อ...” อ๋องตวนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเอียงตัวหันมาถามเฉินฝานเสียงเบา “เจ้าเมาหรือไม่? หืม!”อ๋องตวนพูด แล้วส่ายหน้ากับตนเอง “ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเหล้าดอกท้อของแคว้นจ้าวค่อนข้างแรง ข้าไม่ควรให้เจ้าดื่ม”เฉินฝานบอกว่า เขาจะทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่งคืนวันนั้น มีคนออกเดินทางจากเมืองเฟิ่งหวง ขี่ม้าเร็วส่งข่าวนี้ไปยังเมืองหลวงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเสิ่นหมิงหยวนหัวเราะกันจนฟันแทบหลุดฉินเย่ว์เหมยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าของนางไม่แตกต่างจากอ๋องตวนเท่าใดนัก พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย รู้สึกประหม่าอย่างมากไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อเฉินฝาน แต่การทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่ง ยากรา
หลี่เต๋อเจียงใช้สายตา ลอบส่งสัญญาณให้กับขุนนางที่คุกเข่าอยู่ข้างๆหลังจากขุนนางคนนั้นเห็น ก็รีบย่องออกไปจากหอประตูเมืองทั้งหมดนี้ หลี่เต๋อเจียงคิดว่าตนทำได้อย่างเนียบแนนโดยไม่รู้เลยว่า...เฉินฝานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยวันนี้อารมณ์ดี เช่นนั้นก็จะเล่นกับหลี่เต๋อเจียงเสียหน่อย เขาจะดูสิว่า หลี่เต๋อเจียงจะมาไม้ไหน?หลังจากขุนนางคนนั้นไปจากหอประตูเมืองไม่นาน...“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง”เสียงฝีเท้ามากมายและชุลมุนวุ่นวาย ดังมาจากด้านล่างหอประตูเมืองเฉินฝานโน้มตัวมองลงไปกลุ่มคนมากมายล่างหอประตูเมืองพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเมืองเฟิ่งหวงหลังจากพวกเขามาถึงด้านล่างหอประตูเมือง ต่างก็คุกเข่าลง“ท่านอัครเสนาบดี โปรดให้ใต้เท้าเหออยู่ในเมืองเฟิ่งหวงต่อด้วยขอรับ”“ท่านอัครเสนาบดี พวกเราไม่อาจไปจากใต้เท้าเหอ”“ท่านอัครเสนาบดี โปรดเมตตาด้วยขอรับ!”ใต้หอประตูเมืองมีชาวบ้านมาขอร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ถนนตรอกซอยต่างๆ ระแวกหอประตูเมือง ล้วนเต็มไปด้วยชาวบ้านที่กำลังคุกเข่าเจตนาของชาวบ้านล้นหลามเช่นนี้ บวกกับเหอจื้อเฟยไม่ยอมไป หากเฉินฝานยืนกรานให้เหอจื้อเฟยเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ ทั้งยังทำให้ชาว
“ทำไม?” อ๋องตวนเคาะศีรษะของเหอจื้อเฟย “ซื่อบื้อไปแล้วจริงๆ หรือ? ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก?”“ข้าน้อยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”“เหอจื้อเฟยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”เหอจื้อเฟยและหลี่เต๋อเจียงพูดขึ้นพร้อมกันเหอจื้อเฟยถูกอ๋องตวนเคาะศีรษะอีกครั้ง “เสี่ยวฝานบอกว่าเจ้าทำได้ก็ทำได้ พูดพล่ามอะไรมากมาย?”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านมีสิทธิ์อันใดจึงทำเช่นนี้? มีอำนาจใดในการทำเช่นนี้?”หลี่เต๋อเจียวที่กำลังสับสนงุนงงอยู่นั้น ใบหน้าและหูแดงก่ำ เขาทั้งกระวนกระวาย ทั้งสับสนและทั้งหงุดหงิด จึงถามเฉินฝาน“เฉินฝานไม่ได้ตอบในทันที แต่ง้างมือตบอย่างแรง“เพี๊ยะ!”เสียงตบดังก้อง ใบหน้าของหลี่เต๋อเจียง มีรอยฝ่ามือแดงก่ำ“ข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ข้าไม่อาจเปลี่ยนเจ้าเมืองคนหนึ่งได้หรือ?”“ข้า ตำแหน่งเจ้าเมืองของข้า ท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาเสิ่นหมิงหยวนเป็นคนแต่งตั้งด้วยตนเอง...”“เพี๊ยะ!”หลี่เต๋อเจียงยังพูดไม่จบ เขาก็ถูกตบอีกหนึ่งฉาด“เจ้าแกล้งทำเป็นถูกรังแกอะไรของเจ้าหา?” แววตาเย็นชาของเฉินฝาน มองไปยังใบหน้าเคืองขุ่นของหลี่เต๋อเจียง “เจ้าแทนตนเองว่าข้าเมื่อครู่ตอนอย
หลี่เต๋อเจียงมองหมวกขุนนางในมือเฉินฝานด้วยความงงงันทั้งตกใจ งุนงงและหวาดกลัวหลี่เต๋อเจียงมิกล้าหายใจดังคนที่ตกใจกลัวมิได้มีเพียงหลี่เต๋อเจียงเท่านั้น ยังมีเหล่าขุนนางเมืองเหอตูอีกด้วยเฉินฝานเขย่าหมวกขุนนางสีดำเล็กน้อย “ฝุ่นบนหมวกช่างมากมายเสียจริง!”หลี่เต๋อเจียงลอบถอนหายใจที่แท้เฉินฝานมิชอบใจที่หมวกขุนนางของเขามีฝุ่นมากมาย“ใต้เท้า ข้าน้อยรีบเคลื่อนทัพมามิได้หยุดพัก ฝุ่นควันระหว่างทางมีมากมายจึงมาติดอยู่บนหมวก ข้าน้อยจะไปทำความสะอาดเดี๋ยวนี้ขอรับ”ระหว่างที่พูด หลี่เต๋อเจียงคุกเข่ายกมือสองขึ้นต่อหน้าเฉินฝาน รอให้เฉินฝานนำหมวกขุนนางสีดำส่งคืนให้กับมือเขาเฉินฝานเหลือบมองมือของหลี่เต๋อเจียงอย่างเรียบนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวกับเหอจื้อเฟยที่คุกเข่าอยู่ตรงมุมหนึ่ง “เหอจื้อเฟย เจ้ามานี้!”เหอจื้อเฟยโน้มวิ่งเหยาะมาด้านหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า!” เหอจื้อเฟยคุกเข่าอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียง เขาตำแหน่งต่ำกว่าหลี่เต๋อเจียงจึงมิสามารถคุกเข่าอยู่ในระนาบเดียวกันได้“เจ้าขยับขึ้นมาอีกนิด” เฉินฝานกล่าวเหอจื้อเฟยขยับขึ้นเล็กน้อยตามที่สั่งทว่าก็ยังอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียงอยู่ดี“ไฉนเจ