“ที่ขายได้ราคาสิบตำลึง เพราะหลงจู๊หลอกขายของปลอมใช่หรือไม่ ปิ่นปักผมตัวนี้คงไม่ใช่หยกแท้และไม่ใช่มุกแท้ หากคนอื่นรู้ว่าร้านเหมยหลันขายของปลอมจะเป็นยังไงนะ”
“แม่นางอย่าใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้ อยากไปนอนอยู่ในคุกหรือไง” ชายวัยกลางคนเริ่มไม่พอใจ ดวงตาคู่คมจึงดุดันขึ้น ฟางเหนียงยิ้มรับ “จริงหรือไม่จริง หลงจู๊รู้ดีอยู่แก่ใจดี ถ้าอยากไปร้องทุกข์ข้าก็ยินดี ชาวเมืองจะได้รู้ว่าร้านเหมยหลันขายสินค้าปลอมไร้คุณภาพ นี่ก็ยังมีชื่อร้านติดอยู่เลยนะ” ฟางเหนียงโบกปิ่นปักผมในมือ มองหลงจู๊ยิ้ม ๆ ทว่าดวงตาและจิตสังหารที่ส่งไปให้ทำให้หลงจู๊ตัวสั่นด้วยความกลัว “เอาไปสามสิบตำลึง แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก” หลงจู๊โยนถุงเงินให้ซึ่งนางก็รับได้ทันท่วงที ดวงตาคู่งามมองคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นางมองเงินในถุงผ้าที่ไม่มีขาดหรือเกิน แล้วเก็บไว้อย่างดี จึงได้เงยหน้ามองหลงจู๊ที่มีสีหน้าถมึงทึง “ไม่ต้องให้หลงจู๊บอก ข้าก็ไม่มาสถานที่หลอกลวงเช่นนี้หรอก และหวังว่าเจ้าเองก็จะไม่มาวุ่นวายกับข้าตามหลังเช่นกัน” ฟางเหนียงเอ่ยบอกอย่างเย็นพร้อมส่งจิตสังหารไปด้วย นางไม่ได้ข่มขู่แต่นางเอาจริง สังหารมนุษย์นั้นไม่ยากนางรู้ดีว่าสังหารอย่างไรให้ทรมาน และทำอย่างไรจึงจะฆ่าได้ในพริบตา หลงจู๊ผงะถอยหลังไปด้วยความกลัว แผ่นหลังเปียกชื้น จิตสังหารนั่นต้องสังหารผู้คนมามากมายแค่ไหนถึงรุนแรงเช่นนั้น ฟางเหนียงไม่ได้สนใจอีก เมื่อจบธุระที่นี่จึงจะเดินออกจากร้านทันที นางเดินไปซื้อเมล็ดผักและผลไม้ หมดไปอีกสิบตำลึง จากนั้นจึงได้เดินสำรวจร้านค้าต่าง ๆ ก่อนจะมาสะดุดกับร้านขายยาจีน นางมองราคาแล้วรู้สึกสนใจแต่ใช่ว่าสมุนไพรจะหาได้ง่าย ๆ นางจดจำราคาเอาไว้ ก่อนจะเดินไปยังร้านหนังสือ นางหาประวัติศาสตร์ของโลกนี้มาอ่านและมีหนังสือพวกสมุนไพรที่ราคาแพงจนนางขาอ่อน แต่เพื่ออนาคตหากนางไม่ศึกษาจะรู้จักโลกนี้ได้อย่างไร นางกัดฟันจ่ายไปอีกสิบตำลึง ฟางเหนียงเงยหน้ามองพระอาทิตย์ ที่บ่ายคล้อยแล้ว จึงรีบกลับไปหน้าประตูเมือง นางเอาข้าวของออกมาเพียงเล็กน้อย ซึ่งมีเมล็ดผักเพื่อให้ป้าหวังกับป้าจางได้รู้ว่านางซื้อไป เวลานางนำผักออกมาคนอื่นจะได้ไม่สงสัย “ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยล่ะนั่น” ป้าจางเอ่ยถามเมื่อเห็นหอบข้าวของหลายอย่าง ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมองผ้าพับอย่างแปลกใจ เนื้อผ้าค่อนข้างดี แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตัดให้ตนเองเหมือนเดิม หรือว่าจะให้ลูก ๆ เมื่อนึกถึงเด็กน้อยทั้งสองคนแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ “ข้าได้เมล็ดผักที่จะไปปลูก กับผ้าพับไปตัดให้เจ้าก้อนแป้งทั้งคู่แหละเจ้าค่ะป้าจาง” ฟางเหนียงเอ่ยบอกเมื่อเห็นสายตาที่มองมาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร “ดีแล้วละ จะเริ่มหนาวแล้วเด็ก ๆ จะได้ไม่หนาวเกินไป” ป้าหวังเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ป้าจางมองอย่างแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในใจเริ่มรู้สึกดีกับฟางเหนียงมากขึ้น เพราะปกติแม้จะอยู่บ้านใกล้กัน แต่ไม่ค่อยไปหากันมากนัก มีแต่นางเอาอาหารมาให้เด็ก ๆ บ้าง เพราะรู้สึกสงสาร แต่เมื่อเห็นว่าฟางเหนียงเริ่มรักลูกตัวเองบ้างก็ทำให้รู้สึกดีไม่น้อย “กลับกันเถอะ เดี๋ยวมืดค่ำ” ป้าหวังเอ่ยบอก ก่อนจะพากันเดินทางกลับหมู่บ้านเย่วซิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่หลังเขาและห่างไกลจากเมืองถึงหกสิบลี้ ทำให้ไม่มีความเจริญมากนัก แต่ชาวบ้านก็คุ้นชินกับชีวิตแบบนี้ มีเพียงคนหนุ่มสาวที่ออกมาหางานในเมืองทำ บุรุษบางคนก็ไปเป็นทหาร เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เช่นเดียวกับฟางเหยียนอวี้สามีของฟางเหนียง แต่หากครอบครัวมีฐานะหน่อย ก็จะมีวัวเทียมม้าที่เดินทางเพียงสองเค่อก็มาถึงตัวเมืองแล้วเมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟางเหนียงรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว นางคงต้องหาเวลาออกกำลังกายบ้างแล้ว แต่เมื่อมาถึงก็รีบให้เด็ก ๆ ออกมา ก่อนจะให้นั่งรอทานข้าว เพราะทั้งวันเด็ก ๆ ได้กินเพียงแค่ซาลาเปาเท่านั้น วันนี้นางได้เนื้อหมูมาจึงจะทำหมูตุ๋นน้ำแดงให้เด็ก ๆ พร้อมข้าวสวยร้อน ๆ และโชคดีที่มิติสวรรค์ของนางสามารถเก็บของสดได้
ฟางเหนียงจัดเรียงเครื่องปรุงที่ซื้อมาเก็บวางไว้ชั้นเล็ก ๆ ในห้องครัวอย่างเป็นระเบียบ แม้ข้าวของในบ้านจะเก่าและทรุดโทรมไปบ้าง แต่เมื่อมีเงินนางจะสร้างบ้านใหม่และห้องครัวใหม่ เมื่อจัดเก็บข้าวของที่ซื้อมาไว้เรียบร้อยแล้วจึงเริ่มเตรียมส่วนผสมในการทำหมูตุ๋นน้ำแดง จากนั้นก็ก่อไฟหุงข้าวสวย ร้อน ๆ อีกหนึ่งหม้อ เมื่อหุงข้าวไว้แล้วนางจึงหยิบหมูสามชั้นมาซอยเป็นชิ้นพอดีคำสำหรับเด็ก ๆ ก่อนจะหันไปเตรียมน้ำมันทอดหมู นางใช้เวลาก่อไฟอีกหนึ่งเตาไม่นานนัก การเตรียมเครื่องปรุงไม่ยากสำหรับนาง แต่จะยากในขั้นตอนการใส่ไฟ เพราะมีตอนเร่งไฟและผ่อนไฟลงซึ่งเป็นเมื่อก่อนนางจะสามารถหมุนปรับในเตาแก๊สได้ เวลานี้อุปกรณ์ทุกอย่างไม่ได้ทันสมัยทำให้ขั้นตอนยุ่งยากกว่าปกติ แต่เพื่อเด็ก ๆ นางจึงลงมือทำอย่างตั้งใจ“ท่านแม่ตื่น ๆ พวกข้าหิวแล้ว”เสียงร้องเรียกพร้อมร่างที่ถูกเขย่าทำให้ฟางเหนียงลืมตาขึ้น ทว่าดวงตาของนางมีแต่กลิ่นไอสังหาร แม้แต่เด็กน้อยที่ไร้เดียงสายังถอยหลังอย่างหวาดกลัว ดวงตาคู่งามมองก้อนแป้งน้อยอย่างฉงนสงสัย ในยุคที่สิ้นหวังเช่นนี้ไม่ควรมีเด็กน้อยในวัยนี้ นางพยายามลุกขึ้นนั่งมองสถานที่แห่งนี้อย่างไม่เข้าใจ แม้โลกจะใกล้ล่มสลายแต่ไม่ควรทรุดโทรมเช่นนี้ ฟางเหนียงหลับตาแผ่สัมผัสไปรอบรัศมีรอบตัวหนึ่งกิโลเมตร ก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เพราะเวลานี้นางไม่อาจสัมผัสเหล่าซอมบี้ได้เลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ราวกับไม่ใช่โลกที่ใกล้ล่มสลาย แต่เมื่อนึกไปถึงอดีตเวลานี้นางควรตายไปแล้ว เกิดใหม่ ? นั่นเป็นสิ่งที่นางพอคิดได้“ท่านแม่” เด็กน้อยก้อนแป้งเอ่ยเรียกมารดาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ‘ก้อนแป้งคู่นี้คือลูกข้า ?’ฟางเหนียงมองก้อนแป้งแฝดตรงหน้าตาไม่พริบ นางลุกขึ้นยืนเดินวนรอบร่างของก้อนแป้งน้อยอย่างฉงนสงสัย ก่อนจะหยิกแก้มอวบอ้วนของก้อนแป้งอย่างใคร่รู้ หวังว่าเรื่องราวที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ จะไม่ใช่แค่ความฝันเท่านั้น เพราะนางเองก็เบื่อที่จะฆ่าสังหารกับซอมบี้ทุกวันแล้วเช่นกัน เนื้อน
นางไม่มีไอเทมที่ทำให้มันเชื่อง แต่เพียงแค่นี้ก็มีชีวิตรอดมาหลายปี นางไม่ชอบโลกนั้นแต่ก็ไม่อยากตายจึงได้ดิ้นรนมาหลายปี จนโชคร้ายที่มาเจอกับราชาซอมบี้เข้า ไม่สิไม่นับว่าโชคร้ายเพราะตอนนี้นางได้รับชีวิตใหม่แล้วจริง ๆ นางหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดีเสียงหัวเราะของนาง ทำให้ก้อนแป้งทั้งสองมาเมี่ยงมองอย่างอยากรู้อยากเห็น สองแฝดสบตากันเมื่อเห็นมารดาหัวเราะอยู่คนเดียวกัน หรือท่านแม่จะป่วยหนักจริง ๆฟางเหนียงเหลือบมองเด็กน้อยนิดหนึ่ง ก่อนจะไล่ให้ทั้งคู่ไปนั่งรอทานข้าว จากนั้นจึงเดินไปยังเตาไฟ สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ว่ามันใช้งานยังไง มันไม่ยากเกินความสามารถหรอก ไม่เช่นนั้นนางจะมีชีวิตในวันสิ้นโลกมาได้ตั้งหลายปีได้อย่างไร นางหยิบวัสดุบางอย่างมาวางพร้อมหินไฟสองก้อนถูกันไปมาจนเกิดประกายไฟ จากนั้นก็เอาเศษไม้เล็ก ๆ มาใส่เมื่อเห็นไฟเริ่มติดเศษไม้แล้ว จึงหยิบท่อนไม้ใหญ่มาวาง ทุกการกระทำคล่องแคล่วราวกับมาหลายครั้งแล้วจากนั้นจึงมองข้าวของในมิติ ซึ่งมีไม่มากนัก มันเหลือแค่ผักที่กลายพันธุ์ที่กินได้เท่านั้น ผักกาดขาวหัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือนาง วันนี้ผัดผักแบบง่าย ๆ ไปก่อนพร้อมทั้งเผามันหวานไปด้ว
“ไม่ใช่ ๆ แม่นางฟาง เอ่อ... คือข้ามีธุระที่อื่นต่อยังไงก็ขอตัวก่อนนะ” ตงห่าวเอ่ยบอกอย่างร้อนรน ท่าทางน่าสงสารและความจริงใจของนาง เขาก็ไม่อยากจะถือสาหรอก เพียงแต่หลายอย่างเขาไม่อาจพูดออกไปได้ เขายังเป็นสุภาพบุรุษจะให้พูดว่าร้ายสตรีได้อย่างไรฟางเหนียงมองส่งร่างสูงโปร่งที่ขับเกวียนม้าไปไกลลิบ แววตาใสซื่อเมื่อครู่กลับมาเย็นชาเช่นเดิม เห็นทีนางต้องสืบความเป็นมาของร่างนี้บ้างแล้ว ดวงตาคู่งามมองถุงเงินแล้วเปิดออกดู ซึ่งมีก้อนเงินรวมแล้วร้อยตำลึงเงิน ซึ่งค่าเงินที่นี่ต่างจากโลกเดิมมาก หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง หากใช้อย่างประหยัด ก็จะอยู่ได้อีกหลายเดือน แต่เมื่อมองสภาพบ้านและที่อยู่อาศัยแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่น่าจะพอ ยังไงนางค่อยหาวิธีอีกทีแต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือนางมีสามี! เกิดมาชาตินี้ราวกับสวรรค์จะชดเชยให้สาวขึ้นคานอย่างนาง ครั้งนี้มีทั้งสามีและยังมีก้อนแป้งคู่นี้แถมมาอีก เหอะ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะซาบซึ้งใจดีหรือไม่ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะก่อนอื่นนางต้องหาเสบียงมาเข้าบ้าน แต่ว่าเมืองอยู่ที่ไหนแล้วไปยังไง และเจ้าเด็กน้อยนี่ฝากไว้กับใครได้ ไม่มีค
เห็นทีต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้จ้างคนในหมู่บ้านมาตัดถางหญ้า และรื้อฟื้นผืนไร่ผืนนาแห่งนี้ มองดูคร่าว ๆ ประมาณสิบสองหมู่ (5 ไร่) ไม่มากมายแต่ก็เลี้ยงครอบครัวได้หนึ่งปีพอดี“กลับบ้านกันเถอะ” ฟางเหนียงเอ่ยชวนเมื่อสำรวจพื้นที่จนพอใจ ด้านหลังไร่นาจะเป็นทางไปภูเขานางมองอย่างสนใจหวังว่าที่นั่นจะมีอะไรดี ๆ แต่วันนี้คงต้องกลับบ้านไปวางแผนชีวิตครอบครัวก่อน ส่วนเรื่องที่จะไปสำรวจบนเขาคงต้องให้นางเรียนรู้ที่นี่เพิ่มขึ้นมาสักนิดเสียก่อนเมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟางเหนียงจึงปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันอยู่หน้าบ้านก่อน จากนั้นจึงไปทางบ้านป้าหวังเพื่อนบ้านที่จะเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ซึ่งนางเป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหยาบ ๆ ราคาถูก “เจ้ามาแล้วหรือ พอดีเลยข้าจะเอามันป่าไปให้พอดี” ฟางเหนียงมองสำรวจอย่างระวัง ก่อนจะส่งยิ้มให้“ขอบคุณป้าหวัง ข้าว่าจะถามว่าพรุ่งนี้เดินทางเวลาใด” “ยามเหม่า เหมือนเดิมนั่นแหละ ว่าแต่ครั้งนี้เราต้องเดินไป เพราะบ้านตระกูลเหอไม่ให้เรายืมรถเกวียนวัวแล้ว” ป้าหวังพูดอย่างขัดใจ แต่ไม่ออกไปก็ไม่ได้เพราะข้าวของหลายอย่างที่ต้องซื้อ อีกอย่างลูก ๆ ของนางก็ไม่ได้กินอะไรดี ๆ มาเป็นเดือนแ
ฟางเหนียงพึมพำแผ่วเบา มองฟักทองที่อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็กและซิงค์ ซึ่งเหมาะกับการทำให้ก้อนแป้งน้อยกลับมาร่างกายแข็งแรงรวมทั้งร่างนี้ด้วย“ตกลงเอาฟักทองแล้วกัน”เมื่อตกลงกับตัวเองได้แล้ว ฟางเหนียงจึงเดินไปหยิบมีดในบ้านหลังเล็ก ภายในมิติสวรรค์ของนาง ซึ่งได้มาจากการเอาผนึกซอมบี้แลกมา นางเอาไปล้างน้ำจนสะอาด เพราะจำไม่ได้ว่าอันไหนใช้แทงซอมบี้ไปบ้างแล้ว แต่น้ำในมิตินางสามารถชำระล้างเชื้อไวรัสพวกนั้นได้เป็นอย่างดี นางปิดบังเรื่องมิติของตัวเองมาโดยตลอด เพื่อความอยู่รอดของตนเองคนที่เปิดเผยจะได้รับความคุ้มครองอย่างดี แต่ว่านั่นหมายถึงอิสรภาพที่เหลือเพียงน้อยนิดได้หายไป และนางยังต้องตามหาบิดากับมารดา ที่อยู่ไกลจากที่ตัวเองอยู่หลายพันกิโลเมตร แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่ไม่อาจประคองชีวิตรอนางได้ และมันมีคนที่ชั่วร้าย มีพลังที่สามารถยึดครองอำนาจของคนที่ตัวเองฆ่าได้ นั่นทำให้ผู้ที่ปลุกพลังมิติได้ล้
ฟางเหรินคนเป็นพี่รีบตอบรับอย่างหนักแน่น นิทานชาวบ้านที่ตาจี้เคยเล่านั้น เคยมีเรื่องเกี่ยวกับผีปีศาจที่จะถูกจับเผาทั้งเป็นอยู่ ดวงตากลมโตมองมารดาอย่างหนักแน่น แม้มารดาตรงหน้าจะเป็นปีศาจ ตนก็จะปกป้องไม่นำพาเรื่องนี้ไปเล่าโดยเด็ดขาด “ข้าก็เช่นกันขอรับ พวกเขาจะไม่มีวันเผาแม่เด็ดขาด” ฟางหรงคนน้องรีบเอ่ยบอก ฟางเหนียงส่งยิ้มให้ทั้งคู่ “เด็กดี เก่งมากครับ หากเรามีที่นี่เราจะไม่อดตาย เราจะสามารถมีบ้าน มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่ เพียงแต่ต้องเป็นความลับของเราสามแม่ลูก” “พวกเราสัญญาขอรับ” ทั้งคู่ตอบพร้อมเพียงกัน ด้วยสีหน้าหนักแน่นเกินกว่าเด็กสี่ขวบ ฟางเหนียงมองตามอย่างวางใจ ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาด นางเชื่อว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะที่ผ่านมาพวกเด็ก ๆ ก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่าง “ดีมาก พรุ่งนี้แม่จะเข้าเมือง แต่ไม่วางใจที่จะปล่อยลูก ๆ ไว้ที่บ้าน แม่ก็เลยจะพาลูกมาอยู่ที่นี่ก่อน” “จริงหรือขอรับ พวกเราจะได้เล่นอยู่ที่นี่หรือขอรับ” ก้อนแป้งทั้งคู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พวกเขามองเห็นน้ำตกที่น่าเล่นนั่น ฟางเหนียงมองตาม ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้ง
“ครั้งหน้ามาฝากไว้บ้านป้าก็ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนหวังเปา”ฟางเหนียงยิ้มรับและกล่าวขอบคุณเสียงเบา“ขอบคุณท่านป้าหวัง”การเดินทางในวันนี้ มีป้าหวังกับป้าจางที่อยู่บ้านหลังถัดไปร่วมเดินทางด้วย ส่วนลุงหวังไม่ได้มาด้วย เพราะต้องไปถางหญ้าที่ไร่ให้นางพร้อมคนงานอีกสิบคน ซึ่งตอนเย็นนางจะกลับมาจ่ายค่าแรงให้ นางจ่ายเป็นรายวันจะได้กระตุ้นพวกเขาไปในตัวด้วย และไม่เกินหนึ่งสัปดาห์พื้นที่ก็น่าจะพร้อมเพาะปลูก นางคำนวณแล้วค่าจ้างเจ็ดวันประมาณสองพันหนึ่งร้อยอีแปะ หรือสองตำลึงเงินกับหนึ่งร้อยอีแปะฟางเหนียงเดินทางพร้อมสำรวจและจดจำเส้นทางเอาไว้ในใจ ใบหน้ามีเหงื่อและรู้สึกเหนื่อยมาก อาจเพราะร่างนี้ไม่เคยทำงานหนักและออกกำลังกายมาก่อน แต่ตลอดระยะทางนางไม่ได้ปริปากบ่นทำให้ป้าหวังกับป้าจางแปลกใจไม่น้อย ทั้งคู่มองนางอย่างเป็นห่วง เอ่ยถามเป็นระยะ จนทำให้นางยิ้มอย่างอ่อนใจ“ใกล้ถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะ”ป้าหวังเอ่ยบอกอีกครั้ง ฟางเหนียงได้แต่ยิ้มแหย่ เพราะนางบอกมาหลายรอบแล้ว แต่เพราะนางก็หวังดีนางจึงตอบรับความหวังดีอย่
“มีขอรับ ทางนี้จะมีชุดละห้าสิบอีแปะไปถึงยี่สิบตำลึงเลยขอรับ”ฟางเหนียงนิ่วหน้า มองผ้าสำเร็จที่ราคาแพงจนขนหน้าแข้งหลุดร่วง นางเลือกดูอย่างละเอียด ก่อนจะซื้อแบบชุดละหนึ่งตำลึงเงินคนละสองชุด รวมเป็นสิบสามตำลึงเงิน ซึ่งยังต้องเลือกซื้อข้าวของใช้อย่างอื่นอีกด้วย“ท่านหลงจู๊มีผ้าห่มขายด้วยหรือไม่”“ทางนี้ ๆ แม่นางเชิญมาชมก่อนขอรับ”ฟางเหนียงเดินตามไปในร้าน ซึ่งเห็นผ้าห่มหลากหลายแบบและหลายราคา และมันก็แพงกว่าชุดที่นางซื้อเสียอีก ผ้าหนานุ่มที่ยัดนุ่นอย่างดีราคาผืนละห้าตำลึงเงิน นางกัดฟันซื้อมาสามผืนด้วย เมื่อจ่ายเงินน้ำตานางแทบไหล ในวันสิ้นโลกเงินตรานั้นไร้ค่าไม่มีความหมายแต่เวลานี้นางยากไร้จนน่าสงสารตัวเอง และคงต้องหาทางหาเงินเพิ่มแล้ว มิน่าร่างเดิมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าและผ้าห่มให้ลูกเลย เพราะมันแพงจนนางจะเป็นลมเมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว นางจึงหอบข้าวของมองหาสถานที่ร้างไร้ผู้คน สายตามองเห็นร้านขายซาลาเปาจึงเดินเข้าไปซื้อมาหกลูก ซึ่งมีไส้หมูราคาสิบอีแปะและไส้ผักและไส้เห็ดหอมราคาเจ็ดอีแปะ จ
“ที่ขายได้ราคาสิบตำลึง เพราะหลงจู๊หลอกขายของปลอมใช่หรือไม่ ปิ่นปักผมตัวนี้คงไม่ใช่หยกแท้และไม่ใช่มุกแท้ หากคนอื่นรู้ว่าร้านเหมยหลันขายของปลอมจะเป็นยังไงนะ”“แม่นางอย่าใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้ อยากไปนอนอยู่ในคุกหรือไง” ชายวัยกลางคนเริ่มไม่พอใจ ดวงตาคู่คมจึงดุดันขึ้น ฟางเหนียงยิ้มรับ“จริงหรือไม่จริง หลงจู๊รู้ดีอยู่แก่ใจดี ถ้าอยากไปร้องทุกข์ข้าก็ยินดี ชาวเมืองจะได้รู้ว่าร้านเหมยหลันขายสินค้าปลอมไร้คุณภาพ นี่ก็ยังมีชื่อร้านติดอยู่เลยนะ”ฟางเหนียงโบกปิ่นปักผมในมือ มองหลงจู๊ยิ้ม ๆ ทว่าดวงตาและจิตสังหารที่ส่งไปให้ทำให้หลงจู๊ตัวสั่นด้วยความกลัว“เอาไปสามสิบตำลึง แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”หลงจู๊โยนถุงเงินให้ซึ่งนางก็รับได้ทันท่วงที ดวงตาคู่งามมองคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นางมองเงินในถุงผ้าที่ไม่มีขาดหรือเกิน แล้วเก็บไว้อย่างดี จึงได้เงยหน้ามองหลงจู๊ที่มีสีหน้าถมึงทึง“ไม่ต้องให้หลงจู๊บอก ข้าก็ไม่มาสถานที่หลอกลวงเช่นนี้หรอก และหวังว่าเจ้าเองก็จะไม่มาวุ่นวายกับข้าตามหลังเช่นกัน”
“มีขอรับ ทางนี้จะมีชุดละห้าสิบอีแปะไปถึงยี่สิบตำลึงเลยขอรับ”ฟางเหนียงนิ่วหน้า มองผ้าสำเร็จที่ราคาแพงจนขนหน้าแข้งหลุดร่วง นางเลือกดูอย่างละเอียด ก่อนจะซื้อแบบชุดละหนึ่งตำลึงเงินคนละสองชุด รวมเป็นสิบสามตำลึงเงิน ซึ่งยังต้องเลือกซื้อข้าวของใช้อย่างอื่นอีกด้วย“ท่านหลงจู๊มีผ้าห่มขายด้วยหรือไม่”“ทางนี้ ๆ แม่นางเชิญมาชมก่อนขอรับ”ฟางเหนียงเดินตามไปในร้าน ซึ่งเห็นผ้าห่มหลากหลายแบบและหลายราคา และมันก็แพงกว่าชุดที่นางซื้อเสียอีก ผ้าหนานุ่มที่ยัดนุ่นอย่างดีราคาผืนละห้าตำลึงเงิน นางกัดฟันซื้อมาสามผืนด้วย เมื่อจ่ายเงินน้ำตานางแทบไหล ในวันสิ้นโลกเงินตรานั้นไร้ค่าไม่มีความหมายแต่เวลานี้นางยากไร้จนน่าสงสารตัวเอง และคงต้องหาทางหาเงินเพิ่มแล้ว มิน่าร่างเดิมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าและผ้าห่มให้ลูกเลย เพราะมันแพงจนนางจะเป็นลมเมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว นางจึงหอบข้าวของมองหาสถานที่ร้างไร้ผู้คน สายตามองเห็นร้านขายซาลาเปาจึงเดินเข้าไปซื้อมาหกลูก ซึ่งมีไส้หมูราคาสิบอีแปะและไส้ผักและไส้เห็ดหอมราคาเจ็ดอีแปะ จ
“ครั้งหน้ามาฝากไว้บ้านป้าก็ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนหวังเปา”ฟางเหนียงยิ้มรับและกล่าวขอบคุณเสียงเบา“ขอบคุณท่านป้าหวัง”การเดินทางในวันนี้ มีป้าหวังกับป้าจางที่อยู่บ้านหลังถัดไปร่วมเดินทางด้วย ส่วนลุงหวังไม่ได้มาด้วย เพราะต้องไปถางหญ้าที่ไร่ให้นางพร้อมคนงานอีกสิบคน ซึ่งตอนเย็นนางจะกลับมาจ่ายค่าแรงให้ นางจ่ายเป็นรายวันจะได้กระตุ้นพวกเขาไปในตัวด้วย และไม่เกินหนึ่งสัปดาห์พื้นที่ก็น่าจะพร้อมเพาะปลูก นางคำนวณแล้วค่าจ้างเจ็ดวันประมาณสองพันหนึ่งร้อยอีแปะ หรือสองตำลึงเงินกับหนึ่งร้อยอีแปะฟางเหนียงเดินทางพร้อมสำรวจและจดจำเส้นทางเอาไว้ในใจ ใบหน้ามีเหงื่อและรู้สึกเหนื่อยมาก อาจเพราะร่างนี้ไม่เคยทำงานหนักและออกกำลังกายมาก่อน แต่ตลอดระยะทางนางไม่ได้ปริปากบ่นทำให้ป้าหวังกับป้าจางแปลกใจไม่น้อย ทั้งคู่มองนางอย่างเป็นห่วง เอ่ยถามเป็นระยะ จนทำให้นางยิ้มอย่างอ่อนใจ“ใกล้ถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะ”ป้าหวังเอ่ยบอกอีกครั้ง ฟางเหนียงได้แต่ยิ้มแหย่ เพราะนางบอกมาหลายรอบแล้ว แต่เพราะนางก็หวังดีนางจึงตอบรับความหวังดีอย่
ฟางเหรินคนเป็นพี่รีบตอบรับอย่างหนักแน่น นิทานชาวบ้านที่ตาจี้เคยเล่านั้น เคยมีเรื่องเกี่ยวกับผีปีศาจที่จะถูกจับเผาทั้งเป็นอยู่ ดวงตากลมโตมองมารดาอย่างหนักแน่น แม้มารดาตรงหน้าจะเป็นปีศาจ ตนก็จะปกป้องไม่นำพาเรื่องนี้ไปเล่าโดยเด็ดขาด “ข้าก็เช่นกันขอรับ พวกเขาจะไม่มีวันเผาแม่เด็ดขาด” ฟางหรงคนน้องรีบเอ่ยบอก ฟางเหนียงส่งยิ้มให้ทั้งคู่ “เด็กดี เก่งมากครับ หากเรามีที่นี่เราจะไม่อดตาย เราจะสามารถมีบ้าน มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่ เพียงแต่ต้องเป็นความลับของเราสามแม่ลูก” “พวกเราสัญญาขอรับ” ทั้งคู่ตอบพร้อมเพียงกัน ด้วยสีหน้าหนักแน่นเกินกว่าเด็กสี่ขวบ ฟางเหนียงมองตามอย่างวางใจ ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาด นางเชื่อว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะที่ผ่านมาพวกเด็ก ๆ ก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่าง “ดีมาก พรุ่งนี้แม่จะเข้าเมือง แต่ไม่วางใจที่จะปล่อยลูก ๆ ไว้ที่บ้าน แม่ก็เลยจะพาลูกมาอยู่ที่นี่ก่อน” “จริงหรือขอรับ พวกเราจะได้เล่นอยู่ที่นี่หรือขอรับ” ก้อนแป้งทั้งคู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พวกเขามองเห็นน้ำตกที่น่าเล่นนั่น ฟางเหนียงมองตาม ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้ง
ฟางเหนียงพึมพำแผ่วเบา มองฟักทองที่อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็กและซิงค์ ซึ่งเหมาะกับการทำให้ก้อนแป้งน้อยกลับมาร่างกายแข็งแรงรวมทั้งร่างนี้ด้วย“ตกลงเอาฟักทองแล้วกัน”เมื่อตกลงกับตัวเองได้แล้ว ฟางเหนียงจึงเดินไปหยิบมีดในบ้านหลังเล็ก ภายในมิติสวรรค์ของนาง ซึ่งได้มาจากการเอาผนึกซอมบี้แลกมา นางเอาไปล้างน้ำจนสะอาด เพราะจำไม่ได้ว่าอันไหนใช้แทงซอมบี้ไปบ้างแล้ว แต่น้ำในมิตินางสามารถชำระล้างเชื้อไวรัสพวกนั้นได้เป็นอย่างดี นางปิดบังเรื่องมิติของตัวเองมาโดยตลอด เพื่อความอยู่รอดของตนเองคนที่เปิดเผยจะได้รับความคุ้มครองอย่างดี แต่ว่านั่นหมายถึงอิสรภาพที่เหลือเพียงน้อยนิดได้หายไป และนางยังต้องตามหาบิดากับมารดา ที่อยู่ไกลจากที่ตัวเองอยู่หลายพันกิโลเมตร แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่ไม่อาจประคองชีวิตรอนางได้ และมันมีคนที่ชั่วร้าย มีพลังที่สามารถยึดครองอำนาจของคนที่ตัวเองฆ่าได้ นั่นทำให้ผู้ที่ปลุกพลังมิติได้ล้
เห็นทีต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้จ้างคนในหมู่บ้านมาตัดถางหญ้า และรื้อฟื้นผืนไร่ผืนนาแห่งนี้ มองดูคร่าว ๆ ประมาณสิบสองหมู่ (5 ไร่) ไม่มากมายแต่ก็เลี้ยงครอบครัวได้หนึ่งปีพอดี“กลับบ้านกันเถอะ” ฟางเหนียงเอ่ยชวนเมื่อสำรวจพื้นที่จนพอใจ ด้านหลังไร่นาจะเป็นทางไปภูเขานางมองอย่างสนใจหวังว่าที่นั่นจะมีอะไรดี ๆ แต่วันนี้คงต้องกลับบ้านไปวางแผนชีวิตครอบครัวก่อน ส่วนเรื่องที่จะไปสำรวจบนเขาคงต้องให้นางเรียนรู้ที่นี่เพิ่มขึ้นมาสักนิดเสียก่อนเมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟางเหนียงจึงปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันอยู่หน้าบ้านก่อน จากนั้นจึงไปทางบ้านป้าหวังเพื่อนบ้านที่จะเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ซึ่งนางเป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหยาบ ๆ ราคาถูก “เจ้ามาแล้วหรือ พอดีเลยข้าจะเอามันป่าไปให้พอดี” ฟางเหนียงมองสำรวจอย่างระวัง ก่อนจะส่งยิ้มให้“ขอบคุณป้าหวัง ข้าว่าจะถามว่าพรุ่งนี้เดินทางเวลาใด” “ยามเหม่า เหมือนเดิมนั่นแหละ ว่าแต่ครั้งนี้เราต้องเดินไป เพราะบ้านตระกูลเหอไม่ให้เรายืมรถเกวียนวัวแล้ว” ป้าหวังพูดอย่างขัดใจ แต่ไม่ออกไปก็ไม่ได้เพราะข้าวของหลายอย่างที่ต้องซื้อ อีกอย่างลูก ๆ ของนางก็ไม่ได้กินอะไรดี ๆ มาเป็นเดือนแ
“ไม่ใช่ ๆ แม่นางฟาง เอ่อ... คือข้ามีธุระที่อื่นต่อยังไงก็ขอตัวก่อนนะ” ตงห่าวเอ่ยบอกอย่างร้อนรน ท่าทางน่าสงสารและความจริงใจของนาง เขาก็ไม่อยากจะถือสาหรอก เพียงแต่หลายอย่างเขาไม่อาจพูดออกไปได้ เขายังเป็นสุภาพบุรุษจะให้พูดว่าร้ายสตรีได้อย่างไรฟางเหนียงมองส่งร่างสูงโปร่งที่ขับเกวียนม้าไปไกลลิบ แววตาใสซื่อเมื่อครู่กลับมาเย็นชาเช่นเดิม เห็นทีนางต้องสืบความเป็นมาของร่างนี้บ้างแล้ว ดวงตาคู่งามมองถุงเงินแล้วเปิดออกดู ซึ่งมีก้อนเงินรวมแล้วร้อยตำลึงเงิน ซึ่งค่าเงินที่นี่ต่างจากโลกเดิมมาก หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งตำลึงทอง หากใช้อย่างประหยัด ก็จะอยู่ได้อีกหลายเดือน แต่เมื่อมองสภาพบ้านและที่อยู่อาศัยแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่น่าจะพอ ยังไงนางค่อยหาวิธีอีกทีแต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือนางมีสามี! เกิดมาชาตินี้ราวกับสวรรค์จะชดเชยให้สาวขึ้นคานอย่างนาง ครั้งนี้มีทั้งสามีและยังมีก้อนแป้งคู่นี้แถมมาอีก เหอะ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะซาบซึ้งใจดีหรือไม่ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะก่อนอื่นนางต้องหาเสบียงมาเข้าบ้าน แต่ว่าเมืองอยู่ที่ไหนแล้วไปยังไง และเจ้าเด็กน้อยนี่ฝากไว้กับใครได้ ไม่มีค
นางไม่มีไอเทมที่ทำให้มันเชื่อง แต่เพียงแค่นี้ก็มีชีวิตรอดมาหลายปี นางไม่ชอบโลกนั้นแต่ก็ไม่อยากตายจึงได้ดิ้นรนมาหลายปี จนโชคร้ายที่มาเจอกับราชาซอมบี้เข้า ไม่สิไม่นับว่าโชคร้ายเพราะตอนนี้นางได้รับชีวิตใหม่แล้วจริง ๆ นางหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดีเสียงหัวเราะของนาง ทำให้ก้อนแป้งทั้งสองมาเมี่ยงมองอย่างอยากรู้อยากเห็น สองแฝดสบตากันเมื่อเห็นมารดาหัวเราะอยู่คนเดียวกัน หรือท่านแม่จะป่วยหนักจริง ๆฟางเหนียงเหลือบมองเด็กน้อยนิดหนึ่ง ก่อนจะไล่ให้ทั้งคู่ไปนั่งรอทานข้าว จากนั้นจึงเดินไปยังเตาไฟ สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ว่ามันใช้งานยังไง มันไม่ยากเกินความสามารถหรอก ไม่เช่นนั้นนางจะมีชีวิตในวันสิ้นโลกมาได้ตั้งหลายปีได้อย่างไร นางหยิบวัสดุบางอย่างมาวางพร้อมหินไฟสองก้อนถูกันไปมาจนเกิดประกายไฟ จากนั้นก็เอาเศษไม้เล็ก ๆ มาใส่เมื่อเห็นไฟเริ่มติดเศษไม้แล้ว จึงหยิบท่อนไม้ใหญ่มาวาง ทุกการกระทำคล่องแคล่วราวกับมาหลายครั้งแล้วจากนั้นจึงมองข้าวของในมิติ ซึ่งมีไม่มากนัก มันเหลือแค่ผักที่กลายพันธุ์ที่กินได้เท่านั้น ผักกาดขาวหัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือนาง วันนี้ผัดผักแบบง่าย ๆ ไปก่อนพร้อมทั้งเผามันหวานไปด้ว
“ท่านแม่ตื่น ๆ พวกข้าหิวแล้ว”เสียงร้องเรียกพร้อมร่างที่ถูกเขย่าทำให้ฟางเหนียงลืมตาขึ้น ทว่าดวงตาของนางมีแต่กลิ่นไอสังหาร แม้แต่เด็กน้อยที่ไร้เดียงสายังถอยหลังอย่างหวาดกลัว ดวงตาคู่งามมองก้อนแป้งน้อยอย่างฉงนสงสัย ในยุคที่สิ้นหวังเช่นนี้ไม่ควรมีเด็กน้อยในวัยนี้ นางพยายามลุกขึ้นนั่งมองสถานที่แห่งนี้อย่างไม่เข้าใจ แม้โลกจะใกล้ล่มสลายแต่ไม่ควรทรุดโทรมเช่นนี้ ฟางเหนียงหลับตาแผ่สัมผัสไปรอบรัศมีรอบตัวหนึ่งกิโลเมตร ก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เพราะเวลานี้นางไม่อาจสัมผัสเหล่าซอมบี้ได้เลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ราวกับไม่ใช่โลกที่ใกล้ล่มสลาย แต่เมื่อนึกไปถึงอดีตเวลานี้นางควรตายไปแล้ว เกิดใหม่ ? นั่นเป็นสิ่งที่นางพอคิดได้“ท่านแม่” เด็กน้อยก้อนแป้งเอ่ยเรียกมารดาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ‘ก้อนแป้งคู่นี้คือลูกข้า ?’ฟางเหนียงมองก้อนแป้งแฝดตรงหน้าตาไม่พริบ นางลุกขึ้นยืนเดินวนรอบร่างของก้อนแป้งน้อยอย่างฉงนสงสัย ก่อนจะหยิกแก้มอวบอ้วนของก้อนแป้งอย่างใคร่รู้ หวังว่าเรื่องราวที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ จะไม่ใช่แค่ความฝันเท่านั้น เพราะนางเองก็เบื่อที่จะฆ่าสังหารกับซอมบี้ทุกวันแล้วเช่นกัน เนื้อน