ยามค่ำคืนในรถมาเช่นนี้มีเพียงแสงจันทร์ให้ความสว่าง องค์ชายรองนั่งกลมกลืนไปกับเงาด้านหลังจึงเห็นได้เพียงรอยยิ้มจากเสี้ยวหน้าที่ต้องแสงจันทร์นั้น "แต่กระหม่อมไม่ได้เข้าวังกับภรรยา" "นั่นก็นับพอดีแล้วไม่ใช่หรือ นางไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับฮองเฮา ใครจะสงสัยภรรยาเจ้าได้เล่า" ที่กล่าวมานั้นก็มีเหตุผล นับว่าองค์ชายรองคาดการณ์ได้รอบคอบนัก แต่อุบายนี้ทั้งเขาและหม่าเยี่ยนถิงเห็นผ่านตาจากภาพยนตร์ในโลกก่อนมานับไม่ถ้วนแล้ว เพราะฉะนั้นแผนการนี้จึงมีช่องโหว่ไม่น้อย และจะนับว่าเป็นโชคเข้าข้างหรืออย่างไรดี ที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีองค์ความรู้จากโลกในกาลข้างหน้า จึงสามารถผลิกสถานการณ์กลับมาที่ฝั่งตนเองได้โดยที่องค์ชายรองไม่รู้ตัว ที่เหลือนั้นก็ต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของหม่าเยี่ยนถิงว่าจะเกลี้ยกล่อมฮองเฮาสำเร็จหรือไม่ กำหนดการเดินทางที่ฮองเฮานัดหมายมาในเทียบเชิญนั้นคืออีกสองวันให้หลังหรือก็คือวันมะรืน หม่าเยี่ยนถิงทอนหายใจโล่งอกทันทีที่แม่สามีมาช่วยทันเวลา เพราะหากนางทำลำพังกับพ่อบ้าน เกรงว่าจะเสร็จไม่ทันการแน่ จวนแม่ทัพจางยังคงวุ่นวาย แต่ก็อยู่ในความดูแลของฮูหยินใหญ่ แม้สะใภ้จะออกปากว่าจะกลับบ้านส
หลังจากหม่าเยี่ยนถิงไปพบพระนางวันนั้น ฮองเฮาก็เริ่มแสดงอาการป่วยกระเสาะกระแสออกมา ทั้งยังหนักขึ้นเรื่อย ๆ แค่เพียงข้ามวันราวกับถูกพิษ แต่อาหารของพระนางและเครื่องสำรับคาวหวานกลับตรวจไม่พบพิษเลย กระทั่งถ้วยชาก็ไม่ ฮ่องเต้เป็นห่วงฮองเฮาจนเจียนประชวรตาม สร้างความระส่ำระสายให้แก่ขุนนางเป็นอันมาก กลางดึกคืนหนึ่ง จางจื่อเสวียนก็ได้รับคำเชิญอีกเช่นเคย ทั้งที่กลางค่ำกลางคืนอย่างควรได้นอนหลับสบาย ๆ อยู่จวนกับภรรยา กลับต้องมาวิ่งเต้นเป็นนกสองหัวปลอมอยู่นี่ ทำเอาชายหนุ่มหงุดหงิดไม่น้อย "องค์ชายรองมีสิ่งใดต้องการหรือพ่ะย่ะค่ะ" "ควรถึงเวลาที่ตำแหน่งมารดาแผ่นดินจะว่างลงชั่วคราวได้แล้ว" ประโยคนี้ทำให้จางจื่อเสวียนหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาท่าทีนิ่งขรึม "องค์ชายรองเรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ฮองเฮาประชวรฝ่าบาทจึงได้มีการเพิ่มมาตรการป้องกันมากขึ้นทั้งการตรวจพิษ และคนเข้าออกของวังหลังเข้มงวดมาก แม้แต่ภรรยาของกระหม่อมก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปโดยง่ายดังเก่าแล้ว" "เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงไป เพราะครั้งนี้คนที่ลงมือจะเป็นพระชายา" พระชายาหงเตี๋ยเป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีหง นิสัยมักใหญ่ใฝ่สู
"งานราชกิจยุ่งมากหรือ ท่านถึงกลับมาป่านนี้" "ไปคุยกันที่ห้องหนังสือหลังมื้อเย็นเถิด" เขาส่งสายตาเป็นสัญญาณ นางพยักหน้าเข้าใจได้ทันที "เด็ก ๆ วันนี้พอก่อน ไปกินข้าวกันเถอะ" เพราะได้เล่นมาสักพักแล้วพวกเขาจึงไม่งอแงที่ต้องเลิกเร็ว เด็กทั้งสองเก็บของที่กระจายอยู่ใส่หีบไม้อย่างระมัดระวังแล้วยกไปเก็บห้องใครห้องมันโดยไม่ขอพี่เลี้ยงให้ช่วย แม้จะมีสิทธิ์ทำได้แต่หม่าเยี่ยนถิงไม่อยากให้ลูกพึ่งพาคนอื่นมากเกินไปจนเคยตัว มียศได้ก็เสียยศได้ หากวันหนึ่งถูกใส่ร้ายโดนริบทรัพย์ขึ้นมาจะลำบากตน และใช่ว่าการใส่ร้ายจะได้รับการเปิดโปงเสียทุกครั้งไป หลายครั้งที่ความยุติธรรมไปไม่ถึงความจริง ด้วยเหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่างนั้น ดังนั้นหากเลี่ยงได้ก็จงเลี่ยงให้ถึงที่สุด หาไม่แล้วก็ต้องสู้ยิบตา หลังทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก็ส่งเด็ก ๆ เข้านอน หม่าเยี่ยนถิงก็มาพบสามีที่ห้องอักษรห้องเดิม สีหน้าของเขาตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด "องค์ชายรองสั่งการมาอีกแล้วสินะ" "ใช่ คราวนี้จะใช้อุบายอะไรล่ะ" จางจื่อเสวียนพยักหน้ายอมรับ และเล่าเรื่องทั้งหมดรวมทั้งถามหาอุบายที่จะเข้าไปในวังในครั้งนี้ด้วย "เขาอยากให้ข้าไปพบฮองเฮา เช่นนั้นห
เมื่อตำแหน่งหงส์เคียงมังกรว่างเว้น โอรสธิดาทั้งหลายก็หวังอยากจะให้มารดาของตนขึ้นตำแหน่งแทน บางคนที่ไม่ได้มาหาพระบิดาบ่อยนักก็ยังมาเยี่ยมเยียนและพูดคุยด้วยบ่อย ๆ พูดชมมารดาในแง่ดีให้ฝ่าบาททรงเห็นใจหรือสนพระทัยบ้าง แม้มีโอกาสเพียงนิดที่จะเป็นมารดาของตนพวกนางก็ต้องเสี่ยง ยิ่งกับตระกูลเล็กตระกูลน้อยที่ไม่มีใครสนับสนุนหรือคุ้มหัวได้ในวังหลวง ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เมื่อฝ่ายองค์ชายเองก็ปรารถนาที่จะให้ตนขึ้นไปแทนที่พระบิดาได้ ไม่ใช่องค์รัชทายาทที่ถูกวางไว้ ฮ่องเต้มีโอรสด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดพระองค์ องค์หญิงสิบพระองค์ ทั้งหมดเกิดจากหนึ่งฮองเฮา สิบสนม โอรสและธิดาทั้งหมดยังมีนิสัยแตกต่างกัน แต่ผู้ที่ใฝ่สูงอยากเทียบเคียงองค์รัชทายาทอย่างชัดเจนมีเพียงองค์ชายรอง องค์ชายสี่ก็เป็นผู้มีคุณสมบัติอีกคนหนึ่ง ทว่าไม่ปรารถนาจะสืบทอด จึงหลบเป็นสงครามชิงบัลลังก์ปลีกวิเวกไปเฝ้าระวังที่ชายแดน เวลานี้ราชสำนักไม่มั่นคงแล้ว เพื่อเป็นการหยุดองค์ชายรองให้ได้อย่างเด็ดขาด สองสามีภรรยาจวนแม่ทัพทำงานกันอย่างหนัก หนักเสียจนจางจื่อเสวียนแอบคิดว่าหลังสร้างความดีความ
"ขุนนางฉ้อฉล คดโกงบ้านเมือง ริบทรัพย์สินทั้งหมดคืนท้องพระคลัง ปลดเป็นสามัญชน!" "ฝ่าบาทโปรเมตตาด้วย ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ" "เอาตัวออกไป!" ท้องพระรองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โอรสสวรรค์ปรับลมหายใจให้สงบแม้ในใจจะร้อนรุ่มแทบมอดไหม้แล้วก็ตาม "มีใครจะพูดอะไรอีกไหม" ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ ใบหน้าแสนเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน ความรับผิดชอบอันหนังอึ้งของแผ่นดินนี้เขาเป็นผู้แบกรับ ฉะนั้นผู้ที่จะมาสืบทอดต่อหากไม่เทียบเท่ากันแล้วก็ต้องหนักแน่นให้ได้มากกว่าตน "ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องจะถวายฎีกาพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น "ว่ามา" "จวนช่างหยูลักลอบเปิดบ่อนพนัน ใช้ทรัพย์สินราชการในทางมิชอบ" "มะ ไม่จริงนะพะยะค่ะฝ่าบาท! กระหม่อมโดนใส่ร้าย!" "เอาจวนที่ข้าประทานให้ไปเป็นบอลพนัน ช่างกล้าจริงๆ" ฮ่องเต้ไม่เอ่ยเสียงกรรโชกเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ทว่าในเนื้อเสียงเจือความผิดหวังและดูแคลนอยู่หลายส่วน "ฝ่าบาทกระหม่อมไม่กล้า กระหม่อมโดนใส่ร้าย! เสนาบดีฮ่วนท่านอย่าพูดจาซี้ซั้ว!" "หัวข้อพนันและหลักฐานทั้งหมดอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ" เ
หม่าเยี่ยนถิงระบายยิ้มบาง ๆ กล่าวตอบฮองเฮาด้วยความนอบน้อม "เป็นพระกรุณาเพคะ" อุทยานแห่งนี้ไม่มีคนสวนเข้ามาดูแลเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ใบไม้แห้งที่ร่วงโรยลงมาจึงกองระเกะระกะเต็มพื้น ระหว่างที่ฮองเฮาประทับอยู่ที่นี่จึงเป็นหม่าเยี่ยนถิงที่ช่วยดูแล เพราะนางกำนัลส่วนพระองค์จะต้องอยู่ด้านนอก ทำเสมือนว่าเจ้านายตายไปแล้ว ระหว่างกำลังผ่อนคลายกันอยู่นั้น ประตูอุทยานที่ถูกคล้องโซ่ไว้จากด้านนอกก็เปิดออก เป็นจางจื่อเสวียนที่เข้ามาพร้อมคณะขุนนาง "สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ขอเชิญฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ" "คลี่คลายแล้วหรือ" "องค์ชายและพระชายากับเสนาบดีที่มีส่วนเกี่ยวข้องสามคนถูกคุมตัวไว้ที่คุกใต้ดิน ฮองเฮาโปรดวางพระทัย" นางอุดอู้อยู่ในนี้มาหลายวันอย่างจำใจเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้ออกไปเดินเหินได้อย่างอิสระเหมือนเก่าแล้วจึงทำให้โล่งใจเป็นอย่างมาก นางกำนันคนสนิทที่ติดตามมาเข้ามาประคองพระนางออกไปด้านนอกโดยมีหม่าเยี่ยนถิงเดินตามหลัง ทุกคนมารวมกันที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ของที่ประกาศสละราชสมบัติ องค์รัชทายาทรับสืบทอดตำแหน่งต่อ ด้วยความดีความชอบในครั้งนี้สามีของนางจึงได้รับประทานรางวัลมากมาย ห
จางจื่อเสวียนจะคิดถึงช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน รอคอยวันที่ได้พบกันอีกครั้ง เขาจะต้องตั้งใจทำงานและรีบหาวันหยุดเสียแล้ว ไม่รู้ว่าที่นี่มีระบบวันลาพักร้อนให้ใช้ไหม แต่หากทนขอก็น่าจะได้กระมัง หาไม่แล้วเขาอาจจะต้องขอให้พระพันปีออกหน้าช่วยเหลือ คิดวิธีได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเบาใจขึ้น เดินยิ้มกลับเข้าไปในจวนเพื่อสะสางงานที่เหลือของวันนี้ เด็ กๆ นั่งหงอยซึมตลอดทางกลับบ้าน เพราะจำต้องจากกับผู้เป็นพ่อ หม่าเยี่ยนถิงจนใจจะปลอบ ได้แต่หวังว่าหากโตไปกว่านี้เด็ก ๆ จะเข้าใจได้เอง ถึงอย่างไรนางก็มีกำหนดการที่จะเข้ามาซื้อของในเมืองหลวงเดือนละครั้ง แต่ละครั้งคงได้พักอยู่ราวหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นก็ไปเยี่ยมเจ้าสัตว์อสูรนั่นด้วย พ่อกับลูกมิได้จากกันนานขนาดนั้น ไม่นานเด็ก ๆ ก็คงหายเศร้า แต่ช่วงแรกนี้ต้องให้เวลาพวกเขาได้ปรับตัวเสียหน่อย พวกเขายังต้องไว้พักที่เมืองหนึ่งระหว่างทางเหมือนเช่นตอนขามา "เป่าเปา เหมียวเหมียว อยากไปเดินตลาดกลางคืนหรือไม่" บังเอิญที่วันที่มาถึงนี้มีขบวนคาราวานผ่านเมือง จึงมีการตั้งซุ้มร้านค้าและแผงลอยมากมายเต็มถนนสายหลัก ท่านเจ้าเมืองเห็นว่าเป็นการดึงดูดผู้ผ่านทางที่ดีจึงอนุญาต
สถานการณ์ทั่วไปในแคว้นนั้นสงบสุขมาก หลังการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยก็มีการเฉลิมฉลองไปตามเมืองต่างๆ เมืองที่หม่าเยี่ยนถิงอยู่ก็เริ่มมีการประดับตกแต่งที่เห็นได้มากมายตามท้องถนน บ้านหลังน้อยที่ไม่ได้กลับมาเสียนานดูแคบไปถนัดเมื่อมีสาวใช้สิบคนติดตามมาด้วย ต้องขยับขยายแล้วสินะ หม่าเยี่ยนถิงฝากเด็ก ๆ ไว้กับพี่เลี้ยงก่อนจะไปติดต่อสำนักที่ดินประจำเมือง ก่อนนั้นก็ไม่ลืมมอบหมายงานให้คืนอื่น ๆ ช่วยกำจัดวัชพืชในสวนรอ หม่าเยี่ยนถิงมีสาวใช้สองคนติดตามไปด้วย หลังจากไปติดต่อกรมที่ดินประจำเมืองแล้วก็พบว่าที่ว่างติดกับรั้วของนางยังไม่มีเจ้าของ หม่าเยี่ยนถิงซื้อทันทีโดยไม่ต้องคิด นางนำเงินส่วนตัวของตัวเองจ่าย ส่วนหนึ่งเป็นสินเดิมของมารดาที่บิดาจัดเตรียมให้ ส่วนพี่สาวต่างมารดาผู้นั้นก็ถูกส่งขึ้นเกี้ยวโดยไม่อาจทัดทานได้อีก นางไม่ได้สนใจนักว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นอย่างไรต่อ ตอนนี้ลำพังแค่เรื่องตัวเองหม่าเยี่ยนถิงก็แทบปลีกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะพวกสาวใช้มาแต่ตัวกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ขากลับหม่าเยี่ยนถิงจึงแวะร้านขายผ้าและติดต่อช่างตัดเย็บเอาไว้ "ฮูหยินนึกถึงพวกข้าเช่นนี้ บ่าวรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ เจ้าค่ะ" "เรื่อ
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ
สถานการณ์ทั่วไปในแคว้นนั้นสงบสุขมาก หลังการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยก็มีการเฉลิมฉลองไปตามเมืองต่างๆ เมืองที่หม่าเยี่ยนถิงอยู่ก็เริ่มมีการประดับตกแต่งที่เห็นได้มากมายตามท้องถนน บ้านหลังน้อยที่ไม่ได้กลับมาเสียนานดูแคบไปถนัดเมื่อมีสาวใช้สิบคนติดตามมาด้วย ต้องขยับขยายแล้วสินะ หม่าเยี่ยนถิงฝากเด็ก ๆ ไว้กับพี่เลี้ยงก่อนจะไปติดต่อสำนักที่ดินประจำเมือง ก่อนนั้นก็ไม่ลืมมอบหมายงานให้คืนอื่น ๆ ช่วยกำจัดวัชพืชในสวนรอ หม่าเยี่ยนถิงมีสาวใช้สองคนติดตามไปด้วย หลังจากไปติดต่อกรมที่ดินประจำเมืองแล้วก็พบว่าที่ว่างติดกับรั้วของนางยังไม่มีเจ้าของ หม่าเยี่ยนถิงซื้อทันทีโดยไม่ต้องคิด นางนำเงินส่วนตัวของตัวเองจ่าย ส่วนหนึ่งเป็นสินเดิมของมารดาที่บิดาจัดเตรียมให้ ส่วนพี่สาวต่างมารดาผู้นั้นก็ถูกส่งขึ้นเกี้ยวโดยไม่อาจทัดทานได้อีก นางไม่ได้สนใจนักว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นอย่างไรต่อ ตอนนี้ลำพังแค่เรื่องตัวเองหม่าเยี่ยนถิงก็แทบปลีกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะพวกสาวใช้มาแต่ตัวกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ขากลับหม่าเยี่ยนถิงจึงแวะร้านขายผ้าและติดต่อช่างตัดเย็บเอาไว้ "ฮูหยินนึกถึงพวกข้าเช่นนี้ บ่าวรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ เจ้าค่ะ" "เรื่อ
จางจื่อเสวียนจะคิดถึงช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน รอคอยวันที่ได้พบกันอีกครั้ง เขาจะต้องตั้งใจทำงานและรีบหาวันหยุดเสียแล้ว ไม่รู้ว่าที่นี่มีระบบวันลาพักร้อนให้ใช้ไหม แต่หากทนขอก็น่าจะได้กระมัง หาไม่แล้วเขาอาจจะต้องขอให้พระพันปีออกหน้าช่วยเหลือ คิดวิธีได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเบาใจขึ้น เดินยิ้มกลับเข้าไปในจวนเพื่อสะสางงานที่เหลือของวันนี้ เด็ กๆ นั่งหงอยซึมตลอดทางกลับบ้าน เพราะจำต้องจากกับผู้เป็นพ่อ หม่าเยี่ยนถิงจนใจจะปลอบ ได้แต่หวังว่าหากโตไปกว่านี้เด็ก ๆ จะเข้าใจได้เอง ถึงอย่างไรนางก็มีกำหนดการที่จะเข้ามาซื้อของในเมืองหลวงเดือนละครั้ง แต่ละครั้งคงได้พักอยู่ราวหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นก็ไปเยี่ยมเจ้าสัตว์อสูรนั่นด้วย พ่อกับลูกมิได้จากกันนานขนาดนั้น ไม่นานเด็ก ๆ ก็คงหายเศร้า แต่ช่วงแรกนี้ต้องให้เวลาพวกเขาได้ปรับตัวเสียหน่อย พวกเขายังต้องไว้พักที่เมืองหนึ่งระหว่างทางเหมือนเช่นตอนขามา "เป่าเปา เหมียวเหมียว อยากไปเดินตลาดกลางคืนหรือไม่" บังเอิญที่วันที่มาถึงนี้มีขบวนคาราวานผ่านเมือง จึงมีการตั้งซุ้มร้านค้าและแผงลอยมากมายเต็มถนนสายหลัก ท่านเจ้าเมืองเห็นว่าเป็นการดึงดูดผู้ผ่านทางที่ดีจึงอนุญาต
หม่าเยี่ยนถิงระบายยิ้มบาง ๆ กล่าวตอบฮองเฮาด้วยความนอบน้อม "เป็นพระกรุณาเพคะ" อุทยานแห่งนี้ไม่มีคนสวนเข้ามาดูแลเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ใบไม้แห้งที่ร่วงโรยลงมาจึงกองระเกะระกะเต็มพื้น ระหว่างที่ฮองเฮาประทับอยู่ที่นี่จึงเป็นหม่าเยี่ยนถิงที่ช่วยดูแล เพราะนางกำนัลส่วนพระองค์จะต้องอยู่ด้านนอก ทำเสมือนว่าเจ้านายตายไปแล้ว ระหว่างกำลังผ่อนคลายกันอยู่นั้น ประตูอุทยานที่ถูกคล้องโซ่ไว้จากด้านนอกก็เปิดออก เป็นจางจื่อเสวียนที่เข้ามาพร้อมคณะขุนนาง "สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ขอเชิญฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ" "คลี่คลายแล้วหรือ" "องค์ชายและพระชายากับเสนาบดีที่มีส่วนเกี่ยวข้องสามคนถูกคุมตัวไว้ที่คุกใต้ดิน ฮองเฮาโปรดวางพระทัย" นางอุดอู้อยู่ในนี้มาหลายวันอย่างจำใจเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้ออกไปเดินเหินได้อย่างอิสระเหมือนเก่าแล้วจึงทำให้โล่งใจเป็นอย่างมาก นางกำนันคนสนิทที่ติดตามมาเข้ามาประคองพระนางออกไปด้านนอกโดยมีหม่าเยี่ยนถิงเดินตามหลัง ทุกคนมารวมกันที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ของที่ประกาศสละราชสมบัติ องค์รัชทายาทรับสืบทอดตำแหน่งต่อ ด้วยความดีความชอบในครั้งนี้สามีของนางจึงได้รับประทานรางวัลมากมาย ห
"ขุนนางฉ้อฉล คดโกงบ้านเมือง ริบทรัพย์สินทั้งหมดคืนท้องพระคลัง ปลดเป็นสามัญชน!" "ฝ่าบาทโปรเมตตาด้วย ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ" "เอาตัวออกไป!" ท้องพระรองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โอรสสวรรค์ปรับลมหายใจให้สงบแม้ในใจจะร้อนรุ่มแทบมอดไหม้แล้วก็ตาม "มีใครจะพูดอะไรอีกไหม" ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ ใบหน้าแสนเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน ความรับผิดชอบอันหนังอึ้งของแผ่นดินนี้เขาเป็นผู้แบกรับ ฉะนั้นผู้ที่จะมาสืบทอดต่อหากไม่เทียบเท่ากันแล้วก็ต้องหนักแน่นให้ได้มากกว่าตน "ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องจะถวายฎีกาพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น "ว่ามา" "จวนช่างหยูลักลอบเปิดบ่อนพนัน ใช้ทรัพย์สินราชการในทางมิชอบ" "มะ ไม่จริงนะพะยะค่ะฝ่าบาท! กระหม่อมโดนใส่ร้าย!" "เอาจวนที่ข้าประทานให้ไปเป็นบอลพนัน ช่างกล้าจริงๆ" ฮ่องเต้ไม่เอ่ยเสียงกรรโชกเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ทว่าในเนื้อเสียงเจือความผิดหวังและดูแคลนอยู่หลายส่วน "ฝ่าบาทกระหม่อมไม่กล้า กระหม่อมโดนใส่ร้าย! เสนาบดีฮ่วนท่านอย่าพูดจาซี้ซั้ว!" "หัวข้อพนันและหลักฐานทั้งหมดอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ" เ
เมื่อตำแหน่งหงส์เคียงมังกรว่างเว้น โอรสธิดาทั้งหลายก็หวังอยากจะให้มารดาของตนขึ้นตำแหน่งแทน บางคนที่ไม่ได้มาหาพระบิดาบ่อยนักก็ยังมาเยี่ยมเยียนและพูดคุยด้วยบ่อย ๆ พูดชมมารดาในแง่ดีให้ฝ่าบาททรงเห็นใจหรือสนพระทัยบ้าง แม้มีโอกาสเพียงนิดที่จะเป็นมารดาของตนพวกนางก็ต้องเสี่ยง ยิ่งกับตระกูลเล็กตระกูลน้อยที่ไม่มีใครสนับสนุนหรือคุ้มหัวได้ในวังหลวง ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เมื่อฝ่ายองค์ชายเองก็ปรารถนาที่จะให้ตนขึ้นไปแทนที่พระบิดาได้ ไม่ใช่องค์รัชทายาทที่ถูกวางไว้ ฮ่องเต้มีโอรสด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดพระองค์ องค์หญิงสิบพระองค์ ทั้งหมดเกิดจากหนึ่งฮองเฮา สิบสนม โอรสและธิดาทั้งหมดยังมีนิสัยแตกต่างกัน แต่ผู้ที่ใฝ่สูงอยากเทียบเคียงองค์รัชทายาทอย่างชัดเจนมีเพียงองค์ชายรอง องค์ชายสี่ก็เป็นผู้มีคุณสมบัติอีกคนหนึ่ง ทว่าไม่ปรารถนาจะสืบทอด จึงหลบเป็นสงครามชิงบัลลังก์ปลีกวิเวกไปเฝ้าระวังที่ชายแดน เวลานี้ราชสำนักไม่มั่นคงแล้ว เพื่อเป็นการหยุดองค์ชายรองให้ได้อย่างเด็ดขาด สองสามีภรรยาจวนแม่ทัพทำงานกันอย่างหนัก หนักเสียจนจางจื่อเสวียนแอบคิดว่าหลังสร้างความดีความ