ฟางเหนียงนำน้ำในมิติมาดื่ม และปรับลมหายใจของตัวเองให้กลับมาปกติ ก่อนจะนำงูสองตัวเข้าไปในมิติสวรรค์ อย่างน้อยมันก็เป็นอาหารได้ แต่หากเป็นชาวบ้านธรรมดามาเจอเข้าคงตายตกอย่างง่ายดาย
มิน่าเส้นทางนี้ถึงไม่เคยมีใครเข้ามาก่อน แต่มันกลับทำให้นางตื่นเต้น เพราะเส้นทางที่ไม่มีผู้คนย่อมมีสมุนไพรหายาก ขอเพียงนางหาเจอเท่านั้น เงินสร้างบ้านใหม่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือแล้วแบบนี้นางจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร เมื่อพักเหนื่อยและเก็บซากงูไปแล้ว ฟางเหนียงจึงเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมคบเพลิงอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วเพราะวันสิ้นโลกไม่อาจใช้ไฟฉายได้จึงต้องมีคบเพลิงให้ความสว่างทดแทน แต่บางค่ายก็ยังมีพลังงานของแสงอาทิตย์แต่ก็มีส่วนน้อยจริง ๆ ยิ่งผ่านวันสิ้นโลกไปหลายปี ข้าวของในยุคก่อนวันสิ้นโลกจึงเริ่มหมดไป อย่างถ่านไฟฉายก็หาไม่ได้อีกแล้ว หลังจากงูตัวเมียตาย ที่นี่ก็ไม่เจอสัตว์ดุร้ายอะไรอีก ทว่าเมื่อส่องไฟเห็นสิ่งของหลายอย่างยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ผนังถ้ำกลับมีไข่มุกเรืองแสงที่หายากในยุคสมัยนี้ ทำให้ภายในถ้ำมีแสงสว่างและอบอุ่นอย่างที่คาดไม่ถึง ใจกลางถ้ำมีไข่สามใบที่ลูกใหญ่เท่าไข่ห่าน ซึ่สวบ!เสียงเดินเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นดิน แม้จะแผ่วเบาแต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน ฟางเหนียงกระชับดาบในมือแน่นขึ้น แม้จะแผ่สัมผัสออกไปแต่กลับไม่ว่องไวเช่นแต่ก่อน เพียงพริบตาก็มีศัตรูหมายขย้ำนางแล้ว ร่างกายบอบบางเกร็งขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสัตว์ป่าดุร้ายอีกตัว มันคงได้กลิ่นคาวเลือดจึงตามกลิ่นมาและเจอร่องรอยของงูที่ถูกนางฆ่าเอาไว้ที่หน้าถ้ำ ร่างเสือโคร่งตัวใหญ่ตั้งท่ากระโจนมาทางนาง ดวงตาดุร้ายมันมองนางเป็นเหยื่อ!ฟิ้วววฉัวะ!!!ตุ๊บ!!!ร่างใหญ่ยาวของมันพุ่งมาด้วยความเร็วไม่สมกับน้ำหนักตัว ฟางเหนียงกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว มือขวาฟาดดาบใส่ร่างใหญ่อย่างคล่องแคล่ว นางไม่ได้ประมาท ขณะเดียวกันนางกลับไม่ได้หวาดกลัวเพราะหากนางสู้ไม่ได้ก็เพียงหนีเข้ามิตินั่นทำให้นางกล้าที่จะต่อสู้กับมัน แต่เมื่ออาหารมาส่งถึงมือนางแล้วนางจะไม่ยินดีต้อนรับได้อย่างไรร่างใหญ่ของมันเสียหลักหน้าพุ่งลงดินจนเกิดเสียงดัง ต้นไม้เล็ก ๆ หักโค่นลงตามแรงกระแทกของร่างใหญ่โต แต่มันยังลุกขึ้นยืนหันกลับมามองเหยื่ออย่างโกรธแค้น ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่าง เล็ก ๆ นั่นอย่างว่องไว
ฟางหรงเอ่ยบอกขณะกินอย่างเอร็ดอร่อย ฟางเหนียงมองทั้งคู่ที่น่ารักและไม่เลือกกินด้วยรอยยิ้มเอ็นดู นางลูบศีรษะเล็ก ๆ นั่นแล้วเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน“หากเจ้าชอบก็กินเยอะ ๆ เหรินเอ๋อร์ไม่ชอบหรือ”ฟางเหนียงบอกคนน้องและมองคนพี่อย่างสังเกต“เปล่าขอรับ แต่ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”ฟางเหนียงแปลกใจที่ฟางเหรินจับความผิดปกติของมารดาได้ นางส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ลูกชายคนโต“แม่ไม่เป็นอะไรหรอก หากอร่อยก็กินเยอะ ๆ จะได้โตเร็ว ๆ วันนั้นพวกเจ้าก็ปกป้องแม่ได้”ฟางเหรินเอ่ยหยอกเย้า ก่อนจะนั่งกินร่วมกับเจ้าก้อนแป้งทั้งสองอย่างมีความสุข ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเด็กน้อยหัวใจนางก็รู้สึกอบอุ่นหลังจากทานอาหารเย็นแล้ว นางจึงให้เด็ก ๆ หัดเขียนหนังสือ วาดรูปเล่น และเหมือนฟางหรงจะวาดรูปสวยกว่าเขียนตัวอักษรและเหมือนจะสนุกไม่น้อย ฟางเหนียงปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันก่อนจะเข้าไปจัดการของในมิติที่นางยังไม่ได้เก็บเข้าที่เข้าทาง ซึ่ง เด็ก ๆ ไม่ได้กลัวความมืดและพวกเขารู้ว่ามีมารดามองเห็นพวกเขาตลอดจึงไม่ได้งอแง
อาหารเช้านางตุ๋นเนื้อเสือน้ำแดง รสชาติคล้ายเนื้อวัว แต่จะมีกลิ่นสาปติดมาบ้าง ครั้งต่อไปคงต้องหาสมุนไพรบางตัวเพื่อดับกลิ่นสาปของมัน ครั้งนี้นางเคี่ยวนานกว่าตุ๋นเนื้อหมู เพราะเนื้อเสือจะเหนียวกว่า และอีกอย่างนางได้ทำปลานึ่งบ๊วย และซาลาเปาไส้เนื้อกับไส้ผักให้เด็ก ๆ ไว้กินเล่นห้องครัวเล็กและแคบอีกทั้งเครื่องปรุงที่นางซื้อมามีมากนัก หากนางขายสมุนไพรได้เงินมามากต้องซื้อเสบียงตุนไว้มากกว่านี้อาจเพราะนางเคยอดอยากในชาติก่อนทำให้ชาตินี้นางค่อนข้างอยากกักตุนอาหารเอาไว้เป็นจำนวนมาก แต่วันที่เข้าเมืองนางมีเงินไม่มากนักจึงซื้อมาแค่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่หากนางได้เงินมาเยอะ จะซื้อข้าวของกักตุนเอาไว้ จะไม่ปล่อยให้ครอบครัวอดอยากอย่างเช่นที่ผ่านมาโดยเด็ดขาด“เด็ก ๆ ไปล้างมือกินข้าวกัน”ฟางเหนียงร้องบอกเด็ก ๆ ขณะที่ยกอาหารไปวางตรงที่กินข้าว เจ้าก้อนแป้งน้อยก็ไปล้างมือและรีบมาช่วยนางอย่างว่องไว“ไม่ต้องรีบ ล้างมือให้สะอาด”ฟางเหนียงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่นานอาหารที่นางทำวันนี้ก็ถูกวางอย่างเป็นระเบียบ
ฟางเหนียงเดินไปตามความทรงจำที่นางเห็น ก่อนจะมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งกว้างใหญ่ไม่น้อย เพียงแต่มีสภาพเก่าและเริ่มทรุดโทรมบ้างแล้ว นางจึงนึกความทรงจำของร่างเดิม บ้านหลังนี้อยู่ด้วยกันเก้าคน พี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้และพี่สาวคนหนึ่ง กับพี่เขยซึ่งเป็นคนที่ร่างเดิมแอบชอบ“น้องสาว”ฟางเหนียงหันไปมองคนเรียกแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจมองมาทางนางราวกับไม่เชื่อสายตา หญิงสาวตรงหน้าร่างกายบอบบางและหน้าตางดงามหมดจด แม้ไม่งามเท่าร่างเดิมแต่ก็ถือว่าเป็นสตรีงดงามคนหนึ่ง“ท่านป้า/ท่านป้า”สองแฝดทักทายซูฮวาอย่างมีมารยาท ทั้งคู่ไม่ได้วิ่งเข้าไปหาเพราะอาจจะไม่คุ้นเคยเหมือนกับท่านยาย แต่ก็ยังรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นป้าของพวกเขาฟางเหนียงพยักหน้าให้ไม่ได้ยิ้มให้หรือเมินเฉย เพราะนางไม่ได้เป็นคนโกรธแค้นคนตรงหน้า อีกอย่างหากยิ้มให้นางก็ดูแตกต่างจากเดิมมากเกินไป นางไม่ได้คิดจะแสแสร้งแกล้งเป็นฟางเหนียงคนเดิม แต่นางจะค่อยเป็นค่อยไป ให้ผู้คนจดจำนางในแบบของนาง“ท่านแม่อยู่หรือไม่” ฟางเหนียงถามหามาร
“บ้านท่านแม่มีเกวียนวัวอยู่หรือไม่”ฟางเหนียงเอ่ยถาม เมื่อจำได้ว่าบ้านนี้มีเกวียนวัวแต่ร่างเดิมไม่ได้กลับมาที่นี่หลายปีแล้วจึงไม่รู้ว่ายังอยู่หรือไม่“มีอยู่ เจ้าคิดจะทำอะไร”ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างระวัง เกวียนวัวเป็นของบุตรชายคนโตที่เก็บเงินซื้อมาเพื่อจะได้เข้าเมืองสะดวกและยังช่วยเหลือในยามเพาะปลูก แม้ฟางเหนียงจะเป็นบุตรสาวนาง แต่เรื่องนี้ก็ต้องถามบุตรชายคนโตเช่นกัน“ข้าอยากให้พี่ใหญ่พาไปขายของบางอย่างในเมือง”ฟางเหนียงเอ่ยบอกอย่างระวังพร้อมสังเกตมารดาไปด้วย นางรู้ว่ารถเกวียนวัวเป็นของพี่ใหญ่ และนางก็อยากได้ผู้ชายตัวใหญ่ไปด้วยเพราะนางต้องการขายเนื้อเสือ หากสตรีบอบบางไปขายคงยากที่จะมีคนเชื่อ แต่หากมีพี่ใหญ่ก็สามารถตอบได้ว่าเสือตัวนี้พี่ใหญ่บังเอิญเจอตอนมันบาดเจ็บหนักเลยสามารถจัดการได้“ขายของ! เจ้าจะขายอะไร”ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างตกใจ บุตรสาวผู้เกียจคร้านและไม่เอาการเอางานคิดอยากขายของทำให้นางตกใจไม่น้อย“ท่านแม่ ข้าบังเอิญเจอเสือนอนตายอยู่บนเขา จึงได้ชำแหละมันม
“เช่นนั้นข้ากลับก่อนเจ้าค่ะ”ฟางเหนียงเอ่ยบอกพร้อมลุกขึ้นยืน นางไม่อยากอยู่นานนัก เพราะยังมีหลายอย่างรอนางทำอยู่ อีกอย่างวันนี้นางต้องไปจ่ายค่าแรงคนที่ไปทำงานที่ไร่นาด้วย“ไม่อยู่กินข้าวเย็นกับแม่ก่อนหรือ” ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นบุตรสาวมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น“ไว้ครั้งหน้าเจ้าค่ะ สมุนไพรที่เก็บได้ยังอยู่ที่บ้านไม่มีคนดู”ฟางเหนียงหาข้ออ้าง นางยังไม่คุ้นเคยกับครอบครัวนี้ จะให้นางเสแสร้งตลอดก็คงไม่ไหว“ตายจริง งั้นเจ้าต้องรีบไป เดินทางดี ๆ”ซูเม่ยรีบบอก สิ่งของสำคัญเช่นนั้นหากมีโจรขโมยเข้าบ้านไปจะทำอย่างไร ฟางเหนียงพยักหน้ารับก่อนจะเรียกเด็ก ๆ ที่เล่นกันอยู่ไม่ไกลนักกลับบ้าน ซึ่งสองแฝดก็เป็นเด็กน่ารักและเชื่อฟัง เพียงเรียกประโยคเดียวก็เร่งรีบกลับมาหามารดาแล้ว โดยมีสายตาเสียดายของเด็กอีกสามคนมองตาม“ไว้วันหน้าค่อยมาเล่นกันอีก เดี๋ยวเราจะกลับบ้านมืดค่ำ”ฟางเหนียงลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรชายนางแล้วเอ่ยปลอบเสียงเบา ความอ่อนโยนที่แผ่ออกมานั้นคือขอ
“แล้วสมุนไพรเจ้าเก็บไว้ดีแล้วหรือไม่”ซูเม่ยแม้จะตกใจกับขนาดของเสือ แต่เวลานี้บุตรสาวนางยังปลอดภัยดี แต่ที่นางเป็นห่วงคือโสมพันปีนั่น“เจ้าค่ะ อยู่นั่นเจ้าค่ะ”ฟางเหนียงชี้นิ้วไปยังตะกร้า ที่มีผ้าปกปิดไว้อย่างมิดชิด เมื่อเห็นทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วทั้งสามคนจึงรีบช่วยกันขนขึ้นรถ และออกเดินทางทันทีฟางเหนียงไม่ได้ห่วงเจ้าตัวเล็กอีก เพราะบอกทั้งคู่เอาไว้แล้วว่านางจะเข้าไปในเมือง และจะมีป้าซูฮวามาช่วยดูแลพวกเขา“ข้าว่าเอาสมุนไพรไปขายก่อนดีกว่า เจ้าว่าดีหรือไม่”ซูเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวระหว่างทาง นางรู้สึกไม่วางใจเมื่อต้องถือของล้ำค่าเช่นนั้นไว้หลายชั่วยาม หากเกิดหายขึ้นมาจะทำอย่างไร ฟางเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยบอก“เช่นนั้นท่านแม่ขายเนื้อเสือกับพี่ใหญ่ก่อนจะได้หรือไม่ ข้าจะเอาสมุนไพรไปขายแล้วจะรีบกลับมาช่วยขาย”ซูเม่ยลังเล เพราะนางเองก็อยากจะไปขายสมุนไพรด้วย แต่จะปล่อยให้เจ้าใหญ่ขายคนเดียวก็ไม่ได้“ก็ได้ แต่หากเจ้าโดนกดราคาก็
แต่เซี่ยโหย่วสาขาเมืองเย่วซานไม่เคยมีชาวบ้านซื้อขายโสมพันปีมาก่อน อย่างมากสุดก็แค่โสมห้าสิบปีเท่านั้น แม้ตนจะเป็นหมอและเป็นทั้งผู้จัดการร้าน แต่ก็ไม่อาจมีทรัพย์มากพอที่จะซื้อ อย่างมากสุดก็คงรวบเงินได้เพียงต้นเดียวเท่านั้น“ต้องขอแจ้งฮูหยินฟางก่อนว่า สมุนไพรราคาสูงเช่นนี้ ข้าไม่อาจตัดสินใจซื้อได้ทันที ที่นี่สาขาเล็กและเป็นเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ทำให้ทางร้านไม่ได้มีเงินมากมาย แต่วันนี้แม่นางโชคดีที่นายน้อยทายาทเจ้าของร้านมาเยี่ยมสาขาที่นี่”ฟางเหนียงมองตามอย่างครุ่นคิด ทว่าใบหน้าของนางยังเรียบเฉยเช่นเดิม นางไม่คิดว่าเมืองนี้จะห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่เพียงสองต้นก็ทำให้ชีวิตชาวบ้านธรรมดาก็มีชีวิตสุขสบายไปหลายปี แต่นางยังคิดจะให้เลี้ยงดูครอบครัวของร่างนี้ เพื่อตอบแทนร่างเดิมจึงต้องหาเงินเพิ่ม“ข้ามีโสมแดงห้าต้น และยังมีเช่อไป่เยี่ยอีกสิบต้น” คำตอบของนางทำให้ชายชราตัวสั่น แค่โสมแดงยังหายากแล้วยังมีเช่อ-ไป่เยี่ยอีก นั่นราคาอย่างต่ำก็สิบตำลึงเงินแล้ว“ฮูหยินฟางโปรดรอข้าสักครู่” ชายชราเอ่ยบอกพร้อมเร่งรีบจากไป
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ