“แล้วสมุนไพรเจ้าเก็บไว้ดีแล้วหรือไม่”
ซูเม่ยแม้จะตกใจกับขนาดของเสือ แต่เวลานี้บุตรสาวนางยังปลอดภัยดี แต่ที่นางเป็นห่วงคือโสมพันปีนั่น “เจ้าค่ะ อยู่นั่นเจ้าค่ะ” ฟางเหนียงชี้นิ้วไปยังตะกร้า ที่มีผ้าปกปิดไว้อย่างมิดชิด เมื่อเห็นทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วทั้งสามคนจึงรีบช่วยกันขนขึ้นรถ และออกเดินทางทันที ฟางเหนียงไม่ได้ห่วงเจ้าตัวเล็กอีก เพราะบอกทั้งคู่เอาไว้แล้วว่านางจะเข้าไปในเมือง และจะมีป้าซูฮวามาช่วยดูแลพวกเขา“ข้าว่าเอาสมุนไพรไปขายก่อนดีกว่า เจ้าว่าดีหรือไม่” ซูเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวระหว่างทาง นางรู้สึกไม่วางใจเมื่อต้องถือของล้ำค่าเช่นนั้นไว้หลายชั่วยาม หากเกิดหายขึ้นมาจะทำอย่างไร ฟางเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยบอก“เช่นนั้นท่านแม่ขายเนื้อเสือกับพี่ใหญ่ก่อนจะได้หรือไม่ ข้าจะเอาสมุนไพรไปขายแล้วจะรีบกลับมาช่วยขาย” ซูเม่ยลังเล เพราะนางเองก็อยากจะไปขายสมุนไพรด้วย แต่จะปล่อยให้เจ้าใหญ่ขายคนเดียวก็ไม่ได้“ก็ได้ แต่หากเจ้าโดนกดราคาก็แต่เซี่ยโหย่วสาขาเมืองเย่วซานไม่เคยมีชาวบ้านซื้อขายโสมพันปีมาก่อน อย่างมากสุดก็แค่โสมห้าสิบปีเท่านั้น แม้ตนจะเป็นหมอและเป็นทั้งผู้จัดการร้าน แต่ก็ไม่อาจมีทรัพย์มากพอที่จะซื้อ อย่างมากสุดก็คงรวบเงินได้เพียงต้นเดียวเท่านั้น“ต้องขอแจ้งฮูหยินฟางก่อนว่า สมุนไพรราคาสูงเช่นนี้ ข้าไม่อาจตัดสินใจซื้อได้ทันที ที่นี่สาขาเล็กและเป็นเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ทำให้ทางร้านไม่ได้มีเงินมากมาย แต่วันนี้แม่นางโชคดีที่นายน้อยทายาทเจ้าของร้านมาเยี่ยมสาขาที่นี่”ฟางเหนียงมองตามอย่างครุ่นคิด ทว่าใบหน้าของนางยังเรียบเฉยเช่นเดิม นางไม่คิดว่าเมืองนี้จะห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่เพียงสองต้นก็ทำให้ชีวิตชาวบ้านธรรมดาก็มีชีวิตสุขสบายไปหลายปี แต่นางยังคิดจะให้เลี้ยงดูครอบครัวของร่างนี้ เพื่อตอบแทนร่างเดิมจึงต้องหาเงินเพิ่ม“ข้ามีโสมแดงห้าต้น และยังมีเช่อไป่เยี่ยอีกสิบต้น” คำตอบของนางทำให้ชายชราตัวสั่น แค่โสมแดงยังหายากแล้วยังมีเช่อ-ไป่เยี่ยอีก นั่นราคาอย่างต่ำก็สิบตำลึงเงินแล้ว“ฮูหยินฟางโปรดรอข้าสักครู่” ชายชราเอ่ยบอกพร้อมเร่งรีบจากไป
ตำแหน่งทหารทั่วไปได้เงินเพียงยี่สิบตำลึงเงิน แต่หากเลื่อนเป็นนายกองจะเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยตำลึงเงิน แต่นายกองมีหลายสาขาและมีหลายระดับเช่นกัน นายกองเล็กจะได้รับเงินร้อยตำลึงเงินพร้อมทหารในกองห้าสิบนายนายกองกลางจะได้เงินเดือนสามร้อยตำลึง มีทหารในกองห้าร้อยคน นายกองใหญ่เงินเดือนพันตำลึงเงิน และทหารในกองหนึ่งพันห้าร้อยนาย หากสูงกว่านี้จะเป็นรองแม่ทัพและแม่ทัพ เซี่ยอวี้มองคนถามอย่างฉงนสงสัยแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามเรื่องที่เสียมารยาทอีก“ขอบคุณคุณชายเซี่ย วันนี้ข้ายังมีธุระต้องขอตัวก่อน”ฟางเหนียงลุกขึ้นยืน พร้อมบอกกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบจนผู้สนทนาด้วยไม่อาจคาดเดาได้ ที่มาของคำถามก็ไม่อาจทำให้คุณชายเจ้าสำราญเดาทางได้เช่นกัน“จริงสิ คุณชายพอทราบหรือไม่ ว่าหัวเสือสามารถขายได้ราคาเท่าไหร่หรือ”ฟางเหนียงนึกขึ้นมาได้ว่านางตั้งราคาไว้ที่ร้อยสิบตำลึงเงิน และน่าจะยังขายไม่ได้เพราะราคาค่อนข้างสูงสำหรับคนธรรมดา อีกทั้งเมืองนี้ค่อนข้างเล็ก“หัวเสือ ?” เซี่ยอวี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจ และเอ่ยถามให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป&ldq
“ข้าได้มาสองหมื่นตำลึงทอง”ฟางเหนียงเอ่ยบอกพร้อมหยิบตั๋วเงินส่งให้มารดา นางไม่ได้เอ่ยบอกทั้งหมด เพราะกลัวว่าซูเม่ยจะตกใจจนเป็นลม ทว่าแค่นี้นางก็เบิกตากว้างหัวใจสั่นระรัวแล้ว ยิ่งซูจิ้นได้ยินทำให้รถเกวียนวัวกระตุกไปเช่นกัน เวลานี้พวกเขากลับร่ำรวยในพริบตา“ข้า...ข้าไม่ได้หูหนวก หรือตาลายไปใช่หรือไม่”ซูเม่ยพึมพำเสียงสั่น ขณะที่มือจับตั๋วเงินแน่น เกิดมาจนอายุป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้มาก่อน นางมองบุตรสาวที่เหมือนเป็นคนนำโชคมาให้ด้วยความชื่นชม“ท่านแม่ข้าจะสร้างบ้านใหม่ ท่านกับพี่ใหญ่มาช่วยข้าได้หรือไม่ บ้านหลังนั้นเก่าเกินไปข้ากลัวพวกอันธพาลจะบุกมาบ้านข้าอีก”“ได้ ๆ ข้าจะช่วยเจ้าสร้างบ้าน”พี่ใหญ่ที่ขับรถเกวียนม้าได้ยินรีบร้องบอก ซึ่งซูเม่ยเองก็เห็นด้วย สร้างบ้านหลังหนึ่งต่อให้สร้างใหญ่แค่ไหนก็เพียงแค่พันตำลึงเงินเท่านั้น แต่เวลานี้พวกเขามีตั้งสองหมื่นตำลึงทองไหนจะยังมีค่าขายเนื้อเสือได้อีกสองพันตำลึงเงินอีก“หลังจากที่สร้างบ้านข้าเสร็จ ข้าอยากให้ท่านแม่สร้างบ้าน
ร่างสูงตวัดดาบฟันขาม้าอย่างรวดเร็ว ม้าที่บาดเจ็บและเสียหลักมันพลิกคว่ำจนคนบนหลังม้าตกลงมา แต่ศัตรูตรงหน้าก็ไม่ใช่ทหารปลายแถว ร่างสูงใหญ่ในชุดเกาะสีดำลุกขึ้นยืน ในมือยังมีทวนยาวถือไว้แน่น แต่ฟางเหยียนอวี้ก็ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรู ร่างสูงโปร่งพุ่งเข้าหาศัตรูอย่างว่องไวเคร้ง เคร้ง เคร้งเสียงทวนปะทะดาบจนเกิดเสียงดัง ความแข็งแกร่งของศัตรูตรงหน้าทำให้ฟางเหยียนอวี้หน้าเครียดสองร่างพัวพันกันอย่างรุนแรงและไม่อาจมีใครมาแทรกได้ ระหว่างทั้งคู่ถูกผู้คนหลบหลีกอย่างรวดเร็ว น้อยนักที่จะมีทหารมือดีใช้ดาบต่อสู้กับทวนแหลมคมเคร้ง เคร้ง เคร้งฉัวะ!!ฟางเหยียนอวี้ตวัดดาบในมือตอบโต้อย่างว่องไว แต่ศัตรูก็ไม่อาจดูเบาได้ มีเพียงแต่ใช้กำลังพยายามทำให้ศัตรูทำอาวุธหลุดมือเท่านั้น ร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยชุดเกาะเริ่มมีโลหิตไหลซึม ทุกการเคลื่อนไหวบาดแผลเก่าเริ่มฉีกขาดย๊ากกกกฉัวะ!ร่างสูงพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความเร็วและดุดัน ปัดป่ายทวนแหลมยาวที่เป็นอุปสรรคอย่างดุดัน และอาศัยตอนศัตรูพลั้งเผลอแทงเข้าจุดอ่อนของศัตรูอย่างไร้ความปรานี แต่ศัตรูก็ไม่อยู่นิ่งให้เขาสัง
“เจ้า...เจ้ามีปานสีแดงอยู่ที่สะโพกซ้ายใช่หรือไม่”ครั้งนี้ฟางเหยียนอวี้เงยหน้ามองคนถามด้วยสีหน้านิ่งงัน ดวงตาไม่ได้มีความสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย“ขอรับ”ฟางเหยียนอวี้ตอบรับด้วยเสียงเรียบง่าย ความจริงตั้งแต่เขาเข้ามากองทัพก็พอคาดเดาได้หลายอย่าง แม้เขาจะไม่ได้พูดคุยกับท่านแม่ทัพเป็นการส่วนตัว ทว่าใบหน้าที่คล้ายกันถึงหกเจ็ดส่วนทำให้ไม่อาจคาดเดาเป็นอื่นได้แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อเขาเป็นบุตรที่ถูกทอดทิ้งจะไปร้องขอความยุติธรรมหรืออย่างไร“เจ้าไม่คิดจะตามหาความจริงหรือ”เย่วหมิงเอ่ยถามเสียงเบา ในเมื่อจี้หยกสลักคำว่าเหยียนและยังเป็นหยกจักรพรรดิด้วย ของล้ำค่าเช่นนี้เขาเองก็ไม่คิดว่าคนในครอบครัวที่เลี้ยงดูจะยังเก็บรักษาไว้อย่างดีเช่นนี้“ตามแล้วอย่างไร ไม่ตามแล้วอย่างไรขอรับ”ฟางเหยียนอวี้ตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเฉย ความจริงเขายอมรับชะตากรรมชีวิตตนเองแล้ว หากคนตระกูลเหยียนอยากให้เขากลับตระกูลจริง คงได้ตามหาอย่างสุดความสามารถแล้ว เพราะอำนาจนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ต
“หากเจ้ามีจี้หยกตระกูลเหยียนและมีปานแดงที่สะโพกก็คงปฏิเสธไม่ได้ เฮ้อ” เย่วหมิงถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก เรื่องนี้มาไกลเกินไปแล้ว“แล้วเด็กอีกคน”ฟางเหยียนอวี้อดที่จะเอ่ยถามอีกคนที่ถูกสับเปลี่ยนไม่ได้ ทว่าร่างสูงสง่าของรองแม่ทัพเย่วกลับชะงักงัน ดวงตาคมกริบมองมาอย่างเสียใจ นกกาเหว่าอยู่ในรังหงส์นั้นยังมีชีวิตสุขสบาย และยังมีตำแหน่งองค์ชายห้าที่ไม่อ่าว เที่ยวเล่นหอนางโลมเป็นวิสัย วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกิน เมามายและก่อความวุ่นวาย“องค์ชายห้า เจ้าคงรู้จักไม่มากก็ไม่น้อย”ฟางเหยียนอวี้นิ่งไป ก่อนจะหัวเราะอย่างฝืดเคือง เรื่องนี้จะโทษว่าใครเป็นคนผิด มารดาผู้หวังดี หรือรองแม่ทัพเย่วที่ทำเขาหายไป ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนพร้อมโค้งกายเคารพ“ขอบคุณท่านรองแม่ทัพเย่ว เรื่องวันนี้ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเถอะขอรับ” “เพราะเหตุใด” เย่วหมิงลุกขึ้นยืนตาม น้ำเสียงแหบพร่ายิ่งกว่าเดิม ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ“ทุกวันนี้พวกเขาก็สุขสบายกันดีอยู่แล้ว จะเพิ่มเร
หลังจากได้เงินมาแล้ว ฟางเหนียงไม่รอช้ารีบไปหาผู้ใหญ่บ้าน บอกเล่าเรื่องที่จะสร้างบ้าน โดยมีบ้านฝั่งมารดามาช่วยงานด้วย นางวาดโครงสร้างบ้านให้พี่ชายใหญ่เป็นคนจัดการไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างในเมือง บ้านที่นางอยากได้ค่อนข้างใหญ่พอสมควร เพราะนางตั้งใจสร้างห้องนอนให้เจ้าแฝดคนละห้อง เพราะหากโตไปพวกเขาจะได้มีเวลาส่วนตัวบ้างนางสร้างสี่ห้องนอน หนึ่งห้องหนังสือไว้สำหรับสั่งสอนบุตรชาย มีห้องครัวและหนึ่งห้องรับแขก อีกทั้งสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านด้วยเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหามีคนปีนเข้ามาหาอีก นางไม่กลัวที่จัดการพวกโจร แต่ชื่อเสียงในยุคสมัยนี้จำเป็นต้องรักษา การสร้างบ้านของนางครั้งนี้ใหญ่โตและใช้คนจำนวนมาก และครั้งนี้นางได้รู้จักครอบครัวฝ่ายสามีซึ่งมาร้องโวยวายขอเงินส่วนของบุตรชายตนซึ่งทำให้ฟางเหนียงปวดหัวไม่น้อย“นี่ก็เป็นเงินของลูกชายข้า เจ้าต้องแบ่งเงินมาให้ทางบ้านข้าด้วย” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและชี้นิ้วสั่งของหญิงวัยกลางคนที่สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ตรงหน้าทำให้ฟางเหนียงขมวดคิ้วมุ่น นางจับมนุษย์ป้าโยนออกไปจะผิดหรือไม่“เงินเดือนสามีข้าเกี่ยวอะไรกับท่าน ในเมื่อเราก็แยกบ้านกันมาตั้งนานแล้ว” ฟางเหนียงตอบโต้พ
และเงินเดือนนี้แม้เวลานี้จะน้อยนิด แต่มันก็มากพอที่คนธรรมดาใช้ชีวิตไปอีกหลายปี แต่ทำไมนางต้องให้เงินกับแม่สามีเช่นนี้ด้วย นางเก็บไว้ให้เจ้าแฝดไม่ดีกว่าหรือ“ไม่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพี่ฟางเหยียนอวี้แยกบ้านกับท่านนานแล้ว และข้ากับท่านไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก หากท่านดื้อดึงก็ให้ผู้ใหญ่บ้านมาตัดสิน” ฟางเหนียงตอบกลับอย่างเย็นชา นางไม่อ่อนข้อให้คนเช่นนี้เด็ดขาด นางจะดีกับคนที่ดีกับนางอย่างแท้จริง ส่วนคนที่คิดจะปอกลอกกอบโกยผลประโยชน์จากนางก็ฝันไปเถอะ“เจ้า...” ฟางหรูโกรธจนตัวสั่น แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อก่อนนางข่มเหงสะใภ้คนนี้ไม่ได้ ปัจจุบันก็ยิ่งทำไม่ได้ ยิ่งทำให้นางเกลียดชังสะใภ้คนนี้ยิ่งกว่าเดิม“สะใภ้สี่เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก อย่างไรท่านแม่ก็เลี้ยงดูสามีเจ้ามาตั้งแต่เล็ก บุญคุณไม่ว่าอย่างไรก็ตอบแทนไม่หมด อันที่จริงเงินเดือนของน้องสี่ควรแบ่งให้ท่านแม่อย่างน้อยหกส่วนเสียด้วยซ้ำ แต่หลายปีมานี้เจ้ายึดครองไว้เพียงคนเดียวก็นับว่ามากเกินพอแล้ว” ฟางเหนียงมองคนจีบปากจีบคอพูดอย่างไร้ยางอาย นางกดมุมปากลึกยิ่งกว่าเดิม สตรีตรงหน้าฉลาดพูดเสียด้วยซ้ำไป“ได้ข้าจะให้เงินร้อยตำลึงเงินกับพวกท่าน แต่จ
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ