ฟางเหรินคนเป็นพี่รีบตอบรับอย่างหนักแน่น นิทานชาวบ้านที่ตาจี้เคยเล่านั้น เคยมีเรื่องเกี่ยวกับผีปีศาจที่จะถูกจับเผาทั้งเป็นอยู่ ดวงตากลมโตมองมารดาอย่างหนักแน่น แม้มารดาตรงหน้าจะเป็นปีศาจ ตนก็จะปกป้องไม่นำพาเรื่องนี้ไปเล่าโดยเด็ดขาด
“ข้าก็เช่นกันขอรับ พวกเขาจะไม่มีวันเผาแม่เด็ดขาด” ฟางหรงคนน้องรีบเอ่ยบอก ฟางเหนียงส่งยิ้มให้ทั้งคู่ “เด็กดี เก่งมากครับ หากเรามีที่นี่เราจะไม่อดตาย เราจะสามารถมีบ้าน มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่ เพียงแต่ต้องเป็นความลับของเราสามแม่ลูก” “พวกเราสัญญาขอรับ” ทั้งคู่ตอบพร้อมเพียงกัน ด้วยสีหน้าหนักแน่นเกินกว่าเด็กสี่ขวบ ฟางเหนียงมองตามอย่างวางใจ ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาด นางเชื่อว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะที่ผ่านมาพวกเด็ก ๆ ก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่าง “ดีมาก พรุ่งนี้แม่จะเข้าเมือง แต่ไม่วางใจที่จะปล่อยลูก ๆ ไว้ที่บ้าน แม่ก็เลยจะพาลูกมาอยู่ที่นี่ก่อน” “จริงหรือขอรับ พวกเราจะได้เล่นอยู่ที่นี่หรือขอรับ” ก้อนแป้งทั้งคู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พวกเขามองเห็นน้ำตกที่น่าเล่นนั่น ฟางเหนียงมองตาม ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้ง “ลูกเล่นในนี้ได้ แต่ห้ามลงน้ำโดยเด็ดขาด พวกลูก ๆ ยังเล็กและยังว่ายน้ำไม่เป็น เพราะฉะนั้นหากลูกจะเล่นจริง ๆ ต้องให้แม่อยู่ด้วย และสอนลูกว่ายน้ำเสียก่อน” “วันนี้แม่สอนว่ายน้ำได้หรือไม่ขอรับ” ฟางหรงเอ่ยถามตาเป็นประกาย ฟางเหนียงลูบหัวเล็ก ๆ นั่นอย่างเอ็นดู “วันนี้ยังไม่ได้ ตอนนี้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า ไว้แม่ว่างแล้วจะมาสอนลูก ๆ ตกลงหรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยบอกอย่างใจเย็น นางเข้าใจความรู้สึกเด็ก ๆ แต่เวลานี้ควรเป็นเวลานอน ร่างกายพักผ่อนเต็มที่ถึงจะเจริญเติมโตได้ดี ในมิตินี้เวลาเท่ากับข้างนอก มีเพียงแต่ผักผลไม้เท่านั้นที่เติบโตได้เร็ว อาจเป็นเพราะน้ำตกนั่น “ตกลงขอรับ” เมื่อทั้งคู่ตอบรับคำ ฟางเหนียงจึงพาทั้งคู่ออกจากมิติ พร้อมให้เด็ก ๆ เข้านอน นางห่มผ้าผืนบางให้อย่างหดหู่ เด็ก ๆ วัยนี้ควรได้รับสิ่งดี ๆ ไม่รู้ว่าร่างเดิมเป็นอย่างไรจึงปล่อยให้ลูก ๆ อดอยากและขาดแคลนเสื้อผ้า ผ้าห่มขนาดนี้ แต่เมื่อเทียบกับยุคที่จากมา ที่นี่นับว่าโชคดีนัก เพราะเด็ก ๆ ที่นั่นไม่เหลืออีกแล้ว เพียงไม่นาน เด็กน้อยก้อนแป้งทั้งสองก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ฟางเหนียงจึงได้ลองค้นหาสิ่งของตามลิ้นชักและเสื้อผ้าเพื่อหาทรัพย์สินเก่าก่อนที่นางจะมาอยู่ร่างนี้ ส่วนมากนางเห็นเครื่องประทินโฉมหลายอย่าง ที่ไร้ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ถึงว่าร่างนี้ถึงได้ผิวพรรณดี เอาเงินเดือนที่สามีให้มาดูแลตัวเองหมด แต่กลับไม่ซื้ออะไรให้ลูกเลย ฟางเหนียงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเห็นก้อนเงินที่เหลือน้อยนิด เพียงสิบห้าอีแปะเท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ในกล่องเล็ก ๆ กับเครื่องประดับราคาน่าจะแพงหลายชิ้น นางหยิบของมีค่าเหล่านั้นขึ้นมาดู แล้วน่าจะเป็นของใหม่ ไม่น่าจะใช่ของแทนใจ หรือของหมั้นหมาย เพราะฉะนั้นมันสมควรถูกเปลี่ยนเป็นเงิน เอามาเลี้ยงดูเจ้าก้อนแป้งดีกว่า ฟางเหนียงใช้เวลาค้นไม่นาน เพราะห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก ก่อนหน้านี้ไม่ได้ค้นหาเพราะยังต้องสำรวจพื้นที่แถวนี้ก่อน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ จนพอใจแล้ว เมื่อไม่มีอะไรพอจะแลกเป็นเงินได้ จึงได้กลับมานอนร่วมกับเด็ก ๆ ยังดีที่เตียงนี้สามารถนอนได้สี่คนพอดี แม้จะเป็นเพียงเตียงไม้เก่า ๆ แต่ก็นอนได้ เตียงไม่นิ่มแต่นับว่าดีกว่าวันสิ้นโลก ยิ่งอากาศบ้านนอกเช่นนี้บรรยากาศชวนนอนจริง ๆ แต่น่าเสียดายว่านางมีชีวิตอยู่บนเส้นด้ายมาหลายปีไม่อาจหลับได้สนิท เพราะยังเปิดประสาทสัมผัสเอาไว้ข้างนอกตลอดเวลา แต่นางก็ชินแล้วที่จะทำอย่างนี้ และคงยากที่จะทำให้นางหลับได้สนิท...พอถึงเวลานัดหมาย ฟางเหนียงก็เตรียมตัวออกเดินทาง นางพาเจ้าก้อนแป้งเข้าไปในมิติ และบอกป้าหวังว่าเด็ก ๆ จะไปอยู่กับท่านปู่เช่นเคย และป้าหวังก็ไม่ได้สงสัยเพราะบ้านปู่ของเด็ก ๆ อยู่ห่างกันไม่น้อยจึงทำให้ป้าหวังไม่ได้สงสัย แค่อดที่จะเป็นห่วงเจ้าก้อนแป้งเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาแยกบ้านมาแล้ว แต่ฟางเหนียงไม่รู้สาเหตุของการแยกบ้าน แต่นับว่าเป็นการดีเพราะคนยิ่งเยอะปัญหายิ่งตามมา
“ครั้งหน้ามาฝากไว้บ้านป้าก็ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนหวังเปา”ฟางเหนียงยิ้มรับและกล่าวขอบคุณเสียงเบา“ขอบคุณท่านป้าหวัง”การเดินทางในวันนี้ มีป้าหวังกับป้าจางที่อยู่บ้านหลังถัดไปร่วมเดินทางด้วย ส่วนลุงหวังไม่ได้มาด้วย เพราะต้องไปถางหญ้าที่ไร่ให้นางพร้อมคนงานอีกสิบคน ซึ่งตอนเย็นนางจะกลับมาจ่ายค่าแรงให้ นางจ่ายเป็นรายวันจะได้กระตุ้นพวกเขาไปในตัวด้วย และไม่เกินหนึ่งสัปดาห์พื้นที่ก็น่าจะพร้อมเพาะปลูก นางคำนวณแล้วค่าจ้างเจ็ดวันประมาณสองพันหนึ่งร้อยอีแปะ หรือสองตำลึงเงินกับหนึ่งร้อยอีแปะฟางเหนียงเดินทางพร้อมสำรวจและจดจำเส้นทางเอาไว้ในใจ ใบหน้ามีเหงื่อและรู้สึกเหนื่อยมาก อาจเพราะร่างนี้ไม่เคยทำงานหนักและออกกำลังกายมาก่อน แต่ตลอดระยะทางนางไม่ได้ปริปากบ่นทำให้ป้าหวังกับป้าจางแปลกใจไม่น้อย ทั้งคู่มองนางอย่างเป็นห่วง เอ่ยถามเป็นระยะ จนทำให้นางยิ้มอย่างอ่อนใจ“ใกล้ถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะ”ป้าหวังเอ่ยบอกอีกครั้ง ฟางเหนียงได้แต่ยิ้มแหย่ เพราะนางบอกมาหลายรอบแล้ว แต่เพราะนางก็หวังดีนางจึงตอบรับความหวังดีอย่
“มีขอรับ ทางนี้จะมีชุดละห้าสิบอีแปะไปถึงยี่สิบตำลึงเลยขอรับ”ฟางเหนียงนิ่วหน้า มองผ้าสำเร็จที่ราคาแพงจนขนหน้าแข้งหลุดร่วง นางเลือกดูอย่างละเอียด ก่อนจะซื้อแบบชุดละหนึ่งตำลึงเงินคนละสองชุด รวมเป็นสิบสามตำลึงเงิน ซึ่งยังต้องเลือกซื้อข้าวของใช้อย่างอื่นอีกด้วย“ท่านหลงจู๊มีผ้าห่มขายด้วยหรือไม่”“ทางนี้ ๆ แม่นางเชิญมาชมก่อนขอรับ”ฟางเหนียงเดินตามไปในร้าน ซึ่งเห็นผ้าห่มหลากหลายแบบและหลายราคา และมันก็แพงกว่าชุดที่นางซื้อเสียอีก ผ้าหนานุ่มที่ยัดนุ่นอย่างดีราคาผืนละห้าตำลึงเงิน นางกัดฟันซื้อมาสามผืนด้วย เมื่อจ่ายเงินน้ำตานางแทบไหล ในวันสิ้นโลกเงินตรานั้นไร้ค่าไม่มีความหมายแต่เวลานี้นางยากไร้จนน่าสงสารตัวเอง และคงต้องหาทางหาเงินเพิ่มแล้ว มิน่าร่างเดิมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าและผ้าห่มให้ลูกเลย เพราะมันแพงจนนางจะเป็นลมเมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว นางจึงหอบข้าวของมองหาสถานที่ร้างไร้ผู้คน สายตามองเห็นร้านขายซาลาเปาจึงเดินเข้าไปซื้อมาหกลูก ซึ่งมีไส้หมูราคาสิบอีแปะและไส้ผักและไส้เห็ดหอมราคาเจ็ดอีแปะ จ
“ที่ขายได้ราคาสิบตำลึง เพราะหลงจู๊หลอกขายของปลอมใช่หรือไม่ ปิ่นปักผมตัวนี้คงไม่ใช่หยกแท้และไม่ใช่มุกแท้ หากคนอื่นรู้ว่าร้านเหมยหลันขายของปลอมจะเป็นยังไงนะ”“แม่นางอย่าใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้ อยากไปนอนอยู่ในคุกหรือไง” ชายวัยกลางคนเริ่มไม่พอใจ ดวงตาคู่คมจึงดุดันขึ้น ฟางเหนียงยิ้มรับ“จริงหรือไม่จริง หลงจู๊รู้ดีอยู่แก่ใจดี ถ้าอยากไปร้องทุกข์ข้าก็ยินดี ชาวเมืองจะได้รู้ว่าร้านเหมยหลันขายสินค้าปลอมไร้คุณภาพ นี่ก็ยังมีชื่อร้านติดอยู่เลยนะ”ฟางเหนียงโบกปิ่นปักผมในมือ มองหลงจู๊ยิ้ม ๆ ทว่าดวงตาและจิตสังหารที่ส่งไปให้ทำให้หลงจู๊ตัวสั่นด้วยความกลัว“เอาไปสามสิบตำลึง แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”หลงจู๊โยนถุงเงินให้ซึ่งนางก็รับได้ทันท่วงที ดวงตาคู่งามมองคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นางมองเงินในถุงผ้าที่ไม่มีขาดหรือเกิน แล้วเก็บไว้อย่างดี จึงได้เงยหน้ามองหลงจู๊ที่มีสีหน้าถมึงทึง“ไม่ต้องให้หลงจู๊บอก ข้าก็ไม่มาสถานที่หลอกลวงเช่นนี้หรอก และหวังว่าเจ้าเองก็จะไม่มาวุ่นวายกับข้าตามหลังเช่นกัน”
การเตรียมเครื่องปรุงไม่ยากสำหรับนาง แต่จะยากในขั้นตอนการใส่ไฟ เพราะมีตอนเร่งไฟและผ่อนไฟลงซึ่งเป็นเมื่อก่อนนางจะสามารถหมุนปรับในเตาแก๊สได้ เวลานี้อุปกรณ์ทุกอย่างไม่ได้ทันสมัยทำให้ขั้นตอนยุ่งยากกว่าปกติ แต่เพื่อเด็ก ๆ นางจึงลงมือทำอย่างตั้งใจฟางเหนียงตั้งกระทะและใส่น้ำมันหมูไปเพียงเล็กน้อย ตอนนี้นางไม่มีน้ำมันงาทำให้ไม่มีกลิ่นหอมอย่างที่ควร นางทอดพอสุกทั้งสองด้าน ก่อนจะตักขึ้นมาวางพักไว้ จากนั้นจึงผัดโป๊ยกั๊ก อบเชย และพริกไทยดำ ผัดให้หอม ปรุงรสด้วยซอสหอย ซีอิ๊ว ใส่เหล้าลงไปนิดหน่อยและตามด้วยน้ำตาลทรายแดงซึ่งราคาแพงจนนางปวดใจ แต่เพื่อเจ้าก้อนแป้งที่น่ารัก นางจึงซื้อมาจนครบ เมื่อกลิ่นหอมอบอวลแล้วจึงเติมน้ำเปล่าซึ่งน้ำส่วนนี้นางเอามาจากในมิติสวรรค์เพื่อให้เด็ก ๆ ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยโดยง่ายจากนั้นก็ใส่หมูสามชั้นลงไป ตุ๋นอยู่หนึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมของหมูตุ๋นน้ำแดงอบอวลไปทั่วบ้านหลังเล็ก ๆ ทำให้เจ้าก้อนแป้งน้อยโผล่ศีรษะเข้ามาในครัวพร้อมมองมารดาที่หันหลังทำอาหารอยู่อย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเผลอกลืนน้ำลายไปหลายอึก หอมเหลือเกิน...“ท่านแม่หอม&rdquo
ฟางเหนียงมองทั้งคู่ด้วยหัวใจอบอุ่น ไม่คิดว่านางจะได้ชีวิตใหม่ที่เงียบสงบเช่นนี้ มอบเจ้าก้อนแป้งแฝดให้ยังไม่พอยังมีสามีแถมมาด้วยอีกหนึ่ง ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่นางก็อยากให้ครอบครัวนี้อบอุ่นตลอดไปเมื่อกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ฟางเหนียงก็ได้มาเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ เด็ก ๆ พากันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ต่างนอนกลิ้งเล่นบนที่นอนกันอย่างสนุก แต่เพียงไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปอาจเพราะวันนี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นดีใจหลายอย่าง จึงทำให้หมดเรี่ยวแรง นางห่มผ้าให้เจ้าก้อนแป้งทั้งคู่เรียบร้อยแล้ว จึงได้มาเริ่มอ่านประวัติศาสตร์ที่ซื้อมา นางไม่อยากเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยทว่าเมื่ออ่านก็ยิ่งน่าสนใจ โลกนี้คล้าย ๆ กับประเทศจีนสมัยยุคโบราณ มีหลายแคว้นด้วยกันและปกครองด้วยฮ่องเต้ มีบัณฑิตที่สอบจอหงวน มีทหารหลายขั้นตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก ๆ ไปจนกระทั่งแม่ทัพ นางไม่แน่ใจว่าสามีร่างนี้อยู่ขั้นไหน แต่ดูจากเงินเดือนที่ส่งมาคงเป็นเพียงทหารตำแหน่งเล็ก ๆ เท่านั้นยิ่งอ่านก็ยิ่งมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็พอทำให้รู้คร่าว ๆ ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และต้องใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป 
“ป้าหวังโจรขึ้นบ้านข้า”ฟางเหนียงร้องบอกป้าหวังอย่างตื่นตระหนก ท่าทางนางแสดงอย่างสมบทบาท เพียงไม่นานก็มีบ้านป้าจาง และอีกหลายคนตามมาด้วย“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรกันใช่หรือไม่” ป้าหวังถามอย่างเป็นห่วง เดินเข้ามาสำรวจดูทั้งคู่ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาไปเห็นชายฉกรรจ์สามคน ที่ถูกมัดติดกันอยู่ทางเข้าประตู“นั่นโจรหรือ” ป้าหวังเอ่ยถามอย่างตกใจ ทำให้ลุงหวังหวังกับผู้ชายอีกสองคนเดินเข้ามาดู ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตกใจ“นั่นมันพวกหานโจวนี่”ทันทีที่ได้ยิน คนที่มามุงดูต่างก็ทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิม ทุกสายตาจับจ้องมายังฟางเหนียงเป็นทางเดียว กลุ่มพรรคพวก หานโจวนั้นเป็นอันธพาลในหมู่บ้าน และยังชอบข่มแหงสตรี ทว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ยังอยู่เรียบร้อย เผ้าผมไม่ได้กระเซอะกระเซิงอย่างที่ควรเป็น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็มีคนฉลาดขึ้นมาหันไปถามอย่างสนใจ“ทำไมพวกเขาสลบแบบนั้น”ฟางเหนียงมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตั้งคำถาม ร่างสูงใส่ชุดสีขาวที่ซักจนซีด นางจำได้ว่าเป็นคนงานที่มาช่วยนางบุกเบ
นางวางแผนจะขึ้นไปสำรวจบนเขา ซึ่งต้องผ่านผืนนาของนางด้วยเช่นกัน นางจะได้ดูความคืบหน้าของผืนนาไปด้วยฟางเหนียงนำขาหมูออกจากในมิติสวรรค์มาล้างน้ำให้สะอาดก่อนจะเริ่มเตรียมส่วนผสมอื่น ๆ ซึ่งเหมือนกันการทำหมูสามชั้นน้ำแดง แค่เปลี่ยนส่วนเนื้อของหมูเท่านั้น ระหว่างนั้นก็หุงข้าวสวยร้อน ๆ หนึ่งหม้อจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำขาหมูตุ๋นน้ำแดงก่อนหมูผัดพริกหวาน เนื่องจากการตุ๋นหมูต้องใช้เวลาทำนานกว่าปกตินางตุ๋นขาหมูนานกว่าหนึ่งชั่วยาม จนได้เนื้อหมูที่อ่อนนุ่มกลิ่นหอมและสามารถละลายในปากได้ ระหว่างรอขาหมูสุกนั้นข้าวสวยร้อน ๆ ก็สุกพอดีนางยกหม้อข้าวออกมาพักไว้และเริ่มทำหมูผัดพริกหวาน เด็ก ๆ ไม่เลือกทานเพราะความอดอยากทำให้ไม่ปฏิเสธการกินผัก แม้จะไม่ชอบแต่ก็ทำให้อิ่มท้องแต่ต่อไปนางจะทำแต่ของอร่อยและมีประโยชน์ให้เด็ก ๆ ได้กินทุกมื้อ หมูผัดพริกหวานทำเพียงครู่เดียวเท่านั้นจากนั้นจึงเริ่มทำเสี่ยวหลงเปาไส้หมูแดง ให้เด็ก ๆ ไว้กินเล่นระหว่างวัน กลิ่นหอมของอาหารอบอวลไปทั่วห้องครัวเล็ก ๆแม้ข้าวของจะมีไม่มากแต่ก็ถูกทำความสะอาดอย่างดี หากมีเงินนางจะซื้
“เจ้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ”ซูเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวอย่างเป็นห่วง คนตรงหน้าเหมือนบุตรสาวของนางขณะเดียวกันท่าทางนิ่งเงียบก็ทำให้นางไม่คุ้นเคย“ท่านแม่ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่หลายวันก่อนข้าลื่นล้ม ตื่นมาอีกทีความทรงจำข้าก็หายไปเจ้าค่ะ”ฟางเหนียงเอ่ยบอกเสียงเบา และพยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของมารดาเจ้าของร่าง หวังว่าไม่ถูกจับได้ว่าตนเองไม่ใช่ฟางเหนียงคนเดิมแล้ว แต่เป็นวิญญาณจากโลกอื่นมาสิงสู่เท่านั้น“อะไรนะ! เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรือ แล้วข้าล่ะ”ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก ลูบหัวลูบตัวบุตรสาวอย่างตกอกตกใจ ใบหน้าของนางจึงซีดเผือดไปเล็กน้อย“ข้าจำได้ว่าท่านเป็นมารดาข้า แต่ข้าจดจำเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ”ฟางเหนียงโกหกอย่างแนบเนียน สีหน้านางเศร้าสลดและรู้สึกผิด ส่วนชื่อของมารดานั้นไว้ค่อยถามเจ้าก้อนแป้งเอาภายหลัง“เฮ้อ ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นแบบนี้ดีหรือไม่ดี แต่ช่างเถอะยังไงเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ซูเม่ยพูดขึ้นมองสำรวจบุตรสาวที่ดูต่างจากเดิม แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่มาก
ตอนพิเศษ ความในใจของฟางเหริน ตั้งแต่วันนั้นที่มารดาตื่นขึ้นมา ฟางเหรินรู้ว่าท่านแม่ของเขาไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนไปแทบไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จักแต่ถึงกระนั้นเขากลับเห็นแก่ตัว อยากให้มารดาเป็นคนนี้ตลอดไป แรก ๆ เขายังหวาดระแวง ทว่าความอ่อนโยนที่มอบให้ทำให้เขาพ่ายแพ้ แม้อายุยังน้อย แต่เพราะต้องช่วยเหลือตัวเองกับน้องชายมาหลายปี ทำให้รู้ความมากกว่าเด็กคนอื่น บ้างครั้งเขายังอิจฉาเสี่ยวเปาที่มีมารดาที่ดี มีอาหารให้อิ่มทุกมื้อ ไม่ถูกดุด่าและไม่ลงมือทำร้ายเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ทว่าตั้งแต่มารดาคนนี้ฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ถูกดุด่าอีกเลย มีข้าวกินทุกมื้อและยังอร่อยจนน้ำตาแทบไหล เขาไม่เคยได้กินอาหารอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ สวมใส่ มีผ้าห่มผืนหนาได้ห่ม พวกเขาไม่ต้องทนเหน็บหนาวอีกแล้วฟางหรงเองก็เช่นกัน แม้พวกเขาจะรู้สึกว่ามารดาคนนี้ไม่ใช่มารดาคนนั้น แต่ก็ไม่เคยปริปากถามและยอมรับอย่างเงียบ ๆ อาจเพราะพวกเขาเห็นแก่ตัวเกินไป ที่จะเอ่ยถามถึงมารดาคนนั้น และที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ มารดาคนนี้เหมือนเทพจากสวรรค์ที่ลงมาประทานความรัก ความห่วงใยให้พวกเขา นางมีมิติสวรรค์ที่มีอาหารการกินครบพร้อม ต่อให้ต
ฟางเหนียงไม่รู้ว่าตนเองจะมีชีวิตไปได้อีกนานเท่าไหร่ เธอมองความสิ้นหวังขอมนุษย์ชาติที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ เธอต่อสู้และปกป้องตัวเองมานานนับสิบปี ตั้งแต่วันนั้น วันที่ภัยพิบัติมาเยือน มนุษย์ตายตกกลายเป็นซอมบี้ที่กัดกินมนุษย์ที่ยังมีเลือดเนื้อ พวกมันไม่มีความรู้สึก และยังสามารถเคลื่อนไหวได้แม้ว่าแขนขาของมันจะขาดแล้วก็ตาม จุดอ่อนของมันมีเพียงแค่ตัดศีรษะเท่านั้น และในศีรษะของพวกมันมีผนึกที่สามารถช่วยให้ผู้มีพลังพิเศษแข็งแกร่งขึ้น ในโลกนี้ตอนนี้มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด และคงต้องขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจเดินเส้นทางทหารถึงทำให้เธออึดและอดทนได้มากเช่นนี้ ก๊อก ๆ ๆ “ฟางเหนียง” เสียงเรียกพร้อมร่างสูงของฟางอวี้เฉิงเปิดประตูเดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ชายหนุ่มมาพร้อมรถลากมีผ้าคลุมไว้จนมิดชิด เมื่อเข้ามาแล้วจึงปิดประตูตามหลัง ฟางเหนียงเงยหน้าจากการทำความสะอาดอาวุธในมือมองญาติผู้พี่ซึ่งเป็นญาติที่หลงเหลือเพียงคนเดียว ใบหน้าไม่ได้อ่อนเยาว์เช่นกาลก่อนแล้ว เวลานี้มีริ้วรอยที่หางตาเพิ่มขึ้นมาก “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฟางเหนียงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่ฟางอวี้เฉิงหมด
“เพียงแค่ปล่อยวางอดีต เริ่มต้นชีวิตใหม่เราก็มีความสุขในสิ่งที่เรามีแล้ว เจ้าว่าจริงหรือไม่บุตรสาวข้า” รอยยิ้มอ่อนโยนและคำพูดที่แสนอบอุ่นนั้น ทำให้ฟางเซียนครุ่นคิดตามและส่งยิ้มให้มารดาอย่างเต็มใจ “ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่ ขอบคุณเจ้าค่ะ” ฟางเหนียงกอดร่างอวบอ้วนของเด็กน้อยที่กินเก่งแข่งกับพี่ชายไว้ในอ้อมกอด นางรู้สึกดีใจที่คนในอ้อมกอดเข้าใจอะไรง่าย ๆ เช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องบีบคั้นเรื่องในอดีต หากไม่ใช่เรื่องที่ดีก็อยากให้เจ้าตัวลืมไปเสียเถอะ “ท่านแม่ความจริงข้าเคยเป็นหมอปีศาจ ผู้คนเกียจชังข้ามากมาย โลกนั้นเพียงแค่ต้องการของวิเศษของข้า ต่างตามล่าแย่งชิงมันไปจากข้า พวกมันต่างร่วมมือกันจนสามารถสังหารข้าได้ แต่พวกมันไม่มีทางได้ของวิเศษจากข้าไปได้เจ้าค่ะ” ฟางเซียนเอ่ยบอก ในน้ำเสียงของนางยังคงความแค้นเอาไว้ แต่นางรู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกเดียวที่นางจากมา มารดานางพูดถูก เพียงแค่นางปล่อยวางนางก็มีความสุข ทันใดนั้นปรากฏร่มสีแดงบนมือเล็ก มันมีกลิ่นอายที่เย็นเยือกราวกับว่ามันได้ดื่มโลหิตมามากเพียงใด “นี่คืออาวุธวิเศษเจ้าค่ะ มันสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ข้าต้องการได้ ข้าเรียกสิ่งนี้ว่าหนิงเฟิ่งหวังว่าพ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วฟางเหนียงก็ได้มาอยู่ที่นี่ยาวนานถึงหกปี นางมีบุตรสาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคนนามว่าฟางเซียนที่แปลว่านางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม และด้วยความที่นางคลอดลูกคนนี้ยากทำให้ไม่กล้ามีเพิ่มอีก ซึ่งฟางเหยียนอวี้ก็เห็นด้วยเพราะสงสารภรรยา ฟางเหนียงไม่รู้ว่าร่างเดิมผ่านการคลอดบุตรแฝดมาได้อย่างไร แต่สามีนางบอกว่าฝาแฝดคลอดมานั้นตัวเล็กมากทำให้คลอดง่าย ไม่เหมือนบุตรสาวของพวกเขาที่ขาวอวบอ้วนมาตั้งแต่แรกเกิด น้ำหนักหกชั่งนิด ๆ ทำให้คลอดยากแม้นางเป็นทหารที่ผ่านการบาดเจ็บมานักต่อนัก แต่เมื่อมาเจอการคลอดลูกทำให้นางเข็ดขยาดไปเลยทีเดียว โชคดีที่ฟางเซียนของนางเป็นเด็กดีและรู้ความ แต่เพราะความรู้ความของนางทำให้นางกังวลและแอบสังเกตอยู่บ่อยครั้งจนกระทั่งแน่ใจว่า บุตรสาวของนางเป็นเด็กพิเศษกว่าคนอื่น นั่นคือนางจำอดีตชาติของนางได้ แม้พยายามปกปิดได้มิดชิดจนบิดาและพี่ชายไม่ได้สงสัย แต่นางผู้เป็นมารดาที่ใกล้ชิดตลอดเวลา และยังผ่านเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ทำให้รู้ได้ทันที แต่ไม่ว่าเมื่อก่อนฟางเซียนจะเป็นใคร แต่ตอนนี้เจ้าตัวน้อยตรงหน้านางเวลานี้ก็คือบุตรสาวของนาง “อ่านจบแล้วหรือ” ฟางเหนียงเอ่ยถา
ฟางเหยียนอวี้พาภรรยาสาวมานั่งบนเตียงนอน แล้วลูบหน้าท้องที่นูนออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมน้ำเสียงตำหนิลูกในท้องไปด้วย เขาไม่รู้ว่าเมื่อก่อนฟางเหนียงคนเดิมเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่จำได้มีแต่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของนางเท่านั้น คำพูดนั้นทำให้ฟางเหนียงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ความอ่อนโยนที่ฟางเหยียนอวี้มอบให้ทำหัวใจอบอุ่น ใบหน้างามระบายยิ้มเบาบาง บ่งความสุขของนางและอารมณ์ตอนนี้นางดีมาก ๆ ที่เห็นนางน้ำตาไหลไม่ใช่อารมณ์อ่อนไหวอะไร แค่อาเจียนจนเหนื่อยและน้ำตาไหลมาเองเท่านั้น “เจ้านอนพักก่อนเดี๋ยวพี่ไปทำอาหารเย็น” ฟางเหยียนอวี้ลูบศีรษะภรรยาสาวอย่างรักใคร่ ช่วงนี้เขาไม่อนุญาตให้นางเข้ามิติสวรรค์ เนื่องจากกลัวว่านางจะเป็นลมอยู่คนเดียวที่นั่น เพราะพวกเขาไม่สามารถรับรู้หรือเข้าไปได้หากฟางเหนียงไม่พาเข้าไป ฟางเหนียงมองตามร่างสูงแล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดี นางเคยใช้ชีวิตที่พึ่งพาแค่ตัวเอง เวลานี้กลับมีคนให้นางพึ่งพาได้ แม้นางไม่ได้อ่อนแอแต่การได้รับการดูแล ก็ทำให้หัวใจมีความสุขได้เช่นกัน นางยกมือลูบท้องแผ่วเบาเวลานี้มีสายใยเพิ่มอีกหนึ่งครอบครัวของนางก็ครบสมบูรณ์แบบ ฟางเหนียงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีชีวิตที่ดีเช่น
“ไม่ได้ เจ้าอยู่บ้านเถอะ ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ข้ายังมีลูกชายช่วย” ฟางเหยียนอวี้ตอบปฏิเสธพร้อมลูบศีรษะนางอย่างรักใคร่ เขารู้ว่านางค่อนข้างเบื่อที่จะอยู่นิ่ง ๆ แต่เขาก็อดที่จะห่วงใยไม่ได้ ยิ่งช่วงหลัง ๆ มานี่นางแพ้ท้องเกือบทุกวันจนอดที่จะสงสารไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะแพ้ทองแทนเอง ภรรยาเขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยและอ่อนเพลียเช่นนี้ “ข้าแค่ตามไปดูเฉย ๆ เจ้าค่ะ ไม่ได้ลงไปช่วยท่านเสียหน่อย” ฟางเหนียงหน้ามุ่ยเมื่อถูกลูบหัวเหมือนเด็ก ๆ ก่อนจะประท้วงเบา ๆ ตอนนี้นางถูกตามใจจนจะเสียคนอยู่แล้ว ทว่าหัวใจนางกลับรู้สึกอบอุ่นความสุขเอ่อล้นภายในใจ จนต้องเผลอยิ้มออกมาเบาบาง “เด็กดีอย่าดื้อนะ นอนพักมาก ๆ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา” ฟางเหนียงหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำพูดของสามี อีกทั้งมือหนาที่ลูบหัวนางเหมือนเด็กนั่นอีก นางได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ นางแพ้คำพูดอ่อนโยนของฟางเหยียนอวี้เช่นนี้และเขาก็จับจุดได้แล้วนางจะเอาอะไรไปสู้เขา “ดูแลลูก ๆ ด้วยเจ้าค่ะ” ฟางเหนียงเอ่ยบอกอย่างยอมแพ้ ดวงตาคู่คมมองนางจนรู้สึกเก้อเขินจนนางต้องดันหลังอีกฝ่ายเอาไว้ ให้ออกจากบ้าน “ไปได้แล้วเจ้าค่ะ ลูก ๆ รออยู่” ฟางเหยียนอวี้ยกย
“อร่อยมากเจ้าค่ะ” เด็กหญิงสองคนพูดออกมาพร้อมกัน ขณะที่ตักปีกไก่น้ำแดงเข้าปาก ฟางเหนียงมองดูเด็กสองคนอย่างเอ็นดู นางเองก็อยากมีลูกสาวกับเขาบ้างแต่หลายเดือนมานี้ยังไม่มีวี่แวว หรือว่านางจะไม่สามารถมีลูกสาวเพิ่มได้อีก “ท่านแม่ ท่านกินบ้างขอรับ” ฟางเหนียงก้มมองดูเจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งคู่แล้วยิ้มอ่อนโยน หากไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่พวกเขาสองคนนางก็มีความสุขแล้ว แต่หากมีเพิ่มก็นับว่าดีมาก ๆ “พวกเจ้าก็กินเยอะ ๆ” ฟางเหนียงบอกพร้อมคีบปีกไก่น้ำแดงให้ทั้งคู่บ้าง ก่อนจะพากันกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ตอนนี้พวกเขาแยกโต๊ะกัน เนื่องจากผู้ชายยังดื่มเหล่าไม่เหมาะให้เด็ก ๆ ไปนั่งด้วย แต่หลังจากกินข้าวจนอิ่มแล้วจึงให้เด็ก ๆ ออกไปเล่นข้างนอก ส่วนนางก็อยู่พูดคุยกับมารดา พี่สาวและพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้มากขึ้น เวลานี้นางมีครอบครัวไม่ได้โดดเดี่ยวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกับการผูกมิตรอีก เสียงหัวเราะของพวกผู้ชายดังแว่วมาเป็นระยะ พร้อมเสียงหยอกล้อกันอย่างสนุก หนึ่งในนั้นคือหยอกล้อเรื่องที่อยากให้นางมีบุตรเพิ่มอีกหลาย ๆ คน ฟางเหนียงสังเกตสีหน้าคนตอบไปด้วย ก่อนจะก้มหน้าต่ำปกปิดสายตาของตนเองเอาไว้
ขณะที่พวกเขาอยู่ในวิมานรัก สองฝาแฝดที่เหนื่อยจากการฝึกได้แต่หยุดมองหน้ากันเงียบ ๆ ท่านพ่อพาท่านแม่เข้าบ้านอีกแล้ว หลายครั้งแล้วไม่เห็นมีน้องสาวน้องชายตัวน้อย ๆ มาให้พวกเขาเสียที ทว่าไม่ใช่แค่สองแฝดที่รู้อึดอัดหัวใจ องครักษ์เงาที่ถูกส่งมาอารักขาก็ได้แต่กินอาหารหมา สำหรับคนโสดอย่างอัดอั้นตันใจไม่แพ้กัน ไหนศัตรู? นี่ส่งพวกเขามาดูพวกเขาแสดงความรักกันต่างหากเล่า! วันรุ่งขึ้นฟางเหนียงได้เตรียมอาหารและผักผลไม้ใส่รถเกวียนม้า วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมบ้านมารดา และอยากให้พี่สาวของร่างนี้ลืมความรู้สึกผิดในใจเสียที และหลายเดือนมานี้นางยุ่งวุ่นวายเลยไม่ได้ไปเยี่ยมนานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ให้เงินไปสร้างบ้าน นางไม่ได้ไปช่วยงานเพราะมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ เพราะตอนนั้นนางก็พึ่งมาอยู่ที่นี่ ความทรงจำและการปรับสภาพยังไม่คุ้นเคยมากนัก วันนี้เด็ก ๆ ดูจะตื่นเต้นมาก พวกเขาเตรียมของเล่นและของฝากไปให้ญาติผู้พี่ทางบ้านนั้นด้วย แต่คนที่ใบหน้าเคร่งขรึมกลับเป็นฟางเหยียนอวี้ ที่เหมือนไม่อยากให้นางกลับบ้านเดิมเท่าไหร่นัก “ท่านพี่ไม่อยากไปด้วยรอข้าอยู่ที่นี่ก็ได้นะเจ้าค่ะ” “ไม่! พี่จะไปด้วย” คำตอบหนักแน่นท
“ข้าก็รออยู่เหมือนกันเจ้าค่ะ” ฟางเหนียงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ทุกคนที่มาซักผ้าต่างพูดคุยหยอกล้ออย่างสนุกสนานเมื่อมีคนรัก ก็ต้องมีคนอิจฉาริษยาเป็นเรื่องธรรมดา “ว่าแต่เจ้าจะขึ้นเขาอีกหรือไม่ ตอนนี้รวยแล้วนี่ เงินปลดประจำการของเหยียนอวี้คงได้มากกระมัง” ลู่ชิงภรรยาของลู่หลิ่งที่เสียชีวิตเพราะโดนสัตว์ร้ายฆ่าตาย เอ่ยถามอย่างประชดประชัน ดวงตาของนางมีแต่ความริษยาและโกรธแค้นแม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฟางเหนียง แต่หากไม่ใช่นางเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องสมุนไพร ทุกอย่างก็คงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้ “ลู่ชิงเจ้าพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เงินของเขาเจ้าจะไปเดือดร้อนอะไรด้วย แล้วลู่หลิ่งตายไม่เกี่ยวกับฟางเหนียง มีแต่เจ้าที่บังคับสามีขึ้นเขา ทำไมไม่รู้จักโทษตัวเองบ้าง” ป้าหวังที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยตอบโต้อย่างไม่พอใจนัก เพราะอย่างไรหลายเดือนมานี้ฟางเหนียงก็เทียวแบ่งอาหารมาให้นางบ่อยครั้ง จนเดี๋ยวนี้เสี่ยวเปาเริ่มอวบอ้วนขึ้นมากแล้ว “เหอะ! ข้าพูดความจริง รอดูเถอะเดี๋ยวเงินปลดประจำการหมดก็คงทิ้งสามีไปหาคนที่รวยกว่า” ลู่ชิงเค้นเสียงตอบโต้อย่างดูถูก ก่อนจะถือตะกร้ากระแทกเท้าเดินจากไป ทำให้คนแถวนั้นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ฟางเห