แต่หลังจากที่ออกกำลังยามเช้าเสร็จพวกเขาก็ไปให้อาหารสัตว์เลี้ยงอย่างรู้หน้าที่ของตนเอง
ฟางเหรินจะไปให้อาหารหมูส่วนฟางหรงจะไปให้อาหารไก่และม้าจากนั้นก็พากันไปรดน้ำผัก ซึ่งหลายเดือนมานี้พวกเขาพอใจในสภาพชีวิตเช่นนี้ พวกเขาได้ช่วยมารดาทำงานและยังมีอาหารอร่อยกินทุกมื้อฟางเหนียงกลับเข้าไปในห้องครัวก่อนจะเริ่มลงมือทำขนมเค้กแต่เช้า เพราะเมื่อคืนนางไม่ได้ทดลองทำแต่วันนี้จะพยายามทำให้ดีที่สุด นางทำแค่ก้อนเล็ก ๆ เท่านั้น แม้จะเรียกว่าขนมเค้กแต่กลับไม่มีครีมจึงเป็นได้แค่เค้กไข่เท่านั้น ฟางเหนียงเตรียมไข่แดง นมน้ำมันพืช แป้ง เกลือ ฯลฯ หลังจากเตรียมเสร็จนางก็เร่งมือทำทันทีเพราะเช้านี้มีอะไรหลายอย่างที่นางต้องทำ วันนี้วันเกิด เด็ก ๆ คงไว้พรุ่งนี้ที่จะพาฟางหยียนอวี้ไปร้านเซี่ยโหย่วดูอาการอีกที หากรักษาไม่ได้จริง ๆ นางคงต้องเอาน้ำยาวิเศษภายในมิติมาใช้แล้ว แต่มันก็เพียงแค่รุ่นทดลองของญาติผู้พี่เท่านั้นไม่รู้ว่าจะสามารถใช้กับพิการอัมพาตได้หรือไม่ แต่หากไม่มีความหวังจากการรักษาก็น่าจะทดสอบดูสักครั้ง แม้จะรักษาไม่หายก็ไม่เป็นไร นางสามารถเลี“พวกเจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดรอแม่ สักครู่เดี๋ยวแม่ก็ทำเสร็จแล้ว” ฟางเหนียงเอ่ยบอกเพราะตอนนี้เหลือแค่อาหารสุกเท่านั้น ยิ่งมีผู้ช่วยเติมไฟให้ยิ่งทำให้งานของนางน้อยลงและทำได้เร็วขึ้น“ขอรับ/ขอรับ”ทั้งคู่ตอบรับก่อนจะหันไปมองบิดาอีกครั้งก่อนจะพากันไปอาบน้ำตามคำสั่งมารดา ทุกอย่างตรงหน้าฟางเหยียนอวี้มองตามอย่างครุ่นคิด บุตรชายเขาเหมือนจะมีชีวิตที่ดี รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้างดงามแม้จะมีรอยแผลเป็นใต้ตาก็ไม่อาจบดบังความหน้าตาดีได้เลยเพราะฟางเหนียงมองตามจนแทบแสบตา“ท่านพี่ยิ้มแล้วสง่างามมากเจ้าค่ะ!”ฟางเหนียงเอ่ยชมอย่างไม่หวงแหนคำพูด เมื่อนางพูดรอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเหยียนอวี้ยกยิ่งกดลึกยิ่งขึ้น“เจ้าชอบก็ดีแล้ว”ฟางเหนียงหน้าแดงระเรื่อ นางโดนเกี้ยวแต่เช้าแม้ยังไม่ชินแต่ก็ทำให้รู้สึกดีมากแม้จะเขินอายแต่นางก็ไม่ได้เสียอาการ นางอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะให้อีกคนดับไฟและเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะ แม้จะเหลือมือข้างเดียวที่ใช้งานได้แต่ฟางเหยียนอวี้ก็ช่วยงานอย่างเต็มที่ฟางเหน
เบื้องหน้าของเขานี้เหมือนกับการฝึกทหารไม่มีผิด มีทั้งกระสอบใช้เตะต่อย มีไม้กระโดดและอีกหลายอย่างที่เขามองตามจนอึ้ง แต่ก็ยังมีสิ่งที่เขาตกใจมากกว่าเดิมคือบ้านเขามีทั้งไก่ ทั้งหมูและยังมีเกวียนม้าที่ทั้งชีวิตนี้เขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีเงินซื้อแต่สิ่งที่เขาเห็นเหมือนกับอยู่ในวิมานเล็ก ๆ แต่กลับอบอุ่น หัวใจเขาพลิกผันไปหลายจังหวะหลายสิ่งหลายอย่างทำให้เขาตกใจ เขาอยากจะถามว่าโสมแดงแค่ต้นเดียวจะทำให้ชีวิตเขาพลิกผันได้จริง ๆ หรือ แต่เมื่อลุงหวังยืนยันเรื่องนี้เขาก็อดที่จะดีใจไม่ได้ ที่ครอบครัวเขาได้โชคลาภก้อนใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้ว่านางมีเก็บเท่าไหร่แต่ที่ตัวเขามีเพียงแค่หมื่นตำลึงทองเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินค่าปลดประจำการแต่เขารู้ว่าเงินส่วนนี้ท่านรองแม่ทัพยัดเยียดมาให้ ในเมื่อเขาไม่รับแสนตำลึงทองแล้วเขาจึงรับส่วนนี้มาแทนเมื่อคิดว่ายังมีเงินกับตัวและยังไม่ได้ให้ภรรยาจึงเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้งซึ่งกำลังเห็นนางกำลังนั่งเย็บผ้าให้อยู่ผ้าสีครามเนื้อผ้าค่อนข้างดี ทำให้หัวใจเขาอุ่นวาบ เขาวางตั๋วเงินที่หนักอึ้งให้กับฟางเหนียง ก่อนจะเอ่ยบอกอย่างลำบากใจ&ldqu
และวันนี้นางได้นำเห็ดหลินจือมาด้วย นางนำแค่ดอกเล็กมาเท่านั้น ส่วนดอกใหญ่นางปลูกไว้ในมิติสวรรค์ เพราะนางไม่รู้ว่าที่นี่เห็ดหลินจือจะหายากเช่นโสมแดงหรือไม่ เรื่องนี้นางได้บอกกล่าวแก่ฟางเหยียนอวี้เช่นกัน นางไม่ได้บอกว่ามีดอกใหญ่อยู่ด้วยแต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขาตกตะลึงแล้ว และยังสั่งห้ามไม่ให้นางเข้าป่าลึกคนเดียวอีก ซึ่งนางได้แต่รับคำไปก่อน อีกอย่างช่วงนี้นางไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง จึงไม่จำเป็นเข้าป่าลึกฟางเหนียงพาครอบครัวเข้าเมืองอย่างคุ้นเคย นางฝากม้าไว้ที่โรงเตี๊ยมและจ่ายเงินดูแลม้าเงินเพียงเล็กน้อยแต่ป้องกันการขโมย แม้ที่นี่จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ไม่อาจไว้ใจได้ นางพาทั้งสามไปยังร้านเซี่ยโหย่ว ซึ่งท่านอู๋ซานก็ออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ใบหน้าที่เหี่ยวชรามีรอยยิ้มยินดี“ฮูหยินฟางไม่คิดว่าเราจะมาเจอกันเร็วเช่นนี้ ไม่ทราบว่ารอบนี้ได้ของดีอะไรมาหรือ” ฟางเหนียงส่งยิ้มให้ชายชราที่ดวงตาพราวระยับ เพราะโดยปกตินางจะไม่มาที่ร้านหากไม่ได้นำสมุนไพรมาส่ง“ข้าได้เห็ดหลินจือมา แต่วันนี้ข้ามีเรื่องรบกวนท่านอู๋ซาน ท่านพอจะรู้จักหมอมากฝีมือหรือไม่เจ้าคะ” อู๋ซานได้ยินว่ามีเห็ดหลืนจือมาดวงตาก็เป็นประกาย แต่เ
ฟางเหนียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นางส่งยิ้มให้อย่างปลอบโยน“ท่านหมออู๋อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เพราะแม้กระทั่งหมอหลวงยังไม่อาจรักษาแขนข้างนั้นได้ ที่ข้าอยากรบกวนคืออยากรู้ข่าวของหมอเทวดา ไม่ทราบว่าท่านหมออู๋พอจะรู้ข่าวคราวอะไรหรือไม่เจ้าคะ”“เรื่องนั้น...ข้าไม่ทราบจริง ๆ ต้องขอโทษฮูหยินฟางด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย” ฟางเหนียงส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับอย่างมีมารยาท“ท่านอย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ แค่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บส่วนอื่นได้ก็ข้าก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว”“ฮูหยินฟางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น พวกเราเป็นคู่ค้ากัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นบุญคุณได้อย่างไร” หลังจากพูดคุยกันเรื่องการรักษาได้เพียงครู่หนึ่ง ท่านหมออู๋ก็เขียนใบสั่งยามาให้ ฟางเหนียงซื้อสมุนไพรในร้านเพิ่มแต่ค่าสมุนไพรที่นางจ่ายยังไม่ได้ถึงเศษเงินที่นางขายสมุนไพรให้ทางร้านเลย “วันนี้ฮูหยินได้เห็ดหลินจือมามากน้อยเพียงใด” ท่านหมออู๋เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น หลังจากที่ตรวจร่างกายและเขียนใบสั่งยาให้สามีนางเรียบร้อยแล้ว สมุนไพรอยู่ในตะกร้าหวายซึ่งฟางเหยียนอวี้ช่วยแบกมา มือซ้ายเขาพิการแต่มือขวาเขายังใช้ได้ จึงไม่อยากเป็นภาระภรรยาจ
“ท่านพ่อ ท่านจะมาสร้างน้องสาวที่นี่ไม่ได้!” คำพูดของฟางเหรินทำให้ฟางเหนียงหน้าแดงก่ำ ก่อนจะมีเสียงกระแอมเบา ๆ จากด้านหลัง นางอดที่จะเขินอายไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยบอกชายชราแผ่วเบา“ขายหน้าท่านหมออู๋แล้ว”“ฮ่า ๆ ๆ ดี ๆ ข้าชอบครอบครัวของพวกเจ้า ว่าง ๆ ก็มาเที่ยว” อู๋ซานบอกด้วยความจริงใจ น้อยนักที่เขาจะเห็นครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ เพราะยิ่งอยู่ในเมืองหลวงมีแต่แก่งแย่งชิงดีกัน ที่สำคัญพวกเขามีอนุภรรยามากมาย ไม่เหมือนกับคนบ้านนอกเช่นนี้ หลังจากนับเงินจำนวนมากจนครบแล้วฟางเหนียงจึงได้ขอตัวกลับก่อน บอกว่าหากเจอของดีอีกจะแวะมาหาซึ่งชายชราเองก็ยิ้มกว้างยินดี นางเอาตั๋วเงินทั้งหมดใส่ในอกเสื้อก่อนจะเก็บเข้าไปไว้ในมิติสวรรค์ ตอนนี้นางมีเงินอยู่หนึ่งแสนสามหมื่นตำลึงทองและยังมีเงินตำลึงเงินอีกหลายหมื่น ต่อไปนี้นางไม่ต้องกลัวว่าครอบครัวจะอดอยากแล้ว“ท่านพี่เดี๋ยวเราไปซื้อของกัน ท่านอยากได้อะไรหรือไม่เจ้าคะ” ฟางเหยียนจูงมือเจ้าก้อนแป้งน้อยไว้คนละข้างก่อนจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อพวกเขาจะได้ไปซื้อของที่ตัวเองอยากได้“ท่านแม่ข้าอยากได้น้ำตาลปั้น”“ข้าอยากได้สมุดเล่มใหม่” ฟางเหนียงหัวเราะเบา ๆ อย่างขำขัน
“แม่นางเราเจอกันอีกแล้ว” ร่างสูงโปร่งขวางทางนางเอา ๆ ไว้ หากจำไม่ผิดอีกฝ่ายน่าจะเรียกว่าหวังเล่อ ทว่าฟางเหนียงยังไม่ทันได้ตอบอะไรร่างสูงของฟาง- เหยียนอวี้ก็ก้าวมายืนเบื้องหน้านางอย่างปกป้อง กลิ่นอายอำมหิตแผ่ออกไปอย่างรุนแรง ดวงตาคมกริบมองคนที่คิดจะมาเกี้ยวภรรยาตนหรี่ลง แม้ตอนนี้เขาจะพิการแต่หากจัดการสวะสักคนก็ไม่เกินความสามารถไปหรอก ยิ่งรอยแผลที่ใต้ตาซ้ายยิ่งทำให้เขาดูดุดันยิ่งกว่าเดิมหวังเล่อที่ถูกฟูมฟักมาอย่างดีไหนเลยจะเคยเจอรังสีสังหารเช่นนี้มาก่อน ร่างนั้นผงะถอยห่างมองคนที่ออกมาขวางแม่นางที่ตนหมายตาเอาไว้ แต่ด้วยความตกใจทำให้เขาเซชนข้ารับใช้จากด้านหลังจนแทบล้ม ดีแต่ว่าข้ารับใช้มือรั้งร่างสูงโปร่งผู้เป็นนายได้ทันท่วงที“มีธุระอะไรกับภรรยาข้า” น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเย็นชาจนคนฟังรู้สึกเหน็บหนาว หวังเล่อส่ายหน้าไปมาสัญชาตญาณร้องเตือนว่าห้ามมีเรื่องกับคนนี้เด็ดขาด“ท่านพ่อข้าจำคนผู้นี้ได้ คนนี้คิดจะเอาท่านแม่ไปเป็นอนุ!” ฟางหรงเห็นคนที่ขวางทางตนเอาไว้ก็จำได้เพราะครั้งก่อนพวกเขาโมโหมาก แต่ด้วยร่างเล็ก ๆ ทำอะไรไม่ได้ เวลานี้เห็นบิดาขวางกั้นเอาอย่างปกป้อง ทำให้เขากล้าที่จะฟ
เมื่อมีผู้ช่วยนางจึงทำกับข้าวได้เร็วยิ่งขึ้นซี่โครงเปรี้ยวหวานก็ทำเสร็จในรายการต่อมานางทำน้ำซุปปลาเพิ่มอีกอย่างหนึ่งเพื่อจะอุ่นท้องก่อนกินข้าว ส่วนของว่างวันนี้นางไมได้ทำเพราะเด็ก ๆ ซื้อขนมมาจากในเมืองหลายอย่าง เมื่อทำอาหารเย็นเสร็จแล้วจึงได้ต้มยาจีนตาที่ท่านหมออู๋เขียนเทียบยาให้ ซึ่งนางลองชิมยาสมัยนี้จึงรู้ว่ารสชาติขมมาก แต่ฟางเหยียนอวี้กลับกินอย่างด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนเมื่อกินอาหารเย็นกันแล้วจึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน เด็ก ๆ เล่นกันในห้องหนังสือโดยมีฟางเหยียนอวี้เข้าไปดูด้วยความสนใจ ยิ่งเห็นฝีมือบุตรชายตัวน้อยยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ ดวงตาคาคู่คมหันไปมองภรรยาอย่างเงียบงัน นางเลี้ยงดูพวกเขาได้ดีจริง ๆ ดีจนเขาคิดว่าคนตรงหน้าเขาเวลานี้ใช่ภรรยาที่เขาเคยรู้จักจริง ๆ หรือ“มีอะไรหรือไม่เจ้าคะ” ฟางเหนียงที่ก้มหน้าเย็บผ้าอยู่ภายในห้องหนังสือเพราะบางครั้งเด็ก ๆ จะมาถามนางว่าตัวนี้อ่านว่าอย่างไร หรือว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่นางยังเย็บเสื้อผ้าของฟางเหยียนอวี้ยังไม่เสร็จจึงได้หอบมาทำด้วย แต่หลังจากนั่งทำได้ไม่นานก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมานิ่ง ๆ จึงเงยหน้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“อย่าหักโหมนักเจ้าเองก็ค
ฟางเหนียงหลับตาลงอย่างเงียบงัน แม้วันนี้นางจะเหนื่อยมาทั้งวันแต่ก็ยังมีเรื่องให้ครุ่นคิดหลายอย่าง และคนที่อยู่ในห้วงคิดของนางตอนนี้คือฟางเหยียนอวี้ อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายต้องรักษาอย่างน้อยก็ครึ่งปีแต่หากใช้ยาเคมีที่นางมีเพียงไม่กี่เค่อก็หายแล้ว แต่นั่นหมายถึงนางต้องเปิดเผยความลับที่นางมี ขอเวลานางได้พิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่างก่อนก็แล้วกัน และมันคงไม่สายไปหรอก ชีวิตมนุษย์ก็เช่นนี้ นางเองก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างจากคนอื่นมากหรอก และอาจโหดเหี้ยมใจดำอำมหิตกว่าพวกเขาจะคิดถึง นางเลิกคิดฟุ้งซ่านพร้อมเดิมลมปราณภายในร่าง ช้า ๆ เพราะตอนนี้นางมาถึงก้นขวดที่จะก้าวข้ามระดับกลางแล้ว แต่หากนางยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัย นางเคยผ่านอันตรายมามากจึงเชื่อใจแค่ตนเองเท่านั้น...ฟางเหนียงตื่นเช้าตามปกติ แต่วันนี้นางไม่ได้พาเจ้าก้อนแป้งน้อยไปนั่งออกกำลังกายด้วยเพราะเวลานี้มีหิมะตกลงมาจนลานบ้านขาวโพลน หิมะแรกของปีนี้ย่างก้าวมาแล้ว นางให้เด็ก ๆ หัดเดินกำลังภายในอยู่ภายในห้องเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ทนกับความเหน็บหนาวได้ แม้จะสอนให้เดินลมปราณ แต่ก็ยังเพิ่มเสื้อให้อีกหนึ่งชั้นเป็นเสื้อกันหนาวขนแกะชั้นดี แก้มอวบอ้ว
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ