มู่หลินหว่านไม่สนว่าผู้ใดจะนัดเจอกันไม่ว่าจะเป็นที่จวนหรือที่ไหนก็ช่าง ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทานอาหารให้อิ่มท้อง และนอนพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงโดยเร็วเท่านั้น เพื่อหาหนทางออกไปจากตระกูลที่น่ารังเกียจแห่งนี้
ด้านของมู่จือหย่าที่รีบแต่งตัวออกมาพบคู่หมั้นหนุ่มอนาคตไกล ที่พยายามให้มารดาแย่งมาจากน้องสาวอย่างมู่หลินหว่านได้ นางรีบขอโทษขอโพยต่อเฉินเยี่ยนหมิงเป็นการใหญ่ โดยกล่าววาจาใส่ร้ายว่าถูกน้องสาวคนรองกลั้นแกล้ง ทำชุดที่เพิ่งได้รับจากร้านตัดเสื้อเปรอะเปื้อน ทั้งที่ตั้งใจจะสวมใส่เพื่อออกไปด้านนอกในวันนี้
“หย่าเออร์ขออภัยคุณชายเฉินจริง ๆ เจ้าค่ะที่ออกมาพบล่าช้าจนทำให้คุณชายเสียเวลานั่งรออยู่ตั้งนาน” มู่จือหย่ามาถึงก็เริ่มเสแสร้งเป็นผู้ถูกกระทำทันที
“ไม่เป็นไรคุณหนูใหญ่มู่ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นานเช่นกัน ว่าแต่เหตุใดถึงไม่สวมชุดใหม่ที่เจ้าบอกเอาไว้เล่า มิใช่ว่าที่ร้านได้นำมันมาส่งให้ที่จวนแล้วรึ”
“เอ่อ คือว่าชุดที่หย่าเออร์ตั้งใจจะสวมวันนี้ ถูกน้องรองทำมันเปรอะเปื้อนตอนที่นำไปซักเจ้าค่ะ หย่าเออร์ไม่แน่ใจว่านางไม่ได้ตั้งใจหรือแค่อยากกลั่นแกล้งกันแน่ ไม่กี่วันก่อนก็แอบขโมยปิ่นปักผมอันใหม่ของหย่าเออร์ไปซ่อนไว้อีกเจ้าค่ะ” มู่จือหย่าทำทีเล่าออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“นี่นางจะอิจฉาเจ้าไปถึงเมื่อไหร่กันถูกลงโทษไปกี่ครั้ง ใยไม่รู้จักหลาบจำเสียบ้างคงเปลี่ยนนิสัยของนางไม่ได้แล้วล่ะ ต่อไปเจ้าต้องระวังให้มากกว่านี้อย่าให้นางจับต้องสิ่งของ ๆ เจ้าอีก ในเมื่อชุดนั่นมันใส่ไม่ได้ก็ช่างเถิดประเดี๋ยวข้าจะซื้อชุดใหม่ให้ท่านเอง” เฉินเยี่ยนหมิงตั้งแต่ได้หมั้นหมายกับมู่จือหย่า เขามักจะได้รับฟังแต่ด้านไม่ดีของมู่หลินหว่านอยู่เสมอ
“หย่าเออร์ขอบคุณคุณชายเฉินล่วงหน้าเจ้าค่ะ ที่ใจดีกับหย่าเออร์ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้วพวกเราไปที่นั่งดื่มชาทานของว่างที่หออี๋ชุนก่อนจากนั้นค่อยไปเดินเล่นกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิวันนี้ข้ามีเวลาให้กับคุณหนูใหญ่มู่ทั้งวัน ท่านอยากไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นหรืออยากได้เครื่องประดับ รวมถึงเสื้อผ้าชุดใหม่แทนชุดที่ขาด ท่านเลือกร้านค้าได้นะว่าอยากไปซื้อที่ร้านตระกูลใด สำหรับคุณหนูใหญ่มู่ควรใช้สิ่งของที่ราคาเหมาะกับฐานะของท่านเท่านั้นถึงจะเหมาะสม” เฉินเยี่ยนหมิงได้รับคำสั่งจากมารดาให้เอาใจมู่จือหย่าให้มาก
“คุณชายเฉินพูดจริงหรือเจ้าคะแต่หย่าเออร์เกรงใจ หากต้องทำให้ท่านใช้จ่ายเงินตำลึงมากมายเช่นนี้ เอาเป็นว่าหากมีสิ่งไหนที่หย่าเออร์สามารถช่วยทำให้ท่านได้ละก็ โปรดบอกกับหย่าเออร์ได้ทันทีนะเจ้าคะ”
“ยังไม่มีสิ่งใดรบกวนคุณหนูใหญ่มู่หรอก ถ้าจะมีเรื่องที่ข้าต้องการ เห็นทีจะมีเพียงอยากให้ถึงวันแต่งงานโดยเร็วเสียมากกว่า ข้าอยากรับท่านเข้าจวนไปเป็นฮูหยินเอกและดูแลปกครองเรือน ยามเสร็จจากการทำงานกลับมาก็ได้เจอภรรยาผู้งดงามรออยู่ที่จวน คงจะช่วยให้ข้าหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้งแน่ ๆ” เฉินเยี่ยนหมิงแกล้งหยอกเย้าคู่หมั้นสาวจนนางเขินอายกับคำพูดเหล่านั้น
“คุณชายเฉินละก็กล่าวเช่นนี่หย่าเออร์ก็เขินอายเป็นนะเจ้าคะ” มู่จือหย่าทำทีท่าเอียงอายไร้เดียงสา
“หึ ๆ เชิญคุณหนูใหญ่มู่ที่รถม้าเถิดประเดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน รับรองว่าวันนี้ข้าจะมาส่งท่านก่อนยามเซินไม่ต้องกังวลไป”
“ขอบคุณคุณชายเฉินที่เข้าใจหย่าเออร์เจ้าค่ะ”
เฉินเยี่ยนหมิงพามู่จือหย่าเดินไปขึ้นรถม้าที่รออยู่หน้าจวน พานางไปหออี๋ชุนเพื่อดื่มชารสชาติดี หลังจากนั้นค่อยพานางตระเวนไปตามร้านเครื่องประดับและร้านผ้าต่าง ๆ มู่จือหย่าเลือกซื้อสิ่งของเหล่านี้อย่างสนุกสนาน ทั้งที่ความจริงนั้นเฉินเยี่ยนหมิงแค่ทำตามคำสั่งของมารดา เขาไม่ได้รู้สึกรักใคร่อันใดในตัวของมู่จือหย่าเลยสักนิด เพียงแต่มารดาของเขาต้องการอาศัยอำนาจของเสนาบดีมู่ เพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้กับบิดาของเขาในการเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น เฉินเยี่ยนหมิง
มีข้อตกลงกับมารดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อใดที่แต่งงานกับมู่จือหย่าและบิดาได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว เขาต้องการรับฮูหยินรองจากตระกูลหลินเนื่องจากนางเป็นสตรีที่เขารัก ซึ่งมารดาของเขาได้รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ และเฉินเยี่ยนหมิงก็ทำตามที่บอกกับมู่จือหย่า เขาพานางมาส่งที่จวนตระกูลมู่ก่อนถึงยามเซินจริง ๆส่วนมู่หลินหว่านที่นอนพักผ่อนไปหลายชั่วยาม ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะยามนี้เสียงร้องจากกระเพาะอาหารของนาง กำลังเรียกร้องหาอาหารเนื่องจากเลยเวลามาพอสมควร จึงลุกขึ้นมาล้างหน้าให้สดชื่นเพื่อไปยังห้องครัวหาอะไรที่กินได้มารองท้องเสียหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไปด้านในพลันได้ยินบ่าวไพร่พูดคุยกัน เกี่ยวกับงานเลี้ยงน้ำชาที่จะจัดขึ้นในจวนแห่งนี้ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า มีแขกเหรื่อเป็นฮูหยินและบุตรชายบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง ที่ได้รับหนังสือเชิญมาร่วมงานด้วยมากมาย เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นงานดูตัวสำหรับครอบครัวที่มีฐานะเหมาะสมกัน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เข้าทางมู่หลินหว่านให้แล้ว หนทางที่จะหลุดพ้นจากตระกูลที่ฉากหน้าดูดีแต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะเสียที
มู่หลินหว่านเปลี่ยนใจเดินกลับมายังกระท่อมโทรม ๆ ของตนนั่งคิดนอนคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะตัดขาดกับตระกูลนี้ แต่เพราะท้องที่ปราศจากอาหารไปหล่อเลี้ยงยังคงส่งเสียงอยู่ จึงทำให้ในหัวของนางว่างเปล่าคิดสิ่งใดไม่ออกเอาเสียเลย
“โครกคราก!! โอ๊ย คิดไม่ออกเสียทีจะใช้วิธีไหนได้บ้างนะเนี่ย หิวก็หิวมองไปทางไหนก็เห็นเป็นของกินไปหมดแล้ว เฮ้อ หากยังอยู่ที่บ้านสวนป่านนี้มื้อเย็นคงทำกินเองไปตั้งนานละ...เฮ้ย!!!”
“ผลุบ!! กรี๊ดดดด ตุบ ”
“เอ๊ะ! เมื่อกี้ร่วงลงมาจากกลางอากาศแล้วทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บล่ะ หือ ที่นอนคุ้น ๆ เหมือนเตียงนอนที่บ้านสวนเลยแฮะ หรือว่าเราจะหิวจนตาลายเดินสะดุดก้อนหินล้มลงหัวฟาดพื้นตายอีกรอบเหรอเนี่ย”
ขณะที่มู่หลินหว่านกำลังพิจารณาสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมันเหมือนกับของภายในบ้านสวนของตนเองอย่างมาก กลับมีเสียงเล็ก ๆ ตอบคำถามของมู่หลินหว่านขึ้นมาทันที
“ยินดีต้อนรับนายหญิงกลับสู่มิติบ้านสวน ท่านยังคงมีชีวิตอยู่และยังต้องอยู่ต่อไปอีกนานเจ้าค่ะ”
“อ๊ากกกกก!!! ผีหลอก!! พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยจอมด้วยจ้า พวกเราไม่เคยรู้จักอย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยนะ เป็นผีก็อยู่ส่วนผีอย่าทำบาปเพิ่มด้วยการแกล้งคนแบบนี้ ถ้าน้องอยากกินอะไรก็สั่งไว้พรุ่งนี้พี่สาวจะไปทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ อย่าได้ผูกเวรผูกกรรมต่อกันจะดีกว่านะคุณน้องผี นะโม ตัสสะ ๆ ๆ” เจ้าจอมในร่างของมู่หลินหว่านถึงกับกรีดร้อง เอาแต่หลับตาก้มหน้าสวดมนต์อย่างลืมตัว
“เฮ้อ อยากจะบ้าตายเหตุใดข้าที่เป็นถึงภูติสาวแสนสวยตัวน้อย ๆ ต้องมาเจอเจ้านายเช่นนี้ด้วยนะ นี่ท่านน่ะลืมตามามองข้าสักนิดเถิดที่นี่ไม่มีผีหรอกนะ มีแต่คนหน้าตางดงามอยู่สองคนเท่านั้นท่านไม่อยากรู้หรือว่าที่นี่คือไหนน่ะ ท้องท่านร้องหาอาหารอร่อย ๆ อยู่มิใช่หรืออย่างไรเจ้าคะ ตู้เย็นในห้องครัวยังมีของกินอีกหลายอย่างเชียวนะ ที่ท่านทำเก็บไว้ทาน หากยังไม่เอามันออกมาทานคงจะเน่าเสียจนหมดแน่ ๆ”
ภูติตัวน้อยเรียกสติของมู่หลินหว่านที่ยังไม่ยอมเงยหน้า เพื่อที่จะได้แนะนำตนเองกับเจ้านายที่ตนต้องคอยดูแลนับจากนี้ และต้องบอกถึงประโยชน์หรือที่มาที่ไปของมิติแห่งนี้ให้มู่หลินหว่านได้ทราบ เมื่อได้ยินเสียงน้อย ๆ บอกว่าตนเองไม่ใช่ผีเสียงสวดมนต์ก็หยุดลง และใบหน้าเรียวค่อย ๆ เงยขึ้นมามองหาเสียงที่เปล่งเสียงน่ารัก ๆ เรียกชื่อของนาง ก่อนจะพบว่ามีคนตัวเล็ก ๆ มีปีกและบินได้ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศ
“นะ นะ นี่เจ้าไม่ใช่ผีแน่นะอย่าได้โกหกให้ข้าตายใจเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคำสาปแช่งสารพัดจะเป็นของเจ้าทันที”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอนแต่ข้าคือภูติพฤกษาประจำมิตินี้ และที่สำคัญมันยังเป็นมิติบ้านสวนของท่านจากโลกก่อน รวมถึงความรู้ความสามารถของท่านทุกอย่างยังใช้ได้เหมือนเดิม ตอนนี้พวกเราอยู่ภายในบ้านของท่านของทุกชิ้นยังอยู่กับที่ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือการสับเปลี่ยนใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านหิวมิใช่หรืออาหารที่ท่านทำเก็บไว้เอาออกมาอุ่นเสียสิ กินให้อิ่มท้องก่อนเถิดท่านยังต้องคิดหาวิธีออกจากจวนแห่งนี้อีกนะเจ้าคะ”
“เดี๋ยว ๆ ๆ เจ้าบอกว่าที่ยืนอยู่ในตอนนี้คือบ้านสวนของข้าจากโลกก่อน และมันกลายมาเป็นมิติวิเศษโดยมีเจ้าเป็นภูติคอยดูแลที่นี่ข้าเข้าใจถูกไหม” มู่หลินหว่านย้ำกับภูติตัวน้อยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ใช่เจ้าค่ะท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วนี่คือบ้านสวนของท่านอย่างแท้จริง ไม่ว่าท่านคิดจะปลูกพืชผักผลไม้หรือทำอะไรเกี่ยวกับการใช้มิติแห่งนี้ จะมีข้าคอยดูแลจัดการแทนโดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเจ้าค่ะ”
“ว้าว! ไม่อยากเชื่อเลยว่านอกจากจะได้มาเกิดใหม่แล้ว ยังมีมิติบ้านสวนของตนเองติดตัวมาอีกด้วยนะเนี่ย ยอดเยี่ยมที่สุดขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาสงสารข้าผู้นี้ ขอบคุณท่านเทพเทวดาที่หล่อเหลางดงามทั้งหลายเมื่อใดที่ออกจากจวนแห่งนี้ได้ข้าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะเจ้าคะ ว่าแต่เจ้ามีชื่อหรือไม่จะให้เรียกเจ้าว่าภูติพฤกษามันก็ฟังดูแปลก ๆ
เกินไปนะ”“นายหญิงช่วยตั้งชื่อให้ข้าด้วยสิเจ้าคะท่านชอบชื่ออะไร สามารถนำมาตั้งชื่อได้ทั้งนั้นแต่ถ้าจะให้ดีขอเป็นชื่อเพราะ ๆ สักนิดจะดีมากเจ้าค่ะ”
“แล้วบอกว่าชื่ออะไรก็ได้ที่ข้าชอบเจ้าจะพูดเพื่อ ฮึ่ม...อือ จะให้ชื่อว่าอะไรดีน้าตัวเจ้าก็เล็กเท่านี้เองแต่เป็นภูติเกี่ยวกับต้นไม้ แล้วต้นไม้มีสีเขียวเป็นธรรมชาติงดงาม อ้อ นึกออกแล้วเช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวลวี่เป็นอย่างไร”
“เสี่ยวลวี่งั้นหรือฟังดูก็น่ารักดีนะเจ้าคะเช่นนั้นข้าใช้ชื่อนี้เจ้าค่ะ ต่อไปข้ามีชื่อว่าเสี่ยวลวี่มีหน้าที่ดูแลมิติแห่งนี้ให้นายหญิง ขอบคุณมากเจ้าค่ะที่ช่วยตั้งชื่อให้กับข้า”
“ยินดีจ้ะเสี่ยวลวี่แต่ตอนนี้ข้าขอไปทานอาหารก่อนนะ ประเดี๋ยวค่อยมานั่งคิดแผนไปจากที่นี่กันต่อ”
เสี่ยวลวี่บินตามหลังมู่หลินหว่านไปยังห้องครัว อาหารที่ทำเก็บไว้ในตู้เย็นยังคงมีสีสันน่ากินเช่นเคย บรรยากาศด้านหลังห้องครัวที่มองเห็นสวนผลไม้หลากหลาย เล้าเป็ดเล้าไก่ที่เลี้ยงไว้อยู่ด้านบนบ่อปลานิลสัตว์ทั้งสามชนิด ยังคงมีชีวิตทั้งไก่และเป็ดจิกกินอาหารเพื่อออกไข่ ให้นางได้เก็บกินทุกวันอยู่เช่นเคยแปลงผักที่กำลังเติบโต และถัดไปยังเป็นนาข้าวที่ยืนต้นเขียวขจีอีกหลายไร่ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็พลันให้คิดถึงพ่อแม่ของตนจนน้ำตาคลอ พวกเขาคงจะเสียใจมากและโกรธแค้นพวกค้ายาเสพติด ที่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักต้องมาตายขณะที่อายุยังน้อย จึงทำได้เพียงอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจให้พ่อแม่ในโลกนั้น ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีก็เพียงพอแล้วสำหรับลูกสาวคนนี้
“นายหญิงสบายใจเถิดเจ้าค่ะบิดามารดาของท่านทางนั้น พวกเขาอาจจะโศกเศร้ากับการสูญเสียท่านก็จริง แต่ทั้งสองก็เข้าใจสัจจธรรมของชีวิตอยู่มาก พวกเขาย่อมใช้ชีวิตอย่างดีจนกว่าจะสิ้นอายุขัยเจ้าค่ะ” เสี่ยวลวี่ช่วยปลอบโยนมู่หลินหว่านเมื่อเห็นว่านางมีท่าทีเศร้าสร้อย
“ขอบใจเสี่ยวลวี่ที่ช่วยปลอบใจยามนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว สิ่งที่ควรทำมากที่สุดสำหรับตอนนี้คือแผนการให้ตัวข้าถูกไล่ออกจากที่นี่ เจ้าคิดว่าควรใช้แผนเช่นไรได้บ้างกับคนในโลกใบใหม่ของข้า”
“ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าท่านได้ยินพวกบ่าวไพร่พูดถึงงานเลี้ยงน้ำชา ที่ฮูหยินเอกจะเป็นคนจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้าหรือเจ้าคะ หากท่านต้องการถูกไล่ออกจากจวนแห่งนี้ วันงานเลี้ยงมีตัวเลือกให้ท่านมากมายสามารถใช้เป็นตัวช่วย ข้าเชื่อว่าบิดาของท่านจะรีบเขียนหนังสือตัดขาดให้อย่างรวดเร็วเชียวล่ะ”
“จริงด้วย!! เสี่ยวลวี่ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเตือนสติข้า หึ มาคอยดูกันเถิดว่างานเลี้ยงของนางฮูหยินนั่นจะปังหรือจะพังกันแน่ ฮ่า ๆ ๆ แต่ถ้าได้ออกจากที่นี่ไปจะเอาเงินจากไหนใช้จ่ายล่ะ เบี้ยหวัดอะไรก็ไม่เคยได้รับเช่นคนอื่นเขาสักครั้ง” มู่หลินหว่านเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางหลังจากนี้
“ไม่เห็นยากเลยเจ้าค่ะนายหญิงในห้องเก็บสมบัตินั่นอย่างไร ท่านจะเอามาทั้งหมดก็ยังได้นะเจ้าคะมีที่เก็บตั้งกว้างถึงเพียงนี้ หรือท่านจะใจดีเหลือไว้ให้จวนบิดาของท่านใช้ซื้อข้าวสารอาหารแห้ง สำหรับคนในจวนสักหีบสองหีบถือว่าเป็นของขวัญช่วงเวลาสิบกว่าปี ที่ท่านได้อยู่อาศัยภายใต้ชายคาจวนตระกูลมู่ทำบุญสักเล็กน้อย เพื่อหนุนดวงชะตาของท่านให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปเจ้าค่ะ” เสี่ยวลวี่ชี้ช่องทางหาเงินจำนวนมากให้กับมู่หลินหว่าน
“ตกลงเสี่ยวลวี่รอให้ใกล้ถึงวันงานทุกคนในจวนคงจะยุ่งกันมาก ไม่มีใครมาสนใจข้าที่เก็บตัวอยู่ในกระท่อมแน่นอน พวกเราค่อยลงมือกันจะดีกว่าวันถัดไปจะได้ออกเดินทางทันที” มู่หลินหว่านเห็นด้วยกับวิธีของเสี่ยวลวี่
“เจ้าค่ะนายหญิงเสี่ยวลวี่จะช่วยท่านเอง”
มู่หลินคลายความกังวลใจทั้งหมดได้แล้วเมื่อทานอาหารเสร็จ จึงออกไปเดินเล่นภายในบริเวณบ้านสวนในมิติ ที่ยังคงให้บรรยากาศเดิม ๆ เช่นอยู่ด้านนอก ระหว่างเดินเล่นก็คิดว่านางควรปรากฏตัว
ตอนไหนถึงจะดี หรือควรอาละวาดสร้างปัญหาไปเลยจะดีหรือไม่ เพราะขุนนางยุคสมัยนี้รักหน้าตามากกว่าสิ่งใด หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยมักจะถูกซุบซิบนินทาจากผู้คนไปนานหลายวันเลยทีเดียว“มู่หลินหว่านอิสระของเจ้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะ”
มู่หลินหว่านใช้เวลาอยู่ในมิติพักใหญ่ถึงได้กลับออกมา และหยุดฟังเสียงโดยรอบกระท่อมหลังเล็กอยู่สักพัก เมื่อไม่มีเสียงของใครจึงวางใจได้ว่าวันนี้คงไม่เกิดเรื่องเช่นเมื่อเช้าอีก คืนนี้มู่หลินหว่านย่อมได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียที แต่ในยามเช้าก่อนเวลาอาหารนางต้องไปที่ห้องครัวเสียหน่อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน ทั้งที่ถูกทำโทษหนักและไม่ได้ทานข้าวหรือยาแม้แต่น้อย จนพวกบ่าวไพร่บางคนยังคิดว่ามู่หลินหว่านตายอยู่ในกระท่อมหลังเล็กไปแล้ว แต่ที่นางยังไม่รู้ก็คือพวกบ่าวไพร่ที่ห้องครัวรอหาเรื่องนางอยู่ต่างหาก คืนแรกของการได้เข้ามาใช้ชีวิตในยุคโบราณที่ตนชื่นชอบเช่นนี้ ไม่มีอะไรทำให้นางหนักใจขอเพียงหลังจากนี้บำรุงตนเองให้มากเข้าไว้ ร่างกายย่อมกลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววันอย่างแน่นอน ต้นยามเหม่ามู่หลินหว่านตื่นล้างหน้าแปรงฟันในห้องนอนของตนในมิติ หลังจากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวตามความทรงจำของร่างเดิม เมื่อมาถึงก็ถูกมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างมาก แต่แล้วอย่างไรใครสนใจกันเพราะนางมาหาของกิน ไม่ได้มาหาเรื่องใครเสียหน่อยถึงจะเป็นเช่นนั้น ใช่ว่าเรื่องจะไม่วิ่งเข้าม
หลังจากได้รับอิสระพร้อมหนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือของตนแล้ว มู่หลินหว่านเดินออกจากจวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ชุดที่สวมใส่จะเก่าจนมองไม่ออกว่ามันคือสีอะไร และแทบทั้งตัวยังมีร่อยรอยของการปะชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มนั้นจางหายไปได้ ยิ่งเดินมาได้ครึ่งทางมู่หลินหว่านได้ยินเสี่ยวลวี่พูดขึ้น เกี่ยวกับเงินในห้องเก็บสมบัติที่เพิ่งจะเก็บกวาดมาได้“นายหญิงเจ้าคะสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือไปร้านขายเสื้อผ้าเจ้าค่ะ เพราะชุดที่ท่านใส่ในตอนนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง”“หือ เสี่ยวลวี่หรอกหรือเจ้าหายไปไหนมาเห็นเงียบไปเสียนาน ข้าลองเรียกดูก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าเลย”“เสี่ยวลวี่ไปจัดการเรื่องห้องเก็บสมบัติให้ท่านอย่างไรเล่า ยามนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”“งั้นแสดงว่าตอนนี้หากข้าต้องการซื้อสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะถูกหรือแพงใช่ไหมเสี่ยวลวี่”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิงท่านเลือกเสือผ้าชุดสวย ๆ มาหลาย ๆ ชุดเลยนะเจ้าคะ จากนั้นไปหาที่หารถม้าสำหรับเดินทางไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ว่าแต่นายหญิงจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”“อืม ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเว่ยแห่งนี้
โจวหลินหว่านและบ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคน ออกเดินทางด้วยรถม้าทำให้สะดวกสบายกว่านั่งเกวียนวัวหลายเท่า พวกเขาทั้งสามคนไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นการสำรวจตามเมืองต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่าน รวมถึงแวะซื้อเสบียงอาหารเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อป้องกันยามที่ต้องพักค้างแรมตามป่าเขาที่ไม่มีโรงเตี๊ยม ระหว่างนั่งรถม้าน่าซือได้เล่าถึงตระกูลของมารดา ที่ยามนี้ต่างแยกย้ายกระจัดการกระจายไปคนละทิศละทาง ภายหลังท่านตาท่านยายเสียชีวิตก็มีการแบ่งสมบัติ โดยท่านแม่ได้มากกว่าพี่ชายและน้องสาวคนอื่น ๆ เนื่องจากท่านแม่ช่วยครอบครัวทำงานมากกว่าจึงได้สมบัติเยอะ ด้วยเหตุนี้มู่อวี่เฉินจึงพยายามตามเกี้ยวพามารดาของนาง จนได้แต่งงานและใช้เงินทองในการสอบขุนนางอยู่หลายครั้งกว่าจะผ่านได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับกลายเป็นคนทรยศหักหลังไปเสียได้ โจวหลินหว่านไม่อยากให้บ่าวทั้งสองคิดถึงอดีตอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะนางไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับคนเลวเช่นนั้น“ท่านอาน่าซืออย่าได้ยึดติดกับเรื่องในอดีตอีกเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเราจะพาท่านแม่ไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ข้าจะหาซื้อที่ดินสวย ๆ อยู่ติดเชิงเขาจะแบ่งส่วนหนึ่งทำสุสานให้กับท่านแ
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
ด้านจวนตระกูลมู่สถานการณ์ภายในห้องโถงรับแขกของจวนนั้น กลับแตกต่างจากจวนตระกูลเฉินอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมู่จือหย่าเอาแต่โวยวาย และบอกว่าตัวของนางถูกคนวางแผนทำลายอนาคต โดยเฉพาะการปักใจเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหลินหนิงเซียนอย่างแน่นอน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามู่กลับเห็นต่างเมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ของหลานสาวคนโปรด “กรี๊ดดดด!! ข้าจะกลับไปหาทานพี่เขาเป็นสามีของข้าแล้ว เหตุใดท่านพ่อถึงไม่ช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนังหนิงเซียนนั่น ที่วางแผนสกปรกทำให้ข้าและตระกูลมู่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ฮือ ๆ ๆ” มู่จือหย่ายังไม่หยุดโวยวายแม้จะกลับมาถึงจวนแล้วก็ตาม“เจ้าจะหุบปากได้หรือยัง!! ไม่ว่าจะเป็นแผนการของใครก็ตามแต่เป็นเจ้าที่โง่เอง ในเมื่อคิดได้ว่าหลินหนิงเซียนจะส่งคนเข้ามาปะปนอยู่หมู่บ่าวไพร่ ทำไมยังเรียกหาอาหารหรือน้ำชาจากสาวใช้ที่ไม่น่าไว้ใจได้ ส่วนเจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทกลับไม่ตักเตือนเจ้านายแทนที่จะเป็นเจ้าที่ไปยังห้องครัวเพื่อรับอาหารว่างเอง แต่กลับห่วงเรื่องประจบสอพลอเจ้านายหวังเงินรางวัล จนทำให้เกิดเรื่องใหญ่ถึงขั้นที่ตระกูลมู่ของข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง นังบ่าวไม่มีความคิดเจ้ารู้ไหมพรุ่งนี้เช
เฉินจิ้งที่รอเวลาตามแผนหลังจากเริ่มมีเสียงครวญครางดังลั่นด้านในห้อง เขาปล่อยให้จิ้นโจวได้มอบความสุขสมให้มู่จือหย่าอยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม พอสมควรแก่เวลาที่กำหนดไว้จึงกลับเข้าไปในงานเลี้ยงที่ยังมีแขกเหรื่ออยู่ร่วมงาน รวมถึงเหล่าบุรุษและสตรีที่ติดตามบิดามารดามาแสดงความยินดี หนึ่งในนั้นมีหลินหนิงเซียนที่มาพร้อมกับบิดามารดา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มีใจอิจฉาริษยามู่จือหย่าแต่อย่างใดเฉินจิ้งแสร้งทำตัวเลิ่กลั่กให้เป็นที่น่าสงสัยสำหรับคนที่มองมา เฉินจิ้งจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเฉินเยี่ยนหมิงด้วยท่าทางมีพิรุธสายตาหลายคู่จึงจับจ้องมายังเฉินจิ้งเป็นพิเศษ ใบหูแต่ละคนก็คอยฟังว่าบ่าวคนสนิทผู้นี้จะบอกเรื่องอะไรกับเจ้านายตนกันแน่ ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ก็ตาม แต่มักจะมีคนที่ชื่นชอบยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น เป็นคนกระจายข่าวแทนเสมอ“หือ อาหมิงเหตุใดเฉินจิ้งถึงดูกระวนกระวายแปลก ๆ เจ้าเรียกเฉินจิ้งเข้ามาหาพวกเราหน่อยจะดีหรือไม่ จากท่าทางกระอึกกระอักนั่นคล้ายกับว่ามีเรื่องจะรายงานกับเจ้านะ ลองสอบถามดูสิว่ามีเรื่องอันใดอย่าให้ทำตัวไม่มีมารยาทต่อหน้าแขกเหรื่อเช่นนี
การเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังแคว้นหยางเป็นสิ่งที่หลินหว่านตัดสินใจได้ถูกต้อง หากยังเลือกที่จะอยู่แคว้นเว่ยป่านนี้ชีวิตคงไม่มีความสุขเป็นของตนเองแน่ เพราะมู่จือหย่าไม่มีทางให้หลินหว่านอยู่เป็นหนามตำใจ ด้วยเกรงว่าคู่หมั้นที่อุตส่าห์แย่งไปเป็นของตนเองได้จะกลับมาวุ่นวายกับนาง และเช้าวันนี้ก็เป็นวันที่หลินหว่านต้องทำตามคำพูดของนาง นั่นก็คือการทำขนมครกแจกชาวบ้านเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อวานนี้ บรรยากาศการแจกขนมช่างคึกคักยิ่งกว่าทุกวันใครบ้างไม่อยากทานของอร่อย แม้จะพอเจียดเงินไปซื้อทานเองได้ถึงอย่างไรการได้รับของแจกเป็นครั้งคราว ก็ช่วยประหยัดเงินในครอบครัวไปได้ไม่มากก็น้อยและยังเก็บเงินนี้ไว้ซื้อสิ่งอื่นที่ราคาใกล้เคียงกันได้หวังซินหยางผู้เป็นห่วงหลินหว่านเกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไป จึงได้ให้ซั่วเหยียนมาช่วยแจกขนมกับนางด้วยอีกคน เนื่องจากยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้วสามารถทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ถือเป็นการออกกำลังให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ขณะที่หวังซินหยางกำลังนั่งนึกถึงภาพรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ที่หลินหว่านมอบให้กับเขาไปเมื่อวานนี้อยู่ภายใน
หลินหว่านเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังศาลาว่าการเมืองหยางหลิว ที่ยามนี้ใกล้จะได้เวลาเปิดทำการตามปกติกลับมีเสียงตีกลองด้านหน้าดังขึ้น เจ้าหน้าที่สองสามคนถึงกับรีบวิ่งออกมาดูว่า ใครกันที่มาร้องทุกข์แต่เช้าเช่นนี้ เมื่อพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านยืนรอพร้อมกันมากกว่าสี่สิบคน จึงสอบถามเรื่องราวเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อนำกลับไปรายงานต่อท่าน เจ้าเมือง และให้ผู้ที่มาร้องทุกข์เข้าไปรอด้านในห้องไต่สวน แต่เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นจำหน้าหลินหว่านได้จึงเป็นคนเอ่ยถามออกมาแทน“อ้าว คุณหนูท่านนี้ข้าจำท่านได้ท่านเคยมาติดต่อซื้อที่ดินนับร้อยหมู่ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ถึงได้มากันเสียเยอะแยะ แล้วใครที่เป็นคนตีกลองร้องทุกข์เมื่อกี้หรือขอรับ”“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะพี่ชายเป็นข้าเองที่ตีกลองร้องทุกข์ไป เนื่องจากมีคนไปอาละวาดที่ตลาดกล่าวหาว่า ขนมที่ข้าทำขายอยู่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ไปขโมยสูตรผู้อื่นมา ดังนั้นจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านเจ้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสูตรขนมตัวจริงเจ้าค่ะ”“เมืองหยางหลิวไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำเรื่องผิดศีลธรรมทำลายภาพลัก
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็