อ๋องตวน: “สิ่งที่ข้าเหยีบคือก้อนหินสีดำสนิท มีอัญมณีที่ใดกัน?”เฉินฝาน “ก้อนหินสีดำสนิทเหล่านี้คืออัญมณีขอรับ”“เสี่ยวฝาน...” อ๋องตวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน “เจ้าบอกว่านี่คืออัญมณี”เฉินฝานพยักหน้ารวมถึงอ๋องตวน ทุกตนต่างเบิกต้ากว้างมองเฉินฝานด้วยความตกตะลึงอย่างช้าๆ สายตาตกตะลึงของขุนนางเมืองเหอตูแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนและหัวเราะเยาะ“หากหินสีดำนี้คืออัญมณี เช่นนั้นเมืองเฟิ่งหวงร่ำรวยมหาศาลจริงๆ!”หลี่เต๋อเจียงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนหัวเราะเยาะเสียงดัง“ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่กลับปัญญาอ่อนเช่นนี้”“คนเช่นนี้ เป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร?”“เพ้อเจ้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร”คนจากเมืองอื่นที่มาดูความครึกครื้น ตำหนิเฉินฝาน ตามหลี่เต๋อเจียงแม้กระทั่งชาวเมืองเฟิ่งหวงที่เคารพเฉินฝาน ก็เริ่มมองเฉินฝานด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยหินสีดำเช่นนี้ มีอยู่ทั่วเมืองเฟิ่งหวงชาวเมืองเฟิ่งหวง เกลียดหินสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด ภูเขาและพื้นดินที่มีหินสีดำเยอะ ล้วนไม่อาจปลูกอาหารและต้นไม้ได้อีกทั้งหินสีดำนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย แค่เคาะก็แตกแล้ว ไม่อาจนำ
ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
“พวกเฉินฝานยังกลับไม่ถึงเมืองเฟิ่งหวง พวกเขาเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูเมืองคนพวกนั้น พวกเขาล้วนเป็นเด็ก สตรีและคนชราของพื้นที่ต้าเฮยแม้พวกเขาไม่ได้ตามไป แต่พวกเขาทราบเรื่องหินนิลดำสามารถนำมาเป็นฟืนแล้วเฉินฝานเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ประตูเมือง ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้น ต่างคุกเข่าลงเฉินฝานยังไม่ทันได้ตั้งตัว นางเหอที่คุกเข่าด้านหน้าสุดพูดเสียงดัง“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านคือเทพเซียนลงมาจุติเมืองเฟิ่งหวงของเรา!”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านคือเทพเซียนผู้ช่วยเหลือชาวบ้านจากความยากลำบาก!”“ขอบคุณใต้เท้า ชาวเมืองเฟิ่งหวง จะระลึกถึงบุญคุณของท่านใต้เท้า”ชาวบ้านด้านหลังนางเหอก็กล่าวขอบคุณเฉินฝานตามนางเหอเห็นเด็กสตรีและคนชราคุกเข่าขอบคุณเฉินฝาน พวกชาวบ้านที่ตามไปพื้นที่ต้าเฮย รวมถึงเหอจื้อเฟย ต่างก็คุกเข่าเช่นเดียวกันชั่วขณะหนึ่ง เสียงกล่าวขอบคุณเฉินฝาน ดังสนั่นหวั่นไหวการขอบคุณที่เป็นทางการและยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลับทำให้เฉินฝานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย“ลุกขึ้น ลุกขึ้นกันเถอะ!”เฉินฝานรีบเดินเข้าไปใกล้ โน้มตัวพยุงนางเหอ“ตอนนี้เพียงค้นพบเชื้อเพลิง หลังจากนี้ยังต้องตีตลาดอีก
อิจฉาเหอจื้อเฟยที่โชคดีเช่นนี้เฉินฝานยื่นเอกสารในมือให้เหอจื้อเฟย“เอกสารนี้เป็นความลับ มีแค่ท่านเท่านั้นที่อ่านได้”“หลังจากกลับไป ท่านศึกษาทุกวัน ทุกภาพในนี้ ทุกข้อที่เขียนไว้ ล้วนเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เมืองเฟิ่งหวงของพวกท่านร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่ง”คำพูดของเฉินฝานเกินจริงเล็กน้อยประเด็นสำคัญคือการตลาดบางส่วนที่เขียนไว้ ทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะแค้นอื่นเห็นแล้วไม่สบายใจนอกเหนือจากนี้ เฉินฝานพูดเช่นนี้ เพราะอยากให้เหอจื้อเฟยเห็นความสำคัญ ทำตามสิ่งที่เขาต้องการอย่างเข้มงวด“ขอรับ ใต้เท้า ข้าจะทำตามขอรับ!”ตอนเหอจื้อเฟยรับเอกสารมาจากมือของเฉินฝาน มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเนื้อความในกระดาษเหล่านี้ มีเคล็ดลับที่จะทำให้ชาวเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ร่ำรวยช่วยให้ชาวเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ดี คือปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเหอจื้อเฟย“อีกเรื่องหนึ่ง”เหอจื้อเฟยกำลังจะคุกเข่าขอบคุณ เฉินฝานพูดขึ้นอีก “ปล่อยตตัวเหอหรันออกมา เขาชำนาญพื้นที่ต้าเฮย ถ่านหินของพื้นที่ต้าเฮยต้องการเขา ให้เขานำสหายก่อนหน้านี้ช่วยกันทำถ่านอัดก้อน ถือเป็นโอกาสให้เขาทำความดีชดเชยความผิด”“ท่านใต้เท้า”เหอจื้อเฟย
เหล่าขุนนางต่างก็หันหน้ามองไปทางด้านนอก นอกพระราชวังไม่มีเงาของเฉินฝานอยู่เลยจริง ๆฉินเย่ว์เหมยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองหงอิงที่อยู่ทางด้านข้างหงอิงพยักหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่าเหอจื่อหลินกลับมาคนเดียวจริง ๆ“จื่อหลิน เกิดอะไรขึ้น? เจ้ากลับมาคนเดียวหรือ?”เมื่อเหอจื่อหลินเดินผ่านเหอกัง เหอกังก็ถามด้วยความร้อนอกร้อนใจ“แม่ทัพเหอ ท่านขัดพระบัญชา!”ทางฝั่งเหอจื่อหลินเพิ่งจะพยักหน้า ทางเสิ่นหมิงหยวนก็ซักถามเสียงดังทันที เหอจื่อหลินนำพระราชโองการไป แต่เขาไม่ได้พาเฉินฝานกลับมาก็คือการขัดพระบัญชา“ขุนนางเหอ เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?” ฉินเย่ว์เหมยถาม“ฝ่าบาท!” เหอจื่อหลินหยิบถ่านขนาดใหญ่สองก้อนออกมาจากตัว “ก็เหมือนกับที่ใต้เท้าเฉินพูดไว้ นี่เป็นอัญมณีล้ำค่าอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ทัพเหอ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่? ฝ่าบาททรงถามท่าน ท่านก็ตอบดี ๆ สิ? เหตุใดถึงขัดพระบัญชา? เฉินฝานหวาดกลัวจนหลบหนีไปแล้วใช่หรือไม่? ท่านปกป้องเขาใช่หรือไม่?” เสิ่นหมิงหยวนบีบคั้นอย่างรุนแรงเหอจื่อหลินก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอเช่นกัน เขาตอกกลับไปทันทีว่า “หากไม่
“ขายถ่านหิน?” เหอจื่อหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง “เรื่องเล็กเช่นนี้ เหตุใดพวกท่านยังต้องให้ใต้เท้าไปด้วยตัวเองเล่า?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหอจื่อหลินก็รู้สึกฉุนเฉียวในใจเล็กน้อยเกิดอะไรขึ้นกับขุนนางเมืองเฟิ่งหวงแห่งนี้ จัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้เลยหรือ?“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไปขวางแล้ว แต่ใต้เท้าบอกว่ามีลูกค้าสองรายที่เขาจำเป็นต้องไปด้วยตัวเองขอรับ” เหอจื้อเฟยกล่าว“ลูกค้ารายไหนถึงได้สำคัญเพียงนี้?”“แคว้นจ้าวขอรับ ใต้เท้าบอกว่าหากไม่มีฮ่องเต้แคว้นจ้าว เขาก็คงไม่ได้มาที่เมืองเฟิ่งหวง และก็คงไม่ได้ค้นพบว่าเมืองเฟิ่งหวงมีเหมืองถ่านหินปริมาณมหาศาลเร็วขนาดนี้ นอกจากนี้เงินทุนตั้งต้นสามสิบล้านตำลึงของธุรกิจเหมืองถ่านหินเมืองเฟิ่งหวงก็เป็นเงินที่ฮ่องเต้แคว้นจ้าวมอบให้อีกด้วย เขาย่อมต้องไปขอบคุณอีกเบื้อง” เหอจื่อหลิน “...”ทำร้ายคนแบบนี้เลยเหรอ?ทันใดนั้นเหอจื่อหลินก็ลอบเป็นห่วงฮ่องเต้แคว้นจ้าว กังวลว่าเขาจะกระอักเลือดออกมาแล้วสิ้นชีพไป “แล้วลูกค้ารายที่สองเล่า เป็นผู้ใด?”“ข้าน้อยไม่ทราบ ใต้เท้าไม่ได้บอกไว้ขอรับ” เหอจื้อเฟยส่ายศีรษะ“เอาละ ข้ารู้แล้ว”เฉินฝานทำงานเช่นนี้เสมอ ดูแปลกและไร้กฎเ
“พวกเขาคนหนึ่งเป็นอัครเสนาบดีแห่งต้าชิ่ง อีกคนเป็นท่านอ๋องแห่งต้าชิ่ง หากพระองค์สังหารพวกเขาสองคนก็เท่ากับประกาศสงครามกับต้าชิ่งนะพ่ะย่ะค่ะ!”“ดูสิ ขุนนางของท่านยังรู้ความมากกว่าท่านเสียอีก!” เสียงที่แฝงไปด้วยการหยอกล้อดังเข้ามาตรงหน้าทางเข้าท้องพระโรงมีร่างเงายืนหันหลังให้กับแสงคนผู้นั้น...“จะ...จะ...เจ้า...”จ้าวรุ่ยที่อยู่บนบัลลังก์มังกรลุกพรวดขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวหลังจากกลับมาถึงแคว้นจ้าว จ้าวรุ่ยที่ยังรู้สึกหวาดผวาได้สั่งให้คนเพิ่มการคุ้มกันของวังหลวงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นวังหลวงของแคว้นจ้าวในตอนนี้พูดได้ว่ามีกองกำลังทหารจำนวนมากเฝ้าปกป้องคุ้มกันเป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนเลย ต่อให้เป็นแมลงวันสักตัวก็ไม่อาจบินเข้ามาได้เฉินฝานเข้ามาได้อย่างไร?“โตขนาดนี้แล้ว แต่ไม่รู้ความ แถมยังพูดจาติดอ่าง ควรได้รับการสั่งสอน”เฉินฝานเพิ่งจะเอ่ยจบ จ้าวรุ่ยก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีแรงกดดันมหาศาลอยู่ข้างกายเมื่อหันหน้ากลับไป...“เพียะ!” จ้าวรุ่ยรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงส่งมาจากตรงบั้นท้าย “เจ้า...”จ้าวรุ่ยเอามือข้างหนึ่งกุมบั้นท้ายไว้ตามสัญชาตญา
ไป่ชงซานที่ตาเปล่งประกายได้ไม่นาน พลันหม่นหมองไปอย่างรวดเร็วเขากล่าวว่าตอนนี้เขาทำผิดบาปใหญ่หลวง ไม่ควรคู่กับการรักษาคนแล้วเฉินฝานพูดตอบกลับเขาไปว่า สำหรับการรักษาไม่มีคำว่าสายไปหรอก หรือว่าเจ้าอยากให้จะหุบเขาร้อยบุปผาของเจ้าเป็นเพียงแค่หุบเขาแห่งพิษงั้นรึ?ไป่ชงซานยังคงยืนนิ่ง เฉินฝานถอนหายใจอย่างเสียดาย ช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่วิธีการถอนพิษของเขาไม่ได้ถ่ายทอดให้คนที่เหมาะสมเฉินฝานรู้สึกเสียดายจริง ๆ ไป่ชงซานปรุงพิษได้และเข้าใจเรื่องพิษอย่างดี หากเขาเรียนรู้วิธีการล้างกระเพาะที่เป็นวิชาการแพทย์ในยุคปัจจุบัน คนจำนวนมหาศาลก็จะพลอยได้รับผลดีไปด้วยได้ยินดังนั้น ดวงตาไป่ชงซานเปล่งประกายเต็มที่ เขากล่าวถามเฉินฝานด้วยความเหลือเชื่อว่า เขายินยอมที่จะถ่ายทอดวิธีการถอนพิษของเขาจริงหรือเฉินฝานยิ้มออกมาทันที กล่าวว่าไป่ชงซานไม่อยากเรียนไม่ใช่รึ?ในตอนนั้นเขายังพูดไม่ทันจบ ไป่ชงซานก็คุกเข่าเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ทันทีเงื่อนไขของเฉินฝานในการสอนวิธีการล้างกระเพาะยุคปัจจุบันให้ไป่ชงซานมีเพียงข้อเดียวคือ ต่อจากนี้หุบเขาบุปผาจะต้องถอนพิษให้กับชาวบ้านที่ยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเงื่อนไ
ตอนที่ไป่ชงซานกำลังจะวางยาพิษ เฉินฝานกลับส่งแว่นสายตายาวหนึ่งอันให้กับเขาปีนี้ไป่ชงซานอายุหกสิบสี่ปีแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อายุห้าสิบก็เริ่มมีอาการสายตายาวตามอายุแล้ว ตลอดสิบสีปีที่ผ่านมามองสิ่งต่างๆด้วยสายตาขมุกขมัวเสมอ เมื่อได้สวมใส่แว่นตา ไป่ชงซานดีใจกล่าวขอบคุณเฉินฝานอย่างไม่หยุดหย่อนดีใจก็ส่วนดีใจ ไป่ชงซานยังจำเป้าหมายครั้งนี้ได้ เขากล่าวขอบคุณเฉินฝานไปพลางวางยาพาไปด้วย เขาใส่พิษรุนแรงชนิดที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นลงไปในชาของเฉินฝานเฉินฝานรับชาจากเขามา ตอนที่เขากำลังจะดื่มชา จู่ ๆ ก็วางถ้วยชาลง ถามว่าเขาเป็นใครเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฝาน ถึงแม้ในใจของไป่ชงซานจะตื่นตระหนกอย่างมาก ทว่าภายนอกก็คงทำท่าทางใจเย็นไว้ได้ ยังคงทำท่าทีเป็นสาวใช้อาวุโสต่อไปเฉินฝานอมยิ้มมองไป่ชงซานที่กำลังแก้ตัวสุดกำลัง เขาชี้ไปที่แว่นสายตายาวที่บนจมูกของไป่ชงซาน พูดสองสามคำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถึงแม้ยายซุนคนเดิมจะอายุมากแล้ว ทว่าสายตายังชัดแจ๋วสามารถร้อยเส้นด้ายลอดผ่านรูเข็มได้อยู่เฉินฝานเรียกหวงหวั่นเอ๋อร์ นางกระชากหนังหน้าปลอมของไป่ชงซานออกทันที ไป่ชงซานที่ถูกเปิดโปงแล้วก็ทำเหมือนพวกจางทง ดื่มชาที่มีพ
โดยปกติ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกล่าวเช่นนี้แล้ว ไป่ชงซานก็จะรีบไปหาทันที ดังนั้นเสิ่นหมิงหยวนจึงมองไป่ชงซานด้วยท่าทีโอหัง ราวกับเจ้าของที่รอให้สุนัขวิ่งกลับมาหาไป่ชงซานที่เพิ่งจะลุกขึ้นคุกเข่าเสียงดังตึงอย่างรุนแรงลงไปอีกครั้ง“ห่างเกินไปแล้ว”เสิ่นหมิงหยวนที่ยืนมองจากที่สูง ท่าทางและคำพูดยังคงโอหัง ทว่าเขาไม่ทันกล่าวจบ...“ฝ่าบาท ข้าน้อยยอมรับผิด พิษหญ้าไส้ขาดที่มาจากแหล่งน้ำแคว้นหลู่ข้าเป็นคนทำเอง และคนที่บงการข้าคือ...” จู่ ๆ ไป่ชงซานก็หยุดพูด ยกมือชี้ “ก็คือเขา อัครเสนาบดีเบื้องขวาเสิ่นหมิงหยวน!”ไป่ชงซานพูดจบไปจวนจะหนึ่งนาทีแล้ว เหล่าชาวบ้านทั่วบริเวณแตกตื่นสุดขีด เสิ่นหมิงหยวนและผู้อื่นยังไม่ทันมีการตอบสนองใดคนที่สนิทสนมกับเสิ่นหมิงหยวนและไป่ชงซาน ล้วนไม่อยากเชื่อว่าไป่ชงซานจะทรยศเสิ่นหมิงหยวนตอนที่ไป่ชงซานอายุสามสิบก็เป็นที่ปรึกษาที่เสิ่นหมิงหยวนเลี้ยงไว้ หากไร้ซึ่งการสนับสนุนมหาศาลของเสิ่นหมิงหยวน ไป่ชงซานย่อมจะยิ่งใหญ่แบบทุกวันนี้ไม่ได้“ไป่ชงซาน!” เสียงดุดันของเสิ่นหยวนเลี่ยง ทำลายความเงียบงันทางเสิ่นหมิงหยวน “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอันใดอยู่ หากไม่มีพ่อข้า ตอนที่
คนที่เดินออกมาจากกลุ่มฝูงชนคือ ไป่ชงซาน!ช่วงที่ผ่านมานี้ไป่ชงซานอยู่กับเสิ่นหมิงหยวนมาโดยตลอด คนส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขา“ไฉนจึงเป็นเขา เขาเป็นกุนซือของใต้เท้าเสิ่นไม่ใช่รึ?”“ดูเหมือนจะไม่ใช่กุนซือ เหมือนจะเป็นเพื่อนของใต้เท้าเสิ่นเสียมากกว่า”“โอ้ เช่นนั้นคนที่ใต้เฉินกล่าวถึงคงจะไม่ใช่เขา”ไม่ได้มีเพียงแต่สายตาของราษฎรที่มองข้ามไป่ฉงซานไปด้านหลัง สายตาของพวกเสิ่นหมิงหยวนก็มองข้ามไปด้านหลังเช่นกัน ต้องการดูว่าคนที่เฉินฝานกล่าวถึงเป็นผู้ใดกันแน่ตลอดระยะทางที่ไป่ชงซานเดินมา เขาเดินค่อนข้างใกล้กับฉินเย่ว์เหมย ตอนที่ถูกทหารรักษาพระองค์ขวางไว้ เขาจึงหยุดฝีเท้า “ผู้เฒ่าไป่ นับวันเจ้ายิ่งไร้ประโยชน์เสียจริง พวกเราอยู่ทางนี้”ทางเสิ่นหมิงหยวนมีคนตะโกนเรียกเขา ไป่ชงซานอายุหกสิบห้าปีแล้ว ในยุคโบราณที่อายุเฉลี่ยไม่ถึงห้าสิบปี เขาก็ถือว่าอายุยืน มีอาการสายตายาวตามอายุตั้งนานแล้ว และอาการสายตายาวค่อนข้างรุนแรงอีกด้วยราวกับไป่ชงซานไม่ได้ยินคำพูดของคนผู้นั้น เขาคุกเข่าลงไปทันทีและหยิบถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าอก ถุงผ้าเล็กๆอัดแน่นไปด้วยสิ่งของ จนแทบจะทะลักออกมาแล้วหลังจากที่หยิบถุงผ้า
ตอนแรกเฉินฝานปรากฏตัวขึ้นในสายตาของราษฎรชาวต้าชิ่งในฐานะนายบำเรอของฉินเย่ว์เหมย คนที่ไม่รู้จักเขาดีย่อมดูแคลนเขาอย่างยิ่ง มีผู้คนมากหมายเห็นเขาเป็นคนประเภทเดียวกับนางสนมจอมล่อลวงเมื่อพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวนปลุกปั่นเช่นนี้ ชาวบ้านรอบ ๆ ก็รู้สึกอีกแล้วว่าพวกเขาพูดถูกต้อง เสิ่นหมิงหยวนสมควรถูกจับ เฉินฝานเองก็ควรถูกจับเช่นกัน“ไป่เผยหราน เหตุใดยังไม่ให้คนของเจ้าลงมือจับกุมเสิ่นหมิงหยวนให้เราอีก” ฉินเย่ว์เหมยหัวเสียเล็กน้อยหากเป็นผู้อื่น เมื่อฮ่องเต้มีรับสั่ง ไฉนเลยยังจะสนใจอะไรอีก ย่อมต้องจับกุมทันที แต่ไป่เผยหรานไม่ใช่ผู้อื่น ในใจของเขา กฎหมายและความยุติธรรมอยู่เหนือทุกสิ่ง หลักฐานที่เฉินฝานแสดงออกมาในตอนนี้ทำได้เพียงพิสูจน์ว่าเสิ่นหมิงหยวนวางแผนทำร้ายเขาเท่านั้นจริง ๆ แต่ไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้วางยาพิษในใจของไป่เผยหรานย่อมเชื่อว่าเฉินฝานไม่มีทางวางยาพิษ แต่ว่าภายใต้สายตาจ้องมองของประชาชน หากจับกุมเพียงเสิ่นหมิงหยวนแต่ไม่จับกุมเฉินฝาน เขาทำไม่ได้เมื่อมองฉินเย่ว์เหมยที่โกรธเกรี้ยว แล้วมองไป่เผยหรานที่ทำหน้าลำบากใจ เสิ่นหยวนเลี่ยงก็ลอบปีติยินดีในใจ นับถือบิดาของตนมากยิ่ง
“ขุนนางต่ำต้อยอย่างกระหม่อมไม่มีอะไรจะพูดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่จางทงและจางสิงทำเป็นคำสั่งของกระหม่อมจริง กระหม่อมเป็นคนทำเพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นหมิงหยวนเงียบไปครู่เดียวเท่านั้นก็ยอมรับทันที ไม่เพียงแต่เฉินเย่ว์เหมยที่ประหลาดใจ แม้แต่เสิ่นหยวนเลี่ยงก็ประหลาดใจเช่นกันผู้คนทั้งต้าชิ่งต่างรู้ว่าอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายและเบื้องขวาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายขับเคี่ยวกันไม่ยอมปล่อย และรู้ว่าเรื่องการวางยาพิษในครั้งนี้จะต้องเกี่ยวพันกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเสิ่นหมิงหยวนจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้“ท่านพ่อ...”เสิ่นหยวนเลี่ยงเบิกตาโตมองเสิ่นหมิงหยวน แต่เสิ่นหมิงหยวนกลับก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง ไม่มีใครมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน“ดูท่าเสิ่นหมิงหยวนคิดจะสู้จนตกตายไปด้วยกัน”เฉินฝานพูดเสียงเบา เขาเอ่ยคำพูดนี้จบ เสียงเย็นชาเคร่งขรึมของฉินเย่ว์เหมยก็ดังมาจากด้านหน้าว่า “ขุนนางต่ำต้อย? ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางผู้กระทำผิดไม่มีสิทธิ์เรียกขานตนเองว่าขุนนางต่ำต้อยแล้ว ไป่เผยหราน จับกุมเสิ่นหมิงหยวนเสีย!” เสิ่นหมิงหยวนเบนศีรษะเล็กน้อย เสิ่นหยวนเลี่ยงม
ครึ่งชั่วโมงต่อมา สีหน้าของจางทงและองครักษ์ของเสิ่นหมิงหยวนไม่ได้ซีดเผือดเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว จางทงได้รับพิษสองครั้ง เขาดูอ่อนแอเล็กน้อยส่วนองครักษ์ของเสิ่นหมิงหยวนมีสีหน้าปกติ ราวกับไม่ได้รับพิษเลยการล้างท้องเป็นวิธีการช่วยชีวิตผู้ได้รับพิษในทางศัลยแพทย์ เป็นวิธีการรักษาที่ธรรมดาอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน แต่ในสายตาคนโบราณเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงจริง ๆ “ช่วยชีวิตได้แล้ว ใต้เท้าเฉินช่วยชีวิตทั้งสองคนได้จริง ๆ!” “กินสารหนูแล้วยังช่วยชีวิตกลับมาได้ด้วย? ใต้เท้าเฉิน นั่นเป็นวิชาแพทย์จริง ๆ หรือ?” “ไฉนเลยวิชาแพทย์จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เป็นวิชาเซียนต่างหากเล่า” “ใต้เท้าเฉินเป็นเทพสวรรค์จุติลงมา!” นี่ก็คือชาวบ้านทั่วไป ในสายตาของพวกเขามีแค่ดำสุดโต่งและขาวสุดโต่งเมื่อพวกเขาโดนฝ่ายเสิ่นหมิงหยวนหลอกลวง ก็ด่าทอเฉินฝานด้วยคำพูดที่โหดร้ายสุดขีด ตอนนี้พบว่าเฉินฝานเป็นคนดีแล้ว พวกเขาก็สรรเสริญเฉินฝานอย่างดีที่สุดโดยไม่ตระหนี่เลย พวกเขาไม่เพียงสรรเสริญเฉินฝาน แถมยังเริ่มด่าทอสงสัยเสิ่นหมิงหยวนด้วย “พวกเจ้าดูองครักษ์ผู้นั้นสิ หากเมื่อครู่นี้ไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ข้าไม่อยากจ
“ท่านพี่!” จางสิงร้องเสียงดัง โน้มตัวไปกอดจางทง “ใต้เท้า รีบช่วยพี่ชายของข้าด้วยขอรับ”แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ตอนที่จางทงกินสารหนูลงไปจริง ๆ จางสิงก็รู้สึกตื่นตระหนกในใจไม่ไหวแล้วเฉินฝานสามารถช่วยพวกเขากลับมาจากประตูผีได้ครั้งหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยได้เป็นครั้งที่สองพิษสารหนูออกฤทธิ์ไวมาก เวลานี้ใบหน้าของจางทงไม่มีสีเลือดเลยสักนิดเดียว ร่างกายเริ่มชักกระตุก มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก“เฮ้อ!” เฉินฝานถอนหายใจ “นี่เจ้าจะลำบากลำบนทำไมกัน?”“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้ลำบาก เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่ข้าน้อยจะได้เป็นคนขอรับ” จางทงฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ฝืนยิ้มให้เฉินฝาน “รบ...กวนท่าน...ช่วยข้าน้อยอีกสักครั้ง...” เมื่อพูดจบ ร่างกายของจางทงก็เริ่มชักกระตุกอย่างรุนแรง ตาขาวเริ่มเหลือกขึ้นมาเช่นกัน เลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากเยอะขึ้นเรื่อย ๆ“เร็วเข้า หามเขาไปที่โรงเตี๊ยม!”จางทงถูกหามเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้ไม่นาน องครักษ์ของเสิ่นหมิงหยวนก็ถูกหามเข้ามาด้วยเช่นกันในขณะที่เฉินฝานสั่งให้คนหามจางถงเข้าไปในโรงเตี๊ยม เสิ่นหมิงหยวนก็ให้คนกรอกสารหนูใส่ปากองครักษ์ผู้นั้น เสิ่นหมิงห
“ให้เขากิน!”เสิ่นหมิงหยวนผลักองครักษ์คนนั้นไปตรงหน้าเฉินฝานทันที“ใช่แล้ว จะปล่อยให้เฉินฝานเลือกคนกินสารหนูไม่ได้” พรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันสนับสนุน“ไม่เพียงไม่อาจให้เฉินฝานเลือก สารหนูก็ต้องให้ใต้เท้าเสิ่นหาคนไปนำมาด้วยเช่นกัน” เฉินฝานไม่มีความเห็นอะไรกับข้อเสนอนี้ของเสิ่นหมิงหยวนเลย คนของเสิ่นหมิงหยวนกินสารหนู นี่เป็นข้อเสนอที่ไม่อาจดีไปกว่านี้แล้วองครักษ์ที่โดนผลักออกมาหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทา หากไม่ใช่เพราะมีคนพยุงอยู่ข้าง ๆ เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะตกใจกลัวจนล้มไปกองกับพื้นแล้ว “สั่นทำไม ใต้เท้าเลี้ยงดูเจ้ามานานถึงเพียงนี้ ก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องตอบแทนแล้ว” รองแม่ทัพข้างกายเสิ่นหมิงหยวนตะคอกใส่องครักษ์ผู้นั้นเบา ๆ “ข้าน้อย...”“วางใจได้ หากเจ้าตาย ครึ่งชีวิตที่เหลือของมารดา ภรรยาและบุตรสาวของเจ้าจะมีเงินให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น ได้ใช้ชีวิตที่ดีเหนือผู้อื่นตลอดไป หากเจ้าสั่นอีก เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ ให้พวกเจ้าทั้งครอบครัวไปเจอกันที่ปรโลก” รองแม่ทัพของเสิ่นหมิงหยวนใช้ทั้งบุญคุณและความเข้มงวดกับองครักษ์ผู้นั้น องครักษ์ผู้นั้นค่อย ๆ เลิกดิ้นรน สองตาว่างเปล่า ยืนอยู