“ข้าพอเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
“มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้ เดี๋ยวข้าต้องกลับก่อน เจ้าก็ดูแลตัวเองกับเจ้าก้อนแป้งดี ๆ แล้วกัน หากเจ้าไม่โกรธพี่สาวเจ้าก็กลับบ้านบ้างก็ได้”ซูเม่ยเอ่ยบอกและมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย เมื่อพูดถึงลูกสาวอีกคนที่ทะเลาะกันเพราะบุรุษคนเดียว และตอนนี้ก็มาเป็นลูกเขยของนางแล้ว แต่โชคดีตรงที่ฮุ่ยหมิงไม่ใช่บุตรชายคนโตของบ้าน ทำให้ไม่ได้โดนเกณฑ์ทหารไปด้วย แต่นั่นยิ่งทำให้ฟางเหนียงบุตรสาวคนเล็กของนางอิจฉาและโกรธแค้นผู้เป็นพี่สาว“เจ้าค่ะท่านแม่” ฟางเหนียงตอบรับ แล้วส่งมารดากลับหมู่บ้านเย่วซี ซึ่งห่างจากหมู่บ้านนี้สี่ลี้ใช้เวลาเดินทางสองเค่อ สำหรับคนที่เดินทางจนคุ้นเคยจึงไม่ไกลมากนัก ฟางเหนียงมองฟ้าเวลานี้จะเข้ายามอู่ อยู่แล้ว จะขึ้นเขาก็คงไม่ทันได้สำรวจอะไร นางจึงตัดสินใจไปดูแค่ผืนไร่ผืนนาที่กำลังถูกบุกเบิกเท่านั้น “เด็ก ๆ ไปที่นากันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยขึ้นเขา” ก้อนแป้งน้อยทั้งคู่ต่างลุกขึ้นวิ่งมาหานาง จากนั้นก็แบกตะกร้าสานใบเล็กไว้บนหลังคนละใบ ฟางเหนียงมื้อกลางวันนี้ฟางเหนียงผ่าแตงโมให้เด็ก ๆ กินด้วย ปาก เล็ก ๆ เปื้อนสีแดงของน้ำแตงโม ทั้งคู่กินไปและพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น เพราะไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน นางสอนให้เด็ก ๆ เอาเมล็ดแตงโมออก แม้บางคนจะกินเมล็ดได้แต่ยุคสมัยนี้หมอนั้นไม่ได้หาง่ายนัก นางกลัวว่าทั้งคู่จะเป็นไส้ติ่งเพราะฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด นางเป็นเพียงทหารหญิงไม่ใช่แพทย์ทหารทำได้แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น แต่ว่าให้เด็ก ๆ เก็บเมล็ดแตงโมเอาไว้นางจะตากแดดแล้วนำมาคั่วให้ เด็ก ๆ ทานเล่นได้เมื่อเจ้าก้อนแป้งน้อยกินจนอิ่มหนำสำราญ ก็พากันนอนเล่นใต้ต้นไม้ รอปลามาติดเบ็ด ซึ่งฟางเหนียงส่งพลังจิตแผ่ออกไปสำรวจเป็นระยะ พลังจิตของนางกล้าแกร่ง แม้กระทั่งเกิดใหม่ก็ยังตามติดนางมาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของนาง เพียงไม่นานนางก็สามารถจับปลาเฉาฮื้อได้หลายตัว นางนำถังไม้ออกมาใส่ปลาเหล่านั้นเมื่อเห็นว่าได้เยอะพอควรแล้ว จึงเก็บปลาเข้าไปในมิติ บางส่วนนางก็โยนลงไปในบ่อน้ำตกภายในมิติด้วย เผื่อวันข้างหน้านางจะได้ไม่ต้องออกมาหาปลา ยิ่งจะเข้าฤดูหนาวแล้วยิ่งยากลำบาก“เย็นนี้ท่
ฟางเหนียงก่อไฟอีกเตาและเริ่มทำปลานึ่งทันที นางใส่ปลาไว้ภาชนะที่เตรียมไว้ก่อนจะคนผสมซีอิ๊วขาว น้ำมันเล็กน้อย เหล้าจีน น้ำตาลทรายแดง และน้ำร้อนเข้าด้วยกัน ตักราดลงบนตัวปลา วางเห็ดหอม ขิงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงด้านบนตัวปลา ให้ทั่ว แต่ส่วนนี้นางใช้ไปนิดเดียวกลัวว่าเด็กจะกินเผ็ดไม่ได้นางจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มพริกลงไปในครั้งหน้าแต่ตอนนี้ต้องให้กระเพาะของเด็ก ๆ คุ้นเคยกับรสชาติเช่นนี้ก่อน เมื่อโรยทุกอย่างเสร็จแล้วจึงนำใส่ลงในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นึ่งใช้ไฟแรงมากขึ้นนางเพิ่มฟืนลงอีก นานประมาณสองเค่อก็มีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้านหลังเล็ก ๆ จากนั้นจึงลงมือทำต้มซุปปลาต่อซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนักฟางเหนียงใช้เวลาทำอาหารเพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง นางยกอาหารมาวางไว้ตรงที่นั่งกินข้าว เด็ก ๆ เองก็ช่วยยกชามและถ้วยเล็ก ฟางเหนียงตักข้าวให้เจ้าก้อนแป้งที่ยกยิ้มหน้าบานมองอาหารตรงหน้าจนน้ำลายแทบหกนางตักน้ำซุปปลาใส่ถ้วยเล็กให้คนละใบ เด็ก ๆ นั่งยกน้ำซุปปลาในถ้วยเล็ก ๆ ของตัวเองจนอิ่ม เวลานี้พวกนางยังพากันนั่งบนพื้นกินข้าว คงต้องคิดหาทางหาเงินเพิ่ม และส
วันนั้นทีมของนางได้รับภารกิจให้ไปนำเครื่องมือทดลองในเมืองบี มันเป็นภารกิจระดับเอส ซึ่งน้อยคนนักที่จะรับงานนี้ แต่ว่ามันเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ชาติหากพวกเขาทำงานนี้สำเร็จ จะสามารถผลิตยาต้านไวรัสได้และโลกจะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง แม้จะใช้เวลาอีกหลายร้อยปีที่จะให้คืนสภาพเช่นเดิมแต่พวกเขาก็ยังคงมีความหวัง แม้มันจะเหลือน้อยมากก็ตาม ทีมของนางมีร่วมยี่สิบคนแต่ละคนระดับเอกันทั้งนั้นและไม่มีใครที่ไม่มีพลังพิเศษ จะมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่มีเพียงพลังจิตสัมผัสถึงซอมบี้ได้ในระยะหนึ่งกิโลเมตร แต่วันนั้นนางยังไม่ทันสัมผัสเห็นราชาซอมบี้รู้สึกมีเงาวูบผ่าน เพียงชั่วพริบตาหัวใจนางก็ถูกกวักออกมาแล้วน่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสบอกเพื่อนร่วมทีม หวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดกลับไป แต่หากไม่สามารถกลับไปได้ การตายเช่นนางมันก็ไม่ทันทรมานเท่าไหร่นัก นางยังสามารถมองเห็นหัวใจของตนเองเต้นตุ๊บ ๆ อยู่ในมือของราชาซอมบี้อยู่เลยแม้จะมองเห็น แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว จากนั้นนางก็ไม่รับรู้อะไรอีกและมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ นับว่ายังมีความโชคดีในความโชคร้าย
มันเป็นเรื่องราวตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งร่างเดิมมาเสียชีวิต เพราะป่วยหนักอย่างที่นางสันนิษฐานจริง ๆ จากนั้นนางก็มาเข้าร่างนี้ เรื่องราวตรงหน้านี้เป็นความทรงจำของร่างเดิม แต่ที่นางหยุดมองหลายครั้งคือฟางเหยียนอวี้คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามีของร่างนี้ หน้าตาของฟางเหยียนอวี้ หล่อเหลายิ่งดูยิ่งรู้สึกสบายตา ใบหน้าคล้ายบุรุษเจ้าสำราญ แค่อาภรณ์เหมือนคุณชายตกยากเท่านั้น แต่นิสัยจริงจังและมีความรับผิดชอบสูง ต่างจากคนที่ชื่อฮุ่ยหมิงที่หล่อคมเข้ม แต่กลับไปชอบซูฮวาผู้เป็นพี่สาวทว่าในสายตานาง ฟางเหยียนวอี้หล่อเหลากว่ามากนัก หรือเป็นนางลำเอียงเพราะหน้าตาของฟางเหยียนอวี้ตรงกับสเปกมากฟางเหนียงมองดูภาพเหล่านั้นจนจบ แต่นางยังตกอยู่ในความมืดที่เงียบสนิท ทันใดนั้นแสงสว่างปรากฏขึ้นจนนางต้องหลับตา ก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้งนางมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบงัน ใบหน้างดงามและร่างบอบบางตรงหน้าคือร่างที่เริ่มจะคุ้นเคย ซึ่งก็คือฟางเหยียนคนในโลกนี่นั่นเอง ใบหน้าของนางขาวซีดดวงตาเศร้าหมองและไม่มีความสุข“เจ้ามาทวงร่างคืนหรือ”ฟางเหนียงเอ่ยถามอย่างใ
จากที่นางเห็น ร่างเดิมชี้นิ้วสั่งเจ้าก้อนแป้งน้อยน่ารักให้ไปซักผ้าเอง แม้เด็ก ๆ จะซักไม่สะอาดก็ไม่สนใจ นั่นทำให้ชาวบ้านสงสารและมาช่วยซักผ้าให้ เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่นึกถึง แม้เด็กบ้านอื่นจะช่วยงานบ้านแต่พวกเขาก็โตจนเจ็ดแปดขวบแล้ว แต่ไม่เป็นไรนางอยู่ตรงนี้ต่อไปนี้จะเลี้ยงดูในแบบของนาง นางไม่ได้ปล่อยให้เขาเหมือนไข่ในหินแต่นางจะสอนและให้ทำในสิ่งที่เหมาะสมและสิ่งที่เจ้าก้อนแป้งชอบเท่านั้นกลิ่นหอมหัวปลาต้มเผือกอบอวลไปทั่วห้องเล็ก ๆ ทำให้ ฟางเหนียงเลิกคิดในสิ่งที่ผ่านมาแล้วเพราะอย่างไรมันก็แก้ไขไม่ได้ แต่นางสามารถทำได้ในอนาคตวันนี้นางทำหัวปลาต้มเผือกและปลาทอดกรอบแบบง่าย ๆ นางยังไม่ทำอาหารรสจัดมากนัก เพราะเจ้าก้อนแป้งยังเล็กแต่จะค่อย ๆ ปรับรสชาติให้มีรสเผ็ดมากขึ้นพริกในยุคนี้มีราคาแพงเพราะหายาก แต่สำหรับนางมีอยู่ในมิติอยู่แล้ว จึงสามารถนำมาใช้ได้เลยและอย่างสุดท้ายคือผัดผักอย่างง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ขาดสารอาหารพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ นางใช้เวลาทำไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็ก ๆ ทักทายมาจากด้านหลังนาง
ก่อนออกจากบ้าน ฟางเหนียงยังสวมหมวกใบเก่าไว้ให้ทั้งคู่แล้วเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางก็ทักทายคนในหมู่บ้านไปหลายคน จนกระทั่งขึ้นเขาเมื่อไม่มีคนจึงได้ให้เด็ก ๆ ไปเล่นกันในมิติสวรรค์ ก่อนจะให้เด็ก ๆ เล่นรูบิคที่นางเคยโยนใส่มิติไว้นางชอบเอามาเล่นแก้เบื่อ มันมีเพียงลูกเดียวเด็ก ๆ จึงแบ่งกันเล่น แต่จากที่นางสังเกตฟางเหรินแฝดคนพี่จะจิตใจสงบเยือกเย็นมากกว่า ขณะที่คนน้องไม่ชอบอยู่กับสิ่งใดนิ่ง ๆฟางเหนียงจึงตัดไม้ต้นเล็ก ๆ มาเหลาดาบไม้ให้เด็กน้อยสองอันไว้เล่นกัน และบอกให้ระวังอย่าให้โดนหน้ากันเมื่อเห็นป่าไผ่จึงได้ตัดมาสร้างเก้าห่วงปริศนาให้ทั้งคู่อีกอัน โดยใช้เชือกป่านในมิติสวรรค์มาร้อยให้ เมื่อรู้สึกวางใจแล้วจึงเริ่มสำรวจพื้นที่โดยรอบ บนเขาจะมีเพียงเส้นทางเล็ก ๆ ที่คนในหมู่บ้านเดินขึ้นเขามาหาของป่าหรือไม่ก็ตัดฟืนเท่านั้นฟางเหนียงมองป่ารอบนอก ที่คนในหมู่บ้านขึ้นมาบ่อย ๆ จนเป็นเส้นทางเล็ก ในมือยังมีมีดยาวอยู่อันหนึ่ง นางแผ่จิตสัมผัสออกไปเพื่อค้นสิ่งที่เกิดอันตราย ร่างนี้ยังอ่อนแอไม่อาจต่อสู้กับสัตว์ป่าที่ดุร้ายได้ และยังต้องระวังงูพิษ
ฟางเหนียงนำน้ำในมิติมาดื่ม และปรับลมหายใจของตัวเองให้กลับมาปกติ ก่อนจะนำงูสองตัวเข้าไปในมิติสวรรค์ อย่างน้อยมันก็เป็นอาหารได้ แต่หากเป็นชาวบ้านธรรมดามาเจอเข้าคงตายตกอย่างง่ายดาย มิน่าเส้นทางนี้ถึงไม่เคยมีใครเข้ามาก่อน แต่มันกลับทำให้นางตื่นเต้น เพราะเส้นทางที่ไม่มีผู้คนย่อมมีสมุนไพรหายาก ขอเพียงนางหาเจอเท่านั้น เงินสร้างบ้านใหม่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือแล้วแบบนี้นางจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร เมื่อพักเหนื่อยและเก็บซากงูไปแล้ว ฟางเหนียงจึงเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมคบเพลิงอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วเพราะวันสิ้นโลกไม่อาจใช้ไฟฉายได้จึงต้องมีคบเพลิงให้ความสว่างทดแทน แต่บางค่ายก็ยังมีพลังงานของแสงอาทิตย์แต่ก็มีส่วนน้อยจริง ๆ ยิ่งผ่านวันสิ้นโลกไปหลายปี ข้าวของในยุคก่อนวันสิ้นโลกจึงเริ่มหมดไป อย่างถ่านไฟฉายก็หาไม่ได้อีกแล้ว หลังจากงูตัวเมียตาย ที่นี่ก็ไม่เจอสัตว์ดุร้ายอะไรอีก ทว่าเมื่อส่องไฟเห็นสิ่งของหลายอย่างยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ผนังถ้ำกลับมีไข่มุกเรืองแสงที่หายากในยุคสมัยนี้ ทำให้ภายในถ้ำมีแสงสว่างและอบอุ่นอย่างที่คาดไม่ถึง ใจกลางถ้ำมีไข่สามใบที่ลูกใหญ่เท่าไข่ห่าน ซึ่
สวบ!เสียงเดินเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นดิน แม้จะแผ่วเบาแต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน ฟางเหนียงกระชับดาบในมือแน่นขึ้น แม้จะแผ่สัมผัสออกไปแต่กลับไม่ว่องไวเช่นแต่ก่อน เพียงพริบตาก็มีศัตรูหมายขย้ำนางแล้ว ร่างกายบอบบางเกร็งขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสัตว์ป่าดุร้ายอีกตัว มันคงได้กลิ่นคาวเลือดจึงตามกลิ่นมาและเจอร่องรอยของงูที่ถูกนางฆ่าเอาไว้ที่หน้าถ้ำ ร่างเสือโคร่งตัวใหญ่ตั้งท่ากระโจนมาทางนาง ดวงตาดุร้ายมันมองนางเป็นเหยื่อ!ฟิ้วววฉัวะ!!!ตุ๊บ!!!ร่างใหญ่ยาวของมันพุ่งมาด้วยความเร็วไม่สมกับน้ำหนักตัว ฟางเหนียงกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว มือขวาฟาดดาบใส่ร่างใหญ่อย่างคล่องแคล่ว นางไม่ได้ประมาท ขณะเดียวกันนางกลับไม่ได้หวาดกลัวเพราะหากนางสู้ไม่ได้ก็เพียงหนีเข้ามิตินั่นทำให้นางกล้าที่จะต่อสู้กับมัน แต่เมื่ออาหารมาส่งถึงมือนางแล้วนางจะไม่ยินดีต้อนรับได้อย่างไรร่างใหญ่ของมันเสียหลักหน้าพุ่งลงดินจนเกิดเสียงดัง ต้นไม้เล็ก ๆ หักโค่นลงตามแรงกระแทกของร่างใหญ่โต แต่มันยังลุกขึ้นยืนหันกลับมามองเหยื่ออย่างโกรธแค้น ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่าง เล็ก ๆ นั่นอย่างว่องไว
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ