ณ กระท่อมโทรม ๆ หลังหนึ่งที่อยู่ท้ายจวนขนาดใหญ่ มีร่างของหญิงสาวที่ชื่อว่ามู่หลินหว่านนอนคว่ำหน้าอย่างอ่อนแรง เพราะอาการบาดเจ็บจากการถูกลงโทษโบยถึงสิบไม้ จนแผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยเลือดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตอบ ๆ พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องความอัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถบอกกล่าวกับผู้ใดได้ ทั้งที่เป็นถึงบุตรสาวของฮูหยินเอกแห่งจวนเสนาบดี เป็นคุณหนูรองที่อยู่อย่างสุขสบายได้เพียงแค่สามปี มารดามาด่วนจากไปโดยไม่ทันได้ร่ำลาอันใดต่อกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามู่หลินหว่านถูกคนในจวนลืมเลือน ที่ซุกหัวนอนจากห้องกว้างขวางสวยงามกลับกลายเป็นกระท่อมแคบ ๆ ไม่มีอะไรสะดวกสบาย ถูกเรียกตัวไปรับใช้คุณหนูคุณชายคนอื่น ๆ ทำงานไม่ดีก็ถูกทุบตี แม้แต่บ่าวไพร่ก็ยังรังแกกลั่นแกล้งสารพัด
เมื่อเติบโตเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น จึงได้รู้ว่าบิดาของตนไม่เคยรักในตัวของมารดาสักนิด เขาร่วมมือกับสตรีที่รักเพื่อหวังแต่งงานกับมารดา เพราะสมบัติเงินทองที่ท่านตาท่านยายทิ้งไว้ให้มารดาเท่านั้น และในครั้งนี้ที่มู่หลินหว่านถูกลงโทษโบยมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากถูกมู่จือหย่ากล่าวหาว่านางขโมยปิ่นปักผมที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ด้วยการให้สาวใช้อย่างฮุ่ยเหมยนำมันไปซ่อนไว้ในกระท่อม มู่หลินหว่านนอนซมไม่มีใครนำทั้งยาหรืออาหารมามอบให้นางแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าต้องการให้นางตายไปเสียได้ก็ดี ด้วยเหตุนี้ร่างกายที่ซูบผอมจึงทนกับอาการบาดเจ็บไม่ไหว ถึงกับละเมอเพ้อหาผู้เป็นมารดาที่จากไปนานว่าตนเองนั้นจะได้พบเจอกับมารดาแล้ว
“ทะ ทะ ท่านแม่ในที่สุดท่านก็มารับหว่านเออร์ไปอยู่กับท่านแล้วสินะ ฮึก หะ หะ เหตุใดถึงได้มารับหว่านเออร์ช้านักเล่า ท่านปล่อยให้หว่านเออร์ต้องทรมานอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ฮึก”
“หว่านเออร์ลูกแม่”
“ตะ ตะ แต่ตอนนี้หว่านเออร์กับท่านแม่จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว ต่อไปไม่ต้องทนกับคนชั่วในจวนหลังนี้อีกละ..”
“ครืน ๆ ๆ ฟิ้ว ๆ ๆ เปรี้ยง ๆ ๆ”
เพียงแค่มู่หลินหว่านหมดลมหายใจไม่ถึงหนึ่งจิบชา เสียงดังจากบนท้องฟ้าก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันทีทันใด ทำเอาผู้คนในจวนไม่กล้าออกจากเรือนของตนกันแม้แต่คนเดียว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกระท่อมผุพังนั้น กลับปรากฏเรื่องน่าอัศจรรย์ ร่างของมู่หลินหว่านกลับมาหายใจอีกครั้งแต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับไม่ใช่มู่หลินหว่านคนเดิม
“เฮือก!! โอย ไอ้พวกกากเดนสังคมทำไมมันไม่ยิ่งให้แม่นตั้งแต่นัดแรกวะ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดก่อนจะโดนยิงซ้ำตายอีกรอบเนี่ย อูย ว่าแต่ทำไมมันเจ็บที่หลังแทนที่ขากับหัวกันล่ะ ไม่มี!! ที่หัวไม่มีรูถูกยิงด้วยปืนที่ขาก็ไม่มีอีกเหมือนกัน แล้วตกลงที่นี่ไม่ใช่ที่ไร่ของไอ้จอมเหรอ เอ๊ะ!! ตอนที่สติจะดับวูบไปเหมือนจะได้ยินเสียงใครสักคน ตอบรับคำขอที่ว่าอยากมาอยู่ในซีรี่ย์จีนหรือว่าจะมีเทพเทวดาส่งไอ้จอมมาตามคำขอจริง ๆ”
ขณะที่เจ้าจอมกำลังทบทวนความทรงจำก่อนตาย จู่ ๆ ก็มีภาพเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนปวดหัวตาลายอยากจะอาเจียนมันออกมา
“ที่แท้ก็ส่งไอ้จอมมาอยู่ในร่างของคนถูกรังแกนี่เอง พวกคนใช้ในจวนว่าชั่วแล้วแต่พ่อของร่างนี้ชั่วยิ่งกว่า มู่หลินหว่านหากวิญญาณของเธอรับรู้ถึงการมีอยู่ของฉัน จงจากไปอย่างหมดห่วงและปล่อยวางเรื่องทุกอย่างซะ ส่วนความอัดอั้นตันใจกับความทุกข์ของเธอที่ผ่านมานั้น ฉันเจ้าจอมลูกสาวกำนันจงผู้นี้จะเอาคืนพวกมันให้เธอเอง ก่อนจะออกจากจวนแห่งนี้ฉันอาจจะสั่งสอนพวกมันได้ไม่มาก แต่ได้โปรดเชื่อใจฉันเถอะเมื่อใดที่ออกไปจากที่นี่ได้ และฉันสามารถสร้างกิจการจนมีเส้นสายที่ใหญ่กว่าพ่อของเธอ รับรองได้เลยว่าวันที่คนตระกูลมู่จะต้องมีชีวิตที่ตกต่ำ กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านร้านตลาดไปทั่วแคว้น รวมถึงต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำกับเธออย่างสาสมอยู่ไม่สู้ตายเท่านั้น ฉันจะมอบให้คนอย่างพวกมันที่รังแกเธอกับแม่ เป็นกำลังใจให้ฉันด้วยก็แล้วกันนะมู่หลินหว่าน” เจ้าจอมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของ
มู่หลินหว่าน ก็แทบจะทนไม่ไหวอยากจะเอาคืนคนพวกนั้น เพียงแต่ร่างการยังไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก หลังจากนี้ต้องบำรุงร่างกายฟื้นคืนกำลังเสียแล้ว‘วูบ..ขอบคุณท่านมาก’
“เฮ้อ ร่างกายไม่มีแรงเอาซะเลยสาวน้อยคนนี้ ท่านเทพเทวดาผู้ที่พาฉัน เอ๊ย ข้ามายังที่แห่งนี้หากท่านมีอยู่จริงแล้วละก็ ได้โปรดเมตตาช่วยรักษาแผลที่หลังให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะต้องตายซ้ำอีกรอบก็ได้เจ้าค่ะ”
“............”
“ว่าแล้วเชียวที่แท้พวกเทพอะไรเนี่ยไม่มีอยู่จริง ก็แค่เรื่องโกหกที่แต่งขึ้นให้คนจินตนาการก็เท่านั้น หรือว่าท่านเทพจะขี้เกียจทำงานเหมือนพวกดองงานไรงี้หากเป็นเช่นนี้ต้องร้องเรียนไปยังเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว เฮ้ โยว่ ท่านเง็กเซียนผู้ปกครองสวรรค์ท่านรู้หรือไม่ว่ามีเทพเทวดาที่อยู่ใต้อาณัติของท่านกำลังขี้เกียจทำงานอยู่นะ อย่าลืมไปตรวจสอบเทพเหล่านั้นด้วยนะเจ้าคะ”
“วูบบบบบ...!!”
“เอ๊ะ!! จู่ ๆ ก็เหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บที่หลังหรือที่อื่นอีก ทั้งแผลเก่าแผลใหม่สงสัยท่านเทพคงจะกลัวเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษเป็นแน่ ฮ่า ๆ ๆ ต้องแบบนี้ท่านเทพทำงานรวดเร็วมากไว้วันหน้า หากข้าสามารถห้าซื้อที่ดินผืนใหญ่ได้และสร้างบ้านสวนได้สำเร็จ พวกท่านค่อยลงมาเที่ยวพักผ่อนที่บ้านสวนของข้าได้เสมอนะเจ้าคะ สาธุ” เจ้าจอมพูดจบก็ยกมือไหว้ขึ้นเหนือหัว
‘นี่ ๆ ๆ เจ้าดูนางสิเห็นหรือไม่ข้าเตือนแล้วนะว่าอย่าส่งนางไปโลกอื่น แล้วเป็นอย่างไรล่ะทีนี้ปากกล้ายิ่งนักความเป็นกุลสตรีคุณหนูในห้องหออยู่ตรงไหน ท่าทางเช่นนี้คนเขาเรียกว่ารนหาที่เจ็บตัวชัด ๆ ถึงนางจะเป็นลูกของเจ้าก็เถอะหากยังมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่เกรงใจกับการสั่งสอนนางเป็นแน่ ฮึ ไปดีกว่า’
‘แล้วนางมิใช้หลานรักของเจ้ารึเทพจันทรา แต่ข้าว่านางเป็นเช่นนี้ออกจะน่ารักน่าชังมากกว่านะ ฮ่า ๆ ๆ’
หลังจากข่มขู่ขอให้เทพเทวดาช่วยรักษาบาดแผลที่หลัง เจ้าจอมที่อยู่ในร่างของมู่หลินหว่านก็เริ่มสำรวจกระท่อมน้อย ๆ ว่าพอจะมีอะไรให้กินรองท้องได้บ้าง แต่ทว่าเดินหาอยู่สักพักมีเพียงน้ำเปล่าเย็นชืดเท่านั้น รวมถึงชุดเก่า ๆ ที่มีร่องรอยของการปะชุนอยู่เต็มไปหมด เจ้าจอมได้แต่ถอนหายใจให้กับความลำบากนี้ของมู่หลินหว่านแล้วจริง ๆ ดั่งสวรรค์ต้องการทดสอบว่าการรักษาของตนดีมากเพียงใด เพราะด้านนอกกระท่อมยามนี้มีเสียงเรียกจากฮุ่ยเหมย ผู้เป็นสาวใช้
คนสนิทของมู่จือหย่ามาตามนางไปปรนนิบัติรับใช้ แต่คนอย่างไอ้เจ้าจอมจะยอมให้ถูกรังแกได้อย่างไร งานนี้มันต้องสำแดงเดชกันบ้างเอาคืนเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นน้ำจิ้มไปก่อนก็แล้วกัน“ปัง ๆ ๆ นังหลินหว่านออกมาเดี๋ยวนี้คุณหนู่ใหญ่เรียกหาเจ้า แอบอู้อยู่หลายวันเกินไปแล้วนะเปิดประตูออกมา อย่าให้ข้าต้องใช้ไม้แข็งบุกเข้าไปตามถึงด้านในนะนังหลินหว่าน”
“แอ๊ด กึก เป็นอะไรแหกปากเสียงดังอยู่ได้มันน่ารำคาญนะ เจ้าเข้าใจคำว่าน่ารำคาญป่ะกินนกหวีดเป็นอาหารหรือไง เสียงถึงได้แหลมบาดหูขนาดนี้เรียกปกติเคาะประตูอย่างมีมารยาทน่ะ ทำเป็นไหมหรือทำเป็นแต่ไม่อยากทำงั้นสิ ยัง ๆ จะมองหน้าอีกข้าถามไม่ได้ยินหรือไง คำว่ามารยาทรู้จักมะเจ้านายไม่สั่งสอนเลยเหรอนังฮุ่ยเหมย”
“.........!!??”
“อ้าว ยังจะเงียบอีกถามไม่ตอบจะเงียบอีกนานไหมนังฮุ่ยเหมย ถ้าจะเงียบก็ดีข้าจะได้กลับไปนอนพักต่อ อย่าลืมปิดประตูให้ด้วยล่ะแต่อย่าปิดแรงเดี๋ยวมันจะพังเข้าใจแล้วนะ” มู่หลินหว่านคนใหม่พูดน้ำไหลไฟดับ จนฮุ่ยเหมยยังคงอึ้งกับท่าทางแปลก ๆ เหล่านี้
“จะ จะ เจ้าคือนังหลินหว่านจริง ๆ น่ะหรือเหตุใดถึงได้ไม่เหมือนเดิม เพราะถูกโบยจนสติเลอะเลือนไปแล้วการพูดจาการจาก็ดูแปลก ๆ ฟังไม่รู้เรื่องนกอะไรของเจ้าร้องหวีด ๆ ไม่มีนกตัวไหนส่งเสียงร้องเช่นนั้นหรอกนะ”
“เจ้าไม่รู้จัก อ้อ ไม่เป็นไรเอาเป็นว่าข้ารู้จักดีก็แล้วกัน ว่าธุระของเจ้ามาข้าไม่ว่างมายืนคุยกับบ่าวไม่มีมารยาทเช่นเจ้า”
“ฮึ ได้นอนพักหลายวันเข้าหน่อยทำปีกกล้าขาแข็ง พูดจาดั่งแม่ค้ากลางตลาดก่อนหน้านี้เหตุใดไม่ปากเก่งเช่นตอนนี้เล่า เอาเป็นว่าเจ้ารีบตามข้าไปพบคุณใหญ่ที่เรือนโดยเร็ว เพราะคุณหนูใหญ่มีงานสำคัญรอให้เจ้าไปทำรีบตามมาได้แล้ว เสียเวลาของข้าไปมากถ้าเจ้ายังไม่ยอมขยับเท้าละก็จะโดนอะไรย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจนะ”
“อ้อ หากข้าไม่ยอมทำตามที่เจ้าบอกมาข้าจะต้องเจ็บตัวสินะ แล้วเจ้าเคยเจ็บแบบข้าสักครั้งหรือยัง ถ้าข้าไม่ก้าวเท้าตามเจ้าไปในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นอกจากจะโดนเจ้าทุบตีเป็นคนแรกเช่นทุกครั้ง”
“นังหลินหว่าน!! อย่ามาต่อปากต่อคำให้มากนักจะได้ไหม พอหายเจ็บก็ปากเก่งกว่าเดิมเชียวนะ แม่ของเจ้ายังไม่กล้าแม้จะต่อล้อต่อเถียงกับข้าเลยได้เจ้าจะยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้นใช่ไหมได้เลยเจ้าอยากเจ็บตัวเพิ่ม ข้าฮุ่ยเหมยยินดีอย่างมากจะสนองให้เจ้าอะ..”
“เพี๊ยะ!! โอ้ย เพี๊ยะ!! โอ้ย หมับ โป๊ก!! โป๊ก!!”
“ข้าบอกว่าอย่างไรที่พูดออกไปมันไม่เข้าหูของเจ้าเลยรึ ห๊ะ!! ชอบรังแกคนอ่อนแอดีนักใช่ไหมวันนี้หากไม่สั่งสอนซะบ้าง เจ้าคงจะลืมตัวไปอีกนานว่าเจ้าคือสาวใช้ไม่ใช่เจ้านายของจวนนี้ โป๊ก!! เพราะข้าคือคุณหนูรองมู่หลินหว่านที่เป็นเจ้านาย สาวใช้เช่นเจ้ากล้าดียังไงมาออกคำสั่งจิกหัวใช้ข้า” มู่หลินหว่านทั้งตบทั้งจับหัวของฮุ่ยเหมยโขกกับขอบประตูกระท่อม
“กรี๊ดดด ปล่อยข้านะอย่าทำอีกเลยข้าเจ็บแล้ว โอ๊ย หัวของข้าปูดบวมถึงเพียงนี้แล้วหยุดมือซะที”
“หึ ทำไมยามที่ข้าร้องขอความเมตตาจากเจ้าล่ะ เคยมอบมันให้ข้าบ้างหรือไม่เคยคิดจะหยุดมือที่ทำร้ายข้าบ้างไหม ไม่เคยมีทั้งเจ้านายทั้งบ่าวสารเลวเหมือนกันหมด ก่อนที่เจ้าจะกลับไปรายงานกับมู่จือหย่าเจ้าต้องไปหาข้าวมาให้ข้ากินซะดี ๆ”
“เพ้ย!! เจ้ากล้าขู่ข้างั้นหรือนังหลินหว่าน สตรีที่โง่ไม่รู้ความเช่นเจ้าคิดจะสังหารข้ามันไม่ง่ายหรอกนะ..”
“งั้นหรือไม่โดนเพิ่มอีกสักทีสองทีคงจะไม่ดีขึ้น เช่นนั้นข้าจะช่วยทำให้เจ้าจดจำข้ามู่หลินหว่านไปตลอดชีวิต”
“ผั๊วะ! ผั๊วะ! อ๊ะ โอ๊ย ตุบ ตุบ อั่ก ปึก! ปึก! อ่ะ แค่ก ๆ ๆ”
“ยะ ยะ ยอมแล้วข้ายอมทำตามที่เจ้าบอก ได้โปรดหยุดมือของเจ้าเถิดข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” ฮุ่ยเหมยถูกเจ้าจอมที่อยู่ในร่างของมู่หลินหว่าน ตบตีโดยใช้ทั้งมือและเท้าจนสภาพของฮุ่ยเหมยต่างกับตอนมาที่กระท่อมลิบลับ
“ผลัก! ยอมทำตามตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวถึงเพียงนี้ รีบไปเอาอาหารมาให้ข้าได้แล้วอย่าได้ชักช้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะเปลี่ยนใจฝังเจ้าไว้ที่นี่แทน ส่วนคำแก้ตัวที่ข้าไม่ยอมไปเจ้าก็หาทางออกเอาเอง”
“ปะ ปะ ไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะท่านรอไม่นานข้าจะรีบกลับมา อูย”
ฮุ่ยเหมยไม่กล้าสบตากับมู่หลินหว่านอีก นางก้มหน้าวิ่งออกไป เพื่อทำตามที่ถูกข่มขู่ไว้อาหารบำรุงหลายอย่าง ที่วางอยู่บนถาดฮุ่ยเหมยยกไปยังกระท่อมเก่า ๆ อย่างรวดเร็ว นางไม่คิดไม่ฝันว่ามู่หลินหว่านจะเปลี่ยนไปได้เพียงนี้หลังจากถูกโบย สายตาที่มองมาน่ากลัวมากกว่ายามเจ้านายของตนโกรธเสียอีก แต่ฮุ่ยเหมยก็ต้องเจ็บตัวอีกครั้งเพราะตามมู่หลินหว่านไปไม่ได้ ทำให้มู่จือหย่าเสียเวลารออยู่ในเรือนตั้งนานสองนาน จนเกือบทำให้คู่หมั้นที่ตนอุตส่าห์แย่งมาจากมู่หลินหว่านได้ ไม่อยากรอจวนเจียนจะกลับจวนอยู่แล้วมู่จือหย่าถึงได้ออกมาพบ และกล่าวขออภัยกันอยู่ยกใหญ่ฝ่ายบุรุษจึงยอมยกโทษให้ เมื่อรู้ว่าที่มู่จือหย่าออกมาพบตนเองช้าเป็นเพราะถูกมู่หลินหว่าน คอยกลั่นแกล้งขัดขวางนางเอาไว้ไม่ยอมให้มาพบกับคู่หมั้น เพื่อสร้างความเกลียดชังในตัวของมู่หลินหว่านเพิ่มขึ้นไปอีก
“นังหลินหว่านมาได้เสียทีรีบมาช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า ป่านนี้คุณชายเฉินคงมานั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขกนานแล้ว หากยังชักช้าอยู่อีกข้าจะสั่งให้คนโบยเจ้าเพิ่ม” มู่จือหย่าได้ยินเพียงเสียงเปิดประตูเรือน มิได้หันไปมองว่าคนที่มาใช่มู่หลินหว่านหรือไม่ จนกระทั่งมีเสียงตอบกลับมาถึงได้รู้ว่าเป็นฮุ่ยเหมยแทน
“คะ คะ คุณหนูบ่าวฮุ่ยเหมยเองเจ้าค่ะ ขออภัยคุณหนูที่ปล่อยให้ท่านต้องรอนานเช่นนี้ แต่ว่าบ่าวไม่สามารถพาตัวนังหลินหว่านมาได้ มิหนำซ้ำยังถูกนางทุบตีจนมีสภาพอย่างที่คุณหนูเห็นเจ้าค่ะ อูย เจ็บ”
“ฮุ่ยเหมย!! ฮึ่ย เพี๊ยะ!! โอ๊ย เพี๊ยะ!! โอ๊ย”
“ไร้ประโยชน์แค่กาฝากคนเดียวก็จัดการไม่ได้ แล้วจะให้เจ้าคอยอยู่ดูแลข้างกายข้าได้อย่างไร”
“คุณหนู ๆ ยามนี้อย่าเพิ่งลงโทษบ่าวเลยนะเจ้าคะ ท่านควรแต่งตัวให้งดงามและออกไปพบคุณชายเฉินเสียก่อน หากยังไม่ยอมออกไปบ่าวเกรงว่าคุณชายเฉินจะกลับจวน แทนที่คุณหนูจะได้ออกไปเดินเล่นให้สตรีด้านนอกอิจฉาท่านได้นะเจ้าคะ” ฮุ่ยเหมยรีบขัดอารมณ์โมโหของมู่จือหย่าไว้ด้วยชื่อของเฉินเยี่ยนหมิง
“หึ ถือว่าเจ้ารอดตัวไปก็แล้วกันรีบมาช่วยข้าแต่งตัว คราวหน้าหากยังทำงานไม่ได้เรื่องเช่นนี้อีก เจ้าจะถูกขายออกไปจากจวนหลังนี้อย่างถาวร” มู่จือหย่าพยายามอย่างมากกับการระงับความโกรธที่มี เพื่อปรับเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเรียบร้อยอ่อนหวาน สำหรับเรียกร้องความสนใจจากบุรุษที่ตนหลงใหลมาตั้งแต่เยาว์วัย
“มู่หลินหว่านท่านพ่อและท่านแม่แย่งทุกอย่างจากมารดาเจ้าได้ ตัวข้าก็แย่งบุรุษที่ควรเป็นของเจ้ามาอยู่ข้างกายของข้า คนไร้ค่าเช่นเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินขุนนางชั้นสูง”
มู่หลินหว่านไม่สนว่าผู้ใดจะนัดเจอกันไม่ว่าจะเป็นที่จวนหรือที่ไหนก็ช่าง ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทานอาหารให้อิ่มท้อง และนอนพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงโดยเร็วเท่านั้น เพื่อหาหนทางออกไปจากตระกูลที่น่ารังเกียจแห่งนี้ ด้านของมู่จือหย่าที่รีบแต่งตัวออกมาพบคู่หมั้นหนุ่มอนาคตไกล ที่พยายามให้มารดาแย่งมาจากน้องสาวอย่างมู่หลินหว่านได้ นางรีบขอโทษขอโพยต่อเฉินเยี่ยนหมิงเป็นการใหญ่ โดยกล่าววาจาใส่ร้ายว่าถูกน้องสาวคนรองกลั้นแกล้ง ทำชุดที่เพิ่งได้รับจากร้านตัดเสื้อเปรอะเปื้อน ทั้งที่ตั้งใจจะสวมใส่เพื่อออกไปด้านนอกในวันนี้“หย่าเออร์ขออภัยคุณชายเฉินจริง ๆ เจ้าค่ะที่ออกมาพบล่าช้าจนทำให้คุณชายเสียเวลานั่งรออยู่ตั้งนาน” มู่จือหย่ามาถึงก็เริ่มเสแสร้งเป็นผู้ถูกกระทำทันที“ไม่เป็นไรคุณหนูใหญ่มู่ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นานเช่นกัน ว่าแต่เหตุใดถึงไม่สวมชุดใหม่ที่เจ้าบอกเอาไว้เล่า มิใช่ว่าที่ร้านได้นำมันมาส่งให้ที่จวนแล้วรึ”“เอ่อ คือว่าชุดที่หย่าเออร์ตั้งใจจะสวมวันนี้ ถูกน้องรองทำมันเปรอะเปื้อนตอนที่นำไปซักเจ้าค่ะ หย่าเออร์ไม่แน่ใจว่านางไม่ได้ตั้งใจหรือแค่อยากกลั่นแกล้งกันแน่ ไม่กี่วันก่อนก็แอบขโมยปิ่นปั
มู่หลินหว่านใช้เวลาอยู่ในมิติพักใหญ่ถึงได้กลับออกมา และหยุดฟังเสียงโดยรอบกระท่อมหลังเล็กอยู่สักพัก เมื่อไม่มีเสียงของใครจึงวางใจได้ว่าวันนี้คงไม่เกิดเรื่องเช่นเมื่อเช้าอีก คืนนี้มู่หลินหว่านย่อมได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียที แต่ในยามเช้าก่อนเวลาอาหารนางต้องไปที่ห้องครัวเสียหน่อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน ทั้งที่ถูกทำโทษหนักและไม่ได้ทานข้าวหรือยาแม้แต่น้อย จนพวกบ่าวไพร่บางคนยังคิดว่ามู่หลินหว่านตายอยู่ในกระท่อมหลังเล็กไปแล้ว แต่ที่นางยังไม่รู้ก็คือพวกบ่าวไพร่ที่ห้องครัวรอหาเรื่องนางอยู่ต่างหาก คืนแรกของการได้เข้ามาใช้ชีวิตในยุคโบราณที่ตนชื่นชอบเช่นนี้ ไม่มีอะไรทำให้นางหนักใจขอเพียงหลังจากนี้บำรุงตนเองให้มากเข้าไว้ ร่างกายย่อมกลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววันอย่างแน่นอน ต้นยามเหม่ามู่หลินหว่านตื่นล้างหน้าแปรงฟันในห้องนอนของตนในมิติ หลังจากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวตามความทรงจำของร่างเดิม เมื่อมาถึงก็ถูกมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างมาก แต่แล้วอย่างไรใครสนใจกันเพราะนางมาหาของกิน ไม่ได้มาหาเรื่องใครเสียหน่อยถึงจะเป็นเช่นนั้น ใช่ว่าเรื่องจะไม่วิ่งเข้าม
หลังจากได้รับอิสระพร้อมหนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือของตนแล้ว มู่หลินหว่านเดินออกจากจวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ชุดที่สวมใส่จะเก่าจนมองไม่ออกว่ามันคือสีอะไร และแทบทั้งตัวยังมีร่อยรอยของการปะชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มนั้นจางหายไปได้ ยิ่งเดินมาได้ครึ่งทางมู่หลินหว่านได้ยินเสี่ยวลวี่พูดขึ้น เกี่ยวกับเงินในห้องเก็บสมบัติที่เพิ่งจะเก็บกวาดมาได้“นายหญิงเจ้าคะสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือไปร้านขายเสื้อผ้าเจ้าค่ะ เพราะชุดที่ท่านใส่ในตอนนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง”“หือ เสี่ยวลวี่หรอกหรือเจ้าหายไปไหนมาเห็นเงียบไปเสียนาน ข้าลองเรียกดูก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าเลย”“เสี่ยวลวี่ไปจัดการเรื่องห้องเก็บสมบัติให้ท่านอย่างไรเล่า ยามนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”“งั้นแสดงว่าตอนนี้หากข้าต้องการซื้อสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะถูกหรือแพงใช่ไหมเสี่ยวลวี่”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิงท่านเลือกเสือผ้าชุดสวย ๆ มาหลาย ๆ ชุดเลยนะเจ้าคะ จากนั้นไปหาที่หารถม้าสำหรับเดินทางไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ว่าแต่นายหญิงจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”“อืม ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเว่ยแห่งนี้
โจวหลินหว่านและบ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคน ออกเดินทางด้วยรถม้าทำให้สะดวกสบายกว่านั่งเกวียนวัวหลายเท่า พวกเขาทั้งสามคนไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นการสำรวจตามเมืองต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่าน รวมถึงแวะซื้อเสบียงอาหารเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อป้องกันยามที่ต้องพักค้างแรมตามป่าเขาที่ไม่มีโรงเตี๊ยม ระหว่างนั่งรถม้าน่าซือได้เล่าถึงตระกูลของมารดา ที่ยามนี้ต่างแยกย้ายกระจัดการกระจายไปคนละทิศละทาง ภายหลังท่านตาท่านยายเสียชีวิตก็มีการแบ่งสมบัติ โดยท่านแม่ได้มากกว่าพี่ชายและน้องสาวคนอื่น ๆ เนื่องจากท่านแม่ช่วยครอบครัวทำงานมากกว่าจึงได้สมบัติเยอะ ด้วยเหตุนี้มู่อวี่เฉินจึงพยายามตามเกี้ยวพามารดาของนาง จนได้แต่งงานและใช้เงินทองในการสอบขุนนางอยู่หลายครั้งกว่าจะผ่านได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับกลายเป็นคนทรยศหักหลังไปเสียได้ โจวหลินหว่านไม่อยากให้บ่าวทั้งสองคิดถึงอดีตอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะนางไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับคนเลวเช่นนั้น“ท่านอาน่าซืออย่าได้ยึดติดกับเรื่องในอดีตอีกเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเราจะพาท่านแม่ไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ข้าจะหาซื้อที่ดินสวย ๆ อยู่ติดเชิงเขาจะแบ่งส่วนหนึ่งทำสุสานให้กับท่านแ
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
และในที่สุดวันที่หวังซินหยางรอคอยก็มาถึงเสียที ทุกคนตื่นขึ้นมาช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีการตรวจดูความเรียบร้อย ตลอดจนหีบสินสอดมากมายที่นำมาวางให้แขกได้เห็นว่าเจ้าบ่าวให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมากเพียงใด ด้านในห้องนอนของหลินหว่านมีน่าซือและฟางจือฉิงช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าสาว ด้วยการใช้สมุนไพรเนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จมาให้ เช่น ใบไผ่ ดอกบัว หรือดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม จากนั้นชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นทองด้วยลวดลายที่สวยงามก็ถูกสวมใส่บนเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของหลินหว่าน เครื่องหัวเป็นรูปทรงดอกบัวและมีปิ่นปักผมรูปนกยูงหลังจากแต่งตัวเสร็จ หลินหว่านมีหน้าที่นั่งรอเจ้าบ่าวมารับตัวและใช้พัดปิดบังใบหน้าเอาไว้เมื่อได้เวลาเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของหลินหว่านเริ่มเต้นถี่รัว เพราะนี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของนางทั้งสองชาติภพเชียวนะ“เจ้าบ่าวได้เวลารับตัวเจ้าสาวแล้ว”เสียงของจิ้นกงกงผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องพิธีดังขึ้นบริเวณด้านหน้าห้อง หวังซินหยางเดินผ่านประตูเข้ามาดวงตาคมกริบทอดมองไปร่างของเจ้าสาวที่นั่งรอเขาอยู่ เมื่
หวังซินหยางและหลินหว่านเดินจูงมือกันลงมาจากเชิงเขา ก่อนที่ทั้งสองจะลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นแล้วว่ามีใครจับกลุ่มยืนรออยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้หลินหว่านจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางให้หวังซินหยางบอกกับทุกคนเรื่องที่บ้านสวนแห่งนี้ของนาง กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า“นี่อาหยางเจ้าต้องอธิบายกับเปิ่นหวางและทุกคนแล้วนะ เล่นเดินจับมือคุณหนูโจวไม่ปล่อยเช่นนี้หมายความว่าไร แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางนั่นอีกรีบบอกมาเร็วเข้า” หยางอ๋องเห็นท่าทีของพระสหายที่ดูมีความสุขเกินไป จึงสงสัยว่ามีอะไรที่พวกเขารู้เห็นกันเพียงสองคนหรือไม่“นั่นสิพี่ใหญ่ท่านบอกพวกเรามาเถิด มิใช่แค่ท่านอ๋องที่อยากรู้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนอยากรู้ทุกคนเลยล่ะ” พระชายาหวังแอบคิดอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม“คุณชายหยะ....”“เอาล่ะ ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องถามเพิ่มแล้วเหวินเสียน ไหน ๆ ก็อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดเช่นนั้นขอบอกให้ทุกคนทราบว่า หว่านเออร์ยินดีแต่งเข้าตระกูลหวังในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว และงานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อบิดาของข้านำสินสอดมารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้” พอได้บอกออกไปหวังซินหยางรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเสียอ
แม้ว่าจะมีแขกสูงศักดิ์ช่วยประเดิมเข้าพักในบ้านสวนของหลินหว่าน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติเพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้าสำหรับทำกิจกรรมตามตารางที่หลินหว่านทำไว้ รวมถึงงานที่ทำร่วมกับชาวบ้านอย่างธูปสมุนไพรไล่ยุง ซึ่งครอบครัวของใต้เท้าหลัวและครอบครัวใต้เท้าจิ่ง อยากซื้อกลับไปใช้ที่จวนในเมืองหยางฉินจำนวนหลายห่อ หลินหว่านจึงได้แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนของหมู่บ้านหลูหยาง ทำให้ใต้เท้าหลัวได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จนเกิดแนวความคิดจะใช้หมู่บ้านหลูหยางเป็นต้นแบบ เพื่อให้หมู่บ้านในพื้นที่อื่น ๆ รักและสามัคคีเช่นนี้บ้าง ใต้เท้าหลัวยังคิดไปถึงเรื่องการคิดค้นผลิตภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาวางขายด้วยเช่นกันเมื่อกิจการในฝันได้เริ่มต้นขึ้นตามที่ต้องการแล้ว หลินหว่านจึงมอบหมายให้หยุนเหลียงไปซื้อร้านค้าในเมืองหลางหลิว สำหรับทำเป็นร้านขายขนมครกและรับสมัครลูกจ้างประจำร้านห้าคน เพราะมันเป็นกิจการแรกที่หลินหว่านใช้หาเงินหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยจะให้น่าซือไปตรวจบัญชีของร้านทุกสิบห้าวัน“คุณหนูให้เ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลูหยางรถม้าของหลินหว่านได้หยุดกลางคัน เนื่องจากฟางติงฉ่ายบิดาของฟางจื่อฉิงกำลังจะตามไปที่หมู่บ้านหลูเฟินพอดี เมื่อบังเอิญเจอกันเหอซู่เผิงจึงได้เรียกเอาไว้และบอกว่า ยามนี้ฟางจื่อฉิงอยู่บนรถม้าของหลินหว่านแล้ว จึงได้บอกให้ทุกคนกลับหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตพอทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฟางจื่อฉิง พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมและให้กำลังใจกับฟางจื่อฉิง เพราชาวบ้านเองต่างก็เอ็นดูนางและเห็นการเติบโตของนางมาตั้งแต่เด็ก บางคนถึงกับโกรธแค้นหมู่บ้านหลูเฟินที่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือฟางจื่อฉิงสักนิด ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นรุมทำร้ายเอาแต่ยืนมองดั่งก้อนหิน แต่เมื่อได้ยินว่าคุณหนูโจวเจ้าของน้ำปุ๋ยหมักให้ส่งจดหมายถึงหยางอ๋อง ว่าไม่ต้องการขายมันให้กับคนไร้ศีลธรรมจึงพอจะลดความโกรธลงมาได้ “สมน้ำหน้าพวกนั้นแล้วในเมื่อคุยกันไม่เข้าใจ ควรตามฟางเหม่ยไปรับฟังและหาทางออกร่วมกันถึงจะถูก แต่นี่กลับบังคับให้ฉิงเออร์หย่าขาดกับสามีตัวดีนั่นท่าเดียว” นางหงโยวที่มาเยี่ยมและให้กำลังทั้งสหายกับบุตรสาวนั่งพูดด้วยความโมโห“ต่อไปทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งเมือง แต่
ต้นยามเฉินของเช้าวันต่อมาหลังจากทานมื้อเช้าที่แสนอร่อย หลินหว่านและทุกคนจึงได้เริ่มต้นตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดยที่นางไม่ลืมหยิบภาพวาดที่คัดเลือกมาบางส่วน นำมาตกแต่งเพิ่มให้กับผนังห้องไม่ให้ดูโล่งจนเกินไป หลินหว่านเน้นความอบอุ่นและสวยงามด้วยการผสมผสานเครื่องตกแต่งที่ทำจากไม้คุณภาพดี มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับห้องรับแขกด้านในห้องนั่งเล่นส่วนตัวนั้นหลินหว่านจัดวางเก้าอี้ตัวใหญ่นั่งได้อย่างสบาย ๆ พร้อมโต๊ะกลางที่มีลายไม้สวยงามผนังห้องประดับด้วยงานศิลปะ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมจีนเป็นการสร้างบรรยากาศที่สงบฝั่งห้องทานอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดพอดีและเก้าอี้ที่มีเบาะรองนั่งสีอ่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้สดเพิ่มความสดชื่นและสีสันยามนั่งทานอาหาร ส่วนห้องนอนถูกออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง โดยใช้เตียงที่มีหัวเตียงทำจากไม้สลักลวดลายละเอียด พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนในโทนสีเนื้อและสีทอง ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและผ่อนคลายให้กับการนอนหลับ ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน จากฝีมือของจิตรกรทั้งสามคนที่วาดภาพได้งดงามไม่แพ้จิตร
เมื่อได้รับพระราชานุญาตตามฎีกาที่ตนได้ถวายต่อฮ่องเต้แล้ว หวังซินหยางยังไม่กลับจวนในทันทีเขากลับไปที่สำนักตรวจสอบ เพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่เล็กน้อยและพิจารณารายชื่อ เหล่าหัวหน้าแต่ละกลุ่มตามผลงานที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการคัดเลือก สำหรับตำแหน่งผู้รักษาการสำนักตรวจสอบในเมืองหลวง แต่ไม่ว่าหวังซินหยางจะเลือกหัวหน้าคนใดขึ้นมาก็ตาม ทุกคนในสำนักตรวจสอบย่อมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะทุกคนล้วนทำงานร่วมกันมานานเสี่ยงอันตรายมาก็มาก นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายก่อนที่หวังซินหยางจะตัดสินใจเลือก ‘สุยอี้หยวน’ รับภาระดูแลสำนักตรวจสอบในเมืองหลวงแทนเขา และหวังซินหยางยังได้เตรียมส่งมอบงานที่เป็นคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาที่นี่ได้ทำฆ่าเวลา เมื่อใดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับขุนนางที่ทำผิดกฎหมายของแคว้น เวลานั้นพวกเขาทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งด้านหลินหว่านที่จัดการกับสิ่งของต่าง ๆ ของตนเรียบร้อย จึงได้แวะไปสนทนากับว่าที่พระชายาเอกของหยางอ๋อง อย่างหวังลี่ถิงที่พักหลังนางต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทั้งกริยามารยาทรวมถึงเรื่องรูปร่างผิวพรรณที่ต้องงดงามที่สุด ยามที่สวมชุดแต่งงานจะยิ่งทำให้ดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท
ภายหลังมื้ออาหารเย็นในวันหนึ่งก่อนหลินหว่านจะกลับเรือนรับรอง ได้เดินมาหยุดมองดวงจันทร์กลมโตที่ส่องสว่างมากเป็นพิเศษในคืนนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ตนได้มาสานต่อความฝันยังอีกโลกหนึ่ง หลังจากต้องตายด้วยฝีมือของกลุ่มคนชั่ว นอกจากนี้ยังได้นำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยเหลือผู้คนมากมาย ซึ่งตอนนี้ในเมืองหลวงเริ่มมีชาวบ้านนำผัก มาขายมากขึ้น ส่วนตัวของหลินหว่านเองก็ลงมือเพาะปลูกวัตถุดิบทั้งหลาย ที่ต้องใช้ในกิจการร้านขนมครกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหยางหลิวพร้อมขบวนเสด็จของหยางอ๋อง เพราะต้องนำเกี้ยวเจ้าสาวอย่างหวังลี่ถิงกลับตำหนักอ๋องในเมืองหยางฉินหวังซินหยางที่เดินตามหลังหลินหว่านมาติด ๆ เห็นนางหยุดยืนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จึงได้สาวเท้าตามไปพูดคุยเรื่องบางอย่างกับนาง“หว่านเออร์เหตุใดถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้เล่า กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือพี่เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวและดวงจันทร์อยู่นาน” และภาพที่เขาได้เห็นมันช่างงดงามดั่งภาพวาดก็มิปาน“พี่ชายหวังท่านมิได้กลับเรือนนอนหรอกหรือเจ้าคะ ที่ข้าหยุดยืนมองท้องฟ้าเป็นเพราะว่าคืนนี้ดวงจันทร์งดงามมากเจ้าค่ะ และยัง
หลังจากวันที่ได้สั่งสอนบุรุษเช่นเฉินเยี่ยนหมิง หลินหว่านยังคงวุ่นอยู่กับการเตรียมต้นกล้าผัก และการเข้าไปดูร้านขนมสลับกับหวังลี่ถิงเป็นครั้งคราว เพราะหลินหว่านต้องใช้ที่ดินทั้งสิบหมู่ที่หวังซินหยางซื้อให้ เพาะปลูกผักที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับขนมครกของนาง และได้ส่งจดหมายถึงน่าซือว่าต้องอยู่จัดการงานที่เมืองหลวงเสียก่อน จากนั้นจะกลับไปเปิดกิจการบ้านสวนที่นางใฝ่ฝันเสียทีหวังซินหยางที่รู้เรื่องนี้ก็มิได้ร้อนรนแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เขาสังเกตตั้งแต่รู้จักกันในวันแรก ๆ พอจะเดาได้ไม่ยากนัก ว่าสถานที่ที่หลินหว่านชอบและต้องการอาศัยอยู่มากที่สุด นั่นก็คือบ้านสวนของนางที่หมู่บ้านหลูหยาง ตัวของหวังซินหยางจึงได้คิดวางแผนอนาคตของตนไว้เงียบ ๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเขาย่อมตัดสินใจอย่างไม่ลังเลการใช้ชีวิตและการทำงานของหลินหว่านกับหวังซินหยาง ยังคงเหมือนเช่นเดิมในทุก ๆ วันอาจจะมีเรื่องรุนแรงบ้างแต่ไม่หนักหนาเท่าใดนัก แต่สถานการณ์ภายในเมืองหลวงของแคว้นเว่ย กำลังสับสนวุ่นวายขึ้นในวันหนึ่งยามเช้าตรู่ เมื่อผู้คนออกจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน และได้พบกับกระดาษมากมายที่ถูกโยนทิ้งไว้กลางถนน“นี่มันกระดาษอั
วันถัดมาหวังซินหยางถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงอย่างที่คิดจริง ๆ หวังเจี้ยนหนานที่เห็นสีหน้าแววตาของบุตรชายคนโต จำต้องตักเตือนสักเล็กน้อยมิให้เขาแสดงออกชัดเจนจนเกินไป แม้จะโมโหจนอยากสังหารให้ตายก็อย่าให้ศัตรูอ่านความคิดได้ หวังซินหยางจึงพยายามปรับอารมณ์และสีหน้าของตนให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้และเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ฮ่องเต้ไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินพระทัยคำตอบที่เฉินเยี่ยนหมิงได้รับ คือการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาแม้จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี แต่ฮ่องเต้ย่อมต้องคัดเลือกสตรีที่เหมาะสมและจงรักภักดีกับรัชทายาท รวมถึงราชบัลลังก์ไม่มีความคิดที่จะแย่งชิง“ฝากใต้เท้าเฉินกลับไปทูลฮ่องเต้ของท่านด้วยว่า เจิ้นรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ฮ่องเต้ของท่านยอมตัดใจส่งธิดาองค์โตมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เจิ้นมีวิธีการแก้ไขปัญหาเป็นของตนเองถึงยามนี้จะยังไม่ดีนัก แต่ในอีกไม่ช้าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียว เมื่อวันนั้นมาถึงข่าวลือย่อมไปถึงแคว้นเว่ยอย่างรวดเร็วแน่ ๆ” หากเจิ้นโง่คงไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนี้หรอกนะ“เอ่อ ฝ่าบาทจะไม่ทรงเก็บไปพิจารณาดูก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”“หืม เ