"เสี่ยวถิงถิง ไม่ได้กลับบ้านเสียนาน ทุกวันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หม่าเหลียนหลิวยื่นตะกร้าใส่ของที่เพิ่งไปตลาดมาใส่มือสาวใช้คนสนิท เดินเข้าศาลามาคว้ามือน้องสาวไปกุมไว้ หม่าเยี่ยนถิงมองนิ่งก่อนจะชักมือออกช้า ๆ หม่าเหลียนหลิว รู้สึกเสียหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา "ข้าคงทำให้เจ้าอึดอัดสินะ ไม่ได้พบกันนานก็คงเป็นเช่นนี้" อดีตมือสังหารสาวถึงกับอดหรี่ตามองไม่ได้ พี่สาวต่างมารดาผู้นี้ช่างพูดอะไรได้ไร้สาระจริง ๆ หากนางมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยสักนิดก็คงไปเยี่ยมเยียนบ้าง แต่หม่าเยี่ยนถิงก็ไม่คาดหวังกับสังคมที่มีธรรมเนียมเช่นนี้เลย "เมื่อก่อนลำบากแต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ หวังว่าพี่หญิงคงจะสบายดีเช่นกัน" "มาถึงนี่คงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเฉย ๆ กะละมัง" "ข้าพาสามีกลับมาเยี่ยมบ้านและถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แม้พิธีการอะไรก็ไม่จำเป็นแล้วสำหรับตอนนี้ แต่เขาก็ควรจะทำให้ความจริงปรากฏสักหน่อย" "ความจริงอะไร" หม่าเหลียนหลิวเริ่มเสียงสั่น ยิ่งเห็นมุมปากน้องสาวยกขึ้นสูงนางยิ่งเริ่มหวั่น "เจตนาข้าก็เพียงแต่ต้องการความจริงและล้างมลทินให้ตัวเอง ท่านพี่คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้สินะเจ้าคะ" บ
"จดหมาย? จดหมายอะไร?" เขาหันไปคาดคั้นบุตรสาวทันที ขณะที่นางหน้าซีดตัวสั่นไปตั้งแต่ได้ยินไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ "หากท่านพ่อต้องการหลักฐาน ลองค้นห้องนางดูก็น่าจะเจอนะเจ้าคะ" "ไม่ได้นะ!" นางรีบเอ่ยค้านทันที รอยยิ้มของน้องสาวต่างมารดาน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ "ข้าเพียงแค่มาล้างมลทินให้ตนเอง ไม่คิดกลับเข้ามาเหยียบที่นี่ให้เป็นที่รำคาญสายตา ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยเพราะข้าคงไม่กลับมาอีก" หม่าเยี่ยนถิงยอบกายทำความเคารพให้ผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงมาร่างนี้มาในช่วงหนึ่งของชีวิต หลังจากนี้ก็สุดแล้วแต่เขาจะจัดการกับเหลียนหลิว ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนางที่จะยื่นมือเข้าไปสอด แต่หากไม่ทำการลงโทษอะไรใด ๆ เลยสักนิด นางก็คงจะได้ทำด้วยตัวเอง จะว่าเรื่องนี้เป็นของตนก็ไม่ใช่แต่เยี่ยนถิงก็ไม่พอใจอยู่ดี หากสตรีผู้นี้จะได้ชีวิตต่อไปโดยไม่ได้รับบทเรียน "ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ" หม่าเหลียนหลิวยืนการปฏิเสธ คนที่ตกใจกับเรื่องดีที่สุดไม่พ้นเป็นเสนาบดีหม่าไปได้ รวมถึงสาวใช้ที่นั่งตาค้างอยู่กับพื้น ภาพลักษณ์ของคุณหนูใหญ่ในจวนแห่งนี้ถ้าสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน อ่อนหวาน เป็นกุลสตรีตามขนมแคว้น เพรียบพร้อมไปทุกด้าน ใครจะคาดคิดว่า
แต่เมื่อถูกสั่งมาแล้วก็ได้แต่จนใจ หากไม่ทันจริง ๆ ก็ต้องเรียนไปตามนั้น "เดี๋ยว" "เจ้าคะ!" คนถูกเรียกไว้แอบสะดุ้ง ขานรับเสียงตื่นตระหนก "หาคนที่รับทำเรื่องเลว ๆ มาให้ข้าสักกลุ่มสองกลุ่ม" "เจ้าคะ?" นี่คุณหนูของนางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ "ไม่ต้องถามมาก ทำตามที่สั่งก็พอ" "เจ้าค่ะ" สาวใช้ตอบรับเสียงอ่อนระโหยโรยแรง ไม่กี่วันต่อมาบิดาของนางก็ได้รับคำเชิญปากเปล่าจากเหตุที่บังเอิญเจอ หม่าเหลียนหลิวคิดว่าช่างโชคดีนัก นางเป็นสตรีเพียบพร้อม ภายใต้การสั่งสอนของมารดา คิดว่าไม่มีสตรีใดในระดับเดียวกันพรั่งพร้อมดุจเพชรเม็ดงามได้เท่านางอีกแล้ว โอกาสนี้อาจทำให้ท่านลุงมองเห็นแววนางเป็นว่าที่สะใภ้ก็ได้ใครจะรู้ "ยินด้วยที่ได้เลื่อนขั้นเจ้าค่ะ" นางรินสุราให้เขาอย่างเอาอกเอาใจหลังได้นั่งร่วมโต๊ะกันมาระยะหนึ่ง จางจื่อเสวียนเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หม่าเหลียนหลิวมั่นใจว่าคู่ควรกับนางในทุกด้าน อาจดูลำเอียงจากเหตุผลส่วนตัวที่นางมีใจให้เขาอยู่ก่อนแล้ว แต่มันก็เป็นความจริงที่นางปฏิเสธหนังสือดูตัวทุกฉบับที่แม่สื่อส่งมา แล้วทำไมดวงตาคู่นั้นถึงไม่มองตรงมาที่นางเลยสักครั้ง… หญิงสาวมองตามเขาไปจนได้เห็นว่าสิ่งที่
"เรื่องจริงเหรอ"จางจื่อเสวียนคิดว่าเสียงของตนเบาหวิวนักหลังได้ฟังความจริงจากปากนาง ไม่รู้ว่าควรตกใจอะไรก่อนระหว่างสาเหตุการตายของผู้หญิงคนนี้หรือเขาที่เป็นเป้าหมายคนสุดท้ายของนางหากเทียบกันแค่ความรู้สึกปฏิกิริยาของร่างกาย นางที่โดนผ่ากะโหลกต้องเจ็บนานและเจ็บมากกว่าแน่ เขาเองยังนึกภาพตัวเองโดนแบบนั้นไม่ออกเลยแผนงานที่วางไว้หลังจากนั้นล่มหมดเพราะเขาตาย แต่มันก็เป็นงานที่มีโอกาสตายทุกวันจนซ่านหยางเลิกสนใจเรื่องนี้ไปแล้ว เขาไม่สามารถก้าวออกมาจากโลกใต้ดินได้ตลอดชีวิตที่เหลือ การมาที่นี่ แม้จะต้องอาศัยร่างคนอื่นหายใจ แต่ก็ถือเป็นชีวิตใหม่ที่สงบสุขกว่ามากห่วงก็แต่ความรู้สึกของแม่ที่ต้องเสียสามีและลูกไปในเวลาไม่กี่ปี เพราะไม่อาจติดต่อหรือสื่อสารกันได้อีก จึงได้แต่ภาวนาให้มารดาก้าวผ่านช่วงเวลาโศกเศร้าไปได้อย่างเข้มแข็ง เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาอธิษฐานเท่านั้นจริงๆ"ดูเหมือนข้าจะมีปัญหาที่ใจแล้วสิ แบบนี้ยังจะรักข้าได้อีกหรือ" จากสีหน้ากระอักกระอ่วนของเขา นางคิดเป็นอื่นไม่ออกจริง ๆชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจ
"จับหางได้แล้ว แต่ไม่อยากทำให้ไหวตัว""มีคนคุ้มกันลูกไหม"เรื่องนี้นางใจเย็นไม่ได้ ถ้าถูกปองร้ายย่อมลามไปถึงคนใกล้ชิดได้จ่ายมาก แล้วคิดว่าคนที่ปองร้ายคนอื่นจนสนเรื่องคุณธรรมหรืออย่างไร ใครใช้ประโยชน์ต่อรองได้ก็ต้องใช้อยู่แล้วสิ แล้วในสถานการณ์ของจางจื่อเสวียน ใครจะเป็นตัวประกันได้ดีไปกว่านางกับลูก"ข้าสั่งเงาคอยคุ้มกันให้แล้ว แต่ไม่รู้จะราบรื่นขนาดไหน""ใคร""ลำดับสอง"คำสั้น ๆ ที่นางเฉลยให้ตัวเองได้ทันที เป็นองค์ชายรองอย่างแน่นอน เขาเป็นผู้มีความเหมาะสมรองจากรัชทายาท แต่ไม่ว่าความสามารถด้านไหนก็ไม่เคยชนะผู้เป็นพี่ได้เลยจึงมักถูกเอาไปเปรียบเทียบกันอยู่เสมอหม่าเยี่ยนถิงพอเห็นเค้าลางชนวนความแค้นนี้แล้ว แต่มันไม่ใช่หน้าที่ที่นางต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง นางไม่ใช่เทพผู้กุมชะตามนุษย์ ไม่ใช่วีรชนกอบกู้แผ่น ไม่มีอะไรที่นางจะเอาไปใช้งัดข้อกับองค์ชายรองได้หรอกถึงนางจะเป็นมือสังหารอันดับต้น ๆ ขององค์กรณ์มาหลายปี สิ่งที่นางชำนาญคือการลอบสังหารไม่ใช่ต่อสู้ ไม่เห็นแววที่นางจะชนะหากปะทะกันตรงๆ
"จางจื่อเสวียนมาขอพบ""เจ้าค่ะ จะไปเรียนนายท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ"ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ถือวิสาสะเข้าไปอย่างเมื่อวานแต่รออยู่ด้านหน้าจนกระทั่งสาวใช้มาเชิญ และเสนาบดีหม่าก็ได้รับสารสมรสพระราชทานในเช้าวันนี้แล้ว เขาจึงนั่งไม่ติดที่เป็นอย่างมากห้องโถงรับรองแขกของจวนไร้เงาของหม่าเหลียนหลิว จางจื่อเสวียนได้ข่าวว่านางถูกสั่งกักบริเวณ ซึ่งบอกตามตรงว่าเขายังไม่พอใจกับผลการตัดสินนี้ แต่จะรอดูท่าทีของเสนาบดีหม่าไปก่อนว่าจะจัดการอย่างไรต่อซึ่งการมาครั้งนี้หม่าเยี่ยนถิงแค่ทำตัวไร้ตัวตน ไม่ทักทายบิดาของร่างเดิมแม้แต่ครึ่งคำ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของจางสื่อเสวียนจัดการ เพราะอำนาจในมือเขามันมากพอจะจัดการเรื่องนี้ได้"แม่ทัพจางมาหาถึงนี่มีเหตุอันใดหรือ" เสียงของเขาดูอ่อนแรงลงไปมากเมื่อเทียบกับเมื่อวาน คงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่น้อยทีเดียว"เรื่องสินเดิมของนางน่ะขอรับ""อา...สินเดิมสินะ""ท่านอาพอจะจัดการให้ได้เมื่อไร"เขาถอนใจด้วยสีหน้าอ่อนล้าเต็มทน "ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก" 
เมื่อเรื่องสกุลหม่าคลี่คลายลงไปได้ หม่าเยี่ยนถิงก็ให้ความสนใจกับสวนของนางได้เต็มที่ หญิงสาวไปที่ร้านขายอุปกรณ์การเกษตรร้านใหญ่ในเมือง โดยมีจางจื่อเสวียนตามไปด้วย นางสั่งของที่ต้องการแล้วให้นำไปส่งถึงเมืองที่ตั้งบ้านสวน เพราะสิ่งที่นางต้องการหมดไปแล้ว และของใหม่ก็ยังมาไม่ถึง "ว่าไปแล้วเรื่องการทำร้ายท่านไปถึงไหนแล้วล่ะ" พวกเขาคุยกันระหว่างเดินกลับ หม่าเยี่ยนถิงอยากเดินเท้าเปลี่ยนอารมณ์จึงให้รถม้ากลับไปก่อน นางอยากชมบรรยากาศของเมืองเกิดยามค่ำคืนด้วย แสงไฟของโคมที่ประดับอยู่ตามรายทางทำให้ยามค่ำคืนไม่มืดสลัวจนน่ากลัว หรืออาจเป็นเพราะนี่คือเมืองหลวง แม้เป็นยามฟ้ามืดก็ยังครึกครื้น จางจื่อเสวียนแอบมองหญิงสาวอยู่เกือบตลอดเวลา ตั้งใจเก็บภาพของนางไว้ในความทรงจำ หม่าเยี่ยนถิงก็เดินไปอย่างใจลอย แม้รู้ว่าเขามองก็ไม่ได้ห้ามปราม เพราะนางก็คิดเรื่องของเขาอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มผู้นี้คล้ายจะถนอมนางมากไปจนไม่กล้าล่วงเกิน ซึ่งหากเขาต้องการนางก็ไม่ติดขัดเลยสักนิด อยู่ที่ว่าจะพร้อมเมื่อไหร่เท่านั้น เวลาป่านนี้เด็ก ๆ คงเข้านอนแล้ว หม่าเยี่ยนถิงมอบหมายให้พี่เลี้ยงเป็นผู้เล่านิทานให้เด็กๆ ฟังก็หลายวันแล้วเ
"เป่าเปา ทางนั้นมีร้านเปาจื่อลูกใหญ่ เราไปดูกันเถอะ" หม่าเยี่ยนถิงจูงมือเด็ก ๆ เข้าไปในตรอกถนนเส้นหนึ่ง หากผ่านถนนเส้นนี้ไปได้จะพบร้านขายเปาจื่อรสอร่อยร้านหนึ่ง ถนนเส้นนี้เป็นทางยาวและแคบ เดินหน้ากระดานสามคนก็เต็มแล้ว สาวใช้กับผู้ติดตามยังรู้งานให้พวกเจ้านายผ่านเข้าไปก่อนระยะหนึ่ง และตอนเดินได้ถึงครึ่งทางนั้นเองก็มีกลุ่มคนชุดดำพุ่งเข้ามา หม่าเยี่ยนถูกกระบี่จี้คอจนถอยร่นติดกำแพง เด็ก ๆ ร้องไห้แผดเสียงลั่นก่อนจะโดนคนพวกนั้นอุดปาก หญิงสาวหน้าตึงเปรี๊ยะจนเผลอกำหมัดไม่รู้ตัว นางจ้องพวกมันเขม็ง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ซัดมีดบินสวนคืน ผู้คุ้มกันที่ติดตามกำลังจะเข้าไปขวางแต่ฮูหยินก็อาศัยช่วงชุลมุนดีดนิ้วเป็นสัญญาณที่ได้นัดแนะกันไว้ก่อนแล้ว พวกเขาจึงรอดูท่าทีอีกครั้ง "รีบไสหัวไปจากเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นไม่จบแค่นี้แน่" หม่าเยี่ยนถิงแสร้งทำหวาดกลัว "พะ พวกเจ้าเป็นใคร ข้าไปทำอะไรให้หรือ" "ไม่ใช่พวกข้าแต่เป็นคนที่สั่งพวกข้ามาต่างหาก" "ข้าก็ไม่รู้อยู่ดี วะ ว่าใคร พะ พวกท่านใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คุยกันเถอะ" "ใครสั่งให้พูด!" หญิงสาวร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจ "สา สามีข้าเป็นถึงแม่ทัพ ทะ ทำไมพวกเจ้าจึ
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ