เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี
น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย“แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”
“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นชาวแคว้นหยางอย่างเต็มตัว จึงอยากถามท่านอาทั้งสองว่าจะเปลี่ยนตามข้าหรือจะคงสถานะคนแคว้นเว่ยเอาไว้เจ้าคะ” หลินหว่านอยากเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเสียใหม่
“พวกเรายินดีทำตามความต้องการของคุณหนูอยู่แล้วขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเราไปทานอาหารเช้ากันก่อนเถิดเจ้าค่ะ จากนั้นจะได้ไปจัดการธุระต่าง ๆ ให้เรียบร้อย เพราะข้ายังต้องไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงหมออีก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะฟื้นคืนสติหรือยังหมดสติเช่นเดิม ดูท่าทางแล้วจะเป็นคนดื้อรั้นไม่เบาเลยเจ้าค่ะ” หลินหว่านไม่ลืมที่บอกกับบุรุษแปลกหน้าที่ตนเองช่วยเอาไว้ ว่าวันนี้นางจะไปเยี่ยมเขาก่อนยามอู่
“อ้อ แล้วท่านหมอว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ บ่าวเห็นบาดแผลเต็มตัวไปหมดเกรงว่าจะถูกคนลอบสังหาร จึงได้สู้กลับอย่างเต็มที่แต่อย่างไรเสียน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟถึงได้มีสภาพเช่นนั้นนะขอรับ” หยุนเหลียงคาดเดาดูจากอาการบาดเจ็บที่เห็นตามร่างกาย
“อืม บาดแผลภายนอกไม่ได้ลึกถึงกระดูกดื่มยาไม่กี่เทียบและหมั่นทายาก็จะหายเป็นปกติในไม่ช้า แต่ที่หนักคงเป็นอาการบาดเจ็บภายในเจ้าค่ะท่านหมอบอกว่าต้องดื่มยาตามที่จัดไว้ให้ ห้ามฝืนใช้กำลังภายในหรือต่อสู้เด็ดขาดมิฉะนั้นอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเจ้าค่ะ ข้าจึงอยากช่วยให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บ จะได้เดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัวของเขาอย่างปลอดภัย ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่น่าจะมีฐานะร่ำรวยอยู่บ้างนะเจ้าคะ”
“โธ่ คุณหนูของบ่าวช่างมีจิตใจเมตตาต่อผู้ตกทุกข์ได้ยากเสียจริง บุญกุศลที่คุณหนูได้ทำจะต้องส่งผลให้กิจการของท่าน เจริญรุ่งเรืองมีลูกค้ามากมายจนนับเงินไม่หวาดไม่ไหวแน่นอนเจ้าค่ะ” น่าซือที่ยังไม่เห็นด้านมืดของหลินหว่านยังคงมองว่านางนั้นอ่อนโยนจิตใจดี
“น่าซืออย่ามัวแต่ชวนคุณหนูคุยอีกเลยประเดี๋ยวจะเลยเวลาอาหารเช้าได้ วันนี้คุณหนูยังต้องไปอีกหลายที่นักหากยังชักช้าแดดจะร้อนเสียก่อนนะ” หยุนเหลียงรีบเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อนเมื่อเห็นว่าน่าซือกำลังจะพูดต่อพอดี
“ไปทานอาหารพร้อมกันเถิดเจ้าค่ะ”
“ขอรับคุณหนู/เจ้าค่ะคุณหนู”
หลังจากทานอาหารเช้าง่าย ๆ กันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนต่างแยกย้ายตามที่ได้คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ น่าซือนั้นกลับมาถึงที่พักก่อนมีหน้าที่เตรียมยาบำรุงไว้ให้หลินหว่านดื่มก่อนนอน ส่วนสถานที่แรกสำหรับหลินหว่านกับหยุนเหลียงคือศาลาว่าการ เพื่อทำเรื่องซื้อที่ดินและขึ้นทะเบียนเป็นคนแคว้นหยาง
เมื่อมาถึงศาลาว่าการมีชาวบ้านมาติดต่อไม่มากนัก หลินหว่านรอไม่นานก็ได้พบผู้ช่วยเจ้าเมืองหม่าเหวินซู ที่ดูแลเรื่องการซื้อขายที่ดินของเมืองหยางหลินแห่งนี้ หยุนเหลียงแจ้งกับใต้เท้าหม่าว่าหลินหว่านต้องการที่ดินติดเชิงเขา และต้องเป็นที่ดินอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่นานมากนัก ใต้เท้าหม่ารีบนำแผนที่มากางและอธิบายรายละเอียดทุกอย่าง จนถึงราคาขายที่ดินที่ถูกกว่าราคาประมาณการของหลินหว่านไปมาก หากเป็นพื้นที่งดงามสภาพอากาศดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงขายราคาถูกนักหลินหว่านสงสัยอย่างมาก จึงได้สอบถามกับใต้เท้าหม่าอย่างจริงจัง
“สวัสดีทั้งสองท่านไม่ทราบวันนี้มาติดต่อเรื่องอันใดงั้นหรือ พวกท่านสามารถบอกกับข้าได้หากเป็นเรื่องทั่วไป พวกท่านไม่ต้องรอนานเจ้าหน้าที่ของเมืองหยางหลินทุกคน ทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่มีล่าช้าอย่างแน่นอน” ใต้เท้าหม่ารีบต้อนรับหลินหว่านอย่างเอาใจ เนื่องจากวันนี้เขาได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาหลายตำลึงทีเดียว
“รบกวนสอบถามใต้เท้าว่ามีที่ดินบรรยากาศดี ๆ อยู่ติดเชิงเขาบ้างหรือไม่เจ้าคะ ขอเป็นหมู่บ้านนอกเมืองที่เดินทางได้สะดวกไปเช้าเย็นกลับได้สบายเจ้าค่ะ”
“เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการซื้อที่ดินไปทำอันใดหรือ ข้าจะได้แนะนำว่าในหมู่บ้านไหนบ้างมีแบบที่ท่านต้องการน่ะ”
“ข้าอยากได้ไว้ปลูกบ้านและทำสวนผักผลไม้เจ้าค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่ถนัดมากที่สุดและคิดว่าน่าจะทำได้ดีอีกด้วย อ้อ ข้าต้องการซื้อทั้งหมดหนึ่งร้อยหมู่นะเจ้าคะ เพราะต้องสร้างบ้านพักให้กับคนงานในอนาคต รวมถึงคนติดตามของข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“ถ้าเป็นที่ดินสำหรับทำการเกษตรข้าแนะนำที่หมู่บ้านหลูหยางนะ ยังมีที่ดินติดเชิงเขาเกือบสองร้อยหมู่อาจจะอยู่ห่างจากชาวบ้านคนอื่นเล็กน้อย แต่บรรยากาศเป็นไปตามที่คุณหนูต้องการทุกอย่าง ที่สำคัญชาวบ้านยังเป็นกันเองและไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นอีกด้วย” ใต้เท้าหม่าอยากจะขายที่ดินตรงมานานแล้ว
“ไม่ทราบว่าขายราคาเท่าไหร่หรือเจ้าคะใต้เท้า ข้าจะได้คำนวณเงินที่เตรียมมาให้เรียบร้อย หากไม่พอจะได้ให้คนติดตามไปนำมาเพิ่มอีกเจ้าค่ะ”
“เอ่อ ที่ดินบริเวณนี้ขายหมู่ละแปดร้อยอีแปะเท่านั้น รับรองว่าถ้าคุณหนูได้เห็นจะต้องชื่นชอบมาก”
“หือ เหตุใดถึงขายถูกนักล่ะใต้เท้าแค่แปดร้อยอีแปะเท่านั้นหรือเจ้าคะ ที่ดินแถบนั้นมีปัญหาอะไรที่ท่านยังไม่ได้บอกข้าหรือไม่ หากทำการค้าไม่โปร่งใสข้ามีสิทธิ์ร้องเรียนกับท่านเจ้าเมืองได้นะ ใต้เท้าจะลองดูสักครั้งไหมอย่าคิดว่าข้าเป็นสตรีแล้วจะโง่ดูท่าทางของท่านไม่ออกนะเจ้าคะ” หลินหว่านเริ่มใช้น้ำเสียงที่แข็งกระด้างขึ้น เพื่อต้องการรู้สาเหตุของการขายที่ดินแห่งนั้นในราคาถูก
“ไม่ ๆ ๆ คุณหนูอย่าทำเช่นนั้นเลยนะข้าจะบอกท่านก็ได้ สาเหตุของราคาขายที่ถูกของที่ดินแถบนั้นก็คือ เมื่อฤดูหนาวมาเยือนและหิมะตกหนักมักจะมีหมาป่าออกมาหาอาหาร และเคยทำร้ายคนในหมู่บ้านตายไปหลายคน ก่อนหน้านี้มีคนเร่ร่อนแอบไปสร้างกระท่อมอยู่ที่นั่น ก็ถูกหมาป่ารุมทำร้ายกลายเป็นอาหารของพวกมัน ชาวบ้านจึงขยับออกมาสร้างบ้านเรือนให้ห่างจากเชิงเขาเล็กน้อย ทำให้ที่ดินแห่งนี้เงียบสงบไม่มีเสียงผู้ใดมารบกวนได้ ฟังเช่นนี้แล้วคุณหนูยังต้องการจะซื้ออีกหรือไม่เล่า” ใต้เท้าหม่าขายที่ดินแห่งนี้ไม่ออกมานานหลายปีแล้ว
“ฮึ แน่นอนข้าต้องซื้อมันอยู่แล้วรบกวนใต้เท้าช่วยจัดการเรื่องโฉนดที่ดิน จำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบหมู่ในชื่อของโจวหลินหว่านด้วยเจ้าค่ะ อีกอย่างข้ากับผู้ติดตามอีกสองคนต้องการขึ้นทะเบียนเป็นราษฎรของแคว้นหยาง ไม่ทราบว่าใต้เท้าพอที่จะช่วย....” หลินหว่านยังพูดไม่จบใต้เท้าหม่าก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี
“โอ้ คุณหนูสบายใจได้เรื่องแค่นี้เองข้าสามารถจัดการให้ท่านได้เลย เชิญนั่งรอทางด้านนี้ข้าใช้เวลาไม่นานทั้งสองเรื่องนี้จะนำมามอบให้ถึงมือท่านทันที เอ่อ ค่าใช้จ่ายทั้งสองเรื่องนี้รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบห้าตำลึงเงิน คุณหนูเตรียมเงินมาเพียงพอหรือไม่เล่า”
“นี่เป็นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินหนึ่งใบและนี่อีกยี่สิบห้าตำลึงเงินแต่เป็นข้ารบกวนใต้เท้าจัดการเรื่องเอกสารด้วยตนเองคงจะเหนื่อยแย่ ถ้าอย่างไรก็อย่าลืมพักผ่อนดื่มน้ำชาดี ๆ บ้างนะเจ้าคะ” หลินหว่านยื่นตั๋วเงินพร้อมกับก้อนตำลึงเงิน พร้อมกับสินน้ำใจเล็กน้อย ที่ต้องมีอยู่เสมอเมื่อคิดจะทำการใด ๆ กับเจ้าหน้าที่ของทางการ
“ขอบคุณคุณหนูที่ห่วงใยข้ารับรองว่าจะดูแลตนเองอย่างดี ท่านกับคนติดตามโปรดนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะขอรับ อีกประเดี๋ยวข้าจะรีบนำเอกสารมาส่งให้ท่านกับมือตนเองแน่นอน”
“ขอบคุณใต้เท้าเช่นกันเจ้าค่ะ”
และเป็นไปตามที่ใต้เท้าหม่าได้บอกเอาไว้ว่าใช้เวลาไม่นาน ผ่านไปเพียงหนึ่งจิบชาทั้งโฉนดที่ดินและหนังสือรับรอง การเป็นราษฎรของแคว้นหยางพร้อมป้ายประจำตัวของนายบ่าวทั้งสาม ก็มาอยู่ในมือหลินหว่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นการทำงานของใต้เท้าหม่านางถึงกับเลิกคิ้วที่โก่งดั่งคันศรขึ้น เพราะไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใดนักกับการเป็นคนมีเงินทองร่ำรวยมันดีเช่นนี้นี่เอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็สะดวกรวดเร็วกว่าการเป็นชาวบ้านธรรมดาจริง ๆ
พอจัดการธุระที่ศาลาว่าการเสร็จสิ้นแล้ว หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงไปส่งนางที่โรงหมอ เพื่อที่จะไปเยี่ยมคนป่วยตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บจะเป็นเช่นไร ส่วนเรื่องหาร้านทำอุปกรณ์ขายขนมและนายช่างสร้างบ้าน คงต้องเป็นตอนบ่ายแทนหลินหว่านค่อยสอบถามคนในเมืองดู เพราะพวกเขาน่าจะรู้จักนายช่างเก่ง ๆ ของเมืองหยางหลินอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อมาถึงหน้าโรงหมอก็พบผู้ช่วยหมอคนเดิม ที่ช่วยเหลือนำคนเจ็บลงจากรถม้ากำลังจัดยาอยู่พอดี จึงได้กล่าวทักทายเล็กน้อยและขอเข้าไปเยี่ยมคนเจ็บด้านใน ซึ่งยามนี้เขาฟื้นขึ้นมาได้สักพักและกำลังนั่งอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับจนทำให้คนป่วยที่อยู่เตียงข้าง ๆ หวาดระแวงไปตาม ๆ กัน
“นี่คุณหนูท่านมาได้เสียทีช่วยพูดกับคนรักของท่านทีเถิด ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ยอมพูดยอมจาข้าวปลาไม่ยอมกิน ยาที่ต้องดื่มหลังอาหารก็ยังไม่ได้ดื่มหากเป็นเช่นนี้จะยิ่งหายช้านะขอรับ” ท่านหมอที่ทำการรักษาเมื่อเห็นหลินหว่านเข้ามาก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“เอ่อ....เฮ้อ ถ้าเช่นนั้นรบกวนท่านหมออุ่นยามาให้อีกครั้งนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะจัดการกับคนป่วยที่ไม่เชื่อฟังเอง ขออภัยท่านหมอด้วยจริง ๆ ทำให้ท่านต้องลำบากแล้วเจ้าค่ะ” หลินหว่านจะปฏิเสธก็คิดว่าคงไม่มีประโยชน์อันใด จึงเออออตามน้ำไปให้ท่านหมอสบายใจ
“เชิญคุณหนูตามสบายข้าจะให้คนไปอุ่นยาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“เอาล่ะพี่ชายข้ารู้ว่าท่านหน้าตาหล่อเหลาแต่ท่านจะทำหน้าบูดบึ้ง หรือใช้สายตาดุ ๆ นั่นมองคนอื่นไปทั่วไม่ได้หรอกนะ ที่ทุกคนต้องนอนอยู่ในโรงหมอแห่งนี้เพราะพวกเขาต่างก็เจ็บป่วยเช่นท่าน อีกอย่างท่านบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ยังไม่ยอมทานข้าวทานยา แล้วเมื่อไหร่จะหายเป็นปกติท่านไม่อยากกลับไปหาครอบครัวรึ อ้อ อย่าคิดไปเองว่าข้าแค่พูดให้จบ ๆ ไปที่ว่าจะกลับมาเยี่ยมท่านเมื่อวานนี้ เพราะคนอย่างข้าไม่เคยผิดคำสัญญาที่พูดออกไปอย่างแน่นอน ทีนี้จะทานข้าวได้หรือยังประเดี๋ยวยาก็คงอุ่นเสร็จแล้วนะเจ้าคะ” หลินหว่านนั่งลงได้ก็เริ่มร่ายยาวบ่นอุบให้กับชายหนุ่มตรงหน้าทันที
“อืม ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ และยังพามาส่งโรงหมอที่นี่อีก หากต้องการความช่วยเหลืออันใดในภายหน้าเจ้าสามารถบอกข้าได้ทุกเมื่อ” หวังซินหยางที่ได้ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของหลินหว่าน อาการคันยุบยิบที่หัวใจก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ปกติแล้วเขาจะไม่ยอมพูดคุยกับคนแปลกหน้าโดยเฉพาะสตรี
“จะให้ข้าขอความช่วยเหลือจากพี่ชายสุดหล่อได้อย่างไร ชื่อแซ่ก็ไม่รู้จักที่อยู่หรือก็หามีไม่จะติดต่อกันอย่างไรยังไม่รู้เลย แต่ท่านกลับบอกว่ายินดีให้ความช่วยเหลือเนี่ยนะ ช่างเถิด ๆ ข้าเป็นคนไม่คิดมากและไม่ติดใจเรื่องบุญคุณอะไรเท่าไหร่ ถ้าเป็นความแค้นนั่นก็อีกเรื่องแต่มันไม่เกี่ยวกับท่านอยู่ดี ในห่อผ้านี้เป็นชุดที่ท่านใส่ติดตัวมาเนื่องจากมันเปรอะเปื้อนทั้งยังเปียกน้ำ ข้าจึงนำไปซักทำความสะอาดให้แล้ว ท่านก็เก็บเอาไว้เปลี่ยนวันที่จะออกจากโรงหมอก็แล้วกัน ส่วนเรื่องค่ารักษาค่ายาทั้งหมดเดี๋ยวข้าจะช่วยจ่ายให้เอง”
“ข้าหวังซินหยางมีครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงของแคว้นหยาง ครั้งนี้เดินทางมาที่หยางหลินเพื่อพูดคุยเรื่องการค้า แต่ถูกศัตรูลอบทำร้ายหวังเอาชีวิตเป็นเพราะประมาทศัตรูเกินไป จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดถือว่าสวรรค์ยังพอมีเมตตากับข้าอยู่บ้าง ถึงได้ส่งคุณหนูมาช่วยเอาไว้ได้ทันก่อนที่ข้าจะไปเยือนสะพานเหลือง” หวังซินหยางแนะนำตัวเล็กน้อยมิได้บอกรายละเอียดทั้งหมด
“ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะคุณชายหวัง ข้าแซ่โจวมีนามว่าหลินหว่าน ย้ายถิ่นฐานมาจากแคว้นเว่ย เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แคว้นหยางแห่งนี้ แต่ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเองเนื่องจากเพิ่งซื้อที่ดินไป ก่อนที่จะมาเยี่ยมท่านที่โรงหมอตามสัญญาเจ้าค่ะ”
“คุณหนูคงมีเหตุผลส่วนตัวที่ย้ายมาจากแคว้นเว่ย ในนามที่ข้าเป็นคนแคว้นหยางขอกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับ นับต่อจากนี้ไปหวังว่าท่านจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
หวังซินหยางคอยสังเกตหลินหว่านอยู่ตลอดเวลา เขามองไม่เห็นถึงอาการเสียใจหรือเสียดายในดวงตาของนางสักนิด ทั้งที่ต้องย้ายถิ่นฐานจากแคว้นบ้านเกิดของตนเองแท้ ๆ แต่เมื่อกี้นางพูดถึงเรื่องความแค้นอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้น กับคนสำคัญในชีวิตของนางก็เป็นได้ จึงไม่ต้องการอยู่ในสถานที่ที่มีความทรงจำเลวร้าย และเลือกที่จะเดินทางมาอาศัยยังแคว้นหยางแห่งนี้แทน คงต้องรอให้เหวินเสียนมาพบเขาที่หยางหลินเสียก่อน ค่อยสืบเรื่องราวของนางทีหลังแต่ตอนนี้เขาทำสิ่งใดไม่ถนัด เป็นเพราะถูกฝ่ามือนั้นซัดเขาอย่างแรงจนบาดเจ็บภายใน เพื่อตอบแทนที่นางช่วยเหลืออาจจะหน้าด้านเล็กน้อย แต่หวังซินหยางคิดว่ามันน่าจะได้ผลหากพูดกับนางตามตรง
“อ่ะ นี่โจ๊กของท่านคุณชายหวังทานตอนที่มันยังอุ่นอยู่จะดีกว่า ยาต้มที่นำไปอุ่นคงใกล้จะยกมาให้ท่านอีกครั้งแล้วกระมัง หลังจากทานยาเสร็จท่านก็นอนพักผ่อนให้มาก ๆ อาการบาดเจ็บจะได้หายในเร็ววัน”
“คุณหนูโจวข้าขอกล่าวตามตรง เนื่องจากข้ายังบาดเจ็บภายในอยู่ ไม่สะดวกเดินทางกลับเมืองหลวงในเวลาเช่นนี้ ข้ายินดีช่วยคุณหนูจ่ายค่าเช่าบ้านหากท่านพอจะแบ่งห้องพักให้สักหนึ่งห้อง รอให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นและคนของข้านำกำลังติดตามมาถึงที่นี่ จากนั้นอีกหนึ่งเดือนถึงจะเดินทางกลับเมืองหลวงแต่ข้าจะทิ้งนกพิราบสื่อสารไว้ เผื่อคุณหนูโจวมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือ ท่านสามารถให้คนส่งข่าวถึงข้าได้ทุกเมื่อ”
“ในเมื่อท่านกล้าเอ่ยปากขออนุญาตกับคุณหนูโจวผู้นี้ แล้วเหตุใดข้าจะแบ่งห้องพักเพียงหนึ่งห้องให้ท่านพักไม่ได้เล่า ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเช่าบ้านเพราะข้าสามารถจัดการได้เจ้าค่ะ แค่ท่านพยายามรักษาตัวเองให้หายดีก็พอ ป่านนี้ฮูหยินของท่านคงรอให้ท่านกลับบ้านอย่างปลอดภัยอยู่ก็ได้เจ้าค่ะ ไว้ข้าหาเช่าบ้านหรือจวนสักหลังได้แล้วจะส่งท่านอาหยุนเหลียงมารับท่านนะเจ้าคะ ส่วนวันนี้ท่านต้องนอนที่โรงหมอไปก่อนและพักผ่อนให้มาก ท่านหมอก็อายุมากแล้วเห็นใจคนแก่สักนิดเถิดเจ้าค่ะ”
“ฮูหยิน? คุณหนูโจวเพิ่งพูดว่าข้ามีฮูหยินรออยู่ที่เมืองหลวงงั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะข้าพูดผิดตรงไหนหรือรูปร่างหน้าตาอย่างคุณชายหวัง น่าจะแต่งงานมีลูกหลายคนแล้วกระมังเจ้าคะ สตรีคนนั้นคงจะโชคดีมากที่สามารถคว้าหัวใจของทะ...”
“ขออภัยคุณหนูโจวด้วยข้ายังไม่เคยแต่งงาน และที่สำคัญไม่เคยมีคนรักแม้แต่คู่หมั้นก็ยังไม่มีเช่นกัน รบกวนคุณหนูโจวเข้าใจข้าเสียใหม่” หวังซินหยางรีบพูดขัดกลางปล้องก่อนที่หลินหว่านจะเข้าใจผิดไปไกล
“อะ อ่อ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะไม่คิดว่าคุณชายหวังจะยังไม่มีสตรีในดวงใจ อย่างไรเสียท่านควรทานข้าวและดื่มยาด้วยนะเจ้าคะ ไว้ข้าจัดการธุระทำอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาเยี่ยมท่านอีกครั้ง ดูก็รู้ว่าท่านอายุมากกว่าข้าหลายปีถ้าจะให้ดีอย่าเป็นเด็กดื้อจะดีกว่านะเจ้าคะไว้พบกันใหม่เจ้าค่ะ” หลินหว่านรีบตัดบทก่อนจะยิ้มแหย ๆ เพื่อขอตัวออกไปทำธุระอีกสองเรื่อง ส่วนหนึ่งก็เพราะรู้สึกเขินอายหวังซินหยางที่ตนพูดเป็นตุเป็นตะ กล่าวหาว่าเขาแต่งงานมีฮูหยินและมีบุตรแล้วนี่สิ
‘หึ นี่นางกล้าอบรมข้ามิให้ทำตัวเป็นเด็กดื้อเช่นนั้นหรือ ได้ข้าจะเป็นเด็กดีทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกันคุณหนูโจว แต่ห้ามเจ้าไปพูดเช่นนี้กับผู้ใดอีกก็เท่านั้นเอง’ หวังซินหยางไม่มีทางให้หลินหว่านพูดเช่นนี้กับใครอีก
หลินหว่านที่รู้สึกอับอายกับเรื่องที่ตนคิดไปเอง เกี่ยวกับคุณชายหวังซินหยางเมื่อเอ่ยขอตัว จึงรีบเดินออกจากห้องพักของคนป่วยทันที ซึ่งท่าทางที่แสดงออกไปนั้นหวังซินหยางล้วนเห็นอย่างชัดเจน ยามที่เห็นหลินหว่านยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มทั้งสองข้าง ยิ่งทำให้ใบหน้าเรียวได้รูปน่ามองมากขึ้นไปอีก ส่วนอาการคันยุบยิบที่หัวใจกลับหายไปเมื่อคิดว่ารอยยิ้มนี้ จะมีบุรุษอื่นได้รับมันเช่นเดียวกับตนเองก็กลายเป็นกรุ่นโกรธ พอคิดถึงเรื่องนี้จึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะรักษาตนเองให้หายดีในเร็ววัน ช่วงเวลาที่อยู่เมืองหยางหลินเขาต้องติดตามนางทุกฝีก้าว รวมถึงจดจำบุรุษหน้าตาดีที่คิดเกี้ยวพาหลินหว่านเอาไว้ แล้วค่อยส่งเหวินเสียนกับซิ่วเหยียนไปตักเตือนคนเหล่านั้นทีหลัง
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
หลินหว่านเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังศาลาว่าการเมืองหยางหลิว ที่ยามนี้ใกล้จะได้เวลาเปิดทำการตามปกติกลับมีเสียงตีกลองด้านหน้าดังขึ้น เจ้าหน้าที่สองสามคนถึงกับรีบวิ่งออกมาดูว่า ใครกันที่มาร้องทุกข์แต่เช้าเช่นนี้ เมื่อพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านยืนรอพร้อมกันมากกว่าสี่สิบคน จึงสอบถามเรื่องราวเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อนำกลับไปรายงานต่อท่าน เจ้าเมือง และให้ผู้ที่มาร้องทุกข์เข้าไปรอด้านในห้องไต่สวน แต่เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นจำหน้าหลินหว่านได้จึงเป็นคนเอ่ยถามออกมาแทน“อ้าว คุณหนูท่านนี้ข้าจำท่านได้ท่านเคยมาติดต่อซื้อที่ดินนับร้อยหมู่ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ถึงได้มากันเสียเยอะแยะ แล้วใครที่เป็นคนตีกลองร้องทุกข์เมื่อกี้หรือขอรับ”“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะพี่ชายเป็นข้าเองที่ตีกลองร้องทุกข์ไป เนื่องจากมีคนไปอาละวาดที่ตลาดกล่าวหาว่า ขนมที่ข้าทำขายอยู่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ไปขโมยสูตรผู้อื่นมา ดังนั้นจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านเจ้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสูตรขนมตัวจริงเจ้าค่ะ”“เมืองหยางหลิวไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำเรื่องผิดศีลธรรมทำลายภาพลัก
การเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังแคว้นหยางเป็นสิ่งที่หลินหว่านตัดสินใจได้ถูกต้อง หากยังเลือกที่จะอยู่แคว้นเว่ยป่านนี้ชีวิตคงไม่มีความสุขเป็นของตนเองแน่ เพราะมู่จือหย่าไม่มีทางให้หลินหว่านอยู่เป็นหนามตำใจ ด้วยเกรงว่าคู่หมั้นที่อุตส่าห์แย่งไปเป็นของตนเองได้จะกลับมาวุ่นวายกับนาง และเช้าวันนี้ก็เป็นวันที่หลินหว่านต้องทำตามคำพูดของนาง นั่นก็คือการทำขนมครกแจกชาวบ้านเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อวานนี้ บรรยากาศการแจกขนมช่างคึกคักยิ่งกว่าทุกวันใครบ้างไม่อยากทานของอร่อย แม้จะพอเจียดเงินไปซื้อทานเองได้ถึงอย่างไรการได้รับของแจกเป็นครั้งคราว ก็ช่วยประหยัดเงินในครอบครัวไปได้ไม่มากก็น้อยและยังเก็บเงินนี้ไว้ซื้อสิ่งอื่นที่ราคาใกล้เคียงกันได้หวังซินหยางผู้เป็นห่วงหลินหว่านเกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไป จึงได้ให้ซั่วเหยียนมาช่วยแจกขนมกับนางด้วยอีกคน เนื่องจากยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้วสามารถทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ถือเป็นการออกกำลังให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ขณะที่หวังซินหยางกำลังนั่งนึกถึงภาพรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ที่หลินหว่านมอบให้กับเขาไปเมื่อวานนี้อยู่ภายใน
เฉินจิ้งที่รอเวลาตามแผนหลังจากเริ่มมีเสียงครวญครางดังลั่นด้านในห้อง เขาปล่อยให้จิ้นโจวได้มอบความสุขสมให้มู่จือหย่าอยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม พอสมควรแก่เวลาที่กำหนดไว้จึงกลับเข้าไปในงานเลี้ยงที่ยังมีแขกเหรื่ออยู่ร่วมงาน รวมถึงเหล่าบุรุษและสตรีที่ติดตามบิดามารดามาแสดงความยินดี หนึ่งในนั้นมีหลินหนิงเซียนที่มาพร้อมกับบิดามารดา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มีใจอิจฉาริษยามู่จือหย่าแต่อย่างใดเฉินจิ้งแสร้งทำตัวเลิ่กลั่กให้เป็นที่น่าสงสัยสำหรับคนที่มองมา เฉินจิ้งจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเฉินเยี่ยนหมิงด้วยท่าทางมีพิรุธสายตาหลายคู่จึงจับจ้องมายังเฉินจิ้งเป็นพิเศษ ใบหูแต่ละคนก็คอยฟังว่าบ่าวคนสนิทผู้นี้จะบอกเรื่องอะไรกับเจ้านายตนกันแน่ ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ก็ตาม แต่มักจะมีคนที่ชื่นชอบยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น เป็นคนกระจายข่าวแทนเสมอ“หือ อาหมิงเหตุใดเฉินจิ้งถึงดูกระวนกระวายแปลก ๆ เจ้าเรียกเฉินจิ้งเข้ามาหาพวกเราหน่อยจะดีหรือไม่ จากท่าทางกระอึกกระอักนั่นคล้ายกับว่ามีเรื่องจะรายงานกับเจ้านะ ลองสอบถามดูสิว่ามีเรื่องอันใดอย่าให้ทำตัวไม่มีมารยาทต่อหน้าแขกเหรื่อเช่นนี
ด้านจวนตระกูลมู่สถานการณ์ภายในห้องโถงรับแขกของจวนนั้น กลับแตกต่างจากจวนตระกูลเฉินอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมู่จือหย่าเอาแต่โวยวาย และบอกว่าตัวของนางถูกคนวางแผนทำลายอนาคต โดยเฉพาะการปักใจเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหลินหนิงเซียนอย่างแน่นอน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามู่กลับเห็นต่างเมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ของหลานสาวคนโปรด “กรี๊ดดดด!! ข้าจะกลับไปหาทานพี่เขาเป็นสามีของข้าแล้ว เหตุใดท่านพ่อถึงไม่ช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนังหนิงเซียนนั่น ที่วางแผนสกปรกทำให้ข้าและตระกูลมู่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ฮือ ๆ ๆ” มู่จือหย่ายังไม่หยุดโวยวายแม้จะกลับมาถึงจวนแล้วก็ตาม“เจ้าจะหุบปากได้หรือยัง!! ไม่ว่าจะเป็นแผนการของใครก็ตามแต่เป็นเจ้าที่โง่เอง ในเมื่อคิดได้ว่าหลินหนิงเซียนจะส่งคนเข้ามาปะปนอยู่หมู่บ่าวไพร่ ทำไมยังเรียกหาอาหารหรือน้ำชาจากสาวใช้ที่ไม่น่าไว้ใจได้ ส่วนเจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทกลับไม่ตักเตือนเจ้านายแทนที่จะเป็นเจ้าที่ไปยังห้องครัวเพื่อรับอาหารว่างเอง แต่กลับห่วงเรื่องประจบสอพลอเจ้านายหวังเงินรางวัล จนทำให้เกิดเรื่องใหญ่ถึงขั้นที่ตระกูลมู่ของข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง นังบ่าวไม่มีความคิดเจ้ารู้ไหมพรุ่งนี้เช
ด้านจวนตระกูลมู่สถานการณ์ภายในห้องโถงรับแขกของจวนนั้น กลับแตกต่างจากจวนตระกูลเฉินอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากมู่จือหย่าเอาแต่โวยวาย และบอกว่าตัวของนางถูกคนวางแผนทำลายอนาคต โดยเฉพาะการปักใจเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหลินหนิงเซียนอย่างแน่นอน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามู่กลับเห็นต่างเมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ของหลานสาวคนโปรด “กรี๊ดดดด!! ข้าจะกลับไปหาทานพี่เขาเป็นสามีของข้าแล้ว เหตุใดท่านพ่อถึงไม่ช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนังหนิงเซียนนั่น ที่วางแผนสกปรกทำให้ข้าและตระกูลมู่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ฮือ ๆ ๆ” มู่จือหย่ายังไม่หยุดโวยวายแม้จะกลับมาถึงจวนแล้วก็ตาม“เจ้าจะหุบปากได้หรือยัง!! ไม่ว่าจะเป็นแผนการของใครก็ตามแต่เป็นเจ้าที่โง่เอง ในเมื่อคิดได้ว่าหลินหนิงเซียนจะส่งคนเข้ามาปะปนอยู่หมู่บ่าวไพร่ ทำไมยังเรียกหาอาหารหรือน้ำชาจากสาวใช้ที่ไม่น่าไว้ใจได้ ส่วนเจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทกลับไม่ตักเตือนเจ้านายแทนที่จะเป็นเจ้าที่ไปยังห้องครัวเพื่อรับอาหารว่างเอง แต่กลับห่วงเรื่องประจบสอพลอเจ้านายหวังเงินรางวัล จนทำให้เกิดเรื่องใหญ่ถึงขั้นที่ตระกูลมู่ของข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง นังบ่าวไม่มีความคิดเจ้ารู้ไหมพรุ่งนี้เช
เฉินจิ้งที่รอเวลาตามแผนหลังจากเริ่มมีเสียงครวญครางดังลั่นด้านในห้อง เขาปล่อยให้จิ้นโจวได้มอบความสุขสมให้มู่จือหย่าอยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม พอสมควรแก่เวลาที่กำหนดไว้จึงกลับเข้าไปในงานเลี้ยงที่ยังมีแขกเหรื่ออยู่ร่วมงาน รวมถึงเหล่าบุรุษและสตรีที่ติดตามบิดามารดามาแสดงความยินดี หนึ่งในนั้นมีหลินหนิงเซียนที่มาพร้อมกับบิดามารดา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า มิได้มีใจอิจฉาริษยามู่จือหย่าแต่อย่างใดเฉินจิ้งแสร้งทำตัวเลิ่กลั่กให้เป็นที่น่าสงสัยสำหรับคนที่มองมา เฉินจิ้งจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเฉินเยี่ยนหมิงด้วยท่าทางมีพิรุธสายตาหลายคู่จึงจับจ้องมายังเฉินจิ้งเป็นพิเศษ ใบหูแต่ละคนก็คอยฟังว่าบ่าวคนสนิทผู้นี้จะบอกเรื่องอะไรกับเจ้านายตนกันแน่ ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ก็ตาม แต่มักจะมีคนที่ชื่นชอบยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น เป็นคนกระจายข่าวแทนเสมอ“หือ อาหมิงเหตุใดเฉินจิ้งถึงดูกระวนกระวายแปลก ๆ เจ้าเรียกเฉินจิ้งเข้ามาหาพวกเราหน่อยจะดีหรือไม่ จากท่าทางกระอึกกระอักนั่นคล้ายกับว่ามีเรื่องจะรายงานกับเจ้านะ ลองสอบถามดูสิว่ามีเรื่องอันใดอย่าให้ทำตัวไม่มีมารยาทต่อหน้าแขกเหรื่อเช่นนี
การเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังแคว้นหยางเป็นสิ่งที่หลินหว่านตัดสินใจได้ถูกต้อง หากยังเลือกที่จะอยู่แคว้นเว่ยป่านนี้ชีวิตคงไม่มีความสุขเป็นของตนเองแน่ เพราะมู่จือหย่าไม่มีทางให้หลินหว่านอยู่เป็นหนามตำใจ ด้วยเกรงว่าคู่หมั้นที่อุตส่าห์แย่งไปเป็นของตนเองได้จะกลับมาวุ่นวายกับนาง และเช้าวันนี้ก็เป็นวันที่หลินหว่านต้องทำตามคำพูดของนาง นั่นก็คือการทำขนมครกแจกชาวบ้านเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อวานนี้ บรรยากาศการแจกขนมช่างคึกคักยิ่งกว่าทุกวันใครบ้างไม่อยากทานของอร่อย แม้จะพอเจียดเงินไปซื้อทานเองได้ถึงอย่างไรการได้รับของแจกเป็นครั้งคราว ก็ช่วยประหยัดเงินในครอบครัวไปได้ไม่มากก็น้อยและยังเก็บเงินนี้ไว้ซื้อสิ่งอื่นที่ราคาใกล้เคียงกันได้หวังซินหยางผู้เป็นห่วงหลินหว่านเกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไป จึงได้ให้ซั่วเหยียนมาช่วยแจกขนมกับนางด้วยอีกคน เนื่องจากยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้วสามารถทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ถือเป็นการออกกำลังให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ขณะที่หวังซินหยางกำลังนั่งนึกถึงภาพรอยยิ้มอันอ่อนหวาน ที่หลินหว่านมอบให้กับเขาไปเมื่อวานนี้อยู่ภายใน
หลินหว่านเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังศาลาว่าการเมืองหยางหลิว ที่ยามนี้ใกล้จะได้เวลาเปิดทำการตามปกติกลับมีเสียงตีกลองด้านหน้าดังขึ้น เจ้าหน้าที่สองสามคนถึงกับรีบวิ่งออกมาดูว่า ใครกันที่มาร้องทุกข์แต่เช้าเช่นนี้ เมื่อพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านยืนรอพร้อมกันมากกว่าสี่สิบคน จึงสอบถามเรื่องราวเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อนำกลับไปรายงานต่อท่าน เจ้าเมือง และให้ผู้ที่มาร้องทุกข์เข้าไปรอด้านในห้องไต่สวน แต่เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นจำหน้าหลินหว่านได้จึงเป็นคนเอ่ยถามออกมาแทน“อ้าว คุณหนูท่านนี้ข้าจำท่านได้ท่านเคยมาติดต่อซื้อที่ดินนับร้อยหมู่ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ ถึงได้มากันเสียเยอะแยะ แล้วใครที่เป็นคนตีกลองร้องทุกข์เมื่อกี้หรือขอรับ”“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะพี่ชายเป็นข้าเองที่ตีกลองร้องทุกข์ไป เนื่องจากมีคนไปอาละวาดที่ตลาดกล่าวหาว่า ขนมที่ข้าทำขายอยู่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ไปขโมยสูตรผู้อื่นมา ดังนั้นจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับท่านเจ้าเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสูตรขนมตัวจริงเจ้าค่ะ”“เมืองหยางหลิวไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ช่างใจกล้ายิ่งนักที่คิดทำเรื่องผิดศีลธรรมทำลายภาพลัก
ภารกิจตามล่าหาหัวมันและฟักทองประสบความสำเร็จด้วยดี เมื่อนำกลับมาถึงบ้านเช่าหลินหว่านมีผู้ช่วยทั้งสี่ คอยทำความสะอาดปอกเปลือกหัวมันกับฟังทอง เพื่อนำไปนึ่งให้สุกพอประมาณแต่ไม่เละสำหรับโรยบนหน้าขนมครก แต่มีบุรุษผู้หล่อเหลานั่งทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่กับที่ดูทุกคนทำงาน ต่างกับตนเองทำได้เพียงนั่งมองกรอกตาไปมา หวังซินหยางอยากจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานอย่างยิ่ง ยามนี้เขาทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้นหากยังฝืนทำ มีหวังหลินหว่านคงจะโกรธและไม่พูดคุยกับเขาเป็นแน่หลังจากนึ่งหัวมันกับฟักทองจนได้ที่ยังต้องนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้โรยบนหน้าขนมครกที่จะเริ่มมีสีสันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในใจของทุกคนกำลังคิดคล้าย ๆ กันว่าลูกค้าที่ได้เห็น จะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรหรือมีคำติชมวิจารณ์เช่นไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่วงหน้าไปเสียแล้วแต่งานในมือก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจัดการวัตถุดิบต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เข้ายามซวีไปแล้ว หลินหว่านจึงให้น่าซือทำอะไรง่าย ๆ มาทานด้วยกัน หากทำอาหารที่มีหลายขั้นตอนเกรงว่าจะดึกมากไปกว่านี้ และทุกคนจะเสียเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เมื่อถึงเวลาต้องตื่นไปขายขนมที่ตลาดทุกค
ตั้งแต่เริ่มทำกิจการขายขนมมาเกือบสิบวันถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี มีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและยังขายหมดทุกวัน ยิ่งมีเหวินเสียนมาเป็นผู้ช่วยหลังจากได้กระทะขนมมาเพิ่มอีกสามใบ ก็มีลูกค้าสตรีแวะมาซื้อเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีกับกิจการขนมของหลินหว่านไปในตัว เมื่อขนมครกของหลินหว่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นางจึงคิดว่าต้องเพิ่มผักลงไปบนหน้าขนมครกบ้างแล้ว เพราะสีสันที่หลากหลายจะยิ่งช่วยให้ขนมน่าทาน รวมถึงเป็นจุดเด่นที่เรียกความสนใจของลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้เช่นกันส่วนหวังซินหยางที่พยายามอย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาเคร่งครัดตามคำสั่งของท่านหมอและยังมีหลินหว่าน ที่คอยกำชับเขาอยู่ทุกวันจึงทำให้เขาอยากจะหายเป็นปกติโดยเร็ว อย่างน้อยพอให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกไปช่วยงานหลินหว่านก็ยังดี แม้เหวินเสียนจะบอกว่าไม่มีบุรุษมาเกี้ยวพานางก็เถิด แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะ ไม่มีใครสนใจในตัวของหลินหว่าน ฉะนั้นหวังซินหยางจึงเชื่อฟังและดื่มยาให้ครบถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ตนเองสามารถเดินเหินไปด้านนอกได้ก็ต้องอดทนในวันนี้หลังจากขายขนมเสร็จและกลับมาถึงบ้านเช่าแล้ว หลินหว่านได้บอกกับหยุน
ต้นยามเหม่าในวันต่อมาหลินหว่านตื่นพร้อมกับบ่าวทั้งสอง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดแผงขายขนมครกเป็นวันแรก ซึ่งหวังซินหยางที่รู้สึกตื่นเต้นไปกับการเริ่มกิจการของหลินหว่าน ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อส่งนางที่หน้าประตูบ้านเช่า โดยหลินหว่านเองก็ไม่คิดว่าหวังซินหยางจะตื่นนอน เพียงแค่มายืนส่งนางไปขายของที่ตลาดใกล้ ๆ ด้วยตนเอง จึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณออกไปเบา ๆ เท่านั้นเมื่อมาถึงบริเวณตลาดเช้าที่เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของ ก็ยังมีคนที่มาจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบไปทำอาหารด้วยเช่นกัน หลินหว่านไม่รอช้าเริ่มจัดวางโต๊ะจุดเตาตรงจุดที่ตนเช่าแผงขายของไว้ทันที เผื่ออีกสองเค่อจะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนมของตนจะได้พอมีไว้ขายหลินหว่านยังไม่รู้ว่าแค่สามเตาจะทำทันหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นของอร่อยคนย่อมรอซื้ออยู่แล้ว และก็เริ่มจะเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ก็เริ่มหยอดแป้งขนมกลิ่นหอมของน้ำกะทิก็กระจายออกไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาตามกลิ่นและมีคนทนไม่ไหวจึงเดินมาถาม ว่าที่หลินหว่านกำลังทำอยู่นี้คืออะไรเพราะกลิ่นของมันหอมมาก“เอ่อ แม่หนูป้าขอถามอะไรหน่อยสิที่เจ้ากำลังทำคือสิ่งใดรึ เหตุใดถึ
เมื่อทำการเยี่ยมหวังซินหยางเรียบร้อยพร้อมความขายหน้าของตนเอง หลินหว่านจึงให้หยุนเหลียงพาไปตามหาร้านตีเหล็ก เพื่อจะสั่งทำอุปกรณ์สำหรับทำขนมในการทำเป็นอาชีพต่อจากนี้ ซึ่งเจ้าของร้านตีเหล็กที่เห็นแบบของอุปกรณ์ตามที่หลินหว่านต้องการ ถึงกับงุนงงเพราะไม่เคยเห็นมีใครสั่งทำถาดเหล็กเป็นหลุมเช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการตัวนายช่าง จึงต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งและได้แจ้งหลินหว่านไว้ว่าหลังจากนี้อีกสามวันให้มารับของได้ที่ร้าน พอรู้เช่นนี้หลินหว่านได้วางมัดจำเอาไว้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากนางสั่งทำไว้สามใบต่อจากร้านทำอุปกรณ์หลินหว่านไปหานายช่างรับสร้างบ้าน ที่มีชาวบ้านแนะนำมาว่านายช่างคนนี้สร้างบ้านได้เก่งที่สุด แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ให้หยุดทำงาน ด้วยเหตุคนงานของนายช่างไปหลอกรับงานอีกเมืองหนึ่ง แต่มิได้บอกกับนายช่างคล้ายไปหลอกลวงลูกค้าเพื่อเอาเงิน จึงเกิดเป็นคดีความแม้จะพ้นผิดแต่ไม่มีใครกล้าจ้างงานมาหลายเดือนแล้ว หลินหว่านที่ได้ฟังเรื่องราวกลับคิดว่าเพราะนายช่างไว้ใจลูกน้องมากเกินไป หากต้องรับสร้างบ้านสวนให้กับนางแล้วละก็ทุกคนต้องลงลายมือชื่อในสัญญา เป็นหลักฐานป้องกั
เช้าวันต่อมาหลินหว่านคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่ยังถือว่าช้ากว่าบ่าวทั้งสองของตนเองอีก เพราะที่หน้าประตูมี น่าซือและหยุนเหลียงยืนรอนางอยู่นานแล้ว พวกเขาไม่เคาะประตูเรียกเนื่องจากต้องการให้เจ้านายได้พักผ่อน จากที่ได้สังเกตรูปร่างของหลินหว่านมาสักพักพวกเขาเห็นว่ายังซูบผอมอยู่มาก จึงอยากบำรุงให้นางมีน้ำมีนวลมากอีกสักเล็กน้อย “แอ๊ด อะ อ้าว ท่านอาทั้งสองมาอยู่หน้าห้องของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เคาะประตูเรียกจะได้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยเช่นนี้” หลินหว่านตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูก็เจอบ่าวทั้งสอง“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนูเราสองคนอยากให้ท่านได้พักมากหน่อย ที่สำคัญวันนี้จะให้หยุนเหลียงพาคุณหนูไปที่ศาลาว่าการ เพื่อติดต่อเรื่องซื้อที่ดินที่ท่านต้องการนะเจ้าคะ ส่วนตัวบ่าวจะไปร้านขายสมุนไพรหาซื้อยาบำรุงมาต้มให้คุณหนูได้ดื่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลมากขึ้นเพราะยามนี้ท่านยังดูซุบผอมอยู่เลยเจ้าค่ะ หากยังผ่ายผอมเกรงว่าจะล้มป่วยได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”“ขอบคุณท่านอาน่าซื้อมากเจ้าค่ะที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่ว่านอกจากจะซื้อที่ดินแล้วข้ายังต้องการขอขึ้นทะเบียนกับท่านเจ้าเมือง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็