“ไม่ใช่ ๆ แม่นางฟาง เอ่อ... คือข้ามีธุระที่อื่นต่อยังไงก็ขอตัวก่อนนะ”
ตงห่าวเอ่ยบอกอย่างร้อนรน ท่าทางน่าสงสารและความจริงใจของนาง เขาก็ไม่อยากจะถือสาหรอก เพียงแต่หลายอย่างเขาไม่อาจพูดออกไปได้ เขายังเป็นสุภาพบุรุษจะให้พูดว่าร้ายสตรีได้อย่างไร ฟางเหนียงมองส่งร่างสูงโปร่งที่ขับเกวียนม้าไปไกลลิบ แววตาใสซื่อเมื่อครู่กลับมาเย็นชาเช่นเดิม เห็นทีนางต้องสืบความเป็นมาของร่างนี้บ้างแล้ว ดวงตาคู่งามมองถุงเงินแล้วเปิดออกดู ซึ่งมีก้อนเงินรวมแล้วร้อยตำลึงเงิน ซึ่งค่าเงินที่นี่ต่างจากโลกเดิมมาก หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง หากใช้อย่างประหยัด ก็จะอยู่ได้อีกหลายเดือน แต่เมื่อมองสภาพบ้านและที่อยู่อาศัยแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่น่าจะพอ ยังไงนางค่อยหาวิธีอีกที แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือนางมีสามี! เกิดมาชาตินี้ราวกับสวรรค์จะชดเชยให้สาวขึ้นคานอย่างนาง ครั้งนี้มีทั้งสามีและยังมีก้อนแป้งคู่นี้แถมมาอีก เหอะ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะซาบซึ้งใจดีหรือไม่ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะก่อนอื่นนางต้องหาเสบียงมาเข้าบ้าน แต่ว่าเมืองอยู่ที่ไหนแล้วไปยังไง และเจ้าเด็กน้อยนี่ฝากไว้กับใครได้ ไม่มีความทรงจำของโลกนี้ เหมือนกับนางโดนปิดหูปิดตาไปด้วย ฟางเหนียงไม่ชอบอะไรที่ตัวเองไม่รู้ เพราะฉะนั้นนางต้องไปสอบถามเสียก่อน ซึ่งคนแรกที่นางนึกถึงก็คือคนข้างบ้าน แต่กระทั่งชื่อนางก็ไม่รู้จักแล้วจะไปคุยได้อย่างไร ร่างบอบบางเดินกลับมายังหน้าบ้าน ซึ่งเห็นเด็กน้อยสองคนนั่งเล่นดินกันอยู่ เมื่อเห็นนางเด็กน้อยก็ตาเป็นประกายลุกขึ้นวิ่งมาหาทันที “ท่านแม่ เมื่อครู่ป้าหวังมาหา บอกว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองจะไปด้วยหรือไม่ขอรับ” ฟางเหนียงมองลูกคนเล็กที่พูดจาฉะฉานด้วยรอยยิ้ม ยิ่งได้ยินว่าเข้าเมือง ยิ่งเหมือนนางจะโชคดี แค่คิดก็จะมีคนพาไป แต่เมื่อคิดอะไรได้รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไป นางย่อตัวมองก้อนแป้งแฝดตรงหน้าแล้วยิ้มอย่างเคอะเขิน “คนเก่งของแม่ ช่วยบอกแม่หน่อยว่าป้าหวังคือใครขอรับ” “ป้าหวังลี่อยู่ตรงข้างบ้านเราตรงนู้นขอรับ” ฟางเหรินคนพี่เอ่ยบอกพร้อมชี้นิ้วไปทางซ้ายมือ ก่อนจะหันกลับมามองมารดาของตนเอง วันนี้ตั้งแต่มารดาตื่นมาก็ดูจะแปลกไป และยังทำอาหารอร่อยให้กินอีกด้วย และวันนี้พวกเขาทั้งสองยังไม่โดนมารดาต่อว่าสักคำ นั่นทำให้รู้สึกดีมาก ๆ ดวงตากลมโตมองมารดาจึงสว่างสดใสกว่าทุก ๆ วัน “ขอบใจเจ้ามาก ว่าแต่ปกติแม่ออกไปพวกเจ้าอยู่กับใคร” ฟางเหนียงลูบหัวคนพี่เบา ๆ พร้อมเอ่ยถามอีกเรื่องเพราะนางคงไม่อาจพาเด็กน้อยไปด้วยได้ เพราะข้าวของที่ซื้อน่าจะเยอะพอสมควร อีกอย่างนางยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอ จึงยังไม่อยากนำก้อนแป้งไปด้วย “ท่านปู่ขอรับ” ฟางเหรินเอ่ยตอบสีหน้าลังเล เพราะรู้ว่าบ้านของพวกเขาแยกกับบ้านใหญ่มานานแล้ว และสีหน้าของเด็กน้อยก็ทำให้ฟางเหนียงสังเกตได้ “ทางนั้นเขาไม่ดีกับลูกหรือ” “ท่านปู่ไม่ได้ว่าเรา แต่ว่าท่านย่ากับป้ารองจะว่าเราแยกบ้านกับสกุลฟางแล้วไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันขอรับ” ฟางหรงเอ่ยตอบ สีหน้าบูดบึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่บ้านของท่านย่า “ท่านแม่เรารออยู่บ้านก็ได้ พวกเราโตแล้ว” “ใช่ขอรับ” ฟางหรงตอบรับพี่ชายฝาแฝดอย่างเห็นด้วย ฟางเหนียงมองก้อนแป้งน้อยที่รู้ความอย่างรู้สึกผิด ที่ผ่านมามารดาคงไม่ได้ดีกับทั้งคู่นัก ดูได้จากท่าทางที่ยังหวาดระแวง กลัวจะโดนดุนั่น อีกทั้งเสื้อผ้าเด็กน้อยก็เก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไงแล้ว นางลูบศีรษะอย่างปลอบโยน “เดี๋ยวแม่จะคิดวิธีอีกที ว่าแต่เรามีไร่นากับเขาหรือไม่” คำถามของฟางเหนียงทำให้เด็กน้อยทั้งสองมองตามอย่างมึนงง “มีขอรับ แต่ท่านแม่ไม่ได้ไปนานแล้ว หญ้าน่าจะสูงกว่าตัวพวกเราแล้วขอรับ” ฟางเหรินเอ่ยบอกตาแป๋ว พวกเขาเคยไปเที่ยวเล่นบ่อย ๆ ตอนมารดาออกไปในเมือง ชาวบ้านยังบ่นอยู่เลยว่าปล่อยพื้นที่ให้คนอื่นเช่ายังได้ประโยชน์มากกว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมารดาถึงไม่ปล่อยให้คนอื่นเช่า แต่ปล่อยเอาไว้จนป่ารกชัฏแบบนั้น “พวกเจ้าพาแม่ไปดูได้หรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยถาม เมื่อเงยหน้ามองฟ้าแล้วน่าจะกลับมาทันก่อนมืดค่ำ เด็กน้อยก้อนแป้งอายุราวสี่ขวบแต่กลับฉลาดเฉลียว หากนางเป็นมารดาจริงคงภูมิใจมาก แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้นางก็เป็นแม่ของก้อนแป้งคู่นี้ไปแล้วจริง ๆ ในเมื่ออาศัยร่างเขายังไงก็ต้องเลี้ยงดูลูกเขาด้วย แต่ว่าสามีนั่น ช่างเถอะ ค่อยคิดอีกที “ได้ขอรับ” ทั้งคู่ตอบรับ พร้อมเดินนำไปยังที่ไร่ที่นาของพวกเขาฟาง-เหนียงเดินตามร่างเล็กนั่นมาหนึ่งก้านธูปกว่าจะมาถึงที่ไร่ ซึ่งมันรกมากจริง ๆ นางเพียงลำพังคงไม่อาจทำให้พื้นที่แถวนี้กลับมาเพาะปลูกได้เห็นทีต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้จ้างคนในหมู่บ้านมาตัดถางหญ้า และรื้อฟื้นผืนไร่ผืนนาแห่งนี้ มองดูคร่าว ๆ ประมาณสิบสองหมู่ (5 ไร่) ไม่มากมายแต่ก็เลี้ยงครอบครัวได้หนึ่งปีพอดี“กลับบ้านกันเถอะ” ฟางเหนียงเอ่ยชวนเมื่อสำรวจพื้นที่จนพอใจ ด้านหลังไร่นาจะเป็นทางไปภูเขานางมองอย่างสนใจหวังว่าที่นั่นจะมีอะไรดี ๆ แต่วันนี้คงต้องกลับบ้านไปวางแผนชีวิตครอบครัวก่อน ส่วนเรื่องที่จะไปสำรวจบนเขาคงต้องให้นางเรียนรู้ที่นี่เพิ่มขึ้นมาสักนิดเสียก่อนเมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟางเหนียงจึงปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันอยู่หน้าบ้านก่อน จากนั้นจึงไปทางบ้านป้าหวังเพื่อนบ้านที่จะเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ซึ่งนางเป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหยาบ ๆ ราคาถูก “เจ้ามาแล้วหรือ พอดีเลยข้าจะเอามันป่าไปให้พอดี” ฟางเหนียงมองสำรวจอย่างระวัง ก่อนจะส่งยิ้มให้“ขอบคุณป้าหวัง ข้าว่าจะถามว่าพรุ่งนี้เดินทางเวลาใด” “ยามเหม่า เหมือนเดิมนั่นแหละ ว่าแต่ครั้งนี้เราต้องเดินไป เพราะบ้านตระกูลเหอไม่ให้เรายืมรถเกวียนวัวแล้ว” ป้าหวังพูดอย่างขัดใจ แต่ไม่ออกไปก็ไม่ได้เพราะข้าวของหลายอย่างที่ต้องซื้อ อีกอย่างลูก ๆ ของนางก็ไม่ได้กินอะไรดี ๆ มาเป็นเดือนแ
ฟางเหนียงพึมพำแผ่วเบา มองฟักทองที่อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็กและซิงค์ ซึ่งเหมาะกับการทำให้ก้อนแป้งน้อยกลับมาร่างกายแข็งแรงรวมทั้งร่างนี้ด้วย“ตกลงเอาฟักทองแล้วกัน”เมื่อตกลงกับตัวเองได้แล้ว ฟางเหนียงจึงเดินไปหยิบมีดในบ้านหลังเล็ก ภายในมิติสวรรค์ของนาง ซึ่งได้มาจากการเอาผนึกซอมบี้แลกมา นางเอาไปล้างน้ำจนสะอาด เพราะจำไม่ได้ว่าอันไหนใช้แทงซอมบี้ไปบ้างแล้ว แต่น้ำในมิตินางสามารถชำระล้างเชื้อไวรัสพวกนั้นได้เป็นอย่างดี นางปิดบังเรื่องมิติของตัวเองมาโดยตลอด เพื่อความอยู่รอดของตนเองคนที่เปิดเผยจะได้รับความคุ้มครองอย่างดี แต่ว่านั่นหมายถึงอิสรภาพที่เหลือเพียงน้อยนิดได้หายไป และนางยังต้องตามหาบิดากับมารดา ที่อยู่ไกลจากที่ตัวเองอยู่หลายพันกิโลเมตร แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่ไม่อาจประคองชีวิตรอนางได้ และมันมีคนที่ชั่วร้าย มีพลังที่สามารถยึดครองอำนาจของคนที่ตัวเองฆ่าได้ นั่นทำให้ผู้ที่ปลุกพลังมิติได้ล้
ฟางเหรินคนเป็นพี่รีบตอบรับอย่างหนักแน่น นิทานชาวบ้านที่ตาจี้เคยเล่านั้น เคยมีเรื่องเกี่ยวกับผีปีศาจที่จะถูกจับเผาทั้งเป็นอยู่ ดวงตากลมโตมองมารดาอย่างหนักแน่น แม้มารดาตรงหน้าจะเป็นปีศาจ ตนก็จะปกป้องไม่นำพาเรื่องนี้ไปเล่าโดยเด็ดขาด “ข้าก็เช่นกันขอรับ พวกเขาจะไม่มีวันเผาแม่เด็ดขาด” ฟางหรงคนน้องรีบเอ่ยบอก ฟางเหนียงส่งยิ้มให้ทั้งคู่ “เด็กดี เก่งมากครับ หากเรามีที่นี่เราจะไม่อดตาย เราจะสามารถมีบ้าน มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่ เพียงแต่ต้องเป็นความลับของเราสามแม่ลูก” “พวกเราสัญญาขอรับ” ทั้งคู่ตอบพร้อมเพียงกัน ด้วยสีหน้าหนักแน่นเกินกว่าเด็กสี่ขวบ ฟางเหนียงมองตามอย่างวางใจ ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาด นางเชื่อว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะที่ผ่านมาพวกเด็ก ๆ ก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่าง “ดีมาก พรุ่งนี้แม่จะเข้าเมือง แต่ไม่วางใจที่จะปล่อยลูก ๆ ไว้ที่บ้าน แม่ก็เลยจะพาลูกมาอยู่ที่นี่ก่อน” “จริงหรือขอรับ พวกเราจะได้เล่นอยู่ที่นี่หรือขอรับ” ก้อนแป้งทั้งคู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พวกเขามองเห็นน้ำตกที่น่าเล่นนั่น ฟางเหนียงมองตาม ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้ง
“ครั้งหน้ามาฝากไว้บ้านป้าก็ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนหวังเปา”ฟางเหนียงยิ้มรับและกล่าวขอบคุณเสียงเบา“ขอบคุณท่านป้าหวัง”การเดินทางในวันนี้ มีป้าหวังกับป้าจางที่อยู่บ้านหลังถัดไปร่วมเดินทางด้วย ส่วนลุงหวังไม่ได้มาด้วย เพราะต้องไปถางหญ้าที่ไร่ให้นางพร้อมคนงานอีกสิบคน ซึ่งตอนเย็นนางจะกลับมาจ่ายค่าแรงให้ นางจ่ายเป็นรายวันจะได้กระตุ้นพวกเขาไปในตัวด้วย และไม่เกินหนึ่งสัปดาห์พื้นที่ก็น่าจะพร้อมเพาะปลูก นางคำนวณแล้วค่าจ้างเจ็ดวันประมาณสองพันหนึ่งร้อยอีแปะ หรือสองตำลึงเงินกับหนึ่งร้อยอีแปะฟางเหนียงเดินทางพร้อมสำรวจและจดจำเส้นทางเอาไว้ในใจ ใบหน้ามีเหงื่อและรู้สึกเหนื่อยมาก อาจเพราะร่างนี้ไม่เคยทำงานหนักและออกกำลังกายมาก่อน แต่ตลอดระยะทางนางไม่ได้ปริปากบ่นทำให้ป้าหวังกับป้าจางแปลกใจไม่น้อย ทั้งคู่มองนางอย่างเป็นห่วง เอ่ยถามเป็นระยะ จนทำให้นางยิ้มอย่างอ่อนใจ“ใกล้ถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะ”ป้าหวังเอ่ยบอกอีกครั้ง ฟางเหนียงได้แต่ยิ้มแหย่ เพราะนางบอกมาหลายรอบแล้ว แต่เพราะนางก็หวังดีนางจึงตอบรับความหวังดีอย่
“มีขอรับ ทางนี้จะมีชุดละห้าสิบอีแปะไปถึงยี่สิบตำลึงเลยขอรับ”ฟางเหนียงนิ่วหน้า มองผ้าสำเร็จที่ราคาแพงจนขนหน้าแข้งหลุดร่วง นางเลือกดูอย่างละเอียด ก่อนจะซื้อแบบชุดละหนึ่งตำลึงเงินคนละสองชุด รวมเป็นสิบสามตำลึงเงิน ซึ่งยังต้องเลือกซื้อข้าวของใช้อย่างอื่นอีกด้วย“ท่านหลงจู๊มีผ้าห่มขายด้วยหรือไม่”“ทางนี้ ๆ แม่นางเชิญมาชมก่อนขอรับ”ฟางเหนียงเดินตามไปในร้าน ซึ่งเห็นผ้าห่มหลากหลายแบบและหลายราคา และมันก็แพงกว่าชุดที่นางซื้อเสียอีก ผ้าหนานุ่มที่ยัดนุ่นอย่างดีราคาผืนละห้าตำลึงเงิน นางกัดฟันซื้อมาสามผืนด้วย เมื่อจ่ายเงินน้ำตานางแทบไหล ในวันสิ้นโลกเงินตรานั้นไร้ค่าไม่มีความหมายแต่เวลานี้นางยากไร้จนน่าสงสารตัวเอง และคงต้องหาทางหาเงินเพิ่มแล้ว มิน่าร่างเดิมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าและผ้าห่มให้ลูกเลย เพราะมันแพงจนนางจะเป็นลมเมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว นางจึงหอบข้าวของมองหาสถานที่ร้างไร้ผู้คน สายตามองเห็นร้านขายซาลาเปาจึงเดินเข้าไปซื้อมาหกลูก ซึ่งมีไส้หมูราคาสิบอีแปะและไส้ผักและไส้เห็ดหอมราคาเจ็ดอีแปะ จ
“ที่ขายได้ราคาสิบตำลึง เพราะหลงจู๊หลอกขายของปลอมใช่หรือไม่ ปิ่นปักผมตัวนี้คงไม่ใช่หยกแท้และไม่ใช่มุกแท้ หากคนอื่นรู้ว่าร้านเหมยหลันขายของปลอมจะเป็นยังไงนะ”“แม่นางอย่าใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้ อยากไปนอนอยู่ในคุกหรือไง” ชายวัยกลางคนเริ่มไม่พอใจ ดวงตาคู่คมจึงดุดันขึ้น ฟางเหนียงยิ้มรับ“จริงหรือไม่จริง หลงจู๊รู้ดีอยู่แก่ใจดี ถ้าอยากไปร้องทุกข์ข้าก็ยินดี ชาวเมืองจะได้รู้ว่าร้านเหมยหลันขายสินค้าปลอมไร้คุณภาพ นี่ก็ยังมีชื่อร้านติดอยู่เลยนะ”ฟางเหนียงโบกปิ่นปักผมในมือ มองหลงจู๊ยิ้ม ๆ ทว่าดวงตาและจิตสังหารที่ส่งไปให้ทำให้หลงจู๊ตัวสั่นด้วยความกลัว“เอาไปสามสิบตำลึง แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”หลงจู๊โยนถุงเงินให้ซึ่งนางก็รับได้ทันท่วงที ดวงตาคู่งามมองคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นางมองเงินในถุงผ้าที่ไม่มีขาดหรือเกิน แล้วเก็บไว้อย่างดี จึงได้เงยหน้ามองหลงจู๊ที่มีสีหน้าถมึงทึง“ไม่ต้องให้หลงจู๊บอก ข้าก็ไม่มาสถานที่หลอกลวงเช่นนี้หรอก และหวังว่าเจ้าเองก็จะไม่มาวุ่นวายกับข้าตามหลังเช่นกัน”
การเตรียมเครื่องปรุงไม่ยากสำหรับนาง แต่จะยากในขั้นตอนการใส่ไฟ เพราะมีตอนเร่งไฟและผ่อนไฟลงซึ่งเป็นเมื่อก่อนนางจะสามารถหมุนปรับในเตาแก๊สได้ เวลานี้อุปกรณ์ทุกอย่างไม่ได้ทันสมัยทำให้ขั้นตอนยุ่งยากกว่าปกติ แต่เพื่อเด็ก ๆ นางจึงลงมือทำอย่างตั้งใจฟางเหนียงตั้งกระทะและใส่น้ำมันหมูไปเพียงเล็กน้อย ตอนนี้นางไม่มีน้ำมันงาทำให้ไม่มีกลิ่นหอมอย่างที่ควร นางทอดพอสุกทั้งสองด้าน ก่อนจะตักขึ้นมาวางพักไว้ จากนั้นจึงผัดโป๊ยกั๊ก อบเชย และพริกไทยดำ ผัดให้หอม ปรุงรสด้วยซอสหอย ซีอิ๊ว ใส่เหล้าลงไปนิดหน่อยและตามด้วยน้ำตาลทรายแดงซึ่งราคาแพงจนนางปวดใจ แต่เพื่อเจ้าก้อนแป้งที่น่ารัก นางจึงซื้อมาจนครบ เมื่อกลิ่นหอมอบอวลแล้วจึงเติมน้ำเปล่าซึ่งน้ำส่วนนี้นางเอามาจากในมิติสวรรค์เพื่อให้เด็ก ๆ ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยโดยง่ายจากนั้นก็ใส่หมูสามชั้นลงไป ตุ๋นอยู่หนึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมของหมูตุ๋นน้ำแดงอบอวลไปทั่วบ้านหลังเล็ก ๆ ทำให้เจ้าก้อนแป้งน้อยโผล่ศีรษะเข้ามาในครัวพร้อมมองมารดาที่หันหลังทำอาหารอยู่อย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเผลอกลืนน้ำลายไปหลายอึก หอมเหลือเกิน...“ท่านแม่หอม&rdquo
ฟางเหนียงมองทั้งคู่ด้วยหัวใจอบอุ่น ไม่คิดว่านางจะได้ชีวิตใหม่ที่เงียบสงบเช่นนี้ มอบเจ้าก้อนแป้งแฝดให้ยังไม่พอยังมีสามีแถมมาด้วยอีกหนึ่ง ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่นางก็อยากให้ครอบครัวนี้อบอุ่นตลอดไปเมื่อกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ฟางเหนียงก็ได้มาเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ เด็ก ๆ พากันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ต่างนอนกลิ้งเล่นบนที่นอนกันอย่างสนุก แต่เพียงไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปอาจเพราะวันนี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นดีใจหลายอย่าง จึงทำให้หมดเรี่ยวแรง นางห่มผ้าให้เจ้าก้อนแป้งทั้งคู่เรียบร้อยแล้ว จึงได้มาเริ่มอ่านประวัติศาสตร์ที่ซื้อมา นางไม่อยากเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยทว่าเมื่ออ่านก็ยิ่งน่าสนใจ โลกนี้คล้าย ๆ กับประเทศจีนสมัยยุคโบราณ มีหลายแคว้นด้วยกันและปกครองด้วยฮ่องเต้ มีบัณฑิตที่สอบจอหงวน มีทหารหลายขั้นตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก ๆ ไปจนกระทั่งแม่ทัพ นางไม่แน่ใจว่าสามีร่างนี้อยู่ขั้นไหน แต่ดูจากเงินเดือนที่ส่งมาคงเป็นเพียงทหารตำแหน่งเล็ก ๆ เท่านั้นยิ่งอ่านก็ยิ่งมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็พอทำให้รู้คร่าว ๆ ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และต้องใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป 
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ