ที่มาลงเอยกันแบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรหมลิขิตหรือโชคชะตา แต่มันก็ดีกว่าที่นางคาดไว้มาก หากจางจื่อเสวียนยังเป็นตัวตนเดิมก็ไม่รู้ว่านางจะเต็มใจดูแลเขาในฐานะภรรยาได้หรือเปล่า เพราะผู้ที่จางจื่อเสวียนคนนั้นปรารถนาคือหม่าเยี่ยนถิงที่เป็นภรรยาไม่ใช่เยี่ยนถิง "ท่านวางแผนจะทำอะไรที่เมืองหลวง?" "ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็อยากทำให้สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขาถูกแก้ไข" ชายหนุ่มชี้ไปที่อกตัวเองเป็นความหมายว่า หมายถึงตัวตนอีกหนึ่งที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางก็เข้าใจได้ เพราะสิ่งที่ทำให้หม่าเยี่ยนถิงทุกข์ทรมานใจจะล้มป่วยนั้นก็เป็นผลมาจากเรื่องนี้ ทั้งที่นางเป็นคนเข้มแข็ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างบาดแผลให้นางมากเกินไป เด็กๆ ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคุยอะไรกัน พวกเขาเพลียมากกับการเดินทาง จึงหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ "ข้าสามารถเดินทางต่อได้ทันที ท่านอยากค้างแรมก่อนหรือเดินทางเลย" ทั้งสองคนใช้ชีวิตในสังคมใต้ดินมาเป็นเวลาหลายปี ชินกับการที่ไม่ต้องนอนเป็นเวลาหลายวันได้ พวกเขาสามารถเดินทางต่อได้เลย ทั้งทักษะการป้องกันตัวของหญิงสาวก็ไม่ได้ด้อย "ไม่จำเป็นต้องฝืน ถ้าออกเดินทางในตอนเช้าตร
"ข้าฝากฝังพ่อบ้านเป็นหูเป็นตา" เขาสบตานางด้วยสีหน้าจริงจัง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ คงมีคนเดือดร้อนหลายคนแน่ ใครอยากเสี่ยงถึงเรื่องนั้นก็ลองทำดู แม่ทัพแดนเหนือไม่ใช่คนเด็ดขาดไร้ใจกับคนของตัวเอง เขาเป็นมิตร แต่ก็ไม่มีความเมตตาให้ศัตรูซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้น หลังนายท่านพาสตรีคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็คุยแต่เรื่องนี้ไปทั่วทุกมุมบ้าน พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนจึงสงสัยว่าเป็นใคร เป็นบุตรีขุนนางคนไหน หรือเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญโชคดี แต่การวางตัวของหม่าเยี่ยนถิงนั้นบอกได้ว่า นางไม่มีทางเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน การต้อนรับนั้นหากเป็นคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานะนั้นแล้ว จะต้องเกร็งและแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาบ้าง แต่นายหญิงผู้นี้กลับนิ่งเฉย ใช้สายตาอย่างเหมาะสม เรียกว่าได้รับการสั่งสอนมาเป็นรองเพียงองค์หญิงในพระราชวังเท่านั้น ในเดือนนี้มีเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจเกิดขึ้นมากมาย จวนแม่ทัพแดนเหนือไม่เคยวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน พวกเขาต้องเตรียมอาหารระหว่างตารางงานใหม่ทั้งหมด "ใครจะได้เป็นสาวรับใช้ของฮูหยินกันนะ" "ฮูหยินต้องเป็นคุณหนูจวนขุนนางสักจวนหนึ่งมาก่อนแน่ ไม่คิดว่า
ตึกระฟ้าทันสมัยบ่งบอกความศิวิไลซ์ของเมืองแห่งนี้ ย่านธุรกิจที่มีคนใส่สูทผูกไทเดินพลุกพล่าน เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว แล้วก็เหมาะกับการค้นหาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงข้ามถนนมาเลนส์เดียวก็มีทัศนียภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงหนึ่งถนนกั้นก็เป็นย่านชุมชนแออัด มีตึกถูกทิ้งร้างเอาไว้ถึงสามแห่ง แต่พวกชาวบ้านแร้นแค้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างขึ้นไป ที่พอจะดูดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ที่เธอจับจองพื้นที่บริเวณดาดฟ้าเอาไว้ เยี่ยนถิงนั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นพิเศษที่เธอถือวิสาสะขอใช้งาน รายงานของคู่หูบอกว่าเป้าหมายของเธอจะเดินทางมาพักใกล้ๆ นี่ และเจรจาธุรกิจกันที่ตึกระฟ้านั่นด้วย เธอเฝ้ารออย่างใจเย็นมาหลายวัน รอเพิ่มอีกวันหรือสองไม่สะเทือนเส้นความอดทนเธอหรอก เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อที่ชื่อว่าเกาะฮ่องกง ผู้นำตระกูลมาเฟียหนึ่งในสามอันดับแรกที่มีอิทธิพลที่สุด ภารกิจของเธอคือฆ่าเขาเสีย ตัวตนนักฆ่าอย่างเยี่ยนถิงทำงานตามคำสั่งผู้ว่าจ้าง แต่เวลาที่คนใกล้ชิดของเหยื่อมาทวงคืนความแค้น กลับไม่ได้ไปลงที่ผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเครื่องมือสังหารเดินได้อย่างพวกเธอ เครื่องสื่อสารขนาดจ
"มัวทำอะไรอยู่ ขึ้นเรือสิ" โจวเจี้ยนหนี่ไม่ตอบ แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ เยี่ยนถิงหรี่ตาลง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล " หืม? ไม่นี่ แค่องค์กรติดต่องานใหม่มา" "งานอะไร ทำไมติดต่อผ่านนายไม่ใช่ฉัน" "เป็นงานที่ให้ฉันทำนี่ จะติดต่อเธอทำไมล่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เพราะคำตอบมันสมเหตุสมผล เยี่ยนถิงเลยเลิกใส่ใจเขาแล้วก้าวลงไปบนเรือยนต์ที่เตรียมไว้ หญิงสาวโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่งแล้วเดินไปที่ส่วนหน้าที่มีแผงควบคุม ทว่าอาจเพราะเธอไว้ใจคู่หูมากเกินไป ทั้งที่งานแบบนี้ไม่ควรไว้ใจทั้งนั้น เพราะมันมีการหักหลังได้ตลอดเวลา วัตถุหนัก ๆ แข็ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ฟาดเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรงจนหมดสติในทันที โจวเจี้ยนหนี่ยิ้มกริ่มต่อสายถึงองค์กร "เสร็จงานแล้วครับ มารับตัวเธอได้เลย…"ความรู้สึกปวดหนึบแล่นขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว เธอฝืนลืมตาอย่างยากลำบากแล้วก็พบแสงไฟสว่างจ้าที่ติดอยู่บนเพดานด้านบน เสียงพูดคุยดังระงมทันทีที่เธอตื่น แต่เยี่ยนถิงจับใจความไม่ได้สักประโยค ตอนนี้เธอปวดหัวอย่างรุนแรงจนสามารถหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ นี่เธออยู่ที่ไหนกัน "รู้สึกตัวแล้วเหรอ ช้ากว่าที่คิดนะ โจวคงหนักมือกับเธอไปหน่อย แต
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที
เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
"ข้าฝากฝังพ่อบ้านเป็นหูเป็นตา" เขาสบตานางด้วยสีหน้าจริงจัง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ คงมีคนเดือดร้อนหลายคนแน่ ใครอยากเสี่ยงถึงเรื่องนั้นก็ลองทำดู แม่ทัพแดนเหนือไม่ใช่คนเด็ดขาดไร้ใจกับคนของตัวเอง เขาเป็นมิตร แต่ก็ไม่มีความเมตตาให้ศัตรูซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้น หลังนายท่านพาสตรีคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็คุยแต่เรื่องนี้ไปทั่วทุกมุมบ้าน พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนจึงสงสัยว่าเป็นใคร เป็นบุตรีขุนนางคนไหน หรือเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญโชคดี แต่การวางตัวของหม่าเยี่ยนถิงนั้นบอกได้ว่า นางไม่มีทางเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน การต้อนรับนั้นหากเป็นคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานะนั้นแล้ว จะต้องเกร็งและแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาบ้าง แต่นายหญิงผู้นี้กลับนิ่งเฉย ใช้สายตาอย่างเหมาะสม เรียกว่าได้รับการสั่งสอนมาเป็นรองเพียงองค์หญิงในพระราชวังเท่านั้น ในเดือนนี้มีเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจเกิดขึ้นมากมาย จวนแม่ทัพแดนเหนือไม่เคยวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน พวกเขาต้องเตรียมอาหารระหว่างตารางงานใหม่ทั้งหมด "ใครจะได้เป็นสาวรับใช้ของฮูหยินกันนะ" "ฮูหยินต้องเป็นคุณหนูจวนขุนนางสักจวนหนึ่งมาก่อนแน่ ไม่คิดว่า
ที่มาลงเอยกันแบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรหมลิขิตหรือโชคชะตา แต่มันก็ดีกว่าที่นางคาดไว้มาก หากจางจื่อเสวียนยังเป็นตัวตนเดิมก็ไม่รู้ว่านางจะเต็มใจดูแลเขาในฐานะภรรยาได้หรือเปล่า เพราะผู้ที่จางจื่อเสวียนคนนั้นปรารถนาคือหม่าเยี่ยนถิงที่เป็นภรรยาไม่ใช่เยี่ยนถิง "ท่านวางแผนจะทำอะไรที่เมืองหลวง?" "ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็อยากทำให้สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขาถูกแก้ไข" ชายหนุ่มชี้ไปที่อกตัวเองเป็นความหมายว่า หมายถึงตัวตนอีกหนึ่งที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางก็เข้าใจได้ เพราะสิ่งที่ทำให้หม่าเยี่ยนถิงทุกข์ทรมานใจจะล้มป่วยนั้นก็เป็นผลมาจากเรื่องนี้ ทั้งที่นางเป็นคนเข้มแข็ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างบาดแผลให้นางมากเกินไป เด็กๆ ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคุยอะไรกัน พวกเขาเพลียมากกับการเดินทาง จึงหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ "ข้าสามารถเดินทางต่อได้ทันที ท่านอยากค้างแรมก่อนหรือเดินทางเลย" ทั้งสองคนใช้ชีวิตในสังคมใต้ดินมาเป็นเวลาหลายปี ชินกับการที่ไม่ต้องนอนเป็นเวลาหลายวันได้ พวกเขาสามารถเดินทางต่อได้เลย ทั้งทักษะการป้องกันตัวของหญิงสาวก็ไม่ได้ด้อย "ไม่จำเป็นต้องฝืน ถ้าออกเดินทางในตอนเช้าตร
หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้จะใช้คำใดปลอบโยนเด็ก ๆ ได้แต่กอดพวกเขาอยู่ข้าง ๆ ให้รู้ว่ายังมีนางอยู่ตรงนี้ สีหน้าของผู้เป็นแม่อย่างนี้ดูน่ากลัวนัก แต่ก็ไม่น่าหวาดกลัวไปกว่าความรู้สึกที่ถูกคุกคามจากชายผู้นั้นก่อนหน้านี้ ท่านแม่ลุกไปสั่งอาหารเพิ่มกับเสี่ยวเอ้ออยู่ดี ๆ ชายร่างทวงผู้นั้นที่พึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม เห็นหน้าก็ปรี่เข้ามาหาพวกเขาเลย หลอกล่อถามไม่หยุดว่าผู้ปกครองไปไหน เขากับน้องสาวทั้งสั่นทั้งกลัวไม่กล้าตอบ หม่าจื่อเหวินดึงน้องสาวฝาแฝดเข้ามาชิด แอบมองไปทางมารดาอยู่ตลอดว่านางจะกลับมาตอนไหน ยังไม่ทันได้สินใจเรียกผู้เป็นแม่ ชายผู้นั้นก็จับแขนเหมียวเหมียวเอาไว้จนนางกรีดร้องลั่นและร้องไห้ออกมา หม่าเยี่ยนถิงตวัดสายตามองครู่เดียวก็พาตัวเองมาเกือบถึงโต๊ะแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเขามองตามไม่ทัน รู้ตัวอีกทีชายคนนั้นก็ถูกกดไว้กับโต๊ะและร้องโอดโอยเสียงดัง เด็กน้อยไม่หลงเหลือสติในการปกครองอารมณ์ตนเอง ไม่รู้ว่ามารดาพูดอะไรออกไปบ้างกับชายคนนั้น รู้แต่ว่านางเสียงดังมาก เขาไม่เคยเห็นแม่โกรธขนาดนี้มาก่อน น้องสาวฝาแฝดตกใจจนตัวสั่น กระนั้นก็ไม่ยอมละสายตาไป
สุดท้ายแล้วผู้ครองแผ่นดินจึงพยักหน้ายอมตกปากรับคำโดยง่าย เขาจะส่งราชโองการอย่างเป็นทางการไปที่จวนแม่ทัพหนุ่มในภายหลัง ส่วนฉบับที่จะส่งไปบ้านฝ่ายหญิงนั้นเขาได้ร้องขอให้ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้..."เจ้าจะไปไหนต่อนั่น"หลี่อวิ๋นมองตามแผ่นหลังของสหายที่ดูเหมือนจะมีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว หลังออกจากเขตพระราชฐานชั้นนอก สหายแซ่จางก็เดินอาด ๆ ขึ้นรถม้า"ข้าต้องไปรับนางก่อน ส่วนเรื่องที่สืบกันอยู่ ข้าฝากเจ้าสานต่อด้วย" "ขอรับ ๆ ท่านแม่ทัพ ข้าจะรีบไปจัดการให้เสร็จก่อนท่านกลับมา" อีกฝ่ายพูดหยอกเย้ากึ่งประชด มองดูรถม้าแล่นออกไป จึงค่อยกลับไปทำงานของตัวเองจางจื่อเสวียนกลับมาถึงจวนพ่อบ้านก็รีบปรี่เข้ามาถามถึงเรื่องห้องพักของว่าที่นายหญิงและคุณหนูคุณชายทั้งสอง"นางกับลูกไม่ได้ตั้งใจจะพักที่นี่อย่างถาวร จัดห้องรับรองไว้ตามสมควรก็พอแล้ว""ฮูหยินไม่ปรารถนาจะอยู่จวนหรือขอรับ?" พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาผู้ใดไม่อยู่ร่วมกันมาก่อน"นางชอบชีวิตสาวชาวไร่มากกว่า""ต้องการ
หม่าเยี่ยนถิงพยักหน้า ก่อนจะพาเด็ก ๆ ขึ้นรถม้าที่เช่ามานางจ้างพวกเขาให้ไปส่งเพราะสะดวกกว่าการเอารถม้าไปเอง เมื่อไปถึงเมืองถัดไปนางก็จะเช่ารถม้าไปเมืองต่อเมือง เปลี่ยนคันโดยสารที่เมืองนั้น ๆ แล้วไปต่อใช้เวลาค่อนวันก็เดินทางมาถึงที่หมายแรก นางเข้าพักที่โรงเตี๊ยมพวกเด็ก ๆ ที่พึ่งเคยได้ออกจากเมืองมาไกลถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขามองซ้ายมองขวาสองข้างทางตลอดตั้งแต่เข้าเมืองมา มันมีทุกอย่างขายเหมือนเมืองที่พวกเขาอยู่ต่างแต่สถานที่เด็ก ๆ คงชอบบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากกว่าเป้าหมายของมัน"ไปกินข้าวกันก่อนเถิด""ข้าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง" เป่าเปาน้อยมองหน้ามารดาอย่างไม่แน่ใจ เขารู้ว่าสถานะที่บ้านตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะร้องขอสิ่งที่มีมูลค่ามากมายกว่าที่เคยกิน"เอาสิ แล้วเหมียวเหมียวอยากกินอะไรล่ะ" นางหันมาถามบุตรสาวอีกคน"เกี๊ยวน้ำเจ้าค่ะท่านแม่""งั้นไปที่เหลาอาหารตรงนั้นก็แล้วกัน"หม่าเยี่ยนถิงพาบุตรทั้งสองไปที่ร้านอาหาร สั่งของง่าย ๆ มาสองสามอย่างกับข้าวหนึ่งโถ นางต
"เจ้าเป็นไรไหม" เมื่อเห็นสหายชะงักไปเขาก็ถามด้วยความเป็นห่วง"ไม่ๆ ขอโทษด้วย ข้าแค่ยังไม่ชิน" เขาโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน"ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ไม่รู้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทุกคนตามหาก็ไม่เจอ""ข้าความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้อยู่เกือบปี""ทำไมถึงความจำเสื่อมได้ เจ้าบอกว่าจะออกเดินทางไปตามหาภรรยามิใช่หรือ" หลี่อวิ๋นกอดอก เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ และความเป็นไปได้ก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ซึ่งเขาสงสัยอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องถูกลอบทำร้าย อีกทั้งพวกเขาเองก็ตามหามาตลอดเกือบหนึ่งปี แต่กลับเหมือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย"ข้าคิดว่าตัวเองถูกลอบทำร้าย แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ""ไม่แปลก ศีรษะเจ้าได้รับการกระทบกระเทือนจนถึงกับลืมเลือนไปเลยนี่""เท่าที่เจ้าตามสืบหาข้า สงสัยใครบ้างไหม""คนที่อยากกำจัดเจ้ามีอยู่สักกี่คนเชียว" สหายเจ้าสำอางตบที่นั่งว่างข้างตัว ให้เขารีบลงไปนั่งหารือกันเร็ว ๆห้องรับรองถูกจัดเป็นสถานที่ห้ามรบกวนชั่วคราว สองสหายปรึกษากันอย่า
"ข้าเอง" จางจือเหวินเอ่ยตอบพร้อมดึงหมวกคลุมลง เขามองพ่อบ้านในความทรงจำที่ดูเหมือนจะแก่ขึ้นมากกว่าในความทรงจำ"นายท่าน กลับมาได้อย่างไร กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ!?" อีกฝ่ายรีบโค้งเคารพ ถามเป็นการใหญ่ด้วยความใจร้อนปนตื่นเต้น"เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่างน่ะ เตรียมน้ำให้ข้าอาบที""ทราบแล้วขอรับจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้"ใช้เวลาไม่นานข่าวการกลับมาของเขาก็กระจายไปทั่วจวน สาวใช้รีบเร่งทำความสะอาด และงานที่ติดพันอยู่ให้เสร็จก่อนไปช่วยงานในครัวห้องครัวต้องจัดลำดับอาหารและรายการใหม่ทั้งหมด ในตอนที่เจ้านายหายตัวไปพวกเขากินของง่าย ๆ ที่ใช้เวลาเตรียมไม่นาน แต่พอชายหนุ่มกลับมาแล้วเขาต้องเตรียมไว้ทั้งหมด ต้องใช้วัตถุดิบที่ดีและเป็นอาหารที่นิยมทำให้ชนชั้นสูงหลังสาวใช้ออกไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาด ข่าวการกลับมาของเขาก็กระจายออกไปอีก กลายเป็นหัวข้อสนทนาใหญ่ที่ทั้งเมืองต่างรู้กัน ใช้เวลาไม่ถึงวันก็รู้ไปถึงในวังหลวงพอผู้เป็นนายกลับมาแล้ว พ่อบ้านจึงให้ผู้ช่วยไปติดตามงานส่วนใหญ่ที่ยังคั่งค้างอยู่แทน ส่วนตนเองก็มาปฏิบัติรับใ
"เยี่ยนถิง ข้าควรต้องเอาเสื้อผ้าไปกี่ชุด"ชายหนุ่มยืนถามจากหน้าประตู เขาไม่เคยต้องจัดกระเป๋าด้วยตัวเองมาก่อน การจัดของกลับเมืองหลวงครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกก็ว่าได้"ถ้ามีจวนอยู่ คิดว่าไม่จำเป็นต้องจัดส่วนของท่านหรอกนะ ข้าวของจำเป็นคงอยู่ที่จวนหมดแล้ว แต่เสื้อผ้าของข้ากับเด็ก ๆ คงยังไม่มีอยู่ที่นั่นแน่นอน""อ่า พูดไปก็จริงของเจ้า เช่นนั้นข้าควรทำอะไรล่ะ""ดึกดื่นป่านนี้จะทำอะไรอีกเล่า เก็บแรงไว้ทำอาหารและงานบ้านวันพรุ่งนี้เถอะ""หือ?""ถ้าเข้าเมืองหลวงไปแล้ว ไปอยู่ในจวนแล้ว ท่านคงไม่มีโอกาสทำมันอีก แล้วข้าก็อดเห็นชายหนุ่มมากความสามารถใส่ผ้ากันเปื้อนทำงานบ้านด้วย"หม่าเยี่ยนถิงใช้สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แฝงเจตนาโลมเลียอยู่หน่อยๆ จนชายหนุ่มเผลอยกมือปิดหน้าอกตัวเองไม่รู้ตัว"เจ้าเป็นคนแบบนี้หรือนี่!""ยังไม่รู้ก็รู้ไว้เสีย" นอกจากหน้าด้านไร้ยางอายตอบกลับแล้ว นางยังกล่าวท้าทายอีกด้วย"หรืออยากลองรู้มากกว่านี้วันนี้เลยก็ได้"จางจื่อเสวียนกรีดร้อง
"เป็นอย่างไร สนุกหรือไม่""สนุกมากเลยเจ้าค่ะ มันคล้ายกับการที่ข้าเล่นกับพี่และเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน" พวกเด็ก ๆ มักจับกลุ่มกันเองเพื่อเล่นสวมบทต่างๆ อยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ได้ไกลตัวเลย"ลองคิดว่าถ้าไปเล่นแบบนี้ที่หน้าแพงขายดอกไม้ ลูกค้าก็จะสนใจหันมามอง ถึงไม่ซื้อในทันทีก็จะต้องเอาไปพูดต่อแน่""แม่จะให้พวกข้าเล่นบทบาทสมมุติตอนขายดอกไม้หรือขอรับ""ถูกต้อง แต่มันจะสั้นและกระชับกว่านี้""มันจะได้ผลใช่ไหมขอรับ""ได้ผลในแง่ดึงความสนใจละนะ ที่นี่ยังไม่นิยมมีดอกไม้ขายตามรายทาง เขาไม่รู้จะซื้อมันไปทำอะไร เพราะฉะนั้นนี่คือการนำทาง ว่าการซื้อดอกไม้ทำประโยชน์อะไรให้พวกเขาบ้าง" หนี่เหวินไม่เข้าใจจึงบอกให้มารดาอธิบายเพิ่มเติม"ดอกไม้ถูกนำไปประดับตามบ้านเรือนเต็มไปหมด เกือบทุกหลังที่มีดอกไม้ประดับ ไม่มีใครเกลียดดอกไม้หรืออย่างน้อยก็เท่าที่แม่รู้สึก" เด็ก ๆ ตั้งใจฟังต่อไปไม่กล้าเอ่ยขัด"บุรุษนิยมนำเครื่องหอม ถุงหอม เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ ไปเกี้ยวพาสตรีที่ตนชอบพอ ดอกไม้นี้ก็ทำหน้าที่นั้นได้เช่นกัน