มู่หลินหว่านใช้เวลาอยู่ในมิติพักใหญ่ถึงได้กลับออกมา และหยุดฟังเสียงโดยรอบกระท่อมหลังเล็กอยู่สักพัก เมื่อไม่มีเสียงของใครจึงวางใจได้ว่าวันนี้คงไม่เกิดเรื่องเช่นเมื่อเช้าอีก คืนนี้มู่หลินหว่านย่อมได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียที แต่ในยามเช้าก่อนเวลาอาหารนางต้องไปที่ห้องครัวเสียหน่อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน ทั้งที่ถูกทำโทษหนักและไม่ได้ทานข้าวหรือยาแม้แต่น้อย จนพวกบ่าวไพร่บางคนยังคิดว่ามู่หลินหว่านตายอยู่ในกระท่อมหลังเล็กไปแล้ว แต่ที่นางยังไม่รู้ก็คือพวกบ่าวไพร่ที่ห้องครัวรอหาเรื่องนางอยู่ต่างหาก
คืนแรกของการได้เข้ามาใช้ชีวิตในยุคโบราณที่ตนชื่นชอบเช่นนี้ ไม่มีอะไรทำให้นางหนักใจขอเพียงหลังจากนี้บำรุงตนเองให้มากเข้าไว้ ร่างกายย่อมกลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววันอย่างแน่นอน ต้นยามเหม่ามู่หลินหว่านตื่นล้างหน้าแปรงฟันในห้องนอนของตนในมิติ หลังจากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวตามความทรงจำของร่างเดิม เมื่อมาถึงก็ถูกมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างมาก
แต่แล้วอย่างไรใครสนใจกันเพราะนางมาหาของกิน ไม่ได้มาหาเรื่องใครเสียหน่อยถึงจะเป็นเช่นนั้น ใช่ว่าเรื่องจะไม่วิ่งเข้ามาหาเสียเมื่อไหร่ แม้จะพอเดาได้จากสีหน้าทุกคนแต่มู่หลินหว่านคนใหม่ ใช่จะยอมให้รังแกกันได้โดยง่ายเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป ยามนี้ใครเปิดมานางยินดีสวนกลับไม่มีการออมมือ
“โย้ว พวกเราดูสิว่าเช้านี้ใครเดินมาถึงห้องครัวแต่เช้ามืดได้ สงสัยจะนอนพักอย่างเต็มที่ถึงได้รีบกลับมาทำงานกระมัง”
“ฮึ ก็นึกว่าใครที่แท้ก็คุณหนูตกอับที่แม้แต่นายท่านก็ไม่แลนี่เอง จิ๊ ๆ ๆ ช่างน่าสงสารเหลือเกินวันนี้เดินมาถึงห้องครัว จะนำความโชคร้ายเสนียดจัญไรอันใดมาปล่อยทิ้งไว้หรือไม่นะ”
“อี๋ ทำไมห้องครัวถึงได้เหม็นสาบสิ่งสกปรกไปทั่วเช่นนี้เล่า เหล่าเจ้านายในจวนแห่งนี้ทนไปได้อย่างไรกันนะ ดั่งคนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นปียามที่ทำอาหารสิ่งสกปรกไม่ลงไปในหม้อด้วยหรือเนี่ย แหวะ!! แค่คิดก็จะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว ดูสิผักก็เหี่ยวเฉาหมูก็เริ่มมีกลิ่นแล้วแต่เจ้านายทุกคนในบ้านก็ยังทานต่อไปได้ ข้าล่ะนับถือความกล้าหาญกับการทานอาหารที่จะเน่าเสียพวกนี้จริง ๆ” เมื่อมีคนเปิดประเด็นก่อนจะปิดปากไม่ตอบโต้ก็กลัวจะเสียมารยาท
“พวกเราดูสิวันนี้คุณหนูตกอับกล้าเถียงกลับด้วยล่ะ ที่ได้แอบอู้งานไปหลายวันเพราะมัวแต่ฝึกคำพูดพวกนี้ล่ะสิ ถ้าเจ้าคิดว่าในห้องครัวมันสกปรกแล้วมาที่นี่ทำไม นู่นกลับไปนอนในกระท่อมสะอาด ๆ ของเจ้าต่อไปสิข้าว่านะพื้นห้องครัวยังสะอาดกว่าเสื้อผ้าของเจ้าเสียอีก ฮ่า ๆ ๆ”
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้วเพราะพ่ออย่างเสนาบดีมู่ไม่สนใจใยดีในตัวบุตรสาว ถูกเฉดหัวให้มากระท่อมโทรม ๆ ท้ายจวนทำงานเยี่ยงทาส พวกบ่าวไพร่ทั้งหลายจึงสามารถพูดจาดูถูกอย่างไรก็ได้งั้นหรือ อือ ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างอำนาจในมือของเสนาบดีมู่จะสั่นคลอนหรือไม่นะ น่าสน ๆ ยามนี้ข้าเป็นแค่สาวใช้ไม่ใช่บุตรสาวของเสนาบดีมู่ หากจะไปซุบซิบนินทาเรื่องเจ้านายในตลาดบ้างคงไม่เป็นไรหรอกเนอะพวกเจ้าว่าไหม คิ คิ คิ”
“หนอยแหน่ นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคิดจะสุมไฟให้นายท่านรึ อย่าได้ฝันไปเลยพวกข้าจะช่วยให้เจ้าได้นอนพักผ่อนต่ออีกหน่อย จะได้รู้ว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด พวกเจ้าสองคนจับตัวนางเอาไว้ข้าจะอบรมสั่งสอนแทนมารดาของนางเอง” หัวหน้าแม่ครัวสั่งสาวใช้สองคนที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อจับตัวมู่หลินหว่านจะได้ตบตีอย่างถนัดมือ
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”
มู่หลินหว่านที่ระวังตัวอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าสาวใช้สองคนนี้ กำลังจะเข้ามาจับตนเองจึงหยิบไม้กระบองที่ยืดได้หดได้ออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าจอมมีไว้สำหรับป้องกันตัวในโลกก่อน ไม่ต้องรอให้สาวใช้สองคนนี้ถึงตัวก็รีบกดปุ่มสะบัดไม้กระบองออก จากนั้นเริ่มฟาดไปตามตัวของสาวใช้รวมถึงหัวหน้าแม่ครัวปากดี คิดจะอบรมสั่งสอนตนเองแทนมารดาที่ตายไปแล้ว จนทั้งสามคนมีรอยฟกช้ำจากการถูกตีไปทั่วร่างกาย และอาจจะเจ็บไปถึงกระดูกก็เป็นได้
“อยากเจ็บตัวก็เข้ามาจับตัวข้าให้ได้สิ”
“อวดเก่งดีนักประเดี๋ยวเจ้าต้องร้องขอชีวิตจากป้าจางแน่”
“ฟึบ! เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!! โอ๊ย เพี๊ยะ!! อ๊าย เพี๊ยะ!! โอ๊ย เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!! กรี๊ดดด เพี๊ยะ!!”
“พอแล้ว ๆ ๆ หยุดตีเถิดข้าเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว ข้าแค่ทำตามคำสั่งไม่ได้คิดจะทำร้ายท่านเลยจริง ๆ โอย”
“เข้ามาอีกสิอยากเจ็บตัวกันมากนักก็เข้ามา จะจับตัวข้ามิใช่หรือ ที่ผ่านมาตั้งหลายปีข้าก็เจ็บเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่เห็นมีผู้ใดหยุดมือที่เอาแต่ตบตีข้าสักครั้งเลยนี่ พอพบเจอกับตนเองกลับจะขอให้หยุดมือมันไม่ยุติธรรมสำหรับข้า เมื่อครู่เจ้าหัวหน้าแม่ครัวจางเป็นคนออกคำสั่งสินะ เช่นนั้นก็ลองลิ้มรสความเจ็บปวดดูบ้างจะเป็นไร” มู่หลินหว่านพูดจบก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาป้าจางและฟาดไม้กระบองลงไปไม่ยั้ง
“มะ มะ ไม่อย่าทำข้าเหมือนพวกนางหากข้าบาดเจ็บแล้วใครจะทำอาหาร มู่หลินหว่านเจ้ากำลังหาเรื่องใส่ตนเองอย่างแท้จริง” นางจางพูดไปเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ
“มาถึงขึ้นนี้แล้วเจ้าคิดว่าข้ากลัวอย่างที่พวกเจ้าพูดหรือไม่เล่า พวกเจ้าที่ยืนมองอยู่ด้านนอกหากใครกล้านำเรื่องนี้ไปฟ้องฮูหยิน ข้าจะตามไปตัดลิ้นให้หมดทุกคนอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำ พวกเจ้าก็คงเห็นเรื่องในตอนนี้แล้วว่าข้าจะกล้าทำจริงหรือไม่ เอาล่ะถึงเวลาที่คนแก่เช่นเจ้าจะต้องนอนพักบ้างแล้วล่ะ”
“เพี๊ยะ!! กรี๊ด เพี๊ยะ!! โอ๊ย เพี๊ยะ!! โอ๊ย เพี๊ยะ!! หมับ! ปึก”
“โอ๊ย จะ จะ เจ้าจะทำอะไรกับมือของข้าคงไม่ได้จะไม้นั่นที่อยู่ในมือของเจ้า ทุบมันลงมาบนมือของข้าใช่ไหมมู่หลินหว่าน คิดทบทวนให้ดีหากข้าไม่สามารถทำอาหารได้ละก็ นายท่านกับฮูหยินต้องลงโทษเจ้าหนักกว่าเดิมแน่ อึก”
“เช่นนั้นหรือน่ากลัวเสียจริงแต่บังเอิญว่ามันคือสิ่งที่ข้าต้องการ อย่ามัวโน้มน้าวให้เสียเวลาจะดีกว่าเรามาลงมือกันเถิดจะได้จบ ๆ เสียที”
“ไม่นะ ไม่ ๆ ๆ ม่ายยยยยยยยย!! กรี๊ดดดดดด”
“ปึง! ปึง! อ๊ายยยย กร๊อบ!”
“ตุบ เฮ้อ เหนื่อยใช่ย่อยนะเนี่ยไม่ไหวผอมแห้งเช่นนี้ทุบตีคนไม่สนุกเลย เอาไว้คราวหน้ารอให้ข้าแข็งแรงมากกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยกลับมาเล่นกับพวกเจ้าอีกครั้งก็แล้วกัน ฟู่ว อาหารเน่า ๆ ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหนกลับไปหาผักมาทำอาหารเองดีกว่า”
‘นี่นางยังคิดจะกลับมาทุบตีพวกเราอีกงั้นหรือ ยามนี้ยังไม่ค่อยแข็งแรงก็ช้ำไปทั้งตัวแล้วถ้านางแข็งแรงเช่นคนทั่วไป พวกเราทุกคนไม่ตายคามือนางไปเลยรึ’
มู่หลินหว่านหันหลังเดินออกจากห้องครัวไปอย่างสบายอารมณ์ คราแรกยังนึกว่าห้องครัวจะมีอะไรดี ๆ มากกว่านี้เสียอีก เมื่อลองเทียบดูแล้วบ้านสวนของนางยังดีกว่าไม่รู้กี่เท่า จึงกลับมายังกระท่อมและทำอาหารง่าย ๆ ทานเอง โดยไม่รู้ว่ามีคนไม่กลัวคำข่มขู่ของนาง และนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องครัวไปรายงานต่อนายท่านของจวนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นายท่านอย่างมู่อวี่เฉินถึงกับโมโหจนควันออกหู ยิ่งมีซุนฮูหยินคอยพูดจาโน้มน้าวให้จัดการมู่หลินหว่าน จึงเข้าทางทั้งสองเมื่อมีเรื่องร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้นพอดี
“ตึก ตึก ตึก นายท่านขอรับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่ห้องครัว แม่ครัวจางได้รับบาดเจ็บกระดูกมือหักไม่สามารถทำอาหารได้ขอรับ” พ่อบ้านมู่นำเรื่องนี้จากบ่าวไพร่ในห้องครัวมารายงานต่อมู่อวี่เฉิน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ห้องครัวเจ้ารีบพูดมาสิจะรอช้าอยู่ใย เหตุใดแม่ครัวถึงบาดเจ็บจนกระดูกมือหักได้ นี่ก็ใกล้จะได้เวลาที่ข้าต้องไปทำงานแล้วหากไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะได้มอบหมายให้ฮูหยินเป็นคนจัดการเรื่องนี้แทน”
“เอ่อ คือเมื่อเช้านี้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูรอง นางไปยังห้องครัวและหาเรื่องทะเลาะกับพวกแม่ครัวที่กำลังเตรียมอาหาร ถึงขั้นลงไม้ลงมือทุบตีจนแม่ครัวได้รับบาดเจ็บกระดูกมือหัก ไม่สามารถทำอาหารได้อีกนานหลายเดือนเชียวขอรับ”
“อะไรนะ!! นี่นางจะกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้วกระมัง ใยเมื่อก่อนไม่เห็นนางจะตอบโต้กลับผู้ใด ท่านพี่เจ้าคะคราแรกข้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อสักเท่าใดนัก เพราะหย่าเออร์เล่าให้ฟังว่ามู่หลินหว่านตบตีฮุ่ยเหมยบาดเจ็บเมื่อวานยามเช้า แต่พอวันนี้กลับเกิดเรื่องกับพวกแม่ครัวจนกระทบเรื่องอาหารไปทั้งจวน ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะเจ้าคะท่านพี่ อีกไม่กี่วันที่จวนของเราจะมีงานเลี้ยงน้ำชาแขกเหรื่อมากมาย หากนางเกิดเป็นบ้าขึ้นมาในวันงานละก็พวกเราคงขายหน้าแย่เจ้าค่ะ”
“หึ นังเด็กคนนี้ข้าอุตส่าห์ให้ที่อยู่ที่กินไม่ต้องไประเหเร่ร่อนข้างนอก ยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณสร้างปัญหาไม่รู้จักจบจักสิ้น ในเมื่อนางปีกกล้าขาแข็งถึงเพียงนี้ก็ให้ออกไปใช้ชีวิตเองก็แล้วกัน พ่อบ้านมู่ไปตามนางมาพบข้าที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้” มู่อวี่เฉินเองก็ไม่อยากให้บุตรสาวคนนี้อยู่ในจวนเท่าใดนัก เพราะตนเองมิได้รักใคร่เอ็นดูอะไรในตัวนางแม้จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของตนก็ตาม
“ขอรับนายท่าน”
พ่อบ้านมู่รับคำและรีบไปยังกระท่อมเก่า ๆ ด้านหลังจวนทันที มู่หลินหว่านกำลังนั่งคิดอยู่ว่าจะเลือกใครเป็นเหยื่อ เพื่อสร้างเรื่องในวันจัดงานเลี้ยงก็มีเสียงเรียกดังขึ้นเสียก่อน
“มู่หลินหว่านนายท่านเรียกให้เจ้าไปพบที่ห้องทำงาน รีบตาม
ข้าไปเดี๋ยวนี้อย่ามัวชักช้ายืดยาดออกมาได้แล้ว”“แอ๊ด หือ ท่านเสนาบดีมู่ต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใด รบกวนพ่อบ้านมู่แจ้งให้ทราบสักหน่อยเถิด ข้าจะได้รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรยามที่เข้าไปพบท่านเสนาบดีมู่”
“หึ แล้ววันนี้เจ้าไปก่อเรื่องอันใดเอาไว้ที่ห้องครัวเล่า อย่าบอกว่าเจ้าลืมสิ่งที่ตนเองเพิ่งกระทำไปนะมู่หลินหว่าน”
“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เองสงสัยจะโมโหหิวกันสินะ ขอบใจที่อุตส่าห์มาตามเชิญพ่อบ้านมู่นำทางเถิด”
‘นายหญิงหรือว่าเราจะได้ออกจากจวนนี้ก่อนเวลา หากเป็นเช่นนั้นย่อมดีกับตัวท่านน่ะสิเจ้าคะ’
‘จริงด้วยเสี่ยวลวี่หากเป็นเช่นที่เจ้าว่ามาก็ดี แต่พวกเรายังไม่ได้ไปที่ห้องเก็บสมบัติเลยนะ หากถูกไล่ออกจากจวนทันทีจะทำอย่างไรเล่า’
‘เรื่องนี้นายหญิงไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะปล่อยให้เสี่ยวลวี่จัดการเอง ท่านต้องได้หนังสือตัดขาดกับตระกูลนี้มาให้ได้ก็พอเจ้าค่ะ’
‘ได้ฝากเจ้าด้วยนะเสี่ยวลวี่ไว้ข้าได้รับอิสระเมื่อไหร่ จะทำขนมของโปรดที่ข้าชอบให้เจ้าลองกินดู’
‘ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง’
เสี่ยวลวี่คุยกับมู่หลินหว่านเสร็จก็หายไปทันที สถานที่ที่เสี่ยวลวี่ไปนั้นไม่ใช่ที่ไหนแต่เป็นห้องเก็บสมบัติ เมื่อเห็นว่าคนตระกูลนี้ทำร้ายเจ้านายของตนมากเพียงใด ความเมตตาที่จะทิ้งเงินทองไว้ให้สักเล็กน้อยก็ไม่มีอีกต่อไป เสี่ยวลวี่เก็บสมบัติทั้งหมดเข้าในมิติบ้านสวนทั้งหมด เพียงพริบตาในห้องที่เคยอัดแน่นไปด้วยหีบมากมาย กลับว่างเปล่าเหลือเพียงเศษฝุ่นละอองไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
เมื่อมาถึงภายในห้องทำงานของเสนาบดีมู่ นางเองยังไม่ทันจะได้ทำความเคารพมู่หลินหว่านต้องออกแรงปกป้องตนเอง เนื่องจากคนเป็นบิดาลุกขึ้นเดินเข้ามาหาหวังจะตบหน้า เพราะสัญชาตญาณที่มีจึงยกมือขึ้นปัดมือหนาได้ทัน ก่อนที่มันจะฟาดลงมาบนใบหน้าเรียวอย่างแรงเสียก่อน
“หมับ! ยังไม่ทันให้ข้าได้ทำความเคารพตามมารยาท เสนาบดีมู่ก็คิดจะใช้ความรุนแรงต่อสตรีอ่อนแอแล้วงั้นหรือ”
“นี่เจ้า! ดี ดีจริง ๆ อยู่อาศัยกินนอนในจวนของข้ายังกล้าโต้เถียงกับเจ้าของจวน ไหนจะทำร้ายบ่าวไพร่จนบาดเจ็บอีกหลายคนใครให้ความกล้านี้แก่เจ้า” เสนาบดีมู่ไม่คิดว่าจะถูกมือบางยกขึ้นมาปัดป้อง มิหนำซ้ำแรงที่นางใช้จับมือตนคล้ายกับคนไม่เคยเจ็บป่วยสักนิด
“เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้ใครมามอบความกล้าให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ และใช่จวนนี้เป็นของตระกูลมู่ที่มีท่านเป็นเจ้าของ แต่ก่อนที่ตระกูลท่านจะยิ่งใหญ่ได้ถึงทุกวันนี้ คิดทบทวนดูสักนิดก่อนจะพูดมันออกมาจะดีกว่าไหมเจ้าคะ ว่าใครที่คอยช่วยเหลือท่านทุกอย่างเพื่อสนับสนุนท่าน ขอเพียงให้คนเช่นท่านสอบผ่านจอหงวนเข้ารับราชการ ใครจะคิดว่าคนที่มารดาของข้ารักมากกลับเป็นคนที่ร้ายกาจ ทรยศหักหลังเมื่อได้ดิบได้ดีเป็นขุนนางเรืองอำนาจ ท่านคงจะภูมิใจในตนเองมากกระมังเสนาบดีมู่” มู่หลินหว่านตอบกลับอย่างไม่กลัวและสบตายามที่พูดอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่องที่ตนเองกระทำความผิด จะยอมรับโทษแต่โดยดีหรือจะให้ข้าออกคำสั่งไล่เจ้าออกไปจากที่นี่ จวนของข้าไม่เลี้ยงคนอกตัญญูไว้ให้เปลืองเงินทอง หากจะอยู่ที่นี่ต้องรู้จักสงบเสงี่ยมอย่าได้สร้างปัญหาขึ้นมาอีก ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายนะมู่หลินหว่าน” มู่อวี่เฉินไม่ยอมรับว่าสิ่งที่บุตรสาวคนรองพูดออกมาคือเรื่องจริง
“ฮึ ใครจะไปอยากอยู่ในจวนที่เหมือนนรกกันล่ะเจ้าคะ ยามนี้สบโอกาสที่จะกำจัดข้าไปให้พ้นได้เสียที เมื่อข้าไปตายอยู่ด้านนอกท่านก็ไม่ต้องถูกผู้คนครหา แต่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากชาวบ้านแทน เอาเป็นว่าข้ามู่หลินหว่านไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีก รบกวนท่านเสนาบดีมู่มอบหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ เป็นตายไม่เผาผีไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยเงินทองมีชื่อเสียง จะไม่ขอมีส่วนข้องเกี่ยวใด ๆ ต่อกันอีกไปตลอดชีวิต หรือจะให้ดีรบกวนท่านตัดชื่อข้ากับท่านแม่ออกจาก
ผังตระกูลได้ก็ยิ่งดีเจ้าค่ะ”“อวดดีเหมือนแม่ของเจ้าไม่มีผิดหากข้ารู้ว่าแม่ของเจ้า จะเป็นสตรีหัวแข็งต่อต้านสามีก่อนที่นางจะตายเช่นนี้ คงไม่คิดแต่งนางมาเป็นภรรยาให้เสียเวลาหรอก หน้าที่ของสตรีมิคิดจัดการแต่ชอบสอดมือมายุ่งเรื่องของบุรุษ หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ดีเหมือนกันข้าจะได้เชิญไต้ซือมาทำบุญล้างความอัปมงคล ที่อยู่ในจวนมานานหลายปีให้หมดไปซะ พ่อบ้านมู่เตรียมหมึกกับกระดาษให้ข้าวันนี้ต้องไม่มีนางเสนอหน้าอยู่ในจวนนี้อีก อย่าลืมลบชื่อของนางออกจากผังตระกูลทั้งแม่ทั้งลูก”
“ไอหยา ขอบคุณท่านเสนาบดีมู่มาก ๆ เลยเจ้าค่ะ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปขอเพิ่มอีกหนึ่งอย่างได้หรือไม่ ป้ายวิญญาณของท่านแม่ข้าต้องการนำติดตัวไปด้วย หวังว่าท่านจะยกให้แต่โดยดีถึงอย่างไรท่านก็ไม่ต้องการอยู่แล้ว มิสู้มอบให้ข้าเป็นสมบัติติดตัวไปเสียจะดีกว่าเจ้าค่ะ” มู่หลินหว่านลอยหน้าลอยตาเอ่ยขอป้ายวิญญาณมารดา โดยไม่สนใจว่ายามนี้เสนาบดีมู่จะมีสีหน้าท่าทางเช่นไร
เสนาบดีมู่รีบนั่งลงเขียนหนังสือตัดขาดให้มู่หลินหว่าน ที่สำคัญเขาไม่อนุญาตให้นางใช้แซ่มู่อีกต่อไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่มู่หลินหว่านให้ความสนใจ นางกลับไปใช้แซ่ของมารดาแทนก็มิได้มีปัญหาอันใด หรือจะสร้างตระกูลใหม่ขึ้นมาเป็นของตนเองก็ย่อมได้ ตราประทับของตระกูลมู่ประทับบนกระดาษเรียบร้อย นี่คือสิ่งที่มู่หลินหว่านต้องการมากที่สุดในเวลานี้ เมื่อได้มันมาอยู่ในมือนางไม่รอช้ารีบก้มหัวลงขอบคุณ และกล่าวอำลาเสนาบดีมู่อย่างรวดเร็ว
“หมับ! ขอบคุณท่านเสนาบดีมู่ที่ยินดีมอบหนังสือฉบับนี้ให้ข้า หวังว่านับต่อจากไปพวกเราจะไม่ต้องพบกันอีกนะเจ้าคะ ลาก่อน ลาขาด ลาจากตระกูลที่น่ารังเกียจตลอดไปเจ้าค่ะ อ้อ แต่หากบังเอิญได้พบเจอรบกวนอย่าได้เอ่ยทักทาย หรือชวนพูดคุยเนื่องจากตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราไม่รู้จักมักจี่เป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น ขอตัว” มู่หลินหว่านชิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็วจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
“........!?”
เสนาบดีมู่ยังไม่ทันได้ตอบโต้อันใดมู่หลินหว่านก็ออกไปจากห้องทำงานแล้ว นางรับป้ายวิญญาณของมารดามาจากมือพ่อบ้านมู่ และออกจากจวนโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย พวกบ่าวไพร่ที่แอบดูอยู่ต่างพากันแปลกใจไปตาม ๆ กัน ที่มู่หลินหว่านไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์ให้เห็นสักนิด ส่วนในใจของมู่หลินหว่านนั้นกลับกล่าวคำสาบานอยู่
เงียบ ๆ ให้กับทุกคนในจวนตระกูลมู่‘พวกเจ้าทั้งหมดใช้ชีวิตกันให้มีความสุขไปก่อนเถิด หากวันใดที่ข้าสามารถมีขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า ขอสาบานว่าจะทำให้พวกเจ้าทั้งนายทั้งบ่าวอยู่มิสู้ตายกันทุกคน’
หลังจากได้รับอิสระพร้อมหนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือของตนแล้ว มู่หลินหว่านเดินออกจากจวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ชุดที่สวมใส่จะเก่าจนมองไม่ออกว่ามันคือสีอะไร และแทบทั้งตัวยังมีร่อยรอยของการปะชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มนั้นจางหายไปได้ ยิ่งเดินมาได้ครึ่งทางมู่หลินหว่านได้ยินเสี่ยวลวี่พูดขึ้น เกี่ยวกับเงินในห้องเก็บสมบัติที่เพิ่งจะเก็บกวาดมาได้“นายหญิงเจ้าคะสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือไปร้านขายเสื้อผ้าเจ้าค่ะ เพราะชุดที่ท่านใส่ในตอนนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง”“หือ เสี่ยวลวี่หรอกหรือเจ้าหายไปไหนมาเห็นเงียบไปเสียนาน ข้าลองเรียกดูก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าเลย”“เสี่ยวลวี่ไปจัดการเรื่องห้องเก็บสมบัติให้ท่านอย่างไรเล่า ยามนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”“งั้นแสดงว่าตอนนี้หากข้าต้องการซื้อสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะถูกหรือแพงใช่ไหมเสี่ยวลวี่”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิงท่านเลือกเสือผ้าชุดสวย ๆ มาหลาย ๆ ชุดเลยนะเจ้าคะ จากนั้นไปหาที่หารถม้าสำหรับเดินทางไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ว่าแต่นายหญิงจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”“อืม ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเว่ยแห่งนี้
โจวหลินหว่านและบ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคน ออกเดินทางด้วยรถม้าทำให้สะดวกสบายกว่านั่งเกวียนวัวหลายเท่า พวกเขาทั้งสามคนไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นการสำรวจตามเมืองต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่าน รวมถึงแวะซื้อเสบียงอาหารเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อป้องกันยามที่ต้องพักค้างแรมตามป่าเขาที่ไม่มีโรงเตี๊ยม ระหว่างนั่งรถม้าน่าซือได้เล่าถึงตระกูลของมารดา ที่ยามนี้ต่างแยกย้ายกระจัดการกระจายไปคนละทิศละทาง ภายหลังท่านตาท่านยายเสียชีวิตก็มีการแบ่งสมบัติ โดยท่านแม่ได้มากกว่าพี่ชายและน้องสาวคนอื่น ๆ เนื่องจากท่านแม่ช่วยครอบครัวทำงานมากกว่าจึงได้สมบัติเยอะ ด้วยเหตุนี้มู่อวี่เฉินจึงพยายามตามเกี้ยวพามารดาของนาง จนได้แต่งงานและใช้เงินทองในการสอบขุนนางอยู่หลายครั้งกว่าจะผ่านได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับกลายเป็นคนทรยศหักหลังไปเสียได้ โจวหลินหว่านไม่อยากให้บ่าวทั้งสองคิดถึงอดีตอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะนางไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับคนเลวเช่นนั้น“ท่านอาน่าซืออย่าได้ยึดติดกับเรื่องในอดีตอีกเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเราจะพาท่านแม่ไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ข้าจะหาซื้อที่ดินสวย ๆ อยู่ติดเชิงเขาจะแบ่งส่วนหนึ่งทำสุสานให้กับท่านแ
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
หลินหว่านเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังศาลาว่าการเมืองหยางหลิว ที่ยามนี้ใกล้จะได้เวลาเปิดทำการตามปกติกลับมีเสียงตีกลองด้านหน้าดังขึ้น เจ้าหน้าที่สองสามคนถึงกับรีบวิ่งออกมาดูว่า ใครกันที่มาร้องทุกข์แต่เช้าเช่นนี้ เมื่อพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านยืนรอพร้อมกันมากกว่าสี่สิบคน จึงสอบถามเรื่องราวเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อนำกลับไปรายงานต่อท่าน เจ้าเมือง และให้ผู้ที่มาร้องทุกข์เข้าไปรอด้านในห้องไต่สวน แต่เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นจำหน้าหลินหว่านได้จึงเป็นคนเอ่ยถามออกมาแทน“อ้าว คุณหนูท่านนี้ข้าจำท่านได้ท่านเคยมาติดต่อซื้อที่ดินนับร้อยหมู่ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ถึงได้มากันเสียเยอะแยะ แล้วใครที่เป็นคนตีกลองร้องทุกข์เมื่อกี้หรือขอรับ”“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะพี่ชายเป็นข้าเองที่ตีกลองร้องทุกข์ไป เนื่องจากมีคนไปอาละวาดที่ตลาดกล่าวหาว่า ขนมที่ข้าทำขายอยู่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ไปขโมยสูตรผู้อื่นมา ดังนั้นจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านเจ้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสูตรขนมตัวจริงเจ้าค่ะ”“เมืองหยางหลิวไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำเรื่องผิดศีลธรรมทำลายภาพลัก
ด้านจวนตระกูลมู่สถานการณ์ภายในห้องโถงรับแขกของจวนนั้น กลับแตกต่างจากจวนตระกูลเฉินอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมู่จือหย่าเอาแต่โวยวาย และบอกว่าตัวของนางถูกคนวางแผนทำลายอนาคต โดยเฉพาะการปักใจเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหลินหนิงเซียนอย่างแน่นอน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามู่กลับเห็นต่างเมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ของหลานสาวคนโปรด “กรี๊ดดดด!! ข้าจะกลับไปหาทานพี่เขาเป็นสามีของข้าแล้ว เหตุใดท่านพ่อถึงไม่ช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนังหนิงเซียนนั่น ที่วางแผนสกปรกทำให้ข้าและตระกูลมู่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ฮือ ๆ ๆ” มู่จือหย่ายังไม่หยุดโวยวายแม้จะกลับมาถึงจวนแล้วก็ตาม“เจ้าจะหุบปากได้หรือยัง!! ไม่ว่าจะเป็นแผนการของใครก็ตามแต่เป็นเจ้าที่โง่เอง ในเมื่อคิดได้ว่าหลินหนิงเซียนจะส่งคนเข้ามาปะปนอยู่หมู่บ่าวไพร่ ทำไมยังเรียกหาอาหารหรือน้ำชาจากสาวใช้ที่ไม่น่าไว้ใจได้ ส่วนเจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทกลับไม่ตักเตือนเจ้านายแทนที่จะเป็นเจ้าที่ไปยังห้องครัวเพื่อรับอาหารว่างเอง แต่กลับห่วงเรื่องประจบสอพลอเจ้านายหวังเงินรางวัล จนทำให้เกิดเรื่องใหญ่ถึงขั้นที่ตระกูลมู่ของข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง นังบ่าวไม่มีความคิดเจ้ารู้ไหมพรุ่งนี้เช
เฉินจิ้งที่รอเวลาตามแผนหลังจากเริ่มมีเสียงครวญครางดังลั่นด้านในห้อง เขาปล่อยให้จิ้นโจวได้มอบความสุขสมให้มู่จือหย่าอยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม พอสมควรแก่เวลาที่กำหนดไว้จึงกลับเข้าไปในงานเลี้ยงที่ยังมีแขกเหรื่ออยู่ร่วมงาน รวมถึงเหล่าบุรุษและสตรีที่ติดตามบิดามารดามาแสดงความยินดี หนึ่งในนั้นมีหลินหนิงเซียนที่มาพร้อมกับบิดามารดา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มีใจอิจฉาริษยามู่จือหย่าแต่อย่างใดเฉินจิ้งแสร้งทำตัวเลิ่กลั่กให้เป็นที่น่าสงสัยสำหรับคนที่มองมา เฉินจิ้งจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเฉินเยี่ยนหมิงด้วยท่าทางมีพิรุธสายตาหลายคู่จึงจับจ้องมายังเฉินจิ้งเป็นพิเศษ ใบหูแต่ละคนก็คอยฟังว่าบ่าวคนสนิทผู้นี้จะบอกเรื่องอะไรกับเจ้านายตนกันแน่ ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ก็ตาม แต่มักจะมีคนที่ชื่นชอบยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น เป็นคนกระจายข่าวแทนเสมอ“หือ อาหมิงเหตุใดเฉินจิ้งถึงดูกระวนกระวายแปลก ๆ เจ้าเรียกเฉินจิ้งเข้ามาหาพวกเราหน่อยจะดีหรือไม่ จากท่าทางกระอึกกระอักนั่นคล้ายกับว่ามีเรื่องจะรายงานกับเจ้านะ ลองสอบถามดูสิว่ามีเรื่องอันใดอย่าให้ทำตัวไม่มีมารยาทต่อหน้าแขกเหรื่อเช่นนี
การเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังแคว้นหยางเป็นสิ่งที่หลินหว่านตัดสินใจได้ถูกต้อง หากยังเลือกที่จะอยู่แคว้นเว่ยป่านนี้ชีวิตคงไม่มีความสุขเป็นของตนเองแน่ เพราะมู่จือหย่าไม่มีทางให้หลินหว่านอยู่เป็นหนามตำใจ ด้วยเกรงว่าคู่หมั้นที่อุตส่าห์แย่งไปเป็นของตนเองได้จะกลับมาวุ่นวายกับนาง และเช้าวันนี้ก็เป็นวันที่หลินหว่านต้องทำตามคำพูดของนาง นั่นก็คือการทำขนมครกแจกชาวบ้านเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อวานนี้ บรรยากาศการแจกขนมช่างคึกคักยิ่งกว่าทุกวันใครบ้างไม่อยากทานของอร่อย แม้จะพอเจียดเงินไปซื้อทานเองได้ถึงอย่างไรการได้รับของแจกเป็นครั้งคราว ก็ช่วยประหยัดเงินในครอบครัวไปได้ไม่มากก็น้อยและยังเก็บเงินนี้ไว้ซื้อสิ่งอื่นที่ราคาใกล้เคียงกันได้หวังซินหยางผู้เป็นห่วงหลินหว่านเกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไป จึงได้ให้ซั่วเหยียนมาช่วยแจกขนมกับนางด้วยอีกคน เนื่องจากยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้วสามารถทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ถือเป็นการออกกำลังให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ขณะที่หวังซินหยางกำลังนั่งนึกถึงภาพรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ที่หลินหว่านมอบให้กับเขาไปเมื่อวานนี้อยู่ภายใน
หลินหว่านเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังศาลาว่าการเมืองหยางหลิว ที่ยามนี้ใกล้จะได้เวลาเปิดทำการตามปกติกลับมีเสียงตีกลองด้านหน้าดังขึ้น เจ้าหน้าที่สองสามคนถึงกับรีบวิ่งออกมาดูว่า ใครกันที่มาร้องทุกข์แต่เช้าเช่นนี้ เมื่อพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านยืนรอพร้อมกันมากกว่าสี่สิบคน จึงสอบถามเรื่องราวเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อนำกลับไปรายงานต่อท่าน เจ้าเมือง และให้ผู้ที่มาร้องทุกข์เข้าไปรอด้านในห้องไต่สวน แต่เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นจำหน้าหลินหว่านได้จึงเป็นคนเอ่ยถามออกมาแทน“อ้าว คุณหนูท่านนี้ข้าจำท่านได้ท่านเคยมาติดต่อซื้อที่ดินนับร้อยหมู่ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ถึงได้มากันเสียเยอะแยะ แล้วใครที่เป็นคนตีกลองร้องทุกข์เมื่อกี้หรือขอรับ”“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะพี่ชายเป็นข้าเองที่ตีกลองร้องทุกข์ไป เนื่องจากมีคนไปอาละวาดที่ตลาดกล่าวหาว่า ขนมที่ข้าทำขายอยู่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ไปขโมยสูตรผู้อื่นมา ดังนั้นจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านเจ้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสูตรขนมตัวจริงเจ้าค่ะ”“เมืองหยางหลิวไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำเรื่องผิดศีลธรรมทำลายภาพลัก
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็