“ที่ขายได้ราคาสิบตำลึง เพราะหลงจู๊หลอกขายของปลอมใช่หรือไม่ ปิ่นปักผมตัวนี้คงไม่ใช่หยกแท้และไม่ใช่มุกแท้ หากคนอื่นรู้ว่าร้านเหมยหลันขายของปลอมจะเป็นยังไงนะ”
“แม่นางอย่าใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้ อยากไปนอนอยู่ในคุกหรือไง” ชายวัยกลางคนเริ่มไม่พอใจ ดวงตาคู่คมจึงดุดันขึ้น ฟางเหนียงยิ้มรับ“จริงหรือไม่จริง หลงจู๊รู้ดีอยู่แก่ใจดี ถ้าอยากไปร้องทุกข์ข้าก็ยินดี ชาวเมืองจะได้รู้ว่าร้านเหมยหลันขายสินค้าปลอมไร้คุณภาพ นี่ก็ยังมีชื่อร้านติดอยู่เลยนะ” ฟางเหนียงโบกปิ่นปักผมในมือ มองหลงจู๊ยิ้ม ๆ ทว่าดวงตาและจิตสังหารที่ส่งไปให้ทำให้หลงจู๊ตัวสั่นด้วยความกลัว“เอาไปสามสิบตำลึง แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก” หลงจู๊โยนถุงเงินให้ซึ่งนางก็รับได้ทันท่วงที ดวงตาคู่งามมองคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นางมองเงินในถุงผ้าที่ไม่มีขาดหรือเกิน แล้วเก็บไว้อย่างดี จึงได้เงยหน้ามองหลงจู๊ที่มีสีหน้าถมึงทึง“ไม่ต้องให้หลงจู๊บอก ข้าก็ไม่มาสถานที่หลอกลวงเช่นนี้หรอก และหวังว่าเจ้าเองก็จะไม่มาวุ่นวายกับข้าตามหลังเช่นกัน”การเตรียมเครื่องปรุงไม่ยากสำหรับนาง แต่จะยากในขั้นตอนการใส่ไฟ เพราะมีตอนเร่งไฟและผ่อนไฟลงซึ่งเป็นเมื่อก่อนนางจะสามารถหมุนปรับในเตาแก๊สได้ เวลานี้อุปกรณ์ทุกอย่างไม่ได้ทันสมัยทำให้ขั้นตอนยุ่งยากกว่าปกติ แต่เพื่อเด็ก ๆ นางจึงลงมือทำอย่างตั้งใจฟางเหนียงตั้งกระทะและใส่น้ำมันหมูไปเพียงเล็กน้อย ตอนนี้นางไม่มีน้ำมันงาทำให้ไม่มีกลิ่นหอมอย่างที่ควร นางทอดพอสุกทั้งสองด้าน ก่อนจะตักขึ้นมาวางพักไว้ จากนั้นจึงผัดโป๊ยกั๊ก อบเชย และพริกไทยดำ ผัดให้หอม ปรุงรสด้วยซอสหอย ซีอิ๊ว ใส่เหล้าลงไปนิดหน่อยและตามด้วยน้ำตาลทรายแดงซึ่งราคาแพงจนนางปวดใจ แต่เพื่อเจ้าก้อนแป้งที่น่ารัก นางจึงซื้อมาจนครบ เมื่อกลิ่นหอมอบอวลแล้วจึงเติมน้ำเปล่าซึ่งน้ำส่วนนี้นางเอามาจากในมิติสวรรค์เพื่อให้เด็ก ๆ ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยโดยง่ายจากนั้นก็ใส่หมูสามชั้นลงไป ตุ๋นอยู่หนึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมของหมูตุ๋นน้ำแดงอบอวลไปทั่วบ้านหลังเล็ก ๆ ทำให้เจ้าก้อนแป้งน้อยโผล่ศีรษะเข้ามาในครัวพร้อมมองมารดาที่หันหลังทำอาหารอยู่อย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเผลอกลืนน้ำลายไปหลายอึก หอมเหลือเกิน...“ท่านแม่หอม&rdquo
ฟางเหนียงมองทั้งคู่ด้วยหัวใจอบอุ่น ไม่คิดว่านางจะได้ชีวิตใหม่ที่เงียบสงบเช่นนี้ มอบเจ้าก้อนแป้งแฝดให้ยังไม่พอยังมีสามีแถมมาด้วยอีกหนึ่ง ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่นางก็อยากให้ครอบครัวนี้อบอุ่นตลอดไปเมื่อกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ฟางเหนียงก็ได้มาเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ เด็ก ๆ พากันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ต่างนอนกลิ้งเล่นบนที่นอนกันอย่างสนุก แต่เพียงไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปอาจเพราะวันนี้พวกเขาเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นดีใจหลายอย่าง จึงทำให้หมดเรี่ยวแรง นางห่มผ้าให้เจ้าก้อนแป้งทั้งคู่เรียบร้อยแล้ว จึงได้มาเริ่มอ่านประวัติศาสตร์ที่ซื้อมา นางไม่อยากเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยทว่าเมื่ออ่านก็ยิ่งน่าสนใจ โลกนี้คล้าย ๆ กับประเทศจีนสมัยยุคโบราณ มีหลายแคว้นด้วยกันและปกครองด้วยฮ่องเต้ มีบัณฑิตที่สอบจอหงวน มีทหารหลายขั้นตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก ๆ ไปจนกระทั่งแม่ทัพ นางไม่แน่ใจว่าสามีร่างนี้อยู่ขั้นไหน แต่ดูจากเงินเดือนที่ส่งมาคงเป็นเพียงทหารตำแหน่งเล็ก ๆ เท่านั้นยิ่งอ่านก็ยิ่งมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็พอทำให้รู้คร่าว ๆ ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และต้องใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป 
“ป้าหวังโจรขึ้นบ้านข้า”ฟางเหนียงร้องบอกป้าหวังอย่างตื่นตระหนก ท่าทางนางแสดงอย่างสมบทบาท เพียงไม่นานก็มีบ้านป้าจาง และอีกหลายคนตามมาด้วย“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรกันใช่หรือไม่” ป้าหวังถามอย่างเป็นห่วง เดินเข้ามาสำรวจดูทั้งคู่ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาไปเห็นชายฉกรรจ์สามคน ที่ถูกมัดติดกันอยู่ทางเข้าประตู“นั่นโจรหรือ” ป้าหวังเอ่ยถามอย่างตกใจ ทำให้ลุงหวังหวังกับผู้ชายอีกสองคนเดินเข้ามาดู ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตกใจ“นั่นมันพวกหานโจวนี่”ทันทีที่ได้ยิน คนที่มามุงดูต่างก็ทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิม ทุกสายตาจับจ้องมายังฟางเหนียงเป็นทางเดียว กลุ่มพรรคพวก หานโจวนั้นเป็นอันธพาลในหมู่บ้าน และยังชอบข่มแหงสตรี ทว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ยังอยู่เรียบร้อย เผ้าผมไม่ได้กระเซอะกระเซิงอย่างที่ควรเป็น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็มีคนฉลาดขึ้นมาหันไปถามอย่างสนใจ“ทำไมพวกเขาสลบแบบนั้น”ฟางเหนียงมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตั้งคำถาม ร่างสูงใส่ชุดสีขาวที่ซักจนซีด นางจำได้ว่าเป็นคนงานที่มาช่วยนางบุกเบ
นางวางแผนจะขึ้นไปสำรวจบนเขา ซึ่งต้องผ่านผืนนาของนางด้วยเช่นกัน นางจะได้ดูความคืบหน้าของผืนนาไปด้วยฟางเหนียงนำขาหมูออกจากในมิติสวรรค์มาล้างน้ำให้สะอาดก่อนจะเริ่มเตรียมส่วนผสมอื่น ๆ ซึ่งเหมือนกันการทำหมูสามชั้นน้ำแดง แค่เปลี่ยนส่วนเนื้อของหมูเท่านั้น ระหว่างนั้นก็หุงข้าวสวยร้อน ๆ หนึ่งหม้อจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำขาหมูตุ๋นน้ำแดงก่อนหมูผัดพริกหวาน เนื่องจากการตุ๋นหมูต้องใช้เวลาทำนานกว่าปกตินางตุ๋นขาหมูนานกว่าหนึ่งชั่วยาม จนได้เนื้อหมูที่อ่อนนุ่มกลิ่นหอมและสามารถละลายในปากได้ ระหว่างรอขาหมูสุกนั้นข้าวสวยร้อน ๆ ก็สุกพอดีนางยกหม้อข้าวออกมาพักไว้และเริ่มทำหมูผัดพริกหวาน เด็ก ๆ ไม่เลือกทานเพราะความอดอยากทำให้ไม่ปฏิเสธการกินผัก แม้จะไม่ชอบแต่ก็ทำให้อิ่มท้องแต่ต่อไปนางจะทำแต่ของอร่อยและมีประโยชน์ให้เด็ก ๆ ได้กินทุกมื้อ หมูผัดพริกหวานทำเพียงครู่เดียวเท่านั้นจากนั้นจึงเริ่มทำเสี่ยวหลงเปาไส้หมูแดง ให้เด็ก ๆ ไว้กินเล่นระหว่างวัน กลิ่นหอมของอาหารอบอวลไปทั่วห้องครัวเล็ก ๆแม้ข้าวของจะมีไม่มากแต่ก็ถูกทำความสะอาดอย่างดี หากมีเงินนางจะซื้
“เจ้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ”ซูเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวอย่างเป็นห่วง คนตรงหน้าเหมือนบุตรสาวของนางขณะเดียวกันท่าทางนิ่งเงียบก็ทำให้นางไม่คุ้นเคย“ท่านแม่ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่หลายวันก่อนข้าลื่นล้ม ตื่นมาอีกทีความทรงจำข้าก็หายไปเจ้าค่ะ”ฟางเหนียงเอ่ยบอกเสียงเบา และพยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของมารดาเจ้าของร่าง หวังว่าไม่ถูกจับได้ว่าตนเองไม่ใช่ฟางเหนียงคนเดิมแล้ว แต่เป็นวิญญาณจากโลกอื่นมาสิงสู่เท่านั้น“อะไรนะ! เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรือ แล้วข้าล่ะ”ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก ลูบหัวลูบตัวบุตรสาวอย่างตกอกตกใจ ใบหน้าของนางจึงซีดเผือดไปเล็กน้อย“ข้าจำได้ว่าท่านเป็นมารดาข้า แต่ข้าจดจำเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ”ฟางเหนียงโกหกอย่างแนบเนียน สีหน้านางเศร้าสลดและรู้สึกผิด ส่วนชื่อของมารดานั้นไว้ค่อยถามเจ้าก้อนแป้งเอาภายหลัง“เฮ้อ ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นแบบนี้ดีหรือไม่ดี แต่ช่างเถอะยังไงเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ซูเม่ยพูดขึ้นมองสำรวจบุตรสาวที่ดูต่างจากเดิม แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่มาก
“ข้าพอเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”“มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้ เดี๋ยวข้าต้องกลับก่อน เจ้าก็ดูแลตัวเองกับเจ้าก้อนแป้งดี ๆ แล้วกัน หากเจ้าไม่โกรธพี่สาวเจ้าก็กลับบ้านบ้างก็ได้”ซูเม่ยเอ่ยบอกและมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย เมื่อพูดถึงลูกสาวอีกคนที่ทะเลาะกันเพราะบุรุษคนเดียว และตอนนี้ก็มาเป็นลูกเขยของนางแล้ว แต่โชคดีตรงที่ฮุ่ยหมิงไม่ใช่บุตรชายคนโตของบ้าน ทำให้ไม่ได้โดนเกณฑ์ทหารไปด้วย แต่นั่นยิ่งทำให้ฟางเหนียงบุตรสาวคนเล็กของนางอิจฉาและโกรธแค้นผู้เป็นพี่สาว“เจ้าค่ะท่านแม่”ฟางเหนียงตอบรับ แล้วส่งมารดากลับหมู่บ้านเย่วซี ซึ่งห่างจากหมู่บ้านนี้สี่ลี้ใช้เวลาเดินทางสองเค่อ สำหรับคนที่เดินทางจนคุ้นเคยจึงไม่ไกลมากนัก ฟางเหนียงมองฟ้าเวลานี้จะเข้ายามอู่ อยู่แล้ว จะขึ้นเขาก็คงไม่ทันได้สำรวจอะไร นางจึงตัดสินใจไปดูแค่ผืนไร่ผืนนาที่กำลังถูกบุกเบิกเท่านั้น“เด็ก ๆ ไปที่นากันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยขึ้นเขา”ก้อนแป้งน้อยทั้งคู่ต่างลุกขึ้นวิ่งมาหานาง จากนั้นก็แบกตะกร้าสานใบเล็กไว้บนหลังคนละใบฟางเหนียง
มื้อกลางวันนี้ฟางเหนียงผ่าแตงโมให้เด็ก ๆ กินด้วย ปาก เล็ก ๆ เปื้อนสีแดงของน้ำแตงโม ทั้งคู่กินไปและพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น เพราะไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน นางสอนให้เด็ก ๆ เอาเมล็ดแตงโมออก แม้บางคนจะกินเมล็ดได้แต่ยุคสมัยนี้หมอนั้นไม่ได้หาง่ายนัก นางกลัวว่าทั้งคู่จะเป็นไส้ติ่งเพราะฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด นางเป็นเพียงทหารหญิงไม่ใช่แพทย์ทหารทำได้แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น แต่ว่าให้เด็ก ๆ เก็บเมล็ดแตงโมเอาไว้นางจะตากแดดแล้วนำมาคั่วให้ เด็ก ๆ ทานเล่นได้เมื่อเจ้าก้อนแป้งน้อยกินจนอิ่มหนำสำราญ ก็พากันนอนเล่นใต้ต้นไม้ รอปลามาติดเบ็ด ซึ่งฟางเหนียงส่งพลังจิตแผ่ออกไปสำรวจเป็นระยะ พลังจิตของนางกล้าแกร่ง แม้กระทั่งเกิดใหม่ก็ยังตามติดนางมาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของนาง เพียงไม่นานนางก็สามารถจับปลาเฉาฮื้อได้หลายตัว นางนำถังไม้ออกมาใส่ปลาเหล่านั้นเมื่อเห็นว่าได้เยอะพอควรแล้ว จึงเก็บปลาเข้าไปในมิติ บางส่วนนางก็โยนลงไปในบ่อน้ำตกภายในมิติด้วย เผื่อวันข้างหน้านางจะได้ไม่ต้องออกมาหาปลา ยิ่งจะเข้าฤดูหนาวแล้วยิ่งยากลำบาก“เย็นนี้ท่
ฟางเหนียงก่อไฟอีกเตาและเริ่มทำปลานึ่งทันที นางใส่ปลาไว้ภาชนะที่เตรียมไว้ก่อนจะคนผสมซีอิ๊วขาว น้ำมันเล็กน้อย เหล้าจีน น้ำตาลทรายแดง และน้ำร้อนเข้าด้วยกัน ตักราดลงบนตัวปลา วางเห็ดหอม ขิงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงด้านบนตัวปลา ให้ทั่ว แต่ส่วนนี้นางใช้ไปนิดเดียวกลัวว่าเด็กจะกินเผ็ดไม่ได้นางจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มพริกลงไปในครั้งหน้าแต่ตอนนี้ต้องให้กระเพาะของเด็ก ๆ คุ้นเคยกับรสชาติเช่นนี้ก่อน เมื่อโรยทุกอย่างเสร็จแล้วจึงนำใส่ลงในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นึ่งใช้ไฟแรงมากขึ้นนางเพิ่มฟืนลงอีก นานประมาณสองเค่อก็มีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้านหลังเล็ก ๆ จากนั้นจึงลงมือทำต้มซุปปลาต่อซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนักฟางเหนียงใช้เวลาทำอาหารเพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง นางยกอาหารมาวางไว้ตรงที่นั่งกินข้าว เด็ก ๆ เองก็ช่วยยกชามและถ้วยเล็ก ฟางเหนียงตักข้าวให้เจ้าก้อนแป้งที่ยกยิ้มหน้าบานมองอาหารตรงหน้าจนน้ำลายแทบหกนางตักน้ำซุปปลาใส่ถ้วยเล็กให้คนละใบ เด็ก ๆ นั่งยกน้ำซุปปลาในถ้วยเล็ก ๆ ของตัวเองจนอิ่ม เวลานี้พวกนางยังพากันนั่งบนพื้นกินข้าว คงต้องคิดหาทางหาเงินเพิ่ม และส
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ