"แม่นางกล่าวเช่นนี้ข้าละอายใจหนัก แม้พวกเราจะไปกันสามคนก็สู้สัตว์อสูรตัวนั้นตัวเดียวไม่ได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากทางสำนักให้ส่งคนไปเพิ่ม เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นคู่ปรับมันได้หรอก"
จอมยุทธ์หญิงผู้หนึ่งที่สวมหมวกสานไว้ตลอดเวลาเอ่ยตอบมาอย่างเป็นมิตร แทบจะนับว่านางเป็นคนเดียวที่คุยกับหม่าเยี่ยนถิงตลอดทาง ส่วนอีกสองคนที่มาด้วยกันมีความระแวดระวังต่อกันสูงมาก หม่าเยี่ยนถิงเป็นนักฆ่าไม่ใช่นักสู้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ นางย่อมเสียเปรียบในไม่ช้าและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นต้องชักดาบนางก็เลือกที่จะประนีประนอม เดินตามทั้งสามคนมาได้ระยะหนึ่งก็เป็นทางขึ้นเขา ทิวไผ่ยังคงหนาและแผ่ไกลสุดลูกหูลูกตา หม่าเยี่ยนถิงเดินตามทั้งสามคนขึ้นไป มีบ้างที่ต้องขอความช่วยเหลือให้พาขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วย เพราะเป็นสำนักฝึกยุทธ์ที่ปลีกวิเวกเป็นส่วนใหญ่ การเข้าออกจึงไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะทำได้ง่าย ๆ เส้นทางมีความซับซ้อนระดับหนึ่ง หากจะขังนางไว้บนนั้นก็คงได้หลายวันเชียว หม่าเยี่ยนถิงเลิกคิดฟุ้งซ่านและถามเป็นระยะว่าอีกนานเท่าไรกว่าจะ"มันต้องใช้เวลาอุ้มท้องกี่เดือน" นางถามโดยไม่ละสายตาไปจากลายพาดกลอนตรงหน้า"หนึ่งปีกับอีกหกเดือน"นานอยู่นะนั่น แต่ก็ถือว่ามันรู้จุดประสงค์แรกเริ่ม"เข้าใจแล้ว เอาตามที่ตกลงกันเมื่อครู่ก็แล้วกัน""รบกวนท่านหญิงแล้วจริงๆ"หลังเสร็จธุระเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงทั้งสามก็มาส่งนางถึงหน้ากำแพงเมือง หม่าเยี่ยนถิงคิดว่าต้องใช้เวลาไม่นานแต่พบว่ากว่าจะกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคยข้ายุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หลังจบงานที่เมืองหลวงแล้วยังต้องกลับไปดูแลสวนอีก จ้างคนงานสักหน่อยดีไหมนะ?"กลับมาแล้ว" ทันทีที่เข้ามาในจวนก็ร้องบอกจางจื่อเสวียนอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกการมีคนรออยู่บ้านช่างดีจริง ๆ"กลับมาแล้วเหรอ" เมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยถามและดวงตาคู่คมมองมาหม่าเยี่ยนถิงจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มบางเบา"ยังไม่กลับ""ยังไม่กลับหรอกเหรอ" ทั้งคู่สบตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ"ท่านพ่อท่านแม่เล่นอะไรกันอยู่ขอรับ" จางจื่อเหวินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ดวงตา
หม่าเยี่ยนถิงที่แอบฟังอยู่เห็นด้วยในจุดนี้ จางจื่อเสวียนอยู่ติดบ้านมาก ๆ แม้แต่ตอนที่ยังอาศัยอยู่กับนางที่เมืองนั้นซึ่งความทรงจำเป็นอิสระแล้ว เขาก็ยังคงนิสัยไม่ชอบข้องเกี่ยวกับใครเกินจำเป็นอยู่ดี หรือบางทีอุปนิสัยเดิมของผู้สวมร่างก็มีผลด้วยแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวผู้นี้เล่า นั่นเป็นสามีของข้า"คุณหนูใจเย็นไว้เถอะเจ้าค่ะ ยังไม่มีข่าวว่าท่านแม่ทัพสนใจสตรีนางใด ไม่แน่ว่าอาจแอบมีใจให้คุณหนูอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะเจ้าคะ"ว่าแล้วสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกัน สตรีวัยแรกแย้มกับดรุณีที่มั่นหมายในใจว่าจะออกเรือนในเร็ววันหัวเราะกันเสียงเล็กเสียงน้อย พูดหยอกเย้าถึงบุรุษที่ตนได้พบเจอในแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมาแทนที่บุรุษที่นางปรารถนาในใจได้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วสิหญิงสาวในเงามืดหรี่ตามอง รู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจอย่างเงียบงัน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประกายบางอย่างที่สะท้อนแสงตะเกียงจากใต้เตียงนอนของนาง หม่าเยี่ยนถิงย่อตัวลง รอคอยปฏิบัติการคืนนี้อย่างใจเย็น กระทั่งแสงตะเกียงในห้องนางดับลงไปครู่ใหญ่ แน่ใจว่าหญิงสาวทั้งสองที่หลับอยู่
ตึกระฟ้าทันสมัยบ่งบอกความศิวิไลซ์ของเมืองแห่งนี้ ย่านธุรกิจที่มีคนใส่สูทผูกไทเดินพลุกพล่าน เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว แล้วก็เหมาะกับการค้นหาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงข้ามถนนมาเลนส์เดียวก็มีทัศนียภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงหนึ่งถนนกั้นก็เป็นย่านชุมชนแออัด มีตึกถูกทิ้งร้างเอาไว้ถึงสามแห่ง แต่พวกชาวบ้านแร้นแค้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างขึ้นไป ที่พอจะดูดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ที่เธอจับจองพื้นที่บริเวณดาดฟ้าเอาไว้ เยี่ยนถิงนั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นพิเศษที่เธอถือวิสาสะขอใช้งาน รายงานของคู่หูบอกว่าเป้าหมายของเธอจะเดินทางมาพักใกล้ๆ นี่ และเจรจาธุรกิจกันที่ตึกระฟ้านั่นด้วย เธอเฝ้ารออย่างใจเย็นมาหลายวัน รอเพิ่มอีกวันหรือสองไม่สะเทือนเส้นความอดทนเธอหรอก เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อที่ชื่อว่าเกาะฮ่องกง ผู้นำตระกูลมาเฟียหนึ่งในสามอันดับแรกที่มีอิทธิพลที่สุด ภารกิจของเธอคือฆ่าเขาเสีย ตัวตนนักฆ่าอย่างเยี่ยนถิงทำงานตามคำสั่งผู้ว่าจ้าง แต่เวลาที่คนใกล้ชิดของเหยื่อมาทวงคืนความแค้น กลับไม่ได้ไปลงที่ผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเครื่องมือสังหารเดินได้อย่างพวกเธอ เครื่องสื่อสารขนาดจ
"มัวทำอะไรอยู่ ขึ้นเรือสิ" โจวเจี้ยนหนี่ไม่ตอบ แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ เยี่ยนถิงหรี่ตาลง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล " หืม? ไม่นี่ แค่องค์กรติดต่องานใหม่มา" "งานอะไร ทำไมติดต่อผ่านนายไม่ใช่ฉัน" "เป็นงานที่ให้ฉันทำนี่ จะติดต่อเธอทำไมล่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เพราะคำตอบมันสมเหตุสมผล เยี่ยนถิงเลยเลิกใส่ใจเขาแล้วก้าวลงไปบนเรือยนต์ที่เตรียมไว้ หญิงสาวโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่งแล้วเดินไปที่ส่วนหน้าที่มีแผงควบคุม ทว่าอาจเพราะเธอไว้ใจคู่หูมากเกินไป ทั้งที่งานแบบนี้ไม่ควรไว้ใจทั้งนั้น เพราะมันมีการหักหลังได้ตลอดเวลา วัตถุหนัก ๆ แข็ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ฟาดเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรงจนหมดสติในทันที โจวเจี้ยนหนี่ยิ้มกริ่มต่อสายถึงองค์กร "เสร็จงานแล้วครับ มารับตัวเธอได้เลย…"ความรู้สึกปวดหนึบแล่นขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว เธอฝืนลืมตาอย่างยากลำบากแล้วก็พบแสงไฟสว่างจ้าที่ติดอยู่บนเพดานด้านบน เสียงพูดคุยดังระงมทันทีที่เธอตื่น แต่เยี่ยนถิงจับใจความไม่ได้สักประโยค ตอนนี้เธอปวดหัวอย่างรุนแรงจนสามารถหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ นี่เธออยู่ที่ไหนกัน "รู้สึกตัวแล้วเหรอ ช้ากว่าที่คิดนะ โจวคงหนักมือกับเธอไปหน่อย แต
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที
เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
หม่าเยี่ยนถิงที่แอบฟังอยู่เห็นด้วยในจุดนี้ จางจื่อเสวียนอยู่ติดบ้านมาก ๆ แม้แต่ตอนที่ยังอาศัยอยู่กับนางที่เมืองนั้นซึ่งความทรงจำเป็นอิสระแล้ว เขาก็ยังคงนิสัยไม่ชอบข้องเกี่ยวกับใครเกินจำเป็นอยู่ดี หรือบางทีอุปนิสัยเดิมของผู้สวมร่างก็มีผลด้วยแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวผู้นี้เล่า นั่นเป็นสามีของข้า"คุณหนูใจเย็นไว้เถอะเจ้าค่ะ ยังไม่มีข่าวว่าท่านแม่ทัพสนใจสตรีนางใด ไม่แน่ว่าอาจแอบมีใจให้คุณหนูอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะเจ้าคะ"ว่าแล้วสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกัน สตรีวัยแรกแย้มกับดรุณีที่มั่นหมายในใจว่าจะออกเรือนในเร็ววันหัวเราะกันเสียงเล็กเสียงน้อย พูดหยอกเย้าถึงบุรุษที่ตนได้พบเจอในแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมาแทนที่บุรุษที่นางปรารถนาในใจได้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วสิหญิงสาวในเงามืดหรี่ตามอง รู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจอย่างเงียบงัน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประกายบางอย่างที่สะท้อนแสงตะเกียงจากใต้เตียงนอนของนาง หม่าเยี่ยนถิงย่อตัวลง รอคอยปฏิบัติการคืนนี้อย่างใจเย็น กระทั่งแสงตะเกียงในห้องนางดับลงไปครู่ใหญ่ แน่ใจว่าหญิงสาวทั้งสองที่หลับอยู่
"มันต้องใช้เวลาอุ้มท้องกี่เดือน" นางถามโดยไม่ละสายตาไปจากลายพาดกลอนตรงหน้า"หนึ่งปีกับอีกหกเดือน"นานอยู่นะนั่น แต่ก็ถือว่ามันรู้จุดประสงค์แรกเริ่ม"เข้าใจแล้ว เอาตามที่ตกลงกันเมื่อครู่ก็แล้วกัน""รบกวนท่านหญิงแล้วจริงๆ"หลังเสร็จธุระเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงทั้งสามก็มาส่งนางถึงหน้ากำแพงเมือง หม่าเยี่ยนถิงคิดว่าต้องใช้เวลาไม่นานแต่พบว่ากว่าจะกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคยข้ายุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หลังจบงานที่เมืองหลวงแล้วยังต้องกลับไปดูแลสวนอีก จ้างคนงานสักหน่อยดีไหมนะ?"กลับมาแล้ว" ทันทีที่เข้ามาในจวนก็ร้องบอกจางจื่อเสวียนอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกการมีคนรออยู่บ้านช่างดีจริง ๆ"กลับมาแล้วเหรอ" เมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยถามและดวงตาคู่คมมองมาหม่าเยี่ยนถิงจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มบางเบา"ยังไม่กลับ""ยังไม่กลับหรอกเหรอ" ทั้งคู่สบตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ"ท่านพ่อท่านแม่เล่นอะไรกันอยู่ขอรับ" จางจื่อเหวินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ดวงตา
"แม่นางกล่าวเช่นนี้ข้าละอายใจหนัก แม้พวกเราจะไปกันสามคนก็สู้สัตว์อสูรตัวนั้นตัวเดียวไม่ได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากทางสำนักให้ส่งคนไปเพิ่ม เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นคู่ปรับมันได้หรอก"จอมยุทธ์หญิงผู้หนึ่งที่สวมหมวกสานไว้ตลอดเวลาเอ่ยตอบมาอย่างเป็นมิตร แทบจะนับว่านางเป็นคนเดียวที่คุยกับหม่าเยี่ยนถิงตลอดทาง ส่วนอีกสองคนที่มาด้วยกันมีความระแวดระวังต่อกันสูงมากหม่าเยี่ยนถิงเป็นนักฆ่าไม่ใช่นักสู้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ นางย่อมเสียเปรียบในไม่ช้าและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นต้องชักดาบนางก็เลือกที่จะประนีประนอมเดินตามทั้งสามคนมาได้ระยะหนึ่งก็เป็นทางขึ้นเขา ทิวไผ่ยังคงหนาและแผ่ไกลสุดลูกหูลูกตา หม่าเยี่ยนถิงเดินตามทั้งสามคนขึ้นไป มีบ้างที่ต้องขอความช่วยเหลือให้พาขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วย เพราะเป็นสำนักฝึกยุทธ์ที่ปลีกวิเวกเป็นส่วนใหญ่ การเข้าออกจึงไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะทำได้ง่าย ๆ เส้นทางมีความซับซ้อนระดับหนึ่ง หากจะขังนางไว้บนนั้นก็คงได้หลายวันเชียวหม่าเยี่ยนถิงเลิกคิดฟุ้งซ่านและถามเป็นระยะว่าอีกนานเท่าไรกว่าจะ
"มีธุระอะไรอีกอย่างนั้นหรือ" ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรที่ต้องติดต่อกับสามคนนี้อีก ไม่เข้าใจเหตุผลที่ปรากฏตัวเลยจริง ๆ"จอมปราชญ์ท่านนี้ เรื่องที่ได้พูดคุยกันในวันนั้นต้องขอขอบคุณ" ผู้ที่อยู่หน้าสุดประสานมือคำนับ"สัตว์อสูรตัวนั้นมีปัญหา?""จะเรียกว่าปัญหาได้หรือไม่นะ" เมื่ออีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ จอมยุทธ์หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงรีบเอ่ยออกมาแทน"เราจัดหาที่อยู่ให้มันแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนสัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ชอบใจเลย มันขู่สัตว์เฝ้าประตูของเราด้วย""ต้องการให้ข้าช่วยอะไรกันแน่""ตามจริงไม่ได้ต้องการตามหาท่าน เกรงว่าจะรบกวนอีก แต่ได้พบกันที่เมืองนี้ขอนับว่าเป็นวาสนา""..." นางกอดอกเลิกคิ้ว ภาษากายบอกชัดให้รีบสรุปความ"พอจะให้ความร่วมมือไปพบมันสักครั้งได้หรือไม่""ข้ากับมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทำไมต้องไปพบเล่า" ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ หม่าเยี่ยนถิงเคยเสี่ยงตายกับกรงเล็บมันแค่ครั้งเดียว"เราได้ผู้ฝึกสัตว์อสูรประจำสำนักช่วยสื่อสาร เหมือนว่ามันจะมีเรื่องติดใจกับท่านจึงไม่ยอม
"ข้าฝากฝังพ่อบ้านเป็นหูเป็นตา" เขาสบตานางด้วยสีหน้าจริงจัง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ คงมีคนเดือดร้อนหลายคนแน่ ใครอยากเสี่ยงถึงเรื่องนั้นก็ลองทำดู แม่ทัพแดนเหนือไม่ใช่คนเด็ดขาดไร้ใจกับคนของตัวเอง เขาเป็นมิตร แต่ก็ไม่มีความเมตตาให้ศัตรูซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้น หลังนายท่านพาสตรีคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็คุยแต่เรื่องนี้ไปทั่วทุกมุมบ้าน พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนจึงสงสัยว่าเป็นใคร เป็นบุตรีขุนนางคนไหน หรือเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญโชคดี แต่การวางตัวของหม่าเยี่ยนถิงนั้นบอกได้ว่า นางไม่มีทางเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน การต้อนรับนั้นหากเป็นคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานะนั้นแล้ว จะต้องเกร็งและแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาบ้าง แต่นายหญิงผู้นี้กลับนิ่งเฉย ใช้สายตาอย่างเหมาะสม เรียกว่าได้รับการสั่งสอนมาเป็นรองเพียงองค์หญิงในพระราชวังเท่านั้น ในเดือนนี้มีเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจเกิดขึ้นมากมาย จวนแม่ทัพแดนเหนือไม่เคยวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน พวกเขาต้องเตรียมอาหารระหว่างตารางงานใหม่ทั้งหมด "ใครจะได้เป็นสาวรับใช้ของฮูหยินกันนะ" "ฮูหยินต้องเป็นคุณหนูจวนขุนนางสักจวนหนึ่งมาก่อนแน่ ไม่คิดว่า
ที่มาลงเอยกันแบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรหมลิขิตหรือโชคชะตา แต่มันก็ดีกว่าที่นางคาดไว้มาก หากจางจื่อเสวียนยังเป็นตัวตนเดิมก็ไม่รู้ว่านางจะเต็มใจดูแลเขาในฐานะภรรยาได้หรือเปล่า เพราะผู้ที่จางจื่อเสวียนคนนั้นปรารถนาคือหม่าเยี่ยนถิงที่เป็นภรรยาไม่ใช่เยี่ยนถิง "ท่านวางแผนจะทำอะไรที่เมืองหลวง?" "ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็อยากทำให้สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขาถูกแก้ไข" ชายหนุ่มชี้ไปที่อกตัวเองเป็นความหมายว่า หมายถึงตัวตนอีกหนึ่งที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางก็เข้าใจได้ เพราะสิ่งที่ทำให้หม่าเยี่ยนถิงทุกข์ทรมานใจจะล้มป่วยนั้นก็เป็นผลมาจากเรื่องนี้ ทั้งที่นางเป็นคนเข้มแข็ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างบาดแผลให้นางมากเกินไป เด็กๆ ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคุยอะไรกัน พวกเขาเพลียมากกับการเดินทาง จึงหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ "ข้าสามารถเดินทางต่อได้ทันที ท่านอยากค้างแรมก่อนหรือเดินทางเลย" ทั้งสองคนใช้ชีวิตในสังคมใต้ดินมาเป็นเวลาหลายปี ชินกับการที่ไม่ต้องนอนเป็นเวลาหลายวันได้ พวกเขาสามารถเดินทางต่อได้เลย ทั้งทักษะการป้องกันตัวของหญิงสาวก็ไม่ได้ด้อย "ไม่จำเป็นต้องฝืน ถ้าออกเดินทางในตอนเช้าตร
หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้จะใช้คำใดปลอบโยนเด็ก ๆ ได้แต่กอดพวกเขาอยู่ข้าง ๆ ให้รู้ว่ายังมีนางอยู่ตรงนี้ สีหน้าของผู้เป็นแม่อย่างนี้ดูน่ากลัวนัก แต่ก็ไม่น่าหวาดกลัวไปกว่าความรู้สึกที่ถูกคุกคามจากชายผู้นั้นก่อนหน้านี้ ท่านแม่ลุกไปสั่งอาหารเพิ่มกับเสี่ยวเอ้ออยู่ดี ๆ ชายร่างทวงผู้นั้นที่พึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม เห็นหน้าก็ปรี่เข้ามาหาพวกเขาเลย หลอกล่อถามไม่หยุดว่าผู้ปกครองไปไหน เขากับน้องสาวทั้งสั่นทั้งกลัวไม่กล้าตอบ หม่าจื่อเหวินดึงน้องสาวฝาแฝดเข้ามาชิด แอบมองไปทางมารดาอยู่ตลอดว่านางจะกลับมาตอนไหน ยังไม่ทันได้สินใจเรียกผู้เป็นแม่ ชายผู้นั้นก็จับแขนเหมียวเหมียวเอาไว้จนนางกรีดร้องลั่นและร้องไห้ออกมา หม่าเยี่ยนถิงตวัดสายตามองครู่เดียวก็พาตัวเองมาเกือบถึงโต๊ะแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเขามองตามไม่ทัน รู้ตัวอีกทีชายคนนั้นก็ถูกกดไว้กับโต๊ะและร้องโอดโอยเสียงดัง เด็กน้อยไม่หลงเหลือสติในการปกครองอารมณ์ตนเอง ไม่รู้ว่ามารดาพูดอะไรออกไปบ้างกับชายคนนั้น รู้แต่ว่านางเสียงดังมาก เขาไม่เคยเห็นแม่โกรธขนาดนี้มาก่อน น้องสาวฝาแฝดตกใจจนตัวสั่น กระนั้นก็ไม่ยอมละสายตาไป
สุดท้ายแล้วผู้ครองแผ่นดินจึงพยักหน้ายอมตกปากรับคำโดยง่าย เขาจะส่งราชโองการอย่างเป็นทางการไปที่จวนแม่ทัพหนุ่มในภายหลัง ส่วนฉบับที่จะส่งไปบ้านฝ่ายหญิงนั้นเขาได้ร้องขอให้ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้..."เจ้าจะไปไหนต่อนั่น"หลี่อวิ๋นมองตามแผ่นหลังของสหายที่ดูเหมือนจะมีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว หลังออกจากเขตพระราชฐานชั้นนอก สหายแซ่จางก็เดินอาด ๆ ขึ้นรถม้า"ข้าต้องไปรับนางก่อน ส่วนเรื่องที่สืบกันอยู่ ข้าฝากเจ้าสานต่อด้วย" "ขอรับ ๆ ท่านแม่ทัพ ข้าจะรีบไปจัดการให้เสร็จก่อนท่านกลับมา" อีกฝ่ายพูดหยอกเย้ากึ่งประชด มองดูรถม้าแล่นออกไป จึงค่อยกลับไปทำงานของตัวเองจางจื่อเสวียนกลับมาถึงจวนพ่อบ้านก็รีบปรี่เข้ามาถามถึงเรื่องห้องพักของว่าที่นายหญิงและคุณหนูคุณชายทั้งสอง"นางกับลูกไม่ได้ตั้งใจจะพักที่นี่อย่างถาวร จัดห้องรับรองไว้ตามสมควรก็พอแล้ว""ฮูหยินไม่ปรารถนาจะอยู่จวนหรือขอรับ?" พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาผู้ใดไม่อยู่ร่วมกันมาก่อน"นางชอบชีวิตสาวชาวไร่มากกว่า""ต้องการ
หม่าเยี่ยนถิงพยักหน้า ก่อนจะพาเด็ก ๆ ขึ้นรถม้าที่เช่ามานางจ้างพวกเขาให้ไปส่งเพราะสะดวกกว่าการเอารถม้าไปเอง เมื่อไปถึงเมืองถัดไปนางก็จะเช่ารถม้าไปเมืองต่อเมือง เปลี่ยนคันโดยสารที่เมืองนั้น ๆ แล้วไปต่อใช้เวลาค่อนวันก็เดินทางมาถึงที่หมายแรก นางเข้าพักที่โรงเตี๊ยมพวกเด็ก ๆ ที่พึ่งเคยได้ออกจากเมืองมาไกลถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขามองซ้ายมองขวาสองข้างทางตลอดตั้งแต่เข้าเมืองมา มันมีทุกอย่างขายเหมือนเมืองที่พวกเขาอยู่ต่างแต่สถานที่เด็ก ๆ คงชอบบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากกว่าเป้าหมายของมัน"ไปกินข้าวกันก่อนเถิด""ข้าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง" เป่าเปาน้อยมองหน้ามารดาอย่างไม่แน่ใจ เขารู้ว่าสถานะที่บ้านตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะร้องขอสิ่งที่มีมูลค่ามากมายกว่าที่เคยกิน"เอาสิ แล้วเหมียวเหมียวอยากกินอะไรล่ะ" นางหันมาถามบุตรสาวอีกคน"เกี๊ยวน้ำเจ้าค่ะท่านแม่""งั้นไปที่เหลาอาหารตรงนั้นก็แล้วกัน"หม่าเยี่ยนถิงพาบุตรทั้งสองไปที่ร้านอาหาร สั่งของง่าย ๆ มาสองสามอย่างกับข้าวหนึ่งโถ นางต