"จางจื่อเสวียนมาขอพบ"
"เจ้าค่ะ จะไปเรียนนายท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ" ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ถือวิสาสะเข้าไปอย่างเมื่อวานแต่รออยู่ด้านหน้าจนกระทั่งสาวใช้มาเชิญ และเสนาบดีหม่าก็ได้รับสารสมรสพระราชทานในเช้าวันนี้แล้ว เขาจึงนั่งไม่ติดที่เป็นอย่างมาก ห้องโถงรับรองแขกของจวนไร้เงาของหม่าเหลียนหลิว จางจื่อเสวียนได้ข่าวว่านางถูกสั่งกักบริเวณ ซึ่งบอกตามตรงว่าเขายังไม่พอใจกับผลการตัดสินนี้ แต่จะรอดูท่าทีของเสนาบดีหม่าไปก่อนว่าจะจัดการอย่างไรต่อ ซึ่งการมาครั้งนี้หม่าเยี่ยนถิงแค่ทำตัวไร้ตัวตน ไม่ทักทายบิดาของร่างเดิมแม้แต่ครึ่งคำ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของจางสื่อเสวียนจัดการ เพราะอำนาจในมือเขามันมากพอจะจัดการเรื่องนี้ได้ "แม่ทัพจางมาหาถึงนี่มีเหตุอันใดหรือ" เสียงของเขาดูอ่อนแรงลงไปมากเมื่อเทียบกับเมื่อวาน คงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่น้อยทีเดียว "เรื่องสินเดิมของนางน่ะขอรับ" "อา...สินเดิมสินะ" "ท่านอาพอจะจัดการให้ได้เมื่อไร" เขาถอนใจด้วยสีหน้าอ่อนล้าเต็มทน "ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก" ตึกระฟ้าทันสมัยบ่งบอกความศิวิไลซ์ของเมืองแห่งนี้ ย่านธุรกิจที่มีคนใส่สูทผูกไทเดินพลุกพล่าน เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว แล้วก็เหมาะกับการค้นหาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงข้ามถนนมาเลนส์เดียวก็มีทัศนียภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงหนึ่งถนนกั้นก็เป็นย่านชุมชนแออัด มีตึกถูกทิ้งร้างเอาไว้ถึงสามแห่ง แต่พวกชาวบ้านแร้นแค้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างขึ้นไป ที่พอจะดูดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ที่เธอจับจองพื้นที่บริเวณดาดฟ้าเอาไว้ เยี่ยนถิงนั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นพิเศษที่เธอถือวิสาสะขอใช้งาน รายงานของคู่หูบอกว่าเป้าหมายของเธอจะเดินทางมาพักใกล้ๆ นี่ และเจรจาธุรกิจกันที่ตึกระฟ้านั่นด้วย เธอเฝ้ารออย่างใจเย็นมาหลายวัน รอเพิ่มอีกวันหรือสองไม่สะเทือนเส้นความอดทนเธอหรอก เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อที่ชื่อว่าเกาะฮ่องกง ผู้นำตระกูลมาเฟียหนึ่งในสามอันดับแรกที่มีอิทธิพลที่สุด ภารกิจของเธอคือฆ่าเขาเสีย ตัวตนนักฆ่าอย่างเยี่ยนถิงทำงานตามคำสั่งผู้ว่าจ้าง แต่เวลาที่คนใกล้ชิดของเหยื่อมาทวงคืนความแค้น กลับไม่ได้ไปลงที่ผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเครื่องมือสังหารเดินได้อย่างพวกเธอ เครื่องสื่อสารขนาดจ
"มัวทำอะไรอยู่ ขึ้นเรือสิ" โจวเจี้ยนหนี่ไม่ตอบ แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ เยี่ยนถิงหรี่ตาลง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล " หืม? ไม่นี่ แค่องค์กรติดต่องานใหม่มา" "งานอะไร ทำไมติดต่อผ่านนายไม่ใช่ฉัน" "เป็นงานที่ให้ฉันทำนี่ จะติดต่อเธอทำไมล่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เพราะคำตอบมันสมเหตุสมผล เยี่ยนถิงเลยเลิกใส่ใจเขาแล้วก้าวลงไปบนเรือยนต์ที่เตรียมไว้ หญิงสาวโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่งแล้วเดินไปที่ส่วนหน้าที่มีแผงควบคุม ทว่าอาจเพราะเธอไว้ใจคู่หูมากเกินไป ทั้งที่งานแบบนี้ไม่ควรไว้ใจทั้งนั้น เพราะมันมีการหักหลังได้ตลอดเวลา วัตถุหนัก ๆ แข็ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ฟาดเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรงจนหมดสติในทันที โจวเจี้ยนหนี่ยิ้มกริ่มต่อสายถึงองค์กร "เสร็จงานแล้วครับ มารับตัวเธอได้เลย…"ความรู้สึกปวดหนึบแล่นขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว เธอฝืนลืมตาอย่างยากลำบากแล้วก็พบแสงไฟสว่างจ้าที่ติดอยู่บนเพดานด้านบน เสียงพูดคุยดังระงมทันทีที่เธอตื่น แต่เยี่ยนถิงจับใจความไม่ได้สักประโยค ตอนนี้เธอปวดหัวอย่างรุนแรงจนสามารถหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ นี่เธออยู่ที่ไหนกัน "รู้สึกตัวแล้วเหรอ ช้ากว่าที่คิดนะ โจวคงหนักมือกับเธอไปหน่อย แต
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที
เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
"ท่านแม่ ถ้าความสูงประมาณนี้ล่ะก็ เราหยิบไข่บนรังนกได้บางรังเลยนะ" จื่อเหวินตาวาววับหลังได้สัมผัสมุมมองใหม่ "นั่นก็ถูกของเจ้า แต่จะเก็บไข่ไปพร่ำเพรื่อไม่ได้หรอกนะ" "ทำไมล่ะขอรับ?" "พวกมันเป็นนกป่า มีศัตรูตามธรรมชาติมากพออยู่แล้ว หากเราเอาไข่มันมากินทุกครั้งที่เจอ ลูกนกก็จะไม่ได้เกิด แล้วถ้ามีคนทำแบบนี้ทุกวันวันละร้อยละพันคน พวกมันคงสูญพันธุ์ในสักวัน" "ท่านแม่ สูญพันธุ์คืออะไรขอรับ?" "เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมันตัวเป็น ๆ อีกหลังจากนั้น เหลือเพียงซากโครงกระดูกให้เจ้าเรียนรู้ว่าเคยมีมันอาศัยอยู่ร่วมกับเรา" "ฟังดูเศร้าจัง" "ฟังดูเศร้าจริง ๆ" เยี่ยนถิงยืนยันคำตอบด้วยสายตาว่างเปล่า จะกล่าวว่านางไม่สนต่อหน้าพวกเขาก็คงไม่ได้ ต่อให้ต้องล่าสัตว์ทั้งป่านางก็คงไม่รู้สึกอะไร และที่มันสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุก็เป็นเรื่องจริงเดินเข้ามาลึกอีกนิด เยี่ยนถิงก็พบแหล่งพืชผลที่เก็บได้ เด็กเดินไปขุนหัวมันอยู่ทางหนึ่ง ส่วนนางก็ขุดเผือกและเก็บผลไม้อยู่ไม่ไกล ของพวกนี้เก็บไปมาก ๆ ใช่ว่าจะดี หากเก็บตามใจคงไม่มีเหลือให้กินถึงวันหน้า คนที่มาทีหลังก็จะได้เข้าป่าลึกขึ้นไปอีกด้วย ข้าคงต้องหางานทำแล้ว นางป
หม่าเยี่ยนถิงนับเวลารออยู่ในใจ กระทั่งเด็ก ๆ หลับมา นางได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ไกล "ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว" "เที่ยวเดียวไม่พอหรอกนะ" "ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ายังแบกถังน้ำใหญ่ไม่ได้ ต้องไปอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ" หม่าเยี่ยนถิงฉีกยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรสาว นางลูบผมบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหาแฝดผู้พี่ที่ทำหน้ารอคอยอยู่เช่นกัน "มานี่มา" พอเขาเข้ามาใกล้นางก็ลูบศีรษะเขาเบา ๆ เช่นกัน ไม่ให้เขาน้อยใจว่ามารดารักน้องสาวมากกว่า "เจ้าเก่งที่พาตัวเองกับเหมียวเหมียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย" คนได้รับคำชมรู้สึกหัวใจพองโตจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เด็กชายยิ้มกว้างแข่งกับมารดา แล้วน้องสาวก็ยิ้มตาม หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ "ไม่เห็นท่านแม่ยิ้มนานแล้ว ปกติท่านแม่เอาแต่ร้องไห้ ท่านแม่ต้องยิ้มอีกเยอะ ๆ เจ้าคะ" หนี่เหวินเบิกตากว้างมองมารดาอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวออกมาจากหัวใจดวงน้อย ๆ นางชอบเวลาท่านแม่ยิ้มเป็นอย่างมากเพราะเหมือนโลกของนางสดใสขึ้นมาทันที "พวกเจ้าก็ต้องยิ้มเยอะ ๆ เหมือนกัน" ให้ความสดใสและความหวังนี้ อยู่ตราบนานเท่านาน หม่าเยี่ยนถิงมองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู พวกเขาน
"จางจื่อเสวียนมาขอพบ""เจ้าค่ะ จะไปเรียนนายท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ"ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ถือวิสาสะเข้าไปอย่างเมื่อวานแต่รออยู่ด้านหน้าจนกระทั่งสาวใช้มาเชิญ และเสนาบดีหม่าก็ได้รับสารสมรสพระราชทานในเช้าวันนี้แล้ว เขาจึงนั่งไม่ติดที่เป็นอย่างมากห้องโถงรับรองแขกของจวนไร้เงาของหม่าเหลียนหลิว จางจื่อเสวียนได้ข่าวว่านางถูกสั่งกักบริเวณ ซึ่งบอกตามตรงว่าเขายังไม่พอใจกับผลการตัดสินนี้ แต่จะรอดูท่าทีของเสนาบดีหม่าไปก่อนว่าจะจัดการอย่างไรต่อซึ่งการมาครั้งนี้หม่าเยี่ยนถิงแค่ทำตัวไร้ตัวตน ไม่ทักทายบิดาของร่างเดิมแม้แต่ครึ่งคำ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของจางสื่อเสวียนจัดการ เพราะอำนาจในมือเขามันมากพอจะจัดการเรื่องนี้ได้"แม่ทัพจางมาหาถึงนี่มีเหตุอันใดหรือ" เสียงของเขาดูอ่อนแรงลงไปมากเมื่อเทียบกับเมื่อวาน คงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่น้อยทีเดียว"เรื่องสินเดิมของนางน่ะขอรับ""อา...สินเดิมสินะ""ท่านอาพอจะจัดการให้ได้เมื่อไร"เขาถอนใจด้วยสีหน้าอ่อนล้าเต็มทน "ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก" 
"จับหางได้แล้ว แต่ไม่อยากทำให้ไหวตัว""มีคนคุ้มกันลูกไหม"เรื่องนี้นางใจเย็นไม่ได้ ถ้าถูกปองร้ายย่อมลามไปถึงคนใกล้ชิดได้จ่ายมาก แล้วคิดว่าคนที่ปองร้ายคนอื่นจนสนเรื่องคุณธรรมหรืออย่างไร ใครใช้ประโยชน์ต่อรองได้ก็ต้องใช้อยู่แล้วสิ แล้วในสถานการณ์ของจางจื่อเสวียน ใครจะเป็นตัวประกันได้ดีไปกว่านางกับลูก"ข้าสั่งเงาคอยคุ้มกันให้แล้ว แต่ไม่รู้จะราบรื่นขนาดไหน""ใคร""ลำดับสอง"คำสั้น ๆ ที่นางเฉลยให้ตัวเองได้ทันที เป็นองค์ชายรองอย่างแน่นอน เขาเป็นผู้มีความเหมาะสมรองจากรัชทายาท แต่ไม่ว่าความสามารถด้านไหนก็ไม่เคยชนะผู้เป็นพี่ได้เลยจึงมักถูกเอาไปเปรียบเทียบกันอยู่เสมอหม่าเยี่ยนถิงพอเห็นเค้าลางชนวนความแค้นนี้แล้ว แต่มันไม่ใช่หน้าที่ที่นางต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง นางไม่ใช่เทพผู้กุมชะตามนุษย์ ไม่ใช่วีรชนกอบกู้แผ่น ไม่มีอะไรที่นางจะเอาไปใช้งัดข้อกับองค์ชายรองได้หรอกถึงนางจะเป็นมือสังหารอันดับต้น ๆ ขององค์กรณ์มาหลายปี สิ่งที่นางชำนาญคือการลอบสังหารไม่ใช่ต่อสู้ ไม่เห็นแววที่นางจะชนะหากปะทะกันตรงๆ
"เรื่องจริงเหรอ"จางจื่อเสวียนคิดว่าเสียงของตนเบาหวิวนักหลังได้ฟังความจริงจากปากนาง ไม่รู้ว่าควรตกใจอะไรก่อนระหว่างสาเหตุการตายของผู้หญิงคนนี้หรือเขาที่เป็นเป้าหมายคนสุดท้ายของนางหากเทียบกันแค่ความรู้สึกปฏิกิริยาของร่างกาย นางที่โดนผ่ากะโหลกต้องเจ็บนานและเจ็บมากกว่าแน่ เขาเองยังนึกภาพตัวเองโดนแบบนั้นไม่ออกเลยแผนงานที่วางไว้หลังจากนั้นล่มหมดเพราะเขาตาย แต่มันก็เป็นงานที่มีโอกาสตายทุกวันจนซ่านหยางเลิกสนใจเรื่องนี้ไปแล้ว เขาไม่สามารถก้าวออกมาจากโลกใต้ดินได้ตลอดชีวิตที่เหลือ การมาที่นี่ แม้จะต้องอาศัยร่างคนอื่นหายใจ แต่ก็ถือเป็นชีวิตใหม่ที่สงบสุขกว่ามากห่วงก็แต่ความรู้สึกของแม่ที่ต้องเสียสามีและลูกไปในเวลาไม่กี่ปี เพราะไม่อาจติดต่อหรือสื่อสารกันได้อีก จึงได้แต่ภาวนาให้มารดาก้าวผ่านช่วงเวลาโศกเศร้าไปได้อย่างเข้มแข็ง เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาอธิษฐานเท่านั้นจริงๆ"ดูเหมือนข้าจะมีปัญหาที่ใจแล้วสิ แบบนี้ยังจะรักข้าได้อีกหรือ" จากสีหน้ากระอักกระอ่วนของเขา นางคิดเป็นอื่นไม่ออกจริง ๆชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจ
แต่เมื่อถูกสั่งมาแล้วก็ได้แต่จนใจ หากไม่ทันจริง ๆ ก็ต้องเรียนไปตามนั้น "เดี๋ยว" "เจ้าคะ!" คนถูกเรียกไว้แอบสะดุ้ง ขานรับเสียงตื่นตระหนก "หาคนที่รับทำเรื่องเลว ๆ มาให้ข้าสักกลุ่มสองกลุ่ม" "เจ้าคะ?" นี่คุณหนูของนางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ "ไม่ต้องถามมาก ทำตามที่สั่งก็พอ" "เจ้าค่ะ" สาวใช้ตอบรับเสียงอ่อนระโหยโรยแรง ไม่กี่วันต่อมาบิดาของนางก็ได้รับคำเชิญปากเปล่าจากเหตุที่บังเอิญเจอ หม่าเหลียนหลิวคิดว่าช่างโชคดีนัก นางเป็นสตรีเพียบพร้อม ภายใต้การสั่งสอนของมารดา คิดว่าไม่มีสตรีใดในระดับเดียวกันพรั่งพร้อมดุจเพชรเม็ดงามได้เท่านางอีกแล้ว โอกาสนี้อาจทำให้ท่านลุงมองเห็นแววนางเป็นว่าที่สะใภ้ก็ได้ใครจะรู้ "ยินด้วยที่ได้เลื่อนขั้นเจ้าค่ะ" นางรินสุราให้เขาอย่างเอาอกเอาใจหลังได้นั่งร่วมโต๊ะกันมาระยะหนึ่ง จางจื่อเสวียนเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หม่าเหลียนหลิวมั่นใจว่าคู่ควรกับนางในทุกด้าน อาจดูลำเอียงจากเหตุผลส่วนตัวที่นางมีใจให้เขาอยู่ก่อนแล้ว แต่มันก็เป็นความจริงที่นางปฏิเสธหนังสือดูตัวทุกฉบับที่แม่สื่อส่งมา แล้วทำไมดวงตาคู่นั้นถึงไม่มองตรงมาที่นางเลยสักครั้ง… หญิงสาวมองตามเขาไปจนได้เห็นว่าสิ่งที่
"จดหมาย? จดหมายอะไร?" เขาหันไปคาดคั้นบุตรสาวทันที ขณะที่นางหน้าซีดตัวสั่นไปตั้งแต่ได้ยินไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ "หากท่านพ่อต้องการหลักฐาน ลองค้นห้องนางดูก็น่าจะเจอนะเจ้าคะ" "ไม่ได้นะ!" นางรีบเอ่ยค้านทันที รอยยิ้มของน้องสาวต่างมารดาน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ "ข้าเพียงแค่มาล้างมลทินให้ตนเอง ไม่คิดกลับเข้ามาเหยียบที่นี่ให้เป็นที่รำคาญสายตา ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยเพราะข้าคงไม่กลับมาอีก" หม่าเยี่ยนถิงยอบกายทำความเคารพให้ผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงมาร่างนี้มาในช่วงหนึ่งของชีวิต หลังจากนี้ก็สุดแล้วแต่เขาจะจัดการกับเหลียนหลิว ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนางที่จะยื่นมือเข้าไปสอด แต่หากไม่ทำการลงโทษอะไรใด ๆ เลยสักนิด นางก็คงจะได้ทำด้วยตัวเอง จะว่าเรื่องนี้เป็นของตนก็ไม่ใช่แต่เยี่ยนถิงก็ไม่พอใจอยู่ดี หากสตรีผู้นี้จะได้ชีวิตต่อไปโดยไม่ได้รับบทเรียน "ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ" หม่าเหลียนหลิวยืนการปฏิเสธ คนที่ตกใจกับเรื่องดีที่สุดไม่พ้นเป็นเสนาบดีหม่าไปได้ รวมถึงสาวใช้ที่นั่งตาค้างอยู่กับพื้น ภาพลักษณ์ของคุณหนูใหญ่ในจวนแห่งนี้ถ้าสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน อ่อนหวาน เป็นกุลสตรีตามขนมแคว้น เพรียบพร้อมไปทุกด้าน ใครจะคาดคิดว่า
"เสี่ยวถิงถิง ไม่ได้กลับบ้านเสียนาน ทุกวันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หม่าเหลียนหลิวยื่นตะกร้าใส่ของที่เพิ่งไปตลาดมาใส่มือสาวใช้คนสนิท เดินเข้าศาลามาคว้ามือน้องสาวไปกุมไว้ หม่าเยี่ยนถิงมองนิ่งก่อนจะชักมือออกช้า ๆ หม่าเหลียนหลิว รู้สึกเสียหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา "ข้าคงทำให้เจ้าอึดอัดสินะ ไม่ได้พบกันนานก็คงเป็นเช่นนี้" อดีตมือสังหารสาวถึงกับอดหรี่ตามองไม่ได้ พี่สาวต่างมารดาผู้นี้ช่างพูดอะไรได้ไร้สาระจริง ๆ หากนางมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยสักนิดก็คงไปเยี่ยมเยียนบ้าง แต่หม่าเยี่ยนถิงก็ไม่คาดหวังกับสังคมที่มีธรรมเนียมเช่นนี้เลย "เมื่อก่อนลำบากแต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ หวังว่าพี่หญิงคงจะสบายดีเช่นกัน" "มาถึงนี่คงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเฉย ๆ กะละมัง" "ข้าพาสามีกลับมาเยี่ยมบ้านและถือโอกาสแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แม้พิธีการอะไรก็ไม่จำเป็นแล้วสำหรับตอนนี้ แต่เขาก็ควรจะทำให้ความจริงปรากฏสักหน่อย" "ความจริงอะไร" หม่าเหลียนหลิวเริ่มเสียงสั่น ยิ่งเห็นมุมปากน้องสาวยกขึ้นสูงนางยิ่งเริ่มหวั่น "เจตนาข้าก็เพียงแต่ต้องการความจริงและล้างมลทินให้ตัวเอง ท่านพี่คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้สินะเจ้าคะ" บ
ภาพลักษณ์ของหม่าเหลียนหลิวในบ้านหลังนี้คือ สตรีเพรียบพร้อมอ่อนหวาน ทุกอย่างล้วนผ่านการคิดมาแล้วเพื่อจัดการงานภายในบ้านในฐานะภรรยาในอนาคตของใครสักคน หากจะผิดพลาดไปบ้างบิดามารดาก็ไม่ได้ต่อว่าแล้วให้กำลังใจอยู่เรื่อย ๆ "ช่างเถิด ข้าจะไปรอที่ศาลา หากท่านพ่อไม่อยากพบข้า ก็บอกไปว่าพาสามีมาให้รู้จัก" พูดจบก็เดินเข้าหลบแดดรอดังที่ว่า สาวใช้นางนั้นจะไปบอกบิดาอย่างไรนางไม่สน แต่ถ้าเขาไม่ออกมา นางก็จะบีบให้ออกมาเอง จางจื่อเสวียนคงใกล้ออกจากวังแล้ว รออยู่ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าสาวใช้คนนั้นจะกลับมา "คุณหนูรอง คือว่า..." "พูดมา" สาวใช้คนนั้นหวาดกลัวแทบเสียสติ นางไม่เคยเห็นคุณหนูรองเป็นเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้นางจะช่วงเวลานิ่งสงบและทำหน้าจริงจังเวลาใช้สมาธิ แต่ก็ไม่เคยนิ่งเงียบได้ขนาดนี้ ราวกับว่าโกรธอยู่ตลอดเวลา นางรายงานนายท่านไปตามจริงว่าคุณหนูรองดูแปลก ๆ นิสัยไม่เหมือนเดิม เสนาบดีหม่าคิดว่ามีคนแอบอ้างเป็นบุตรสาว ทั้งตอนจากกันครั้งนั้นก็ไม่ได้ลงเอยด้วยดี เขาจึงบอกปัดไม่ออกมาพบและให้ไล่ไป สาวใช้หนักใจเป็นอย่างมาก แล้วก็เป็นอย่างที่คาดว่าคุณหนูรองต้องไม่พอใจ แต่บ่าวอย่างนางจะมีปากเสียงอะไรได้ หม่าเ
หม่าเยี่ยนถิงที่แอบฟังอยู่เห็นด้วยในจุดนี้ จางจื่อเสวียนอยู่ติดบ้านมาก ๆ แม้แต่ตอนที่ยังอาศัยอยู่กับนางที่เมืองนั้นซึ่งความทรงจำเป็นอิสระแล้ว เขาก็ยังคงนิสัยไม่ชอบข้องเกี่ยวกับใครเกินจำเป็นอยู่ดี หรือบางทีอุปนิสัยเดิมของผู้สวมร่างก็มีผลด้วยแต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวผู้นี้เล่า นั่นเป็นสามีของข้า"คุณหนูใจเย็นไว้เถอะเจ้าค่ะ ยังไม่มีข่าวว่าท่านแม่ทัพสนใจสตรีนางใด ไม่แน่ว่าอาจแอบมีใจให้คุณหนูอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะเจ้าคะ"ว่าแล้วสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกัน สตรีวัยแรกแย้มกับดรุณีที่มั่นหมายในใจว่าจะออกเรือนในเร็ววันหัวเราะกันเสียงเล็กเสียงน้อย พูดหยอกเย้าถึงบุรุษที่ตนได้พบเจอในแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมาแทนที่บุรุษที่นางปรารถนาในใจได้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วสิหญิงสาวในเงามืดหรี่ตามอง รู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจอย่างเงียบงัน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นประกายบางอย่างที่สะท้อนแสงตะเกียงจากใต้เตียงนอนของนาง หม่าเยี่ยนถิงย่อตัวลง รอคอยปฏิบัติการคืนนี้อย่างใจเย็น กระทั่งแสงตะเกียงในห้องนางดับลงไปครู่ใหญ่ แน่ใจว่าหญิงสาวทั้งสองที่หลับอยู่
"มันต้องใช้เวลาอุ้มท้องกี่เดือน" นางถามโดยไม่ละสายตาไปจากลายพาดกลอนตรงหน้า"หนึ่งปีกับอีกหกเดือน"นานอยู่นะนั่น แต่ก็ถือว่ามันรู้จุดประสงค์แรกเริ่ม"เข้าใจแล้ว เอาตามที่ตกลงกันเมื่อครู่ก็แล้วกัน""รบกวนท่านหญิงแล้วจริงๆ"หลังเสร็จธุระเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงทั้งสามก็มาส่งนางถึงหน้ากำแพงเมือง หม่าเยี่ยนถิงคิดว่าต้องใช้เวลาไม่นานแต่พบว่ากว่าจะกลับมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไรอีกตามเคยข้ายุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หลังจบงานที่เมืองหลวงแล้วยังต้องกลับไปดูแลสวนอีก จ้างคนงานสักหน่อยดีไหมนะ?"กลับมาแล้ว" ทันทีที่เข้ามาในจวนก็ร้องบอกจางจื่อเสวียนอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกการมีคนรออยู่บ้านช่างดีจริง ๆ"กลับมาแล้วเหรอ" เมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยถามและดวงตาคู่คมมองมาหม่าเยี่ยนถิงจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มบางเบา"ยังไม่กลับ""ยังไม่กลับหรอกเหรอ" ทั้งคู่สบตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ"ท่านพ่อท่านแม่เล่นอะไรกันอยู่ขอรับ" จางจื่อเหวินไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ดวงตา