แม่นมฝูทายาบนแก้มนวลด้วยความระมัดระวัง หญิงชราจ้องมองรอยแดงนั่นอย่างเจ็บปวด คุณหนูถูกเลี้ยงดูอย่างกับไข่มุกในกำมือ ความเจ็บซ้ำใจแม้แต่นิดก็ไม่เคยได้พบพาน
เห็นขอบตาแดงๆ ของแม่นม น้ำตาเอ่อล้นพร้อมกำลังจะทะลักออกมาเฉียวเวยเวยจึงพูดขึ้น
“แม่นม ข้าไม่เป็นไร...ข้าไม่เจ็บแล้ว”
แม่นมฝูก้มหน้าสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดขึ้น
“คุณหนู บ่าวสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว คฤหาสน์ที่นอกเมืองก็เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ หรือท่านจะเดินทางนำหน้าไปก่อน ที่นี่ให้บ่าวอยู่รอหนังสือหย่าดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน”
นางยอมเจ็บเพื่อให้จบ หากไม่จบก็ต้องถึงคราวได้อับอาย อย่างไรสิ่งที่นางขู่ไป นางมั่นใจหลีเซียวหยวนไม่มีทางนำวงศ์ตระกูลมาเสี่ยงแน่นอน
เป็นอย่างที่คิด ไม่ถึงหนึ่งเค่อพ่อบ้านก็นำหนังสือมาส่ง ชายชราคุกเข่าด้วยความสำรวมพลางยกหนังสือหย่าออกไปพูดขึ้น
“นายท่านฝากคำกล่าวมา หากฮูหยินน้อยจะเปลี่ยนใจเพียงฉีกหนังสือฉบับนี้ทิ้ง นายท่านจะถือว่าวันนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นขอรับ”
เฉียวเวยเวยเดินออกไปรับหนังสือจากมือพ่อบ้านด้วยตนเอง นางเปิดอ่านดูข้อความข้างในยกปากยิ้มอย่างพอใจ ดียิ่งที่นางไม่ต้องใช้แผนสอง
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร นางเงยหน้าขึ้น
“กลับไปบอกท่านเสนาบดี ที่ผ่านมาถือว่าเป็นการสร้างกุศลร่วมกันข้าไม่ติดใจสิ่งใด จากนี้ขอให้เขาดูแลตนเองให้ดี”
คำพูดของเฉียวเวยเวยคล้ายคำอำลาที่กลั่นออกมาจากหัวใจ นางกล่าวแทนเฉียวเวยเวยตัวจริง
เมื่อชำเลืองมองไปก็เห็นแม่นมฝูกำลังยิ้มด้วยน้ำตา
“คุณหนู บ่าวเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ ท่านเดินทางไปก่อน ที่นี่บ่าวจะจัดการเก็บของให้เรียบร้อย”
“ฮืม...แม่นม...ข้าฝากด้วย”
ไม่ทันที่พ่อบ้านจะออกจากเรือนของเฉียวเวยเวย หญิงสาวก็ออกจากจวนไปเสียก่อน
คืนนั้น จวนเสนาบดีก็เกิดคลื่นโหมกระหน่ำ เหล่าผู้อาวุโสต่างแตกตื่น เฉียวเวยเวย สะใภ้ผู้นี้ แม้จะไม่ถูกใจชาติตระกูล ทว่าทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจหลายปีมานี้จวนเสนาบดีอยู่ดีมีสุขก็เพราะสินเดิมของสะใภ้ ไม่ทันได้เอ่ยปากจะยับยั้งก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
คฤหาสน์ตระกูลเฉียว
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด การมีบ้าน เป็นความรู้สึกที่พิเศษ
เฉียวเวยเวยพลางเดินทอดน่องไปอย่างเชื่องช้าพลางฟังเสียงม่านม่านบรรยายห้องและเรือนต่าง ๆ ในคฤหาสน์อย่างรื่นรมย์
เมื่อไปถึงเรือนพัก ชิงชิง ก็ออกมายืนยิ้มต้อนรับพร้อมบ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเฉียวเวยเวยเดินเข้าไปใกล้นางก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วแล้วพูดขึ้น
“คุณหนู บ่าวเตรียมน้ำอุ่นไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ฮืม...ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก”
ค่ำคืนนั้น หญิงสาวนอนหลับลึกด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อแสงตะวันเริ่มสาดส่องนางจึงได้ยินเสียงกระซิบสั่งการของแม่นมฝูอยู่ข้างนอก
นางลุกจึงลุกขึ้น ให้ม่านม่านและชิงชิงก็รีบยกน้ำล้างหน้าเข้ามา
“ยังเก็บของไม่เสร็จอีกหรือ”
“กำลังจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนแม่นมฝูกลัวจะรบกวนคุณหนูจึงยังไม่ได้จัดเก็บเจ้าค่ะ”
“คุณหนูบ่าวเข้าไปนะเจ้าค่ะ” สิ้นเสียงบ่าวหน้าห้องก็เลิกผ้าม่านขึ้นปรากฏกายหญิงชราแม่นมฝู นางชำเลืองมองคุณหนูด้วยสายตาอ่อนโยน
“คุณหนูวันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเวยลุกขึ้นให้ม่านม่านจัดแต่งกายให้ พลางหันมาพูด
“หลับสบายยิ่งนัก...ข้าไม่รู้สึกปลอดโปร่งเช่นนี้มานาน... ทว่าตอนนี้ข้าเป็นสตรีที่หย่าสามี หาใช่สตรีอ่อนเยาว์เช่นวันวาน ... ต่อไปพวกท่านก็เรียกข้าว่านายหญิงเถิด”
เฉียวเวยเวยหาใช่ดูถูกตัวเอง ทว่านางไม่ชินกับคำเรียกคุณหนูเท่าไรนัก อย่างไรนางก็เป็นเจ้าของร้านค้ามากมายเช่นนั้นเป็นนายหญิงน่าจะเหมาะกว่า
แม่นมฝูก้มหน้าไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หากเรียกนายหญิงเฉียวย่อมเกี่ยวพันธ์ถึงตระกูลเฉียว ในเมื่อคุณหนูแต่งออกมาแล้วย่อมสามารถสร้างเรียงนามใหม่ได้ นางจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“คุณหนู...เอ่อ..นายหญิง..เช่นนั้นบ่าวเรียกคุณหนูว่านายหญิงเวยนะดีหรือไม่เจ้าคะ”
เสียงแม่นมฝูเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
“ฮืม ... นายหญิงเวย...ดีเหมือนกันข้าชอบ”
แม่นมฝูยิ้มกว้างอย่างยินดี
“นายหญิงเช่นนั้นวันนี้...ถือว่าเป็นวันมงคล ท่านไปไหว้พระขอพรเสริมบารมีดีหรือไม่เจ้าคะ”
เวยเวยกระพริบตานิ่งตรึกตรอง แล้วก็พูดขึ้น
“ฮืม..ดีเหมือนกัน เอาตามที่แม่นมกล่าว”
“เช่นนั้น..บ่าวไปเตรียมเดินทางสักครู่นะเจ้าค่ะ”
แม่นมฝูรับคำสั่งอย่างกระตือรือร้นก่อนออกไปยังกำชับบ่าวรับใช้ให้จัดการดูแลเฉียวเวยเวยให้ดี
แสงแดดเริ่มทอแสงอ่อน เฉียวเวยเวยรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทาง ขบวนเดินทางไม่ใหญ่โตมีเพียงรถม้าคันเดียวเท่านั้น แม้จะมีความทรงจำของเจ้าของร่างแต่เฉียวเวยเวยก็อยากจะมองและซึมซับโลกใบใหม่ชีวิตใหม่ที่ตนเองต้องดำเนินชีวิตอยู่ นางเลิกผ้าม่านดูภายนอกด้วยความสนอกสนใจ
เมื่อยามเส้นทางที่รถม้าเคลื่อนผ่านเขตชุมชน ชาวบ้านเมื่อเห็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ก็พาหลบหลีก ก้มหน้าลงมีเพียงเด็กเล็ก ๆ ที่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เฉียวเวยเวยยิ้มให้เด็กสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน ความงามเจิดจ้าของนางทำให้เด็กตัวน้อย ดวงตาเบิกกว้าง
“ท่านแม่...สตรีผู้นั้นงดงามยิ่งนัก” มารดาของเด็กที่กำลังก้มหน้าได้ยินเสียงของบุตรสาวก็สะดุ้งตื่นตกใจ รีบกดศรีษะบุตรสาวลงพร้อมคุกเข่าของอภัยอย่างร้อนรน แม้ท่าทางของหญิงงามหาได้ใส่ใจถือความ ทว่ามารดาเด็กผู้นั้นก็ไม่ลดความหวาดระแวง
แววตาของเฉียวเวยเวยสลดลอบทอดถอนใจ ยิ้มมุมปากบางๆ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดท่ามกลางผู้สูงศักดิ์ก็ยังมีความผู้ยากไร้ ความเหลือบล้ำก็มีมากเช่นเดิม
หญิงสาวปิดม่านลงด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย พลางคิดหลังจากไปไหว้พระ นางจะต้องไปดูกิจการที่ตระกูลมอบให้เป็นสินเดิมเสียสักหน่อยจากนั้นก็วางแผนท่องเที่ยวในเมื่อได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตก็ย่อมต้องใช้
วัดเสาหลางอยู่บนภูเขาสูงบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เฉียวเวยเวยชำเลืองมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกเบากายสบายใจ วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษทำให้ไม่มีผู้คนเท่าใดนัก หน้าองค์พระใหญ่มีเพียงสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งข้างกายนางมีเด็กอีก 2 คน
เฉียวเวยเวยไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นผู้สูงศักดิ์ นางยกมือบอกให้บ่าวไพร่ถอยไป มาไหว้พระครั้งนี้นางตั้งใจมาขอพรด้วยศรัทธานางคุกเข่นขยับกายเข้าไปจุดธูปเทียนไหว้พระด้วยตนเอง เพราะนั่งไม่ห่างจากสามแม่ลูกเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงแว่วคุยกระซิบของพวกเขา
“เยว่เออร์...ไม่ต้องกังวลแม่จะดูแลพวกเจ้าเอง”
“พี่ก็จะดูแลเจ้าด้วย”
แม้ไม่ได้ตั้งใจฟัง ทว่าหลังได้ยินอีกหลายประโยค เฉียวเวยเวยก็จับใจความได้ว่า สตรีผู้นี้ถูกตระกูลสามีแยกบ้านทอดทิ้ง นางชำเลืองมองสามแม่ลูกเล็กน้อย ทั้งสามคนล้วนร่างกายผ่ายผอมเสื้อผ้าขาดรุ่ย คล้ายเด็กชายรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมอง
ดวงตาคมเหลือบขึ้นสบตากับเฉียวเวยเวยตรง ๆ
แววตาลุ่มลึกกระจางใสไร้ซึ่งความไร้เดียงสาอย่างที่เด็กควรจะมี เฉียวเวยเวยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งมุมปากยกขึ้นน้อย ๆ ทำให้เด็กชายได้สติ เขารีบก้มหน้าลงท่าทางเปลี่ยนไปไร้ความเย่อหยิ่งอวดดี แม้จะรู้สึกสนใจเด็กชายมากเพียงใด ด้วยขนบธรรมเนียมเฉียวเวยเวยก็ไม่อาจจะจะไถ่ถามอย่างตรงไปตรงมาได้ นางดึงสายตากลับพร้อมตั้งใจไหว้พระขอพรด้วยจิตมั่นศรัทธาแทน
“ท่านแม่ข้าหิว” ผู้เป็นมารดาหันมากอดบุตรสาวเอ่ยพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
“ซินเอ๋อร์ของแม่อดทนอีกนิด แม่จะพาเจ้ากลับบ้านไปกินข้าวเดี๋ยวนี้”
ฉีซาหลุบตามลงด้วยความอ่อนใจอ่อนล้า ข้าวของมารดาก็เป็นน้ำต้มใสๆ เท่านั้น ครอบครัวในชาตินี้ช่างยากจนเหลือเกิน เขาชำเลืองมองไปยังกลุ่มของเฉียวเวยเวย
สตรีผู้นั้นร่ำรวยยิ่งนัก
ขณะนั้นก็มีบ่าวผู้หนึ่ง เดินย้อนกลับมา นางเดินตรงมายังจุดที่ฉีซายืนอยู่พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในมือถือกล่องอาหารกล่อง
“ฮูหยิน วันนี้มาไหว้พระ นายหญิงได้จัดเตรียมขนมมาด้วย นายหญิงหวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ” หากเป็นตนเองหิวฮูหยินย่อมปฏิเสธ แต่นางไม่อาจจะใจแข็งกับบุตรได้ และบ่าวที่นำขนมมาให้ก็หาได้มีท่าทีเหยียดหยาม ใบหน้าพร้อมน้ำเสียงล้วนอ่อนโยนจริงใจ จึงยืนมือออกไปรับกล่องขนมพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
ฉีซารับขนมแบ่งมาจากมารดา กลิ่นหอมของขนมทำให้รีบทานด้วยความหิวเช่นเดียวกันกับน้องสาวโดยไม่รู้ตัว เขาทานด้วยความอร่อยและปะปนความรู้สึกขมขื่น ตั้งแต่มาอยู่ภพนี้ ขนมชิ้นนี้เป็นของอร่อยที่สุดที่เขาเคยได้ทาน
“ท่านแม่ อร่อยมาก ข้าไม่เคยทานขนมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเจ้าค่ะ”
เสียงใสๆ ของฉีซินเอ่ยพูดแทนความในใจของฉีซา ฮูหยินฉีกลั้นน้ำตาลูบหัวบุตรสาว พร้อมทั้งเตือนให้นางค่อนๆ ทานไม่ต้องรีบ
พอกลับมาถึงเรือน ฉีซาก็เข้ามาจัดห้องของตนเองทั้งที่ข้าวของไม่มาก แต่เขาก็อยากจัดวางทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เขาหยิบหนังสือตำราออกมามองอย่างครุ่นคิด สักพักได้ยินเสียงตัดฟืนอยู่ข้างนอก จึงวางมือจากหนังสือแล้วเดินออกไป
“ท่านแม่ ท่านไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะผ่าฟืนเอง” เสียงอ่อนโยนของบุตรชายทำให้ฮูหยินฉีมีแรงมากขึ้น นางผ่าฟืนลงไปอีกหลายทีแล้วจัดเก็บทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
“ซาเอ๋อร์ไปอ่านตำราเสียเถิด ทางนี้แม่จัดการเองได้”
เนื้อหาเรียนของระดับเด็กหาได้เปลื้องแรงฉีซาไม่ หากแต่ที่ผ่านมาเขาจำเป็นต้องทำเป็นโง่เขลา เพื่อให้ตระกูลบิดายอมแยกตระกูลเพราะไม่อยากจะเลี้ยงดูครอบครัวของเขา มารดาของเขาก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องบุตรได้ แม้ความจริงจะเหตุการณ์ครั้งจะเป็นฉีซาที่วางแผนเองก็ไม่อาจจะที่เล่าให้มารดาฟังได้ ทำได้เพียงกล่าวขออภัยในใจ
ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะแสดงความสามารถฉีซายังคงต้องเป็นเด็กชายที่ยังไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นดังเดิม และเขาก็ยังมีแผนการณ์ของตนเอง เขาเดินไปตักน้ำแล้วเดินไปหามารดา
“ท่านแม่พักสักหน่อยเถอะขอรับ”
เมื่อบุตรชายยื่นขันน้ำมาให้ ฮูหยินฉีจึงเดินมานั่งลงแล้วรับน้ำจากบุตรชายมา
“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้วนะขอรับ”
“เหตุใดเล่า เจ้าเคยรับปากแม่ว่าจะตั้งใจเล่าเรียน”
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปหางาน...รับจ้างทั่วไปทำ”
ฉีซาคนเดิมเป็นคนโง่เขลาขี้ขลาด ทั่วสำนักศึกษาล้วนรู้แจ้ง หากวันหนึ่งเก่งกาจขึ้นย่อมทำให้ทุกคนสงสัย และอีกอย่างเขาหาได้หวังสอบเป็นขุนนาง ชาติที่แล้วเขาเป็นหมอแม้ชาตินี้จะไม่มีความรู้ด้านสมุนไพรหรือการจับชีพจร ก็ถือว่ามีความรู้มีทักษะการรักษาอยู่บ้าง
“แม่ขอโทษนะลูก...” ฮูหยินฉีคร่ำครวญอีกหลายประโยคก่อนจะยอมรับการตัดสินใจของบุตรชายเพราะอย่างไรนางก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนได้
ตอนที่ 7 บ่าวในเรือน ฉีซารู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมาก ชีวิตไม่ง่ายอย่างที่คิด ผ่านไปหลายเดือนหลังจากที่เขาไปสมัครทำงานที่โรงหมอฟู่เหริน ทว่าเขาได้ทำงานไม่ต่างจากพนักงานทำความสะอาด ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้จับสมุนไพรหากจะพูดถึงขั้นการศึกษาเรียนหมอ ชาตินี้อาจจะไม่มีโอกาสเลย เด็กหนุ่มเดินคอตกเลาะเลียบไปตามคลองเพื่อกลับบ้าน ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วของคนคุยกัน “ตงหยาง เจ้าตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” “แน่ใจ มีเพียงนายหญิงเวยเท่านั้นที่จะให้โอกาสข้า” “แต่ข้าได้ยินมาว่า นางหาใช่รับสมัครคนมีความอันใด ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังหน้า นางเพียงต้องการเลี้ยงเด็กหนุ่มเท่านั้น” “เจ้าไม่ต้องพูดอันใดอีก ข้าตัดสินใจแล้ว” เด็กหนุ่มตงหยางสบัดมือที่ดึงเขาไว้ ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไป ศักดิ์ศรีหาใช่ทำให้อิ่มท้อง ฉีซารู้สึกสนใจ เขารีบเร่งฝีเท้าตามไปเช่นกัน เขามองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น ไปยืนอยู่หน้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลเฉียว สักพักคนเฝ้าหน้าประตูก็พาเขาเดินเข้าประตูเล็กด้านข้าง ฉีซาเฝ้ามองอย่างสนใจ ณ แปลงผักในคฤหาสน์ตระกูลเฉี
ตอนที่ 8 ไม่เสียใจภายหลัง ฉีซาเฝ้าดูอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเฉียวอย่างกระวนกระวายใจ ดวงตะวันค่อย ๆ คล้อยเคลื่อนต่ำลง ท้องฟ้าเริ่มแดงระเรือทว่ากลับไม่เห็นตงหยางออกมา เด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่ได้ยิน ชาวบ้านต่างซุบซิบนินทา บ้านไหนมีเด็กหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา ให้เฝ้าระวัง อาจจะโดนนายหญิงหมายตาพามาอยู่เรือนหลังของนาง บ้างก็บอกว่านางฟั่นเฟือนเสียสติจากการถูกหย่า บ้างก็บอกว่านางทำไปเพื่อประชดประชัน ด้วยขนบธรรมเนียมในยุคนี้ ฉีซาพอเข้าใจอยู่บ้าง สตรีที่ถูกหย่าล้วนถูกลดทอนคุณค่าลง ทว่าเขาเคยพบเจอนายหญิงเวยผู้นี้ นางเป็นสตรีที่ยังอ่อนเยาว์และงดงามยิ่งไม่เพียงแค่นั้นนางยังมีทรัพย์สินมหาศาล กล่าวว่าแม้กระทั่งท้องพระคลังในวังอาจจะมีน้อยกว่าตระกูลเฉียวของนาง ทุกอย่างล้วนขัดแย้ง แม้จะเชื่อไปบางส่วนว่านางเลี้ยงดูบุรุษในเรือนหลัง ทว่าข่าวของบุรุษกลุ่มนั้นมีน้อยยิ่ง หลายเดือนที่ผ่านมาฉีซาก็พึ่งจะเคยประจักพบด้วยตนเองเป็นครั้งแรก หากพิจารณาเด็กที่ชื่อตงหยาง ผู้นั้นอายุเพียง 8-9 ขวบ อ่อนเยาว์ยิ่งนักจะทำเรื่องอย่างนั้นได้อย
ตอนที่ 9 ต้องเรียนรู้และเร่งฝึกฝน เฉิงเซาเดิมก็รู้สึกปวดหนึบกลางกายอยู่แล้ว เมื่อเสื้อคลุมคลายออกเผยให้เห็นรูปร่างของเฉียวเวยเวยแทบจะหมดสิ้น ผิวพรรณผุดผ่องส่วนเว้าโค้งงดงามเกินบรรยาย ชายหนุ่มกดหน้าลงไปดูดดื่มลิ้มชิมหน้าอกของหญิงสาวอย่างกระหาย ในขณะที่ เผยลู่เดินเข้าไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว เขาใช้มือค่อยจับเขาพลางอ้าให้กว้างออก มือใหญ่ลูบไล้ลงไปกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาว ในซอกกลีบดอกไม้มีน้ำหวานไหลออกมาส่งกลิ่นหอมอบอวล เผยลู่ตั้งใจจะโชว์ให้ทุกคนได้เห็นเข้าใจคำว่าลิ้มชิมความหอมหวานทุกซอกทุกมุม เขาก้มลงไปดูดดื่มน้ำหวานที่ไหลเยิ้ม ปลายลิ้นไล่วนสอดและแทรกทุกอย่างอย่างกระหาย ภาพลักษณ์หนุ่มหล่อม่านขรึมหายไปจนหมดสิ้น ตงหยางตกตะลึงลนลาน ลมหายใจหยุดชะงักเขารีบก้มหน้าไม่มอง ทว่าเสียงเฉียวเวยเวยเผยครวญครางหวานใสออดอ้อนเบาหวิว เสียงเพลงบรรเลงของคุนเล่อขับให้ทุกอย่างดูไม่หยาบโล้น ฝ่ามือถูกันไปมาด้วยความอยากรู้ เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง ภาพสตรีและบุรุษที่อยู่ตรงหน้าของตงหยางกลับงดงามดั่งภาพวาด บุรุษห
ตอนที่ 10 สถานะเปลี่ยนทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยน เฉียวเวยเวยถูกปลุกในยามอิ๋น แม้จะยังงัวเงียนางก็ให้ความร่วมมือเผยลู่อย่างเต็มที่ นางเพียงล้างหน้าล้างตาสวมเสื้อเสื้อคลุม ชิงชิงกำลังจะเกล้าผมนางจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ต้อง ข้าแค่จะออกไปส่งเฉิงเซาแล้วจะกลับมานอนพักต่อ”เฉียวเวยเวยมองตนเองในกระจกแล้วพยักหน้าบอกทุกคนว่าพร้อมแล้ว ประตูใหญ่คฤหาสน์ถูกเปิดออก รถม้าหลายคันกำลังจอดเรียงราย เฉิงเซายืนคู่กับหมิ่งเยี่ยเตรียมตัวออกเดินทาง แล้วยังมีเหล่าบุรุษหลายคนมาร่วมส่งทั้งสองพวกเขา แม้จะการพูดคุยกันทว่าสายตาของเฉิงเซาชำเลืองมองไปยังในเรือน เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวก้าวฝีเท้าออกไปหากุมมือนางขึ้นมาสายตาอาลัยอาวรยิ่งนัก “นายหญิง ข้าไปครั้งนี้หลายเดือนท่านดูแลสุขภาพด้วย” เฉียวเวยเวยโอบกอดชายหนุ่มด้วยความรู้สึกรักใคร่ แม้จะไม่มีความสัมพันธ์ทางกายเฉิงเซาก็ถือว่าสนิทชิดเชื้อกันไม่น้อย ยามจะต้องห่างกันหลายเดือนนางเองก็รู้สึกใจหาย “ขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หมิ่งเยี่ยไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นโปรดรักษาชีวิตไว้” “ขอรับนายหญิง ข้าจะจำจดคำสั่งท่า
ตอนที่ 11 ต้องดิ้นรนจะเหลือความใสซื่อได้อย่างไร เฉียวเวยเวยตื่นรู้สึกตัวก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว นางบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ชิงชิงที่รอรับใช้อยู่หน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงขยับก็เอ่ยถาม “นายหญิง ให้บ่าวเข้าไปหรือไม่เจ้าค่ะ” “ฮืม” เสียงแผ่วเบาตอบรับ คนข้างนอกก็เปิดประตูเข้ามา บ่าวแต่ละคนล้วนรู้หน้าที่ของตนเอง บางคนเปิดหน้าต่าง บางคนตรวจดูเตากำยาน เป็นเกลียวคลื่นขยับไปมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฉียวเวยเวย รับผ้าชุบน้ำจากชิงชิงเช็ดใบหน้าด้วยตนเอง เมื่อรู้สึกสดชื่นขึ้นก็เอ่ยถาม “เวลาใดแล้ว” “เรียนนายหญิง ยามเว่ยแล้วเจ้าค่ะ” “หลับไปนานเพียงนี้ ... คุนเล่ออยู่เรือนหรือไม่” “คุณชายคุนตอนนี้อยู่สวนเหมยกุ้ยเจ้าค่ะ” เฉียวเวยเวยล้างหน้าล้างตา เกล้าผมครึ่งหัวปักปิ่นหยกเรียบง่าย นางมองดูใบหน้าเนียนละออของตนเองในกระจก ยิ่งดูยิ่งชื่นชอบ มีโอกาสกลับมามีผิวพรรณอ่อนเยาว์เช่นนี้ หากจะแต่งหน้าแต่งตาทาแป้งหนาเตอะย่อมผิดต่อผิวหยก นางกลับแปลกใจเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์เหตุใดชอบแต่งหน้าเกิดวัย พว
ตอนที่ 12 ถนัดใช้เงินแก้ปัญหา โรงหมอตระกูลอัน โรงหมอวันนี้มีคนไม่มาก ฉีซาตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง เขาหวังว่าสักวันความพยายามของเขาต้องได้ผล ในขณะที่กำลังเช็ดถูขวดโถยา ก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์หมดจดบุคลิคสง่างามผู้หนึ่งเดินเข้ามา หลงจู๊มองเห็นผู้มาเยือนก็รีบกุลีกุจอออกไปต้อนรับ “คุณชายสาม วันนี้เหตุใดมาที่นี่ได้ขอรับ” เสียงหลงจู๊เอ่ยถามอย่างนอบน้อมท่าทางประจบสอพอ “วันนี้ท่านแม่ให้ข้ามาฝึกฝนตนที่นี่” “ท่านหมออันหง อยู่ข้างในข้าจะนำทางท่านไปเองขอรับ” “ฮืม รบกวนเจ้าด้วย” “หาไม่ขอรับ เชิญคุณชายสามตามข้ามา” ฉีซามองตามคุณชายสามพร้อมบ่าวรับใช้ข้างกาย เดินเข้าไปยังห้องตรวจอย่างง่ายดาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเดินเข้าไปข้างหลังร้าน เดินอ้อมไปเพื่อหวังจะแอบฟัง “คุณชายสาม ท่านไม่จำเป็นต้องมาที่นี่” ชายชราเอ่ยกับหลานชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีเมตตา “ท่านลุงข้าเรียนมาเยอะแล้ว อยากจะฝึกฝนตนให้เชี่ยวชาญในเร็ววันขอรับ” “ผู้คนต่างยกย่องกล่าวขานว่าคุณชายฉลาดปราดเปรื่องตั้
ตอนที่ 13 แต่งเข้าเรือนหลังของนายหญิงเวย “ถนัดใช้เงินแก้ปัญหา” ใครบ้างที่ไม่อยากจะใช้เงินแก้ปัญหา ฉีซาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาทำให้ไม่นานเขาก็เผลอหลับไป ฉีซาหลับสนิทตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาแตะปลายจมูก ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัว เมื่อค่อย ๆ ลืมตาก็เห็นบ่าวคนหนึ่งกำลังเปิดหน้าต่างรับอากาศสดใสยามอรุณ บ่าวคนนั้นเห็นเด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นจึงตกใจรีบพูด “คุณชายข้าขออภัย ข้าไม่ตั้งใจรบกวนท่าน” เขาตกใจรีบคุกเข่า “ไม่เป็นไร เช้าแล้วข้าก็ควรตื่นแล้วได้” เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ฉีซาไม่คิดจะเอาผิดใคร เขาปรายสายตามองไปรอบ ๆ แสงแดดส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างมันกระทบผ้าม่านขลิบทองทอประกายอบอุ่น เรื่องเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน ตอนนี้ยังเช้าอยู่โรงหมอยังไม่เปิดให้บริการ มีเพียงบ่าวไพร่ที่เก็บกวาดทำความสะอาด ฉีซาก้าวเดินออกสำรวจโรงหมออย่างสนใจ โดยที่เขาก็ไม่ทันสังเกตหาได้มีใครขัดขวางเขา ฉีซาเดินไปรอบ ๆ พลันรู้สึกว่า ห้องหับของโรงหมอแห่งนี้แตกต่างจาก
ตอนที่ 14 เผ็ดร้อนหรือละมุนกลมกล่อม เช้าวันต่อมา ฉีซาก็ไปยืนอยู่ประตูคฤหาสน์ตระกูลเวย คล้ายกับตงหยางเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่เขาได้ลงนามเป็นบุรุษในเรือนก็อยู่ในภวังค์ ดีเพียงนี้ สามารถไถ่ตัวได้ แม้จะยังไม่กระจ่างเหตุใดท่านเผยลู่ไม่เอ่ยบอก อยากรู้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม เขาค่อย ๆ เรียนรู้เข้าใจด้วยตนเองน่าจะลึกซึ้งมากกว่า เด็กหนุ่มใช้เวลาส่วนมากอยู่ในแค่ในห้องของตนเอง แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง มีบ่าวไพร่จำนวนมากแวะเวียนเข้ามา “คุณชายฉี คนจากร้านผ้าเวยชิงมาแล้วเจ้าค่ะ” “คุณชายฉี คนจากห้องครัวมาสอบถามความชอบอาหารของท่านเจ้าค่ะ” “คุณชายฉี คนจากร้านเครื่องเขียนนำเครื่องเขียนมาส่งเจ้าค่ะ” “คุณชายฉี คนจากร้านหนังสือนำหนังสือมาส่งเจ้าค่ะ” ฯลฯ จนกระทั่งมืดค่ำ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แตกต่างจากเดิม ฉีซาจึงเดินไปเปิดประตู บุคคลตรงหน้าก็คือ เด็กหนุ่มตงหยางคนนั้น “พี่ชายข้ามาแนะนำตน ข้าตงหยาง ข้าอยู่ห้องข้าง ๆ กับท่าน” ใบหน้าของเด็กชายระบายเต็
ตอนที่ 19 ดักปลา ดักบุรุษ เช้าวันต่อมาจางผิงก็พาชายวัยชราผู้หนึ่งเข้ามา พวกเขาถือบางอย่างคล้ายกระบุ้งสานเข้ามา 3-4 ชิ้น เฉียวเวยเวยพยักหน้าพอใจรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ข้ายังพอมีฝีมือวาดภาพอยู่บ้าง ทว่ามันยังไม่สำเร็จ “ท่านตา ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าชิ้นไหนจะสามารถดักปลาได้ เราจะนำไปทดสอบให้หมด ชิงชิงช่วยไปดูในครัวว่ามีเศษปลาหรือเศษอาหาร เศษข้าว เหลือบ้างหรือไม่” ชิงชิงรับคำแล้วถอยออกไปเฉียวเวยเวยหันไปสั่งม่านม่านต่อ“เจ้าลองหาตาข่ายหรือผ้าบาง ๆ ให้ข้าสัก 4-5 ผืน...เอ่อ..ขอเชือกด้วยนะ” เมื่อทุกอย่างมาครบ เฉียวเวยเวยกำลังจะจับปลาขึ้นมา จางผิงรีบมาห้าม“นายหญิงท่านสั่งข้าเถอะ” “ข้าจะลองทำสักชิ้น” หญิงสาวใช้ตาข่ายห่อเศษปลาจากนั้นก็นำไปผูกกับฝาปิดด้านบน เมื่อปิดฝาห่อเศษปลาก็จะห้อยลงไปอยู่ตรงกลางกระบุ้งสาน “ข้าเข้าใจแล้วนายหญิง ข้าจะส่วนที่เหลือเอง” จางผิงยื้อแย่งงานของเฉียวเวยเวยมา ม่านม่านสั่งให้คนยกอ่างน้ำเข้ามา หญิงสาวล้างมือพลางมองดูจางผิงเตรียมเหยื่อล่อปลา เมื่อกระบุ้งดักปลาใส่เหยื่อเรียบร้อย นางก็พูดขึ้น“ต่อไปเราจะเอาสิ่งนี้ไปดักปลากัน” จางผิงขมวดคิ้ว“นาย
ตอนที่ 18 จับขึ้นเตียงดีไหมนะ ตงหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ“ข้าอ่านลายมือ พี่ซาไม่ออกขอรับ” “แค่ก แค่ก” ฉีซาสำลักน้ำทันทีใบหน้าแดงกร่ำ เขาอับอายไม่น้อยในใจด่าเสียตงหยางไปหลายคำไอ้เด็กหน้าตาย เสียแรงที่ข้าดีกับเจ้าไม่น้อย เฉียวเวยเวยเกือบสำลักน้ำเช่นกัน โชคดีตอนนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่ในปาก เห็นสีหน้าของฉีซาแล้วก็อยากจะหัวเราะดัง ๆ แต่ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ นางกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเค้นคำพูดสุขุมออกมาได้หนึ่งประโยค“เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาอยู่บ้าง” เห็นนายหญิงเข้าข้าง ตงหยางยิ่งเหมือนได้รับคำสั่งให้พูดต่อ “เพราะข้าต้องอ่านอาการของคนไข้และจัดหายาให้ตามที่พี่ซาเขียนมาขอรับ บางครั้งลายมือพี่ซาข้าก็อ่านไม่ออกเลย จนได้เลยไปถาม แต่ข้าก็เข้าใจนะขอรับ บางครั้งยามคนป่วยเข้ามาเป็นจำนวนมาก เราก็ต้องรีบเร่งให้...เอ่อ...พี่ซาเรียกว่าอะไรนะ”ตงหยางเอนกายไปกระซิบถามฉีซา โดยไม่สนใจสีหน้าของอีกฝ่าย ฉีซาไม่อาจจะใส่อารมณ์กับเด็กน้อยผู้หนึ่งได้ จึงตอบแบบขอไปที“ทำเวลา”“ใช่แล้ว ขอรับ ทำเวลาหน่อย ทำเวลาให้ดี” “ทำเวลาหรือ คำนี้น่าสนใจสื่อความหมายได้ดี” จางผิงรู้สึกว่าที่หอเวยไฉในช่วงเว
ตอนที่ 17 อ่านลายมือไม่ออก โรงหมอเวยฮุ๋ย ท่านหมอฟางจิบชาเบา ๆ พลางชำเลืองเฝ้ามองลูกศิษย์เด็กหนุ่ม ทั้งสองคนของเขา กำลังช่วยกันตรวจและรักษาคนป่วย เมื่อคนป่วยคนสุดท้ายก่อนพักเที่ยงถูกส่งออกไป ตงหยางกับฉีซาก็พาเดินมาอยู่เบื้องหน้าหมอชรา “ท่านอาจารย์วันนี้พวกข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ตงหยางเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น หมอฟางแววตาอบอุ่นเต็มไปด้วยเมตตา “ฉีซาแม้จะจับชีพจรยังไม่แม่นยำ แต่การตรวจโรคจากการสังเกตอาการทำได้ไม่มีที่ติ ส่วนเจ้าตงหยางวันนี้ทำได้ดีมากเขียนใบสั่งยาได้ถูกต้องตามการรักษาโรค” ตงหยางหันไปสบตากับฉีซา ดวงตาของเขาเบิกกว้างปิติยินดี หมอฟางยิ้มที่มุมปากบาง ๆ เอ่ยต่อ “แต่ว่า...การตั้งใจฝึกฝนย่อมเป็นเรื่องดี แต่กระนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจสุขภาพของตนเอง...ตงหยางอย่าหักโหมจนเกินไป” ตงหยางโค้งหัวลง “ท่านอาจารย์ ความจริงข้าก็อยากจะนอนขอรับ แต่เนื้อหาในตำราวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด ข้าจึงต้องลุกขึ้นมาอ่าน ต่อไปข้าจะระมัดระวังกว่านี้ขอรับ” คำแก้ตัวของตงหยางทำ
ตอนที่ 16 หมอยา “เช่นนั้นเจ้าก็มาลองชิมดู” ฉีเยว่ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกายนางรีบกระโจนออกไป มือเล็ก ๆ หยิบขนมหนึ่งชิ้นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ปากน้อย ๆ กัดกินที่ละน้อยละเมียดกินกลัวจะหมดนางกัดกินไปหลายคำกว่าจะรู้ตัวก็เงยหน้าพูดขึ้น “อร่อยมากเจ้าค่ะ” ตงหยางขัดเขินเล็กน้อย เขาพอเข้าใจเหตุใดเด็กน้อยถึงบอกว่าขนมของเขาอร่อย “เอ่อ...เจ้าชอบก็ดีแล้ว..ถ้างั้นทั้งหมดนี้ข้าให้เจ้า” ตงหยางยืนกล่องขนมทั้งหมดที่อยู่ในถุงออกไป เด็กน้อยดวงตาเบิกกว้างแต่ไม่กล้าจะยืนมือไปรับ ผู้เป็นมารดาไม่แน่ใจคำที่จะกล่าว จึงหันไปหาฉีซา “ฉีเยว่ยังไม่รีบกล่าวขอบคุณอีก” เห็นเด็กสาวกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยมีความสุข ตงหยางก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว ทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวของมัน “ฉีซาวันนี้ลูกต้องรีบกลับหรือเปล่าอยู่ทานมื้อเย็นกับแม่ได้ไหม” สตรีเมื่อตบแต่งออกไปไม่เหมาะที่รั้งอยู่นาน บุรุษก็เช่นกันฉีซาจึงรีบพูดปฏิเสธ “ท่านแม่ข้ายังต้องกลับไปอ่านตำรา หากยังร่ำเรียนไม่สำเร็จย่อมไม่อาจจะเกียจคร้า
ตอนที่ 15 มันไม่อร่อย ยังไม่ทันรุ่งเช้า ฉีซาก็รู้สึกตัวเมื่อลืมตาขึ้นมาม่านหน้าต่างปลิวไสวเบา ๆ เขาชะงักเล็กน้อย ห้องนอนนี้ไม่เหมือนเดิม เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้นรับความสดชื่นในรุ่งอรุณ กลิ่นบุปผานานาพันธ์ลอยลิ่วเข้ามาแตะจมูก เด็กหนุ่มหลับตาซึมซับพลังแห่งธรรมชาติดื่มดำกับบรรยากาศสุนทรีในครั้งแรกของชีวิต “ควรจะเป็นเช่นนี้ ถึงจะมีกำลังในการดำเนินชีวิต” เขาพึมพำกับตนเอง ทว่าเสียงพูดนั้นทำให้คนข้างนอกได้ยิน “คุณชายตื่นแล้วหรือขอรับ เช่นนั้นพวกข้าจะเข้าไปช่วยท่านล้างหน้าล้างตานะขอรับ” ฉีซาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้คนเข้ามา ในขณะที่บ่าวไพร่กำลังช่วยเขาแต่งกาย ทำให้เขาคิดถึงมารดากับน้องสาว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อนายหญิงไม่ได้สั่งห้าม วันนี้เขาจะกลับไปเยี่ยมมารดาสักคราว “คุณชายจะรับอาหารเช้าเลยไหมขอรับ” “ไม่ล่ะ ข้าจะไปทานที่โรงหมอ” ฉีซานั่งอยู่ในรถม้าเหม่อลอยอยู่บ้าง เขาเปิดผ้าม่านมองออกไปข้างหน้า แม้จะยังเช้าอยู่มาก พระอาทิตย์เพียงส่งแสงร่ำไร ทว่าผู้
ตอนที่ 14 เผ็ดร้อนหรือละมุนกลมกล่อม เช้าวันต่อมา ฉีซาก็ไปยืนอยู่ประตูคฤหาสน์ตระกูลเวย คล้ายกับตงหยางเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่เขาได้ลงนามเป็นบุรุษในเรือนก็อยู่ในภวังค์ ดีเพียงนี้ สามารถไถ่ตัวได้ แม้จะยังไม่กระจ่างเหตุใดท่านเผยลู่ไม่เอ่ยบอก อยากรู้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม เขาค่อย ๆ เรียนรู้เข้าใจด้วยตนเองน่าจะลึกซึ้งมากกว่า เด็กหนุ่มใช้เวลาส่วนมากอยู่ในแค่ในห้องของตนเอง แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง มีบ่าวไพร่จำนวนมากแวะเวียนเข้ามา “คุณชายฉี คนจากร้านผ้าเวยชิงมาแล้วเจ้าค่ะ” “คุณชายฉี คนจากห้องครัวมาสอบถามความชอบอาหารของท่านเจ้าค่ะ” “คุณชายฉี คนจากร้านเครื่องเขียนนำเครื่องเขียนมาส่งเจ้าค่ะ” “คุณชายฉี คนจากร้านหนังสือนำหนังสือมาส่งเจ้าค่ะ” ฯลฯ จนกระทั่งมืดค่ำ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แตกต่างจากเดิม ฉีซาจึงเดินไปเปิดประตู บุคคลตรงหน้าก็คือ เด็กหนุ่มตงหยางคนนั้น “พี่ชายข้ามาแนะนำตน ข้าตงหยาง ข้าอยู่ห้องข้าง ๆ กับท่าน” ใบหน้าของเด็กชายระบายเต็
ตอนที่ 13 แต่งเข้าเรือนหลังของนายหญิงเวย “ถนัดใช้เงินแก้ปัญหา” ใครบ้างที่ไม่อยากจะใช้เงินแก้ปัญหา ฉีซาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาทำให้ไม่นานเขาก็เผลอหลับไป ฉีซาหลับสนิทตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาแตะปลายจมูก ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัว เมื่อค่อย ๆ ลืมตาก็เห็นบ่าวคนหนึ่งกำลังเปิดหน้าต่างรับอากาศสดใสยามอรุณ บ่าวคนนั้นเห็นเด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นจึงตกใจรีบพูด “คุณชายข้าขออภัย ข้าไม่ตั้งใจรบกวนท่าน” เขาตกใจรีบคุกเข่า “ไม่เป็นไร เช้าแล้วข้าก็ควรตื่นแล้วได้” เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ฉีซาไม่คิดจะเอาผิดใคร เขาปรายสายตามองไปรอบ ๆ แสงแดดส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างมันกระทบผ้าม่านขลิบทองทอประกายอบอุ่น เรื่องเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน ตอนนี้ยังเช้าอยู่โรงหมอยังไม่เปิดให้บริการ มีเพียงบ่าวไพร่ที่เก็บกวาดทำความสะอาด ฉีซาก้าวเดินออกสำรวจโรงหมออย่างสนใจ โดยที่เขาก็ไม่ทันสังเกตหาได้มีใครขัดขวางเขา ฉีซาเดินไปรอบ ๆ พลันรู้สึกว่า ห้องหับของโรงหมอแห่งนี้แตกต่างจาก
ตอนที่ 12 ถนัดใช้เงินแก้ปัญหา โรงหมอตระกูลอัน โรงหมอวันนี้มีคนไม่มาก ฉีซาตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง เขาหวังว่าสักวันความพยายามของเขาต้องได้ผล ในขณะที่กำลังเช็ดถูขวดโถยา ก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์หมดจดบุคลิคสง่างามผู้หนึ่งเดินเข้ามา หลงจู๊มองเห็นผู้มาเยือนก็รีบกุลีกุจอออกไปต้อนรับ “คุณชายสาม วันนี้เหตุใดมาที่นี่ได้ขอรับ” เสียงหลงจู๊เอ่ยถามอย่างนอบน้อมท่าทางประจบสอพอ “วันนี้ท่านแม่ให้ข้ามาฝึกฝนตนที่นี่” “ท่านหมออันหง อยู่ข้างในข้าจะนำทางท่านไปเองขอรับ” “ฮืม รบกวนเจ้าด้วย” “หาไม่ขอรับ เชิญคุณชายสามตามข้ามา” ฉีซามองตามคุณชายสามพร้อมบ่าวรับใช้ข้างกาย เดินเข้าไปยังห้องตรวจอย่างง่ายดาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเดินเข้าไปข้างหลังร้าน เดินอ้อมไปเพื่อหวังจะแอบฟัง “คุณชายสาม ท่านไม่จำเป็นต้องมาที่นี่” ชายชราเอ่ยกับหลานชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีเมตตา “ท่านลุงข้าเรียนมาเยอะแล้ว อยากจะฝึกฝนตนให้เชี่ยวชาญในเร็ววันขอรับ” “ผู้คนต่างยกย่องกล่าวขานว่าคุณชายฉลาดปราดเปรื่องตั้
ตอนที่ 11 ต้องดิ้นรนจะเหลือความใสซื่อได้อย่างไร เฉียวเวยเวยตื่นรู้สึกตัวก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว นางบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ชิงชิงที่รอรับใช้อยู่หน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงขยับก็เอ่ยถาม “นายหญิง ให้บ่าวเข้าไปหรือไม่เจ้าค่ะ” “ฮืม” เสียงแผ่วเบาตอบรับ คนข้างนอกก็เปิดประตูเข้ามา บ่าวแต่ละคนล้วนรู้หน้าที่ของตนเอง บางคนเปิดหน้าต่าง บางคนตรวจดูเตากำยาน เป็นเกลียวคลื่นขยับไปมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฉียวเวยเวย รับผ้าชุบน้ำจากชิงชิงเช็ดใบหน้าด้วยตนเอง เมื่อรู้สึกสดชื่นขึ้นก็เอ่ยถาม “เวลาใดแล้ว” “เรียนนายหญิง ยามเว่ยแล้วเจ้าค่ะ” “หลับไปนานเพียงนี้ ... คุนเล่ออยู่เรือนหรือไม่” “คุณชายคุนตอนนี้อยู่สวนเหมยกุ้ยเจ้าค่ะ” เฉียวเวยเวยล้างหน้าล้างตา เกล้าผมครึ่งหัวปักปิ่นหยกเรียบง่าย นางมองดูใบหน้าเนียนละออของตนเองในกระจก ยิ่งดูยิ่งชื่นชอบ มีโอกาสกลับมามีผิวพรรณอ่อนเยาว์เช่นนี้ หากจะแต่งหน้าแต่งตาทาแป้งหนาเตอะย่อมผิดต่อผิวหยก นางกลับแปลกใจเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์เหตุใดชอบแต่งหน้าเกิดวัย พว