โจวหลินหว่านและบ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคน ออกเดินทางด้วยรถม้าทำให้สะดวกสบายกว่านั่งเกวียนวัวหลายเท่า พวกเขาทั้งสามคนไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นการสำรวจตามเมืองต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่าน รวมถึงแวะซื้อเสบียงอาหารเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อป้องกันยามที่ต้องพักค้างแรมตามป่าเขาที่ไม่มีโรงเตี๊ยม ระหว่างนั่งรถม้าน่าซือได้เล่าถึงตระกูลของมารดา ที่ยามนี้ต่างแยกย้ายกระจัดการกระจายไปคนละทิศละทาง
ภายหลังท่านตาท่านยายเสียชีวิตก็มีการแบ่งสมบัติ โดยท่านแม่ได้มากกว่าพี่ชายและน้องสาวคนอื่น ๆ เนื่องจากท่านแม่ช่วยครอบครัวทำงานมากกว่าจึงได้สมบัติเยอะ ด้วยเหตุนี้มู่อวี่เฉินจึงพยายามตามเกี้ยวพามารดาของนาง จนได้แต่งงานและใช้เงินทองในการสอบขุนนางอยู่หลายครั้งกว่าจะผ่านได้ แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับกลายเป็นคนทรยศหักหลังไปเสียได้ โจวหลินหว่านไม่อยากให้บ่าวทั้งสองคิดถึงอดีตอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะนางไม่ได้มีความทรงจำที่ดีกับคนเลวเช่นนั้น
“ท่านอาน่าซืออย่าได้ยึดติดกับเรื่องในอดีตอีกเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเราจะพาท่านแม่ไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ข้าจะหาซื้อที่ดินสวย ๆ อยู่ติดเชิงเขาจะแบ่งส่วนหนึ่งทำสุสานให้กับท่านแม่ และที่เหลือก็จะสร้างบ้านของตัวข้าเองหนึ่งหลัง ส่วนพวกท่านสองคนหลังแต่งงานกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกัน ต้องสร้างเพิ่มอีกหนึ่งหลังรวมถึงบ้านพักคนงานที่จะมีในอนาคตเจ้าค่ะ”
“แล้วคุณหนูจะไปทำกิจการอันใดที่แคว้นหยางหรือเจ้าคะ ถ้าต้องซื้อที่ดินสวย ๆ บรรยากาศดีติดเชิงเขา ก็คงต้องเป็นหมู่บ้านนอกเมืองถึงจะมีที่ดินเช่นที่คุณหนูต้องการ ราคาไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไปพวกบ่าวสองคนพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง บ่าวยินดีมอบให้คุณหนูเพื่อนำไปซื้อที่ดินเจ้าค่ะ” น่าซือและหยุนเหลียงขายเซาปิ่งมาหลายปี ก็พอจะมีเงินเก็บอยู่เล็กน้อยแต่พวกเขายินดีช่วยเหลือโจวหลินหว่านในสิ่งที่นางอยากทำ
“กิจการที่ข้าคิดเอาไว้อย่างแรกคือทำขนมของโปรดขายที่ตลาด กิจการที่สองอาจจะใช้เวลาในการสร้างหลายเดือน แต่เมื่อสร้างสำเร็จมันจะออกมางดงามรอต้อนรับลูกค้าร่ำรวยทันที ส่วนอีกหนึ่งกิจการต้องรอซื้อที่ดินเสียก่อนถึงจะลงมือทำได้เจ้าค่ะ รับรองว่าท่านอาทั้งสองต้องใช้แรงช่วยข้าทำจนเหนื่อยทุกวันแน่ ๆ”
“เรื่องใช้แรงงานคุณหนูไม่ต้องห่วงไปขอรับ ปล่อยเป็นหน้าที่ของบ่าวจัดการให้ท่านเอง หรือคุณหนูจะหาซื้อทาสเพิ่มอีกสองสามคนก็ได้นะขอรับ จะได้มีคนคอยช่วยดูแลเรือนยามที่บ่าวไปช่วยคุณหนูขายขนม” หยุนเหลียงเสนอให้โจวหลินหว่านซื้อคนมาเพิ่ม สำหรับดูแลเรือนและทำงานในเรือนยามที่พวกเขาไม่อยู่
“ขอบคุณท่านอาหยุนเหลียงที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา หากต้องซื้อคนมาช่วยงานเพิ่มเอาไว้รอให้ที่พักคนงานสร้างเสร็จ ตามแบบที่ข้าต้องการเสียก่อนแล้วค่อยไปเลือกพวกเขามาคิดว่าควรจะเป็นบุรุษสี่คน และเป็นสตรีหนึ่งคนเพราะเรือนของข้าไม่ได้สร้างใหญ่โตมากนัก อีกอย่างกำแพงบ้านจะให้นายช่างสร้างสูงกว่าผู้อื่นสักหน่อยเจ้าค่ะ จะได้ปลอดภัยจากพวกโจรขโมยที่คิดจะปีนข้ามรั้วเข้ามา หากกิจการไปได้ดีอาจจะเพิ่มการจ้างงานกับคนในหมู่บ้าน เพื่อช่วยเหลือให้พวกเขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวคนละเล็กละน้อยก็ยังดีเจ้าค่ะ”
“คุณหนูของบ่าวคงได้เรียนรู้จากท่านเทพมามากมาย ถึงได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นนี้บ่าวคิดว่าสิ่งที่ท่านคิดไว้ จะประสบความสำเร็จอย่างงดงามแน่นอนเจ้าค่ะ”
“คิ คิ คิ ขอบคุณสำหรับคำอวยพรเจ้าค่ะท่านอาน่าซือ”
ทั้งสามคนเดินทางอย่างมีความสุขเหนื่อยที่ไหนก็แวะพัก มีเสียงพูดคุยถามไถ่กันมาตลอดการเดินทาง น่าซือและหยุนเหลียงเริ่มจะคุ้นชินกับความเป็นกันเองของเจ้านายผู้นี้ ที่ไม่ถือตัวพูดจาไพเราะให้เกียรติแม้แต่บ่าวเช่นพวกตน นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองเคารพรักบุตรสาวของเจ้านายอย่างโจวหลินหว่านเพิ่มขึ้นไปอีก
การเดินทางจากแคว้นเว่ยผ่านชายแดนเข้าไปยังแคว้นหยาง ทั้งสามคนใช้เวลาเกือบสองเดือนไม่เพียงแค่นั้น ระหว่างการเดินทางโจวหลินหว่านได้สอบถามหลาย ๆ คน ที่ได้พบเจอว่าเมืองไหนของแคว้นที่บรรยากาศดี และเป็นเมืองที่น่าอยู่มากที่สุดจากชายแดนแคว้นหยาง เสียงส่วนมากแนะนำให้นางเดินทางไปเมืองหยางหลิน ที่มีแนวสันเขาเขียวขจีอากาศเย็นสดชื่นเป็นเมืองที่น่าอยู่มากเมืองหนึ่ง เมื่อได้รับคำชี้แนะว่าเป็นเมืองหยางหลินจึงเดินทางไปที่นั่นทันที
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้โจวหลินหว่านผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับใคร กลับหัวใจเต้นแรงผิดปกติกับบุรุษแปลกหน้าที่พบเจอโดยบังเอิญ ขณะที่แวะพักกลางทางก่อนจะเข้าเมืองหยางหลิน ข้างแม่น้ำสายหลักของเมืองมีร่างบุรุษนอนหมดสติใบหน้าซีดเซียว โจวหลินหว่านผู้มีจิตใจเมตตาหรืออยากรู้ก็ไม่อาจทราบได้ นางเดินเข้าไปพลิกร่างหนาที่ยังคงนอนนิ่งเพื่อตรวจสอบเบื้องต้น ว่าตายแล้วหรือยังมีลมหายใจอยู่กันแน่
“ฮ้า ค่อยยังชั่วหน่อยน้ำเย็น ๆ ช่วยให้สดชื่นได้เสมอ เจ้าคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่เสี่ยวลวี่ ว่าที่นี่สมกับคำชื่นชมที่ทุกคนแนะนำให้เดินทางมายังเมืองหยางหลินจริง ๆ”
“ข้าย่อมเห็นด้วยกับนายหญิงอยู่แล้วเจ้าค่ะ ป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ย่อมมีอาหารการกิน ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีอาชีพเสริมอย่างการล่าสัตว์ หรือขึ้นเขาหาผักป่าและสมุนไพรหายากมากมาย แต่อย่างไรเสียในป่าลึกก็ยังมีสัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายอยู่เช่นกันเจ้าค่ะ”
“รีบกลับไปที่รถม้ากันเถิดอีกไม่ไกลก็จะถึงเมืองหยางหลินละ..เอ๊ะ! เสี่ยวลวี่เจ้าช่วยข้าดูหน่อยสิว่าตรงนั้นใช่คนหรือไม่ ตายแล้วหรือยังหายใจอยู่กันแน่หวังว่าคงไม่ใช่พวกโจรป่าหรอกนะ”
“นายหญิงคนเจ้าค่ะข้าได้กลิ่นคาวเลือดลอยมา ท่าทางจะยังไม่ตายนะเจ้าคะนายหญิง”
“ห๊ะ! มีเลือดก็แสดงว่าอาจจะบาดเจ็บและพลัดตกแม่น้ำ จนลอยมาเกยตื้นอยู่ที่นี่น่ะสิเสี่ยวลวี่ ถ้าข้าเข้าไปช่วยแล้วถูกบุรุษผู้นั้นทำร้ายขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า”
“โธ่ นายหญิงท่านยังจะกลัวอีกหรือเจ้าคะ ยามที่ท่านตบตีกับพวกสาวใช้ในจวนนั่นไม่เห็นจะกลัว เหตุใดเพิ่งจะนึกกลัวขึ้นมาในตอนนี้เสียได้เล่า”
“นั่นมันก็จริงอยู่หรอกแต่ข้าอยากถูกปกป้องบ้างนี่นา จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งต่อหน้าบุรุษทุกคนไม่ได้สิเสี่ยวลวี่ เฮ้อ เช่นนั้นลองเข้าไปดูก่อนว่าบาดเจ็บมากหรือน้อยแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”
โจวหลินหว่านที่เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ และระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะที่มองเห็นได้ชัดจึงพบว่าบุรุษผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง คล้ายบัณฑิตหรือพ่อค้าวาณิชมากกว่าจะเป็นทหาร นางจึงพลิกตัวของเขาให้นอนหงายเพื่อให้หายใจได้สะดวก แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่หลับสนิทโจวหลินหว่านถึงกับตะลึง พร้อมอาการหัวใจเต้นตึกตักจนหาเสียงของตนเองไม่เจอ มิใช่ว่านางไม่เคยพบเจอคนหน้าตาหล่อเหลามาก่อน เพียงแต่คนที่นอนสลบอยู่ตรงหน้าของนางนั้นหล่อเหลาเกินมนุษย์ เสี่ยวลวี่เห็นว่าเจ้านายหยุดนิ่งไม่ไหวติงจึงส่งเสียงเรียก เพราะคนเจ็บต้องการการรักษาโดยเร็วส่วนโจวหลินหว่านยังคงหยุดคิดไม่ได้
‘ฮึบ โอ้ว! นี่สวรรค์ประทานพรให้หรือส่งเนื้อคู่ลงมายามลำบากกันแน่นะ แต่เนื้อคู่หน้าตาหล่อเหลาเกินไปเช่นนี้ข้าคงสู้เหล่าสตรีมากมายของเขาไม่ไหวแน่ ขืนเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวมีหวังพวกสตรีที่รู้เรื่องนี้ คงยกพวกมาหยุมหัวนางถึงบ้านเป็นแน่ ช่วยคนทำความดีแทนก็แล้วกันนะโจวหลินหว่าน ไม่มีคู่อยู่เป็นโสดก็มีความสุขได้เช่นกัน’
“นายหญิงเจ้าค่ะ นายหญิ๊งงงงงงงง!!!”
“ห๊ะ! เรียกข้าทำไมเสี่ยวลวี่หรือว่ามีคนกำลังตามหาคนผู้นี้ เช่นนั้นพวกเราควรหาที่หลบก่อนดีหรือไม่ ถ้าเป็นคนร้ายพวกเราจะติดร่างแหไปด้วยนะ”
“มิใช่เจ้าค่ะไม่มีใครติดตามมาทั้งนั้นแต่ท่านทำท่าทางเหม่อลอย ข้าเรียกอยู่ตั้งนานก็ไม่ยอมตอบจึงต้องเพิ่มระดับให้ดังขึ้นเล็กน้อยเจ้าค่ะ เพื่อจะบอกท่านว่ารีบช่วยคนก่อนเถิดไม่เช่นนั้นคงได้ตายจริง ๆ แน่นอนเจ้าค่ะ”
“อะ อ้อ ใช่ ๆ ต้องรักษาแผลเบื้องต้นเสียก่อน แต่ด้วยเรี่ยวแรงแม้แต่ฆ่าไก่ยังไม่มีเช่นนี้คงแบกเขาไม่ไหว เอาเช่นนี้เสี่ยวลวี่เจ้าเฝ้าเอาไว้ ข้าจะไปตามท่านอาหยุนเหลียงมาช่วยแบกเขาไปที่รถม้า จากนั้นค่อยพาไปส่งที่โรงหมอในเมืองหยางหลิน”
“ได้เจ้าค่ะ”
โจวหลินหว่านรีบวิ่งไปตามหยุนเหลียงที่ดูแลม้าอยู่ตรงชายป่า พอนางเล่าเรื่องที่เจอคนเจ็บบ่าวทั้งสองก็ตามมาทั้งคู่ เพื่อช่วยเหลือบุรุษที่บาดเจ็บมาขึ้นรถม้าโดยหยุนเหลียงช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก และใช้เสื้อผ้าของตนผลัดเปลี่ยนให้คนเจ็บไปก่อน โจวหลินหว่านไหว้วานเสี่ยวลวี่ให้ช่วยหยิบยาลดไข้และยาแก้อักเสบ ที่อยู่ในบ้านสวนออกมาให้ตนเองตอนที่อยู่ในรถม้าลำพังกับคนเจ็บ จากบริเวณที่พวกนางหยุดพักยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม กว่าจะถึงเมืองหยางหลินอย่างน้อยให้คนเจ็บได้กินยานี้ไป ยังพอช่วยให้ไข้ลดลงรวมถึงลดการอักเสบของแผลอีกเล็กน้อย
จนกระทั่งเข้าเมืองหยางหลินมาได้หยุนเหลียงก็รีบหาโรงหมอ ตามที่ทหารหน้าประตูเมืองได้บอกกับตนเองไว้ ว่าที่โรงหมอแห่งนี้รักษาคนป่วยได้ดีที่สุดแล้ว หยุนเหลียงรีบไปตามคนในโรงหมอมาช่วยแบกคนเจ็บเข้าไปด้านใน โดยมีโจวหลินหว่านตามไปดูและพูดคุยกับท่านหมอเล็กน้อย แต่ตอนที่จะกลับออกมาข้อมือบางกลับถูกจับไว้แน่น ด้วยมือที่ร้อนรุ่มไปด้วยพิษไข้ของคนที่นอนอยู่บนเตียง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอคุณชายท่านนี้บาดเจ็บหนักหรือไม่ นอกจากแผลภายนอกพวกนี้แล้วมีสิ่งใดผิดปกติอีกบ้างเจ้าคะ”
“เรียนคุณหนูคนรักของท่านมีอาการบาดเจ็บภายใน และยังมีบาดแผลจากอาวุธตามร่างกายภายนอกหลายแห่ง นอกจากนี้ยังตัวเปียกชื้นจากการแช่น้ำเป็นเวลานาน จึงทำให้มีไข้ขึ้นสูงอาจจะต้องนอนรักษาตัวที่นี่สักสองสามวัน หรือจนกว่าจะฟื้นคืนสติส่วนบาดแผลภายนอกทายาเป็นประจำไม่นานก็หาย แต่อาการบาดเจ็บภายในนั้นต้องใช้เวลานับเดือนและดื่มยาอย่าได้ขาด ภายในหนึ่งเดือนต่อจากนี้ห้ามใช้กำลังภายในเด็ดขาด มิฉะนั้นที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิงขอรับ”
“อ้อ แต่ท่านหมอเจ้าคะบุรุษผู้นี้มิใช่คนรักของข้าหรอกนะ แต่เป็นข้าที่ช่วยเขาที่นอนสลบอยู่ริมแม่น้ำมาส่งที่โรงหมอของท่านต่างหากเจ้าค่ะ”
“ไอหยา มิเป็นไรหรอกน่าคุณหนูรับรองข้าไม่บอกใคร พวกท่านเหมาะสมกันมากจริง ๆ บุรุษก็หล่อเหลาปานเทพเซียน ส่วนท่านก็งดงามดั่งเทพธิดาถ้าแต่งงานมีบุตรชายบุตรสาว พวกเด็ก ๆ คงจะน่ารักน่าเอ็นดูทุกคนเลยนะขอรับ ท่านสบายใจได้ให้เขาพักอยู่ที่นี่ข้าจะดูแลเป็นอย่างดี ไว้พรุ่งนี้เช้าท่านค่อยกลับมาเยี่ยมอีกครั้งก็แล้วกันนะ ข้าขอตัวออกไปเตรียมยาให้คนรักของท่านก่อน” ท่านหมอผู้ไม่ฟังหลินหว่านอธิบายรีบขอตัวไปทำหน้าที่ของตนทันที
“เอ๊ะ ท่านหมอ ๆ ก็ข้าบอกว่าเขาไม่ใช่คนรักของข้าอย่างไรเล่า เหตุใดถึงไม่ยอมฟังที่ข้าพูดเลยล่ะท่านหมอ เฮ้อ นี่ท่านน่ะนอนพักรักษาตัวที่นี่ก็แล้วกันหมดหน้าที่ของคนดีเช่นข้าแล้ว คนรักหน้าตาหล่อเหลาใครบ้างไม่อยากได้ แต่เพราะความหล่อเหลาอีกนั่นแหละไม่ว่ายุคไหนก็อันตรายทั้งนั้น”
“หมับ!! กึก”
“อ้าว แล้วท่านจะจับมือข้าไว้ทำไมกันละเนี่ยปล่อยเดี๋ยวนะ นี่คุณชายข้ายังมีธุระต้องไปจัดการอีกมากจะให้นั่งอยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ได้หรอกนะ ปล่อยได้แล้วท่านจับแน่นเกินไปแล้วท่านกำลังทำข้าเจ็บนะ ถ้าท่านยังไม่ยอมปล่อยมืออันบอบางของข้าพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องเจอกันอีก”
“ตุบ..”
“เอ้า นึกอยากจะจับก็จับพอขู่เข้าก็ปล่อยง่าย ๆ เสียอย่างนั้น อูย เจ็บเหมือนกันนะเนี่ยขืนปล่อยไว้นานกว่านี้มีหวังช้ำแน่ ๆ เป็นคนเจ็บประสาอะไรแรงเยอะเป็นบ้า ชิ นอนให้ท่านหมอรักษาไปก่อนเถิดอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ท่านก็กลับบ้านได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการเอาเป็นว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมท่านก่อนยามอู่ ส่วนเสื้อผ้าของท่านจะให้ท่านอาน่าซือซักและเก็บเอาไว้ให้ก็แล้วกัน ขอให้ท่านจำเอาไว้ให้ขึ้นใจเถิดคนอย่างโจวหลินหว่านพูดคำไหนคำนั้น รอท่านฟื้นขึ้นมาค่อยถามไถ่หากต้องการกลับบ้านแต่ว่าไม่มีเงินติดตัว ข้ายินดีจะออกค่าเดินทางให้ในเมื่อช่วยเหลือท่านมาแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดล่ะนะ” โจวหลินหว่านพูดจบก็เดินกุมข้อมือออกไปจากห้อง
คนป่วยที่มีสติเพียงน้อยนิดกลับจดจำน้ำเสียงที่ดื้อรั้น รวมถึงข้อมือบอบบางที่ตัวเขาเผลอจับเอาไว้เสียแรง เพราะไม่ต้องการให้นางจากไปในตอนนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดข่มขู่ว่าจะไม่มาเจอเขาอีก ถึงได้รีบปล่อยให้นางได้เป็นอิสระทั้งยังเสียงที่บ่นอุบก่อนจะกลับออกไปนั่นอีก มันช่างทำให้คนไร้หัวใจอย่างหวังซินหยางรู้สึกคันยุบยิบที่หน้าอกด้านซ้ายอย่างไรพิกล เมื่อยาที่ได้รับจากท่านหมอออกฤทธิ์จึงทำให้คนป่วยหลับไปอย่างง่ายดาย
ส่วนโจวหลินหว่านที่กลับออกมาจากโรงหมอ พาบ่าวทั้งสองคนไปหาโรงเตี๊ยมใกล้ ๆ เพื่อพักผ่อน หลังจากเดินทางกันมานานเรื่องอื่น ๆ ค่อยจัดการในวันพรุ่งนี้ก็ยังทันถมเถ เพราะเมืองหยางหลินคือสถานที่ที่นางจะลงหลักปักฐานแล้ว รวมถึงกิจการเล็ก ๆ ที่จะเปิดยังต้องหาร้านทำอุปกรณ์ให้กับนางด้วยเช่นกัน
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
หลินหว่านเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังศาลาว่าการเมืองหยางหลิว ที่ยามนี้ใกล้จะได้เวลาเปิดทำการตามปกติกลับมีเสียงตีกลองด้านหน้าดังขึ้น เจ้าหน้าที่สองสามคนถึงกับรีบวิ่งออกมาดูว่า ใครกันที่มาร้องทุกข์แต่เช้าเช่นนี้ เมื่อพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านยืนรอพร้อมกันมากกว่าสี่สิบคน จึงสอบถามเรื่องราวเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อนำกลับไปรายงานต่อท่าน เจ้าเมือง และให้ผู้ที่มาร้องทุกข์เข้าไปรอด้านในห้องไต่สวน แต่เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นจำหน้าหลินหว่านได้จึงเป็นคนเอ่ยถามออกมาแทน“อ้าว คุณหนูท่านนี้ข้าจำท่านได้ท่านเคยมาติดต่อซื้อที่ดินนับร้อยหมู่ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ถึงได้มากันเสียเยอะแยะ แล้วใครที่เป็นคนตีกลองร้องทุกข์เมื่อกี้หรือขอรับ”“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะพี่ชายเป็นข้าเองที่ตีกลองร้องทุกข์ไป เนื่องจากมีคนไปอาละวาดที่ตลาดกล่าวหาว่า ขนมที่ข้าทำขายอยู่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ไปขโมยสูตรผู้อื่นมา ดังนั้นจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านเจ้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสูตรขนมตัวจริงเจ้าค่ะ”“เมืองหยางหลิวไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำเรื่องผิดศีลธรรมทำลายภาพลัก
การเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังแคว้นหยางเป็นสิ่งที่หลินหว่านตัดสินใจได้ถูกต้อง หากยังเลือกที่จะอยู่แคว้นเว่ยป่านนี้ชีวิตคงไม่มีความสุขเป็นของตนเองแน่ เพราะมู่จือหย่าไม่มีทางให้หลินหว่านอยู่เป็นหนามตำใจ ด้วยเกรงว่าคู่หมั้นที่อุตส่าห์แย่งไปเป็นของตนเองได้จะกลับมาวุ่นวายกับนาง และเช้าวันนี้ก็เป็นวันที่หลินหว่านต้องทำตามคำพูดของนาง นั่นก็คือการทำขนมครกแจกชาวบ้านเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อวานนี้ บรรยากาศการแจกขนมช่างคึกคักยิ่งกว่าทุกวันใครบ้างไม่อยากทานของอร่อย แม้จะพอเจียดเงินไปซื้อทานเองได้ถึงอย่างไรการได้รับของแจกเป็นครั้งคราว ก็ช่วยประหยัดเงินในครอบครัวไปได้ไม่มากก็น้อยและยังเก็บเงินนี้ไว้ซื้อสิ่งอื่นที่ราคาใกล้เคียงกันได้หวังซินหยางผู้เป็นห่วงหลินหว่านเกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไป จึงได้ให้ซั่วเหยียนมาช่วยแจกขนมกับนางด้วยอีกคน เนื่องจากยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้วสามารถทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ถือเป็นการออกกำลังให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ขณะที่หวังซินหยางกำลังนั่งนึกถึงภาพรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ที่หลินหว่านมอบให้กับเขาไปเมื่อวานนี้อยู่ภายใน
เฉินจิ้งที่รอเวลาตามแผนหลังจากเริ่มมีเสียงครวญครางดังลั่นด้านในห้อง เขาปล่อยให้จิ้นโจวได้มอบความสุขสมให้มู่จือหย่าอยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม พอสมควรแก่เวลาที่กำหนดไว้จึงกลับเข้าไปในงานเลี้ยงที่ยังมีแขกเหรื่ออยู่ร่วมงาน รวมถึงเหล่าบุรุษและสตรีที่ติดตามบิดามารดามาแสดงความยินดี หนึ่งในนั้นมีหลินหนิงเซียนที่มาพร้อมกับบิดามารดา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มีใจอิจฉาริษยามู่จือหย่าแต่อย่างใดเฉินจิ้งแสร้งทำตัวเลิ่กลั่กให้เป็นที่น่าสงสัยสำหรับคนที่มองมา เฉินจิ้งจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเฉินเยี่ยนหมิงด้วยท่าทางมีพิรุธสายตาหลายคู่จึงจับจ้องมายังเฉินจิ้งเป็นพิเศษ ใบหูแต่ละคนก็คอยฟังว่าบ่าวคนสนิทผู้นี้จะบอกเรื่องอะไรกับเจ้านายตนกันแน่ ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ก็ตาม แต่มักจะมีคนที่ชื่นชอบยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น เป็นคนกระจายข่าวแทนเสมอ“หือ อาหมิงเหตุใดเฉินจิ้งถึงดูกระวนกระวายแปลก ๆ เจ้าเรียกเฉินจิ้งเข้ามาหาพวกเราหน่อยจะดีหรือไม่ จากท่าทางกระอึกกระอักนั่นคล้ายกับว่ามีเรื่องจะรายงานกับเจ้านะ ลองสอบถามดูสิว่ามีเรื่องอันใดอย่าให้ทำตัวไม่มีมารยาทต่อหน้าแขกเหรื่อเช่นนี
และในที่สุดวันที่หวังซินหยางรอคอยก็มาถึงเสียที ทุกคนตื่นขึ้นมาช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีการตรวจดูความเรียบร้อย ตลอดจนหีบสินสอดมากมายที่นำมาวางให้แขกได้เห็นว่าเจ้าบ่าวให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมากเพียงใด ด้านในห้องนอนของหลินหว่านมีน่าซือและฟางจือฉิงช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าสาว ด้วยการใช้สมุนไพรเนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จมาให้ เช่น ใบไผ่ ดอกบัว หรือดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม จากนั้นชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นทองด้วยลวดลายที่สวยงามก็ถูกสวมใส่บนเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของหลินหว่าน เครื่องหัวเป็นรูปทรงดอกบัวและมีปิ่นปักผมรูปนกยูงหลังจากแต่งตัวเสร็จ หลินหว่านมีหน้าที่นั่งรอเจ้าบ่าวมารับตัวและใช้พัดปิดบังใบหน้าเอาไว้เมื่อได้เวลาเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของหลินหว่านเริ่มเต้นถี่รัว เพราะนี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของนางทั้งสองชาติภพเชียวนะ“เจ้าบ่าวได้เวลารับตัวเจ้าสาวแล้ว”เสียงของจิ้นกงกงผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องพิธีดังขึ้นบริเวณด้านหน้าห้อง หวังซินหยางเดินผ่านประตูเข้ามาดวงตาคมกริบทอดมองไปร่างของเจ้าสาวที่นั่งรอเขาอยู่ เมื่
หวังซินหยางและหลินหว่านเดินจูงมือกันลงมาจากเชิงเขา ก่อนที่ทั้งสองจะลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นแล้วว่ามีใครจับกลุ่มยืนรออยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้หลินหว่านจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางให้หวังซินหยางบอกกับทุกคนเรื่องที่บ้านสวนแห่งนี้ของนาง กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า“นี่อาหยางเจ้าต้องอธิบายกับเปิ่นหวางและทุกคนแล้วนะ เล่นเดินจับมือคุณหนูโจวไม่ปล่อยเช่นนี้หมายความว่าไร แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางนั่นอีกรีบบอกมาเร็วเข้า” หยางอ๋องเห็นท่าทีของพระสหายที่ดูมีความสุขเกินไป จึงสงสัยว่ามีอะไรที่พวกเขารู้เห็นกันเพียงสองคนหรือไม่“นั่นสิพี่ใหญ่ท่านบอกพวกเรามาเถิด มิใช่แค่ท่านอ๋องที่อยากรู้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนอยากรู้ทุกคนเลยล่ะ” พระชายาหวังแอบคิดอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม“คุณชายหยะ....”“เอาล่ะ ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องถามเพิ่มแล้วเหวินเสียน ไหน ๆ ก็อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดเช่นนั้นขอบอกให้ทุกคนทราบว่า หว่านเออร์ยินดีแต่งเข้าตระกูลหวังในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว และงานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อบิดาของข้านำสินสอดมารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้” พอได้บอกออกไปหวังซินหยางรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเสียอ
แม้ว่าจะมีแขกสูงศักดิ์ช่วยประเดิมเข้าพักในบ้านสวนของหลินหว่าน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติเพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้าสำหรับทำกิจกรรมตามตารางที่หลินหว่านทำไว้ รวมถึงงานที่ทำร่วมกับชาวบ้านอย่างธูปสมุนไพรไล่ยุง ซึ่งครอบครัวของใต้เท้าหลัวและครอบครัวใต้เท้าจิ่ง อยากซื้อกลับไปใช้ที่จวนในเมืองหยางฉินจำนวนหลายห่อ หลินหว่านจึงได้แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนของหมู่บ้านหลูหยาง ทำให้ใต้เท้าหลัวได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จนเกิดแนวความคิดจะใช้หมู่บ้านหลูหยางเป็นต้นแบบ เพื่อให้หมู่บ้านในพื้นที่อื่น ๆ รักและสามัคคีเช่นนี้บ้าง ใต้เท้าหลัวยังคิดไปถึงเรื่องการคิดค้นผลิตภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาวางขายด้วยเช่นกันเมื่อกิจการในฝันได้เริ่มต้นขึ้นตามที่ต้องการแล้ว หลินหว่านจึงมอบหมายให้หยุนเหลียงไปซื้อร้านค้าในเมืองหลางหลิว สำหรับทำเป็นร้านขายขนมครกและรับสมัครลูกจ้างประจำร้านห้าคน เพราะมันเป็นกิจการแรกที่หลินหว่านใช้หาเงินหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยจะให้น่าซือไปตรวจบัญชีของร้านทุกสิบห้าวัน“คุณหนูให้เ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลูหยางรถม้าของหลินหว่านได้หยุดกลางคัน เนื่องจากฟางติงฉ่ายบิดาของฟางจื่อฉิงกำลังจะตามไปที่หมู่บ้านหลูเฟินพอดี เมื่อบังเอิญเจอกันเหอซู่เผิงจึงได้เรียกเอาไว้และบอกว่า ยามนี้ฟางจื่อฉิงอยู่บนรถม้าของหลินหว่านแล้ว จึงได้บอกให้ทุกคนกลับหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตพอทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฟางจื่อฉิง พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมและให้กำลังใจกับฟางจื่อฉิง เพราชาวบ้านเองต่างก็เอ็นดูนางและเห็นการเติบโตของนางมาตั้งแต่เด็ก บางคนถึงกับโกรธแค้นหมู่บ้านหลูเฟินที่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือฟางจื่อฉิงสักนิด ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นรุมทำร้ายเอาแต่ยืนมองดั่งก้อนหิน แต่เมื่อได้ยินว่าคุณหนูโจวเจ้าของน้ำปุ๋ยหมักให้ส่งจดหมายถึงหยางอ๋อง ว่าไม่ต้องการขายมันให้กับคนไร้ศีลธรรมจึงพอจะลดความโกรธลงมาได้ “สมน้ำหน้าพวกนั้นแล้วในเมื่อคุยกันไม่เข้าใจ ควรตามฟางเหม่ยไปรับฟังและหาทางออกร่วมกันถึงจะถูก แต่นี่กลับบังคับให้ฉิงเออร์หย่าขาดกับสามีตัวดีนั่นท่าเดียว” นางหงโยวที่มาเยี่ยมและให้กำลังทั้งสหายกับบุตรสาวนั่งพูดด้วยความโมโห“ต่อไปทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งเมือง แต่
ต้นยามเฉินของเช้าวันต่อมาหลังจากทานมื้อเช้าที่แสนอร่อย หลินหว่านและทุกคนจึงได้เริ่มต้นตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดยที่นางไม่ลืมหยิบภาพวาดที่คัดเลือกมาบางส่วน นำมาตกแต่งเพิ่มให้กับผนังห้องไม่ให้ดูโล่งจนเกินไป หลินหว่านเน้นความอบอุ่นและสวยงามด้วยการผสมผสานเครื่องตกแต่งที่ทำจากไม้คุณภาพดี มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับห้องรับแขกด้านในห้องนั่งเล่นส่วนตัวนั้นหลินหว่านจัดวางเก้าอี้ตัวใหญ่นั่งได้อย่างสบาย ๆ พร้อมโต๊ะกลางที่มีลายไม้สวยงามผนังห้องประดับด้วยงานศิลปะ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมจีนเป็นการสร้างบรรยากาศที่สงบฝั่งห้องทานอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดพอดีและเก้าอี้ที่มีเบาะรองนั่งสีอ่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้สดเพิ่มความสดชื่นและสีสันยามนั่งทานอาหาร ส่วนห้องนอนถูกออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง โดยใช้เตียงที่มีหัวเตียงทำจากไม้สลักลวดลายละเอียด พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนในโทนสีเนื้อและสีทอง ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและผ่อนคลายให้กับการนอนหลับ ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน จากฝีมือของจิตรกรทั้งสามคนที่วาดภาพได้งดงามไม่แพ้จิตร
เมื่อได้รับพระราชานุญาตตามฎีกาที่ตนได้ถวายต่อฮ่องเต้แล้ว หวังซินหยางยังไม่กลับจวนในทันทีเขากลับไปที่สำนักตรวจสอบ เพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่เล็กน้อยและพิจารณารายชื่อ เหล่าหัวหน้าแต่ละกลุ่มตามผลงานที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการคัดเลือก สำหรับตำแหน่งผู้รักษาการสำนักตรวจสอบในเมืองหลวง แต่ไม่ว่าหวังซินหยางจะเลือกหัวหน้าคนใดขึ้นมาก็ตาม ทุกคนในสำนักตรวจสอบย่อมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะทุกคนล้วนทำงานร่วมกันมานานเสี่ยงอันตรายมาก็มาก นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายก่อนที่หวังซินหยางจะตัดสินใจเลือก ‘สุยอี้หยวน’ รับภาระดูแลสำนักตรวจสอบในเมืองหลวงแทนเขา และหวังซินหยางยังได้เตรียมส่งมอบงานที่เป็นคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาที่นี่ได้ทำฆ่าเวลา เมื่อใดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับขุนนางที่ทำผิดกฎหมายของแคว้น เวลานั้นพวกเขาทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งด้านหลินหว่านที่จัดการกับสิ่งของต่าง ๆ ของตนเรียบร้อย จึงได้แวะไปสนทนากับว่าที่พระชายาเอกของหยางอ๋อง อย่างหวังลี่ถิงที่พักหลังนางต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทั้งกริยามารยาทรวมถึงเรื่องรูปร่างผิวพรรณที่ต้องงดงามที่สุด ยามที่สวมชุดแต่งงานจะยิ่งทำให้ดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท
ภายหลังมื้ออาหารเย็นในวันหนึ่งก่อนหลินหว่านจะกลับเรือนรับรอง ได้เดินมาหยุดมองดวงจันทร์กลมโตที่ส่องสว่างมากเป็นพิเศษในคืนนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ตนได้มาสานต่อความฝันยังอีกโลกหนึ่ง หลังจากต้องตายด้วยฝีมือของกลุ่มคนชั่ว นอกจากนี้ยังได้นำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยเหลือผู้คนมากมาย ซึ่งตอนนี้ในเมืองหลวงเริ่มมีชาวบ้านนำผัก มาขายมากขึ้น ส่วนตัวของหลินหว่านเองก็ลงมือเพาะปลูกวัตถุดิบทั้งหลาย ที่ต้องใช้ในกิจการร้านขนมครกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหยางหลิวพร้อมขบวนเสด็จของหยางอ๋อง เพราะต้องนำเกี้ยวเจ้าสาวอย่างหวังลี่ถิงกลับตำหนักอ๋องในเมืองหยางฉินหวังซินหยางที่เดินตามหลังหลินหว่านมาติด ๆ เห็นนางหยุดยืนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จึงได้สาวเท้าตามไปพูดคุยเรื่องบางอย่างกับนาง“หว่านเออร์เหตุใดถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้เล่า กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือพี่เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวและดวงจันทร์อยู่นาน” และภาพที่เขาได้เห็นมันช่างงดงามดั่งภาพวาดก็มิปาน“พี่ชายหวังท่านมิได้กลับเรือนนอนหรอกหรือเจ้าคะ ที่ข้าหยุดยืนมองท้องฟ้าเป็นเพราะว่าคืนนี้ดวงจันทร์งดงามมากเจ้าค่ะ และยัง
หลังจากวันที่ได้สั่งสอนบุรุษเช่นเฉินเยี่ยนหมิง หลินหว่านยังคงวุ่นอยู่กับการเตรียมต้นกล้าผัก และการเข้าไปดูร้านขนมสลับกับหวังลี่ถิงเป็นครั้งคราว เพราะหลินหว่านต้องใช้ที่ดินทั้งสิบหมู่ที่หวังซินหยางซื้อให้ เพาะปลูกผักที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับขนมครกของนาง และได้ส่งจดหมายถึงน่าซือว่าต้องอยู่จัดการงานที่เมืองหลวงเสียก่อน จากนั้นจะกลับไปเปิดกิจการบ้านสวนที่นางใฝ่ฝันเสียทีหวังซินหยางที่รู้เรื่องนี้ก็มิได้ร้อนรนแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เขาสังเกตตั้งแต่รู้จักกันในวันแรก ๆ พอจะเดาได้ไม่ยากนัก ว่าสถานที่ที่หลินหว่านชอบและต้องการอาศัยอยู่มากที่สุด นั่นก็คือบ้านสวนของนางที่หมู่บ้านหลูหยาง ตัวของหวังซินหยางจึงได้คิดวางแผนอนาคตของตนไว้เงียบ ๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเขาย่อมตัดสินใจอย่างไม่ลังเลการใช้ชีวิตและการทำงานของหลินหว่านกับหวังซินหยาง ยังคงเหมือนเช่นเดิมในทุก ๆ วันอาจจะมีเรื่องรุนแรงบ้างแต่ไม่หนักหนาเท่าใดนัก แต่สถานการณ์ภายในเมืองหลวงของแคว้นเว่ย กำลังสับสนวุ่นวายขึ้นในวันหนึ่งยามเช้าตรู่ เมื่อผู้คนออกจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน และได้พบกับกระดาษมากมายที่ถูกโยนทิ้งไว้กลางถนน“นี่มันกระดาษอั
วันถัดมาหวังซินหยางถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงอย่างที่คิดจริง ๆ หวังเจี้ยนหนานที่เห็นสีหน้าแววตาของบุตรชายคนโต จำต้องตักเตือนสักเล็กน้อยมิให้เขาแสดงออกชัดเจนจนเกินไป แม้จะโมโหจนอยากสังหารให้ตายก็อย่าให้ศัตรูอ่านความคิดได้ หวังซินหยางจึงพยายามปรับอารมณ์และสีหน้าของตนให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้และเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ฮ่องเต้ไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินพระทัยคำตอบที่เฉินเยี่ยนหมิงได้รับ คือการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาแม้จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี แต่ฮ่องเต้ย่อมต้องคัดเลือกสตรีที่เหมาะสมและจงรักภักดีกับรัชทายาท รวมถึงราชบัลลังก์ไม่มีความคิดที่จะแย่งชิง“ฝากใต้เท้าเฉินกลับไปทูลฮ่องเต้ของท่านด้วยว่า เจิ้นรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ฮ่องเต้ของท่านยอมตัดใจส่งธิดาองค์โตมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เจิ้นมีวิธีการแก้ไขปัญหาเป็นของตนเองถึงยามนี้จะยังไม่ดีนัก แต่ในอีกไม่ช้าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียว เมื่อวันนั้นมาถึงข่าวลือย่อมไปถึงแคว้นเว่ยอย่างรวดเร็วแน่ ๆ” หากเจิ้นโง่คงไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนี้หรอกนะ“เอ่อ ฝ่าบาทจะไม่ทรงเก็บไปพิจารณาดูก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”“หืม เ