มู่หลินหว่านไม่สนว่าผู้ใดจะนัดเจอกันไม่ว่าจะเป็นที่จวนหรือที่ไหนก็ช่าง ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทานอาหารให้อิ่มท้อง และนอนพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงโดยเร็วเท่านั้น เพื่อหาหนทางออกไปจากตระกูลที่น่ารังเกียจแห่งนี้
ด้านของมู่จือหย่าที่รีบแต่งตัวออกมาพบคู่หมั้นหนุ่มอนาคตไกล ที่พยายามให้มารดาแย่งมาจากน้องสาวอย่างมู่หลินหว่านได้ นางรีบขอโทษขอโพยต่อเฉินเยี่ยนหมิงเป็นการใหญ่ โดยกล่าววาจาใส่ร้ายว่าถูกน้องสาวคนรองกลั้นแกล้ง ทำชุดที่เพิ่งได้รับจากร้านตัดเสื้อเปรอะเปื้อน ทั้งที่ตั้งใจจะสวมใส่เพื่อออกไปด้านนอกในวันนี้
“หย่าเออร์ขออภัยคุณชายเฉินจริง ๆ เจ้าค่ะที่ออกมาพบล่าช้าจนทำให้คุณชายเสียเวลานั่งรออยู่ตั้งนาน” มู่จือหย่ามาถึงก็เริ่มเสแสร้งเป็นผู้ถูกกระทำทันที
“ไม่เป็นไรคุณหนูใหญ่มู่ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นานเช่นกัน ว่าแต่เหตุใดถึงไม่สวมชุดใหม่ที่เจ้าบอกเอาไว้เล่า มิใช่ว่าที่ร้านได้นำมันมาส่งให้ที่จวนแล้วรึ”
“เอ่อ คือว่าชุดที่หย่าเออร์ตั้งใจจะสวมวันนี้ ถูกน้องรองทำมันเปรอะเปื้อนตอนที่นำไปซักเจ้าค่ะ หย่าเออร์ไม่แน่ใจว่านางไม่ได้ตั้งใจหรือแค่อยากกลั่นแกล้งกันแน่ ไม่กี่วันก่อนก็แอบขโมยปิ่นปักผมอันใหม่ของหย่าเออร์ไปซ่อนไว้อีกเจ้าค่ะ” มู่จือหย่าทำทีเล่าออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“นี่นางจะอิจฉาเจ้าไปถึงเมื่อไหร่กันถูกลงโทษไปกี่ครั้ง ใยไม่รู้จักหลาบจำเสียบ้างคงเปลี่ยนนิสัยของนางไม่ได้แล้วล่ะ ต่อไปเจ้าต้องระวังให้มากกว่านี้อย่าให้นางจับต้องสิ่งของ ๆ เจ้าอีก ในเมื่อชุดนั่นมันใส่ไม่ได้ก็ช่างเถิดประเดี๋ยวข้าจะซื้อชุดใหม่ให้ท่านเอง” เฉินเยี่ยนหมิงตั้งแต่ได้หมั้นหมายกับมู่จือหย่า เขามักจะได้รับฟังแต่ด้านไม่ดีของมู่หลินหว่านอยู่เสมอ
“หย่าเออร์ขอบคุณคุณชายเฉินล่วงหน้าเจ้าค่ะ ที่ใจดีกับหย่าเออร์ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้วพวกเราไปที่นั่งดื่มชาทานของว่างที่หออี๋ชุนก่อนจากนั้นค่อยไปเดินเล่นกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิวันนี้ข้ามีเวลาให้กับคุณหนูใหญ่มู่ทั้งวัน ท่านอยากไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นหรืออยากได้เครื่องประดับ รวมถึงเสื้อผ้าชุดใหม่แทนชุดที่ขาด ท่านเลือกร้านค้าได้นะว่าอยากไปซื้อที่ร้านตระกูลใด สำหรับคุณหนูใหญ่มู่ควรใช้สิ่งของที่ราคาเหมาะกับฐานะของท่านเท่านั้นถึงจะเหมาะสม” เฉินเยี่ยนหมิงได้รับคำสั่งจากมารดาให้เอาใจมู่จือหย่าให้มาก
“คุณชายเฉินพูดจริงหรือเจ้าคะแต่หย่าเออร์เกรงใจ หากต้องทำให้ท่านใช้จ่ายเงินตำลึงมากมายเช่นนี้ เอาเป็นว่าหากมีสิ่งไหนที่หย่าเออร์สามารถช่วยทำให้ท่านได้ละก็ โปรดบอกกับหย่าเออร์ได้ทันทีนะเจ้าคะ”
“ยังไม่มีสิ่งใดรบกวนคุณหนูใหญ่มู่หรอก ถ้าจะมีเรื่องที่ข้าต้องการ เห็นทีจะมีเพียงอยากให้ถึงวันแต่งงานโดยเร็วเสียมากกว่า ข้าอยากรับท่านเข้าจวนไปเป็นฮูหยินเอกและดูแลปกครองเรือน ยามเสร็จจากการทำงานกลับมาก็ได้เจอภรรยาผู้งดงามรออยู่ที่จวน คงจะช่วยให้ข้าหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้งแน่ ๆ” เฉินเยี่ยนหมิงแกล้งหยอกเย้าคู่หมั้นสาวจนนางเขินอายกับคำพูดเหล่านั้น
“คุณชายเฉินละก็กล่าวเช่นนี่หย่าเออร์ก็เขินอายเป็นนะเจ้าคะ” มู่จือหย่าทำทีท่าเอียงอายไร้เดียงสา
“หึ ๆ เชิญคุณหนูใหญ่มู่ที่รถม้าเถิดประเดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน รับรองว่าวันนี้ข้าจะมาส่งท่านก่อนยามเซินไม่ต้องกังวลไป”
“ขอบคุณคุณชายเฉินที่เข้าใจหย่าเออร์เจ้าค่ะ”
เฉินเยี่ยนหมิงพามู่จือหย่าเดินไปขึ้นรถม้าที่รออยู่หน้าจวน พานางไปหออี๋ชุนเพื่อดื่มชารสชาติดี หลังจากนั้นค่อยพานางตระเวนไปตามร้านเครื่องประดับและร้านผ้าต่าง ๆ มู่จือหย่าเลือกซื้อสิ่งของเหล่านี้อย่างสนุกสนาน ทั้งที่ความจริงนั้นเฉินเยี่ยนหมิงแค่ทำตามคำสั่งของมารดา เขาไม่ได้รู้สึกรักใคร่อันใดในตัวของมู่จือหย่าเลยสักนิด เพียงแต่มารดาของเขาต้องการอาศัยอำนาจของเสนาบดีมู่ เพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้กับบิดาของเขาในการเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น เฉินเยี่ยนหมิง
มีข้อตกลงกับมารดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อใดที่แต่งงานกับมู่จือหย่าและบิดาได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว เขาต้องการรับฮูหยินรองจากตระกูลหลินเนื่องจากนางเป็นสตรีที่เขารัก ซึ่งมารดาของเขาได้รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ และเฉินเยี่ยนหมิงก็ทำตามที่บอกกับมู่จือหย่า เขาพานางมาส่งที่จวนตระกูลมู่ก่อนถึงยามเซินจริง ๆส่วนมู่หลินหว่านที่นอนพักผ่อนไปหลายชั่วยาม ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะยามนี้เสียงร้องจากกระเพาะอาหารของนาง กำลังเรียกร้องหาอาหารเนื่องจากเลยเวลามาพอสมควร จึงลุกขึ้นมาล้างหน้าให้สดชื่นเพื่อไปยังห้องครัวหาอะไรที่กินได้มารองท้องเสียหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไปด้านในพลันได้ยินบ่าวไพร่พูดคุยกัน เกี่ยวกับงานเลี้ยงน้ำชาที่จะจัดขึ้นในจวนแห่งนี้ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า มีแขกเหรื่อเป็นฮูหยินและบุตรชายบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง ที่ได้รับหนังสือเชิญมาร่วมงานด้วยมากมาย เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นงานดูตัวสำหรับครอบครัวที่มีฐานะเหมาะสมกัน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เข้าทางมู่หลินหว่านให้แล้ว หนทางที่จะหลุดพ้นจากตระกูลที่ฉากหน้าดูดีแต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะเสียที
มู่หลินหว่านเปลี่ยนใจเดินกลับมายังกระท่อมโทรม ๆ ของตนนั่งคิดนอนคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะตัดขาดกับตระกูลนี้ แต่เพราะท้องที่ปราศจากอาหารไปหล่อเลี้ยงยังคงส่งเสียงอยู่ จึงทำให้ในหัวของนางว่างเปล่าคิดสิ่งใดไม่ออกเอาเสียเลย
“โครกคราก!! โอ๊ย คิดไม่ออกเสียทีจะใช้วิธีไหนได้บ้างนะเนี่ย หิวก็หิวมองไปทางไหนก็เห็นเป็นของกินไปหมดแล้ว เฮ้อ หากยังอยู่ที่บ้านสวนป่านนี้มื้อเย็นคงทำกินเองไปตั้งนานละ...เฮ้ย!!!”
“ผลุบ!! กรี๊ดดดด ตุบ ”
“เอ๊ะ! เมื่อกี้ร่วงลงมาจากกลางอากาศแล้วทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บล่ะ หือ ที่นอนคุ้น ๆ เหมือนเตียงนอนที่บ้านสวนเลยแฮะ หรือว่าเราจะหิวจนตาลายเดินสะดุดก้อนหินล้มลงหัวฟาดพื้นตายอีกรอบเหรอเนี่ย”
ขณะที่มู่หลินหว่านกำลังพิจารณาสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมันเหมือนกับของภายในบ้านสวนของตนเองอย่างมาก กลับมีเสียงเล็ก ๆ ตอบคำถามของมู่หลินหว่านขึ้นมาทันที
“ยินดีต้อนรับนายหญิงกลับสู่มิติบ้านสวน ท่านยังคงมีชีวิตอยู่และยังต้องอยู่ต่อไปอีกนานเจ้าค่ะ”
“อ๊ากกกกก!!! ผีหลอก!! พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยจอมด้วยจ้า พวกเราไม่เคยรู้จักอย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะ เป็นผีก็อยู่ส่วนผีอย่าทำบาปเพิ่มด้วยการแกล้งคนแบบนี้ ถ้าน้องอยากกินอะไรก็สั่งไว้พรุ่งนี้พี่สาวจะไปทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ อย่าได้ผูกเวรผูกกรรมต่อกันจะดีกว่านะคุณน้องผี นะโม ตัสสะ ๆ ๆ” เจ้าจอมในร่างของมู่หลินหว่านถึงกับกรีดร้อง เอาแต่หลับตาก้มหน้าสวดมนต์อย่างลืมตัว
“เฮ้อ อยากจะบ้าตายเหตุใดข้าที่เป็นถึงภูติสาวแสนสวยตัวน้อย ๆ ต้องมาเจอเจ้านายเช่นนี้ด้วยนะ นี่ท่านน่ะลืมตามามองข้าสักนิดเถิดที่นี่ไม่มีผีหรอกนะ มีแต่คนหน้าตางดงามอยู่สองคนเท่านั้นท่านไม่อยากรู้หรือว่าที่นี่คือไหนน่ะ ท้องท่านร้องหาอาหารอร่อย ๆ อยู่มิใช่หรืออย่างไรเจ้าคะ ตู้เย็นในห้องครัวยังมีของกินอีกหลายอย่างเชียวนะ ที่ท่านทำเก็บไว้ทาน หากยังไม่เอามันออกมาทานคงจะเน่าเสียจนหมดแน่ ๆ”
ภูติตัวน้อยเรียกสติของมู่หลินหว่านที่ยังไม่ยอมเงยหน้า เพื่อที่จะได้แนะนำตนเองกับเจ้านายที่ตนต้องคอยดูแลนับจากนี้ และต้องบอกถึงประโยชน์หรือที่มาที่ไปของมิติแห่งนี้ให้มู่หลินหว่านได้ทราบ เมื่อได้ยินเสียงน้อย ๆ บอกว่าตนเองไม่ใช่ผีเสียงสวดมนต์ก็หยุดลง และใบหน้าเรียวค่อย ๆ เงยขึ้นมามองหาเสียงที่เปล่งเสียงน่ารัก ๆ เรียกชื่อของนาง ก่อนจะพบว่ามีคนตัวเล็ก ๆ มีปีกและบินได้ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศ
“นะ นะ นี่เจ้าไม่ใช่ผีแน่นะอย่าได้โกหกให้ข้าตายใจเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคำสาปแช่งสารพัดจะเป็นของเจ้าทันที”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอนแต่ข้าคือภูติพฤกษาประจำมิตินี้ และที่สำคัญมันยังเป็นมิติบ้านสวนของท่านจากโลกก่อน รวมถึงความรู้ความสามารถของท่านทุกอย่างยังใช้ได้เหมือนเดิม ตอนนี้พวกเราอยู่ภายในบ้านของท่านของทุกชิ้นยังอยู่กับที่ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือการสับเปลี่ยนใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านหิวมิใช่หรืออาหารที่ท่านทำเก็บไว้เอาออกมาอุ่นเสียสิ กินให้อิ่มท้องก่อนเถิดท่านยังต้องคิดหาวิธีออกจากจวนแห่งนี้อีกนะเจ้าคะ”
“เดี๋ยว ๆ ๆ เจ้าบอกว่าที่ยืนอยู่ในตอนนี้คือบ้านสวนของข้าจากโลกก่อน และมันกลายมาเป็นมิติวิเศษโดยมีเจ้าเป็นภูติคอยดูแลที่นี่ข้าเข้าใจถูกไหม” มู่หลินหว่านย้ำกับภูติตัวน้อยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ใช่เจ้าค่ะท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วนี่คือบ้านสวนของท่านอย่างแท้จริง ไม่ว่าท่านคิดจะปลูกพืชผักผลไม้หรือทำอะไรเกี่ยวกับการใช้มิติแห่งนี้ จะมีข้าคอยดูแลจัดการแทนโดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเจ้าค่ะ”
“ว้าว! ไม่อยากเชื่อเลยว่านอกจากจะได้มาเกิดใหม่แล้ว ยังมีมิติบ้านสวนของตนเองติดตัวมาอีกด้วยนะเนี่ย ยอดเยี่ยมที่สุดขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาสงสารข้าผู้นี้ ขอบคุณท่านเทพเทวดาที่หล่อเหลางดงามทั้งหลายเมื่อใดที่ออกจากจวนแห่งนี้ได้ข้าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะเจ้าคะ ว่าแต่เจ้ามีชื่อหรือไม่จะให้เรียกเจ้าว่าภูติพฤกษามันก็ฟังดูแปลก ๆ
เกินไปนะ”“นายหญิงช่วยตั้งชื่อให้ข้าด้วยสิเจ้าคะท่านชอบชื่ออะไร สามารถนำมาตั้งชื่อได้ทั้งนั้นแต่ถ้าจะให้ดีขอเป็นชื่อเพราะ ๆ สักนิดจะดีมากเจ้าค่ะ”
“แล้วบอกว่าชื่ออะไรก็ได้ที่ข้าชอบเจ้าจะพูดเพื่อ ฮึ่ม...อือ จะให้ชื่อว่าอะไรดีน้าตัวเจ้าก็เล็กเท่านี้เองแต่เป็นภูติเกี่ยวกับต้นไม้ แล้วต้นไม้มีสีเขียวเป็นธรรมชาติงดงาม อ้อ นึกออกแล้วเช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวลวี่เป็นอย่างไร”
“เสี่ยวลวี่งั้นหรือฟังดูก็น่ารักดีนะเจ้าคะเช่นนั้นข้าใช้ชื่อนี้เจ้าค่ะ ต่อไปข้ามีชื่อว่าเสี่ยวลวี่มีหน้าที่ดูแลมิติแห่งนี้ให้นายหญิง ขอบคุณมากเจ้าค่ะที่ช่วยตั้งชื่อให้กับข้า”
“ยินดีจ้ะเสี่ยวลวี่แต่ตอนนี้ข้าขอไปทานอาหารก่อนนะ ประเดี๋ยวค่อยมานั่งคิดแผนไปจากที่นี่กันต่อ”
เสี่ยวลวี่บินตามหลังมู่หลินหว่านไปยังห้องครัว อาหารที่ทำเก็บไว้ในตู้เย็นยังคงมีสีสันน่ากินเช่นเคย บรรยากาศด้านหลังห้องครัวที่มองเห็นสวนผลไม้หลากหลาย เล้าเป็ดเล้าไก่ที่เลี้ยงไว้อยู่ด้านบนบ่อปลานิลสัตว์ทั้งสามชนิด ยังคงมีชีวิตทั้งไก่และเป็ดจิกกินอาหารเพื่อออกไข่ ให้นางได้เก็บกินทุกวันอยู่เช่นเคยแปลงผักที่กำลังเติบโต และถัดไปยังเป็นนาข้าวที่ยืนต้นเขียวขจีอีกหลายไร่ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็พลันให้คิดถึงพ่อแม่ของตนจนน้ำตาคลอ พวกเขาคงจะเสียใจมากและโกรธแค้นพวกค้ายาเสพติด ที่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักต้องมาตายขณะที่อายุยังน้อย จึงทำได้เพียงอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจให้พ่อแม่ในโลกนั้น ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีก็เพียงพอแล้วสำหรับลูกสาวคนนี้
“นายหญิงสบายใจเถิดเจ้าค่ะบิดามารดาของท่านทางนั้น พวกเขาอาจจะโศกเศร้ากับการสูญเสียท่านก็จริง แต่ทั้งสองก็เข้าใจสัจจธรรมของชีวิตอยู่มาก พวกเขาย่อมใช้ชีวิตอย่างดีจนกว่าจะสิ้นอายุขัยเจ้าค่ะ” เสี่ยวลวี่ช่วยปลอบโยนมู่หลินหว่านเมื่อเห็นว่านางมีท่าทีเศร้าสร้อย
“ขอบใจเสี่ยวลวี่ที่ช่วยปลอบใจยามนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว สิ่งที่ควรทำมากที่สุดสำหรับตอนนี้คือแผนการให้ตัวข้าถูกไล่ออกจากที่นี่ เจ้าคิดว่าควรใช้แผนเช่นไรได้บ้างกับคนในโลกใบใหม่ของข้า”
“ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าท่านได้ยินพวกบ่าวไพร่พูดถึงงานเลี้ยงน้ำชา ที่ฮูหยินเอกจะเป็นคนจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้าหรือเจ้าคะ หากท่านต้องการถูกไล่ออกจากจวนแห่งนี้ วันงานเลี้ยงมีตัวเลือกให้ท่านมากมายสามารถใช้เป็นตัวช่วย ข้าเชื่อว่าบิดาของท่านจะรีบเขียนหนังสือตัดขาดให้อย่างรวดเร็วเชียวล่ะ”
“จริงด้วย!! เสี่ยวลวี่ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเตือนสติข้า หึ มาคอยดูกันเถิดว่างานเลี้ยงของนางฮูหยินนั่นจะปังหรือจะพังกันแน่ ฮ่า ๆ ๆ แต่ถ้าได้ออกจากที่นี่ไปจะเอาเงินจากไหนใช้จ่ายล่ะ เบี้ยหวัดอะไรก็ไม่เคยได้รับเช่นคนอื่นเขาสักครั้ง” มู่หลินหว่านเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางหลังจากนี้
“ไม่เห็นยากเลยเจ้าค่ะนายหญิงในห้องเก็บสมบัตินั่นอย่างไร ท่านจะเอามาทั้งหมดก็ยังได้นะเจ้าคะมีที่เก็บตั้งกว้างถึงเพียงนี้ หรือท่านจะใจดีเหลือไว้ให้จวนบิดาของท่านใช้ซื้อข้าวสารอาหารแห้ง สำหรับคนในจวนสักหีบสองหีบถือว่าเป็นของขวัญช่วงเวลาสิบกว่าปี ที่ท่านได้อยู่อาศัยภายใต้ชายคาจวนตระกูลมู่ทำบุญสักเล็กน้อย เพื่อหนุนดวงชะตาของท่านให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปเจ้าค่ะ” เสี่ยวลวี่ชี้ช่องทางหาเงินจำนวนมากให้กับมู่หลินหว่าน
“ตกลงเสี่ยวลวี่รอให้ใกล้ถึงวันงานทุกคนในจวนคงจะยุ่งกันมาก ไม่มีใครมาสนใจข้าที่เก็บตัวอยู่ในกระท่อมแน่นอน พวกเราค่อยลงมือกันจะดีกว่าวันถัดไปจะได้ออกเดินทางทันที” มู่หลินหว่านเห็นด้วยกับวิธีของเสี่ยวลวี่
“เจ้าค่ะนายหญิงเสี่ยวลวี่จะช่วยท่านเอง”
มู่หลินคลายความกังวลใจทั้งหมดได้แล้วเมื่อทานอาหารเสร็จ จึงออกไปเดินเล่นภายในบริเวณบ้านสวนในมิติ ที่ยังคงให้บรรยากาศเดิม ๆ เช่นอยู่ด้านนอก ระหว่างเดินเล่นก็คิดว่านางควรปรากฏตัว
ตอนไหนถึงจะดี หรือควรอาละวาดสร้างปัญหาไปเลยจะดีหรือไม่ เพราะขุนนางยุคสมัยนี้รักหน้าตามากกว่าสิ่งใด หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยมักจะถูกซุบซิบนินทาจากผู้คนไปนานหลายวันเลยทีเดียว“มู่หลินหว่านอิสระของเจ้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะ”
มู่หลินหว่านใช้เวลาอยู่ในมิติพักใหญ่ถึงได้กลับออกมา และหยุดฟังเสียงโดยรอบกระท่อมหลังเล็กอยู่สักพัก เมื่อไม่มีเสียงของใครจึงวางใจได้ว่าวันนี้คงไม่เกิดเรื่องเช่นเมื่อเช้าอีก คืนนี้มู่หลินหว่านย่อมได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียที แต่ในยามเช้าก่อนเวลาอาหารนางต้องไปที่ห้องครัวเสียหน่อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน ทั้งที่ถูกทำโทษหนักและไม่ได้ทานข้าวหรือยาแม้แต่น้อย จนพวกบ่าวไพร่บางคนยังคิดว่ามู่หลินหว่านตายอยู่ในกระท่อมหลังเล็กไปแล้ว แต่ที่นางยังไม่รู้ก็คือพวกบ่าวไพร่ที่ห้องครัวรอหาเรื่องนางอยู่ต่างหาก คืนแรกของการได้เข้ามาใช้ชีวิตในยุคโบราณที่ตนชื่นชอบเช่นนี้ ไม่มีอะไรทำให้นางหนักใจขอเพียงหลังจากนี้บำรุงตนเองให้มากเข้าไว้ ร่างกายย่อมกลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววันอย่างแน่นอน ต้นยามเหม่ามู่หลินหว่านตื่นล้างหน้าแปรงฟันในห้องนอนของตนในมิติ หลังจากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวตามความทรงจำของร่างเดิม เมื่อมาถึงก็ถูกมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างมาก แต่แล้วอย่างไรใครสนใจกันเพราะนางมาหาของกิน ไม่ได้มาหาเรื่องใครเสียหน่อยถึงจะเป็นเช่นนั้น ใช่ว่าเรื่องจะไม่วิ่งเข้าม
หลังจากได้รับอิสระพร้อมหนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือของตนแล้ว มู่หลินหว่านเดินออกจากจวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ชุดที่สวมใส่จะเก่าจนมองไม่ออกว่ามันคือสีอะไร และแทบทั้งตัวยังมีร่อยรอยของการปะชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มนั้นจางหายไปได้ ยิ่งเดินมาได้ครึ่งทางมู่หลินหว่านได้ยินเสี่ยวลวี่พูดขึ้น เกี่ยวกับเงินในห้องเก็บสมบัติที่เพิ่งจะเก็บกวาดมาได้“นายหญิงเจ้าคะสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือไปร้านขายเสื้อผ้าเจ้าค่ะ เพราะชุดที่ท่านใส่ในตอนนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง”“หือ เสี่ยวลวี่หรอกหรือเจ้าหายไปไหนมาเห็นเงียบไปเสียนาน ข้าลองเรียกดูก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าเลย”“เสี่ยวลวี่ไปจัดการเรื่องห้องเก็บสมบัติให้ท่านอย่างไรเล่า ยามนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”“งั้นแสดงว่าตอนนี้หากข้าต้องการซื้อสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะถูกหรือแพงใช่ไหมเสี่ยวลวี่”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิงท่านเลือกเสือผ้าชุดสวย ๆ มาหลาย ๆ ชุดเลยนะเจ้าคะ จากนั้นไปหาที่หารถม้าสำหรับเดินทางไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ว่าแต่นายหญิงจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”“อืม ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเว่ยแห่งนี้
โจวหลินหว่านและบ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคน ออกเดินทางด้วยรถม้าทำให้สะดวกสบายกว่านั่งเกวียนวัวหลายเท่า พวกเขาทั้งสามคนไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นการสำรวจตามเมืองต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่าน รวมถึงแวะซื้อเสบียงอาหารเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อป้องกันยามที่ต้องพักค้างแรมตามป่าเขาที่ไม่มีโรงเตี๊ยม ระหว่างนั่งรถม้าน่าซือได้เล่าถึงตระกูลของมารดา ที่ยามนี้ต่างแยกย้ายกระจัดการกระจายไปคนละทิศละทาง ภายหลังท่านตาท่านยายเสียชีวิตก็มีการแบ่งสมบัติ โดยท่านแม่ได้มากกว่าพี่ชายและน้องสาวคนอื่น ๆ เนื่องจากท่านแม่ช่วยครอบครัวทำงานมากกว่าจึงได้สมบัติเยอะ ด้วยเหตุนี้มู่อวี่เฉินจึงพยายามตามเกี้ยวพามารดาของนาง จนได้แต่งงานและใช้เงินทองในการสอบขุนนางอยู่หลายครั้งกว่าจะผ่านได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับกลายเป็นคนทรยศหักหลังไปเสียได้ โจวหลินหว่านไม่อยากให้บ่าวทั้งสองคิดถึงอดีตอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะนางไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับคนเลวเช่นนั้น“ท่านอาน่าซืออย่าได้ยึดติดกับเรื่องในอดีตอีกเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเราจะพาท่านแม่ไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ข้าจะหาซื้อที่ดินสวย ๆ อยู่ติดเชิงเขาจะแบ่งส่วนหนึ่งทำสุสานให้กับท่านแ
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
และในที่สุดวันที่หวังซินหยางรอคอยก็มาถึงเสียที ทุกคนตื่นขึ้นมาช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีการตรวจดูความเรียบร้อย ตลอดจนหีบสินสอดมากมายที่นำมาวางให้แขกได้เห็นว่าเจ้าบ่าวให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมากเพียงใด ด้านในห้องนอนของหลินหว่านมีน่าซือและฟางจือฉิงช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าสาว ด้วยการใช้สมุนไพรเนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จมาให้ เช่น ใบไผ่ ดอกบัว หรือดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม จากนั้นชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นทองด้วยลวดลายที่สวยงามก็ถูกสวมใส่บนเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของหลินหว่าน เครื่องหัวเป็นรูปทรงดอกบัวและมีปิ่นปักผมรูปนกยูงหลังจากแต่งตัวเสร็จ หลินหว่านมีหน้าที่นั่งรอเจ้าบ่าวมารับตัวและใช้พัดปิดบังใบหน้าเอาไว้เมื่อได้เวลาเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของหลินหว่านเริ่มเต้นถี่รัว เพราะนี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของนางทั้งสองชาติภพเชียวนะ“เจ้าบ่าวได้เวลารับตัวเจ้าสาวแล้ว”เสียงของจิ้นกงกงผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องพิธีดังขึ้นบริเวณด้านหน้าห้อง หวังซินหยางเดินผ่านประตูเข้ามาดวงตาคมกริบทอดมองไปร่างของเจ้าสาวที่นั่งรอเขาอยู่ เมื่
หวังซินหยางและหลินหว่านเดินจูงมือกันลงมาจากเชิงเขา ก่อนที่ทั้งสองจะลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นแล้วว่ามีใครจับกลุ่มยืนรออยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้หลินหว่านจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางให้หวังซินหยางบอกกับทุกคนเรื่องที่บ้านสวนแห่งนี้ของนาง กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า“นี่อาหยางเจ้าต้องอธิบายกับเปิ่นหวางและทุกคนแล้วนะ เล่นเดินจับมือคุณหนูโจวไม่ปล่อยเช่นนี้หมายความว่าไร แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางนั่นอีกรีบบอกมาเร็วเข้า” หยางอ๋องเห็นท่าทีของพระสหายที่ดูมีความสุขเกินไป จึงสงสัยว่ามีอะไรที่พวกเขารู้เห็นกันเพียงสองคนหรือไม่“นั่นสิพี่ใหญ่ท่านบอกพวกเรามาเถิด มิใช่แค่ท่านอ๋องที่อยากรู้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนอยากรู้ทุกคนเลยล่ะ” พระชายาหวังแอบคิดอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม“คุณชายหยะ....”“เอาล่ะ ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องถามเพิ่มแล้วเหวินเสียน ไหน ๆ ก็อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดเช่นนั้นขอบอกให้ทุกคนทราบว่า หว่านเออร์ยินดีแต่งเข้าตระกูลหวังในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว และงานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อบิดาของข้านำสินสอดมารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้” พอได้บอกออกไปหวังซินหยางรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเสียอ
แม้ว่าจะมีแขกสูงศักดิ์ช่วยประเดิมเข้าพักในบ้านสวนของหลินหว่าน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติเพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้าสำหรับทำกิจกรรมตามตารางที่หลินหว่านทำไว้ รวมถึงงานที่ทำร่วมกับชาวบ้านอย่างธูปสมุนไพรไล่ยุง ซึ่งครอบครัวของใต้เท้าหลัวและครอบครัวใต้เท้าจิ่ง อยากซื้อกลับไปใช้ที่จวนในเมืองหยางฉินจำนวนหลายห่อ หลินหว่านจึงได้แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนของหมู่บ้านหลูหยาง ทำให้ใต้เท้าหลัวได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จนเกิดแนวความคิดจะใช้หมู่บ้านหลูหยางเป็นต้นแบบ เพื่อให้หมู่บ้านในพื้นที่อื่น ๆ รักและสามัคคีเช่นนี้บ้าง ใต้เท้าหลัวยังคิดไปถึงเรื่องการคิดค้นผลิตภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาวางขายด้วยเช่นกันเมื่อกิจการในฝันได้เริ่มต้นขึ้นตามที่ต้องการแล้ว หลินหว่านจึงมอบหมายให้หยุนเหลียงไปซื้อร้านค้าในเมืองหลางหลิว สำหรับทำเป็นร้านขายขนมครกและรับสมัครลูกจ้างประจำร้านห้าคน เพราะมันเป็นกิจการแรกที่หลินหว่านใช้หาเงินหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยจะให้น่าซือไปตรวจบัญชีของร้านทุกสิบห้าวัน“คุณหนูให้เ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลูหยางรถม้าของหลินหว่านได้หยุดกลางคัน เนื่องจากฟางติงฉ่ายบิดาของฟางจื่อฉิงกำลังจะตามไปที่หมู่บ้านหลูเฟินพอดี เมื่อบังเอิญเจอกันเหอซู่เผิงจึงได้เรียกเอาไว้และบอกว่า ยามนี้ฟางจื่อฉิงอยู่บนรถม้าของหลินหว่านแล้ว จึงได้บอกให้ทุกคนกลับหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตพอทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฟางจื่อฉิง พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมและให้กำลังใจกับฟางจื่อฉิง เพราชาวบ้านเองต่างก็เอ็นดูนางและเห็นการเติบโตของนางมาตั้งแต่เด็ก บางคนถึงกับโกรธแค้นหมู่บ้านหลูเฟินที่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือฟางจื่อฉิงสักนิด ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นรุมทำร้ายเอาแต่ยืนมองดั่งก้อนหิน แต่เมื่อได้ยินว่าคุณหนูโจวเจ้าของน้ำปุ๋ยหมักให้ส่งจดหมายถึงหยางอ๋อง ว่าไม่ต้องการขายมันให้กับคนไร้ศีลธรรมจึงพอจะลดความโกรธลงมาได้ “สมน้ำหน้าพวกนั้นแล้วในเมื่อคุยกันไม่เข้าใจ ควรตามฟางเหม่ยไปรับฟังและหาทางออกร่วมกันถึงจะถูก แต่นี่กลับบังคับให้ฉิงเออร์หย่าขาดกับสามีตัวดีนั่นท่าเดียว” นางหงโยวที่มาเยี่ยมและให้กำลังทั้งสหายกับบุตรสาวนั่งพูดด้วยความโมโห“ต่อไปทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งเมือง แต่
ต้นยามเฉินของเช้าวันต่อมาหลังจากทานมื้อเช้าที่แสนอร่อย หลินหว่านและทุกคนจึงได้เริ่มต้นตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดยที่นางไม่ลืมหยิบภาพวาดที่คัดเลือกมาบางส่วน นำมาตกแต่งเพิ่มให้กับผนังห้องไม่ให้ดูโล่งจนเกินไป หลินหว่านเน้นความอบอุ่นและสวยงามด้วยการผสมผสานเครื่องตกแต่งที่ทำจากไม้คุณภาพดี มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับห้องรับแขกด้านในห้องนั่งเล่นส่วนตัวนั้นหลินหว่านจัดวางเก้าอี้ตัวใหญ่นั่งได้อย่างสบาย ๆ พร้อมโต๊ะกลางที่มีลายไม้สวยงามผนังห้องประดับด้วยงานศิลปะ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมจีนเป็นการสร้างบรรยากาศที่สงบฝั่งห้องทานอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดพอดีและเก้าอี้ที่มีเบาะรองนั่งสีอ่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้สดเพิ่มความสดชื่นและสีสันยามนั่งทานอาหาร ส่วนห้องนอนถูกออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง โดยใช้เตียงที่มีหัวเตียงทำจากไม้สลักลวดลายละเอียด พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนในโทนสีเนื้อและสีทอง ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและผ่อนคลายให้กับการนอนหลับ ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน จากฝีมือของจิตรกรทั้งสามคนที่วาดภาพได้งดงามไม่แพ้จิตร
เมื่อได้รับพระราชานุญาตตามฎีกาที่ตนได้ถวายต่อฮ่องเต้แล้ว หวังซินหยางยังไม่กลับจวนในทันทีเขากลับไปที่สำนักตรวจสอบ เพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่เล็กน้อยและพิจารณารายชื่อ เหล่าหัวหน้าแต่ละกลุ่มตามผลงานที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการคัดเลือก สำหรับตำแหน่งผู้รักษาการสำนักตรวจสอบในเมืองหลวง แต่ไม่ว่าหวังซินหยางจะเลือกหัวหน้าคนใดขึ้นมาก็ตาม ทุกคนในสำนักตรวจสอบย่อมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะทุกคนล้วนทำงานร่วมกันมานานเสี่ยงอันตรายมาก็มาก นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายก่อนที่หวังซินหยางจะตัดสินใจเลือก ‘สุยอี้หยวน’ รับภาระดูแลสำนักตรวจสอบในเมืองหลวงแทนเขา และหวังซินหยางยังได้เตรียมส่งมอบงานที่เป็นคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาที่นี่ได้ทำฆ่าเวลา เมื่อใดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับขุนนางที่ทำผิดกฎหมายของแคว้น เวลานั้นพวกเขาทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งด้านหลินหว่านที่จัดการกับสิ่งของต่าง ๆ ของตนเรียบร้อย จึงได้แวะไปสนทนากับว่าที่พระชายาเอกของหยางอ๋อง อย่างหวังลี่ถิงที่พักหลังนางต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทั้งกริยามารยาทรวมถึงเรื่องรูปร่างผิวพรรณที่ต้องงดงามที่สุด ยามที่สวมชุดแต่งงานจะยิ่งทำให้ดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท
ภายหลังมื้ออาหารเย็นในวันหนึ่งก่อนหลินหว่านจะกลับเรือนรับรอง ได้เดินมาหยุดมองดวงจันทร์กลมโตที่ส่องสว่างมากเป็นพิเศษในคืนนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ตนได้มาสานต่อความฝันยังอีกโลกหนึ่ง หลังจากต้องตายด้วยฝีมือของกลุ่มคนชั่ว นอกจากนี้ยังได้นำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยเหลือผู้คนมากมาย ซึ่งตอนนี้ในเมืองหลวงเริ่มมีชาวบ้านนำผัก มาขายมากขึ้น ส่วนตัวของหลินหว่านเองก็ลงมือเพาะปลูกวัตถุดิบทั้งหลาย ที่ต้องใช้ในกิจการร้านขนมครกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหยางหลิวพร้อมขบวนเสด็จของหยางอ๋อง เพราะต้องนำเกี้ยวเจ้าสาวอย่างหวังลี่ถิงกลับตำหนักอ๋องในเมืองหยางฉินหวังซินหยางที่เดินตามหลังหลินหว่านมาติด ๆ เห็นนางหยุดยืนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จึงได้สาวเท้าตามไปพูดคุยเรื่องบางอย่างกับนาง“หว่านเออร์เหตุใดถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้เล่า กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือพี่เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวและดวงจันทร์อยู่นาน” และภาพที่เขาได้เห็นมันช่างงดงามดั่งภาพวาดก็มิปาน“พี่ชายหวังท่านมิได้กลับเรือนนอนหรอกหรือเจ้าคะ ที่ข้าหยุดยืนมองท้องฟ้าเป็นเพราะว่าคืนนี้ดวงจันทร์งดงามมากเจ้าค่ะ และยัง
หลังจากวันที่ได้สั่งสอนบุรุษเช่นเฉินเยี่ยนหมิง หลินหว่านยังคงวุ่นอยู่กับการเตรียมต้นกล้าผัก และการเข้าไปดูร้านขนมสลับกับหวังลี่ถิงเป็นครั้งคราว เพราะหลินหว่านต้องใช้ที่ดินทั้งสิบหมู่ที่หวังซินหยางซื้อให้ เพาะปลูกผักที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับขนมครกของนาง และได้ส่งจดหมายถึงน่าซือว่าต้องอยู่จัดการงานที่เมืองหลวงเสียก่อน จากนั้นจะกลับไปเปิดกิจการบ้านสวนที่นางใฝ่ฝันเสียทีหวังซินหยางที่รู้เรื่องนี้ก็มิได้ร้อนรนแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เขาสังเกตตั้งแต่รู้จักกันในวันแรก ๆ พอจะเดาได้ไม่ยากนัก ว่าสถานที่ที่หลินหว่านชอบและต้องการอาศัยอยู่มากที่สุด นั่นก็คือบ้านสวนของนางที่หมู่บ้านหลูหยาง ตัวของหวังซินหยางจึงได้คิดวางแผนอนาคตของตนไว้เงียบ ๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเขาย่อมตัดสินใจอย่างไม่ลังเลการใช้ชีวิตและการทำงานของหลินหว่านกับหวังซินหยาง ยังคงเหมือนเช่นเดิมในทุก ๆ วันอาจจะมีเรื่องรุนแรงบ้างแต่ไม่หนักหนาเท่าใดนัก แต่สถานการณ์ภายในเมืองหลวงของแคว้นเว่ย กำลังสับสนวุ่นวายขึ้นในวันหนึ่งยามเช้าตรู่ เมื่อผู้คนออกจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน และได้พบกับกระดาษมากมายที่ถูกโยนทิ้งไว้กลางถนน“นี่มันกระดาษอั
วันถัดมาหวังซินหยางถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงอย่างที่คิดจริง ๆ หวังเจี้ยนหนานที่เห็นสีหน้าแววตาของบุตรชายคนโต จำต้องตักเตือนสักเล็กน้อยมิให้เขาแสดงออกชัดเจนจนเกินไป แม้จะโมโหจนอยากสังหารให้ตายก็อย่าให้ศัตรูอ่านความคิดได้ หวังซินหยางจึงพยายามปรับอารมณ์และสีหน้าของตนให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้และเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ฮ่องเต้ไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินพระทัยคำตอบที่เฉินเยี่ยนหมิงได้รับ คือการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาแม้จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี แต่ฮ่องเต้ย่อมต้องคัดเลือกสตรีที่เหมาะสมและจงรักภักดีกับรัชทายาท รวมถึงราชบัลลังก์ไม่มีความคิดที่จะแย่งชิง“ฝากใต้เท้าเฉินกลับไปทูลฮ่องเต้ของท่านด้วยว่า เจิ้นรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ฮ่องเต้ของท่านยอมตัดใจส่งธิดาองค์โตมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เจิ้นมีวิธีการแก้ไขปัญหาเป็นของตนเองถึงยามนี้จะยังไม่ดีนัก แต่ในอีกไม่ช้าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียว เมื่อวันนั้นมาถึงข่าวลือย่อมไปถึงแคว้นเว่ยอย่างรวดเร็วแน่ ๆ” หากเจิ้นโง่คงไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนี้หรอกนะ“เอ่อ ฝ่าบาทจะไม่ทรงเก็บไปพิจารณาดูก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”“หืม เ