มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
ตึกระฟ้าทันสมัยบ่งบอกความศิวิไลซ์ของเมืองแห่งนี้ ย่านธุรกิจที่มีคนใส่สูทผูกไทเดินพลุกพล่าน เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว แล้วก็เหมาะกับการค้นหาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงข้ามถนนมาเลนส์เดียวก็มีทัศนียภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงหนึ่งถนนกั้นก็เป็นย่านชุมชนแออัด มีตึกถูกทิ้งร้างเอาไว้ถึงสามแห่ง แต่พวกชาวบ้านแร้นแค้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างขึ้นไป ที่พอจะดูดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ที่เธอจับจองพื้นที่บริเวณดาดฟ้าเอาไว้ เยี่ยนถิงนั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นพิเศษที่เธอถือวิสาสะขอใช้งาน รายงานของคู่หูบอกว่าเป้าหมายของเธอจะเดินทางมาพักใกล้ๆ นี่ และเจรจาธุรกิจกันที่ตึกระฟ้านั่นด้วย เธอเฝ้ารออย่างใจเย็นมาหลายวัน รอเพิ่มอีกวันหรือสองไม่สะเทือนเส้นความอดทนเธอหรอก เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อที่ชื่อว่าเกาะฮ่องกง ผู้นำตระกูลมาเฟียหนึ่งในสามอันดับแรกที่มีอิทธิพลที่สุด ภารกิจของเธอคือฆ่าเขาเสีย ตัวตนนักฆ่าอย่างเยี่ยนถิงทำงานตามคำสั่งผู้ว่าจ้าง แต่เวลาที่คนใกล้ชิดของเหยื่อมาทวงคืนความแค้น กลับไม่ได้ไปลงที่ผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเครื่องมือสังหารเดินได้อย่างพวกเธอ เครื่องสื่อสารขนาดจ
"มัวทำอะไรอยู่ ขึ้นเรือสิ" โจวเจี้ยนหนี่ไม่ตอบ แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ เยี่ยนถิงหรี่ตาลง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล " หืม? ไม่นี่ แค่องค์กรติดต่องานใหม่มา" "งานอะไร ทำไมติดต่อผ่านนายไม่ใช่ฉัน" "เป็นงานที่ให้ฉันทำนี่ จะติดต่อเธอทำไมล่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เพราะคำตอบมันสมเหตุสมผล เยี่ยนถิงเลยเลิกใส่ใจเขาแล้วก้าวลงไปบนเรือยนต์ที่เตรียมไว้ หญิงสาวโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่งแล้วเดินไปที่ส่วนหน้าที่มีแผงควบคุม ทว่าอาจเพราะเธอไว้ใจคู่หูมากเกินไป ทั้งที่งานแบบนี้ไม่ควรไว้ใจทั้งนั้น เพราะมันมีการหักหลังได้ตลอดเวลา วัตถุหนัก ๆ แข็ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ฟาดเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรงจนหมดสติในทันที โจวเจี้ยนหนี่ยิ้มกริ่มต่อสายถึงองค์กร "เสร็จงานแล้วครับ มารับตัวเธอได้เลย…"ความรู้สึกปวดหนึบแล่นขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว เธอฝืนลืมตาอย่างยากลำบากแล้วก็พบแสงไฟสว่างจ้าที่ติดอยู่บนเพดานด้านบน เสียงพูดคุยดังระงมทันทีที่เธอตื่น แต่เยี่ยนถิงจับใจความไม่ได้สักประโยค ตอนนี้เธอปวดหัวอย่างรุนแรงจนสามารถหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ นี่เธออยู่ที่ไหนกัน "รู้สึกตัวแล้วเหรอ ช้ากว่าที่คิดนะ โจวคงหนักมือกับเธอไปหน่อย แต
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที
เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ
สถานการณ์ทั่วไปในแคว้นนั้นสงบสุขมาก หลังการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยก็มีการเฉลิมฉลองไปตามเมืองต่างๆ เมืองที่หม่าเยี่ยนถิงอยู่ก็เริ่มมีการประดับตกแต่งที่เห็นได้มากมายตามท้องถนน บ้านหลังน้อยที่ไม่ได้กลับมาเสียนานดูแคบไปถนัดเมื่อมีสาวใช้สิบคนติดตามมาด้วย ต้องขยับขยายแล้วสินะ หม่าเยี่ยนถิงฝากเด็ก ๆ ไว้กับพี่เลี้ยงก่อนจะไปติดต่อสำนักที่ดินประจำเมือง ก่อนนั้นก็ไม่ลืมมอบหมายงานให้คืนอื่น ๆ ช่วยกำจัดวัชพืชในสวนรอ หม่าเยี่ยนถิงมีสาวใช้สองคนติดตามไปด้วย หลังจากไปติดต่อกรมที่ดินประจำเมืองแล้วก็พบว่าที่ว่างติดกับรั้วของนางยังไม่มีเจ้าของ หม่าเยี่ยนถิงซื้อทันทีโดยไม่ต้องคิด นางนำเงินส่วนตัวของตัวเองจ่าย ส่วนหนึ่งเป็นสินเดิมของมารดาที่บิดาจัดเตรียมให้ ส่วนพี่สาวต่างมารดาผู้นั้นก็ถูกส่งขึ้นเกี้ยวโดยไม่อาจทัดทานได้อีก นางไม่ได้สนใจนักว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นอย่างไรต่อ ตอนนี้ลำพังแค่เรื่องตัวเองหม่าเยี่ยนถิงก็แทบปลีกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะพวกสาวใช้มาแต่ตัวกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ขากลับหม่าเยี่ยนถิงจึงแวะร้านขายผ้าและติดต่อช่างตัดเย็บเอาไว้ "ฮูหยินนึกถึงพวกข้าเช่นนี้ บ่าวรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ เจ้าค่ะ" "เรื่อ
จางจื่อเสวียนจะคิดถึงช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน รอคอยวันที่ได้พบกันอีกครั้ง เขาจะต้องตั้งใจทำงานและรีบหาวันหยุดเสียแล้ว ไม่รู้ว่าที่นี่มีระบบวันลาพักร้อนให้ใช้ไหม แต่หากทนขอก็น่าจะได้กระมัง หาไม่แล้วเขาอาจจะต้องขอให้พระพันปีออกหน้าช่วยเหลือ คิดวิธีได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเบาใจขึ้น เดินยิ้มกลับเข้าไปในจวนเพื่อสะสางงานที่เหลือของวันนี้ เด็ กๆ นั่งหงอยซึมตลอดทางกลับบ้าน เพราะจำต้องจากกับผู้เป็นพ่อ หม่าเยี่ยนถิงจนใจจะปลอบ ได้แต่หวังว่าหากโตไปกว่านี้เด็ก ๆ จะเข้าใจได้เอง ถึงอย่างไรนางก็มีกำหนดการที่จะเข้ามาซื้อของในเมืองหลวงเดือนละครั้ง แต่ละครั้งคงได้พักอยู่ราวหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นก็ไปเยี่ยมเจ้าสัตว์อสูรนั่นด้วย พ่อกับลูกมิได้จากกันนานขนาดนั้น ไม่นานเด็ก ๆ ก็คงหายเศร้า แต่ช่วงแรกนี้ต้องให้เวลาพวกเขาได้ปรับตัวเสียหน่อย พวกเขายังต้องไว้พักที่เมืองหนึ่งระหว่างทางเหมือนเช่นตอนขามา "เป่าเปา เหมียวเหมียว อยากไปเดินตลาดกลางคืนหรือไม่" บังเอิญที่วันที่มาถึงนี้มีขบวนคาราวานผ่านเมือง จึงมีการตั้งซุ้มร้านค้าและแผงลอยมากมายเต็มถนนสายหลัก ท่านเจ้าเมืองเห็นว่าเป็นการดึงดูดผู้ผ่านทางที่ดีจึงอนุญาต
หม่าเยี่ยนถิงระบายยิ้มบาง ๆ กล่าวตอบฮองเฮาด้วยความนอบน้อม "เป็นพระกรุณาเพคะ" อุทยานแห่งนี้ไม่มีคนสวนเข้ามาดูแลเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ใบไม้แห้งที่ร่วงโรยลงมาจึงกองระเกะระกะเต็มพื้น ระหว่างที่ฮองเฮาประทับอยู่ที่นี่จึงเป็นหม่าเยี่ยนถิงที่ช่วยดูแล เพราะนางกำนัลส่วนพระองค์จะต้องอยู่ด้านนอก ทำเสมือนว่าเจ้านายตายไปแล้ว ระหว่างกำลังผ่อนคลายกันอยู่นั้น ประตูอุทยานที่ถูกคล้องโซ่ไว้จากด้านนอกก็เปิดออก เป็นจางจื่อเสวียนที่เข้ามาพร้อมคณะขุนนาง "สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ขอเชิญฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ" "คลี่คลายแล้วหรือ" "องค์ชายและพระชายากับเสนาบดีที่มีส่วนเกี่ยวข้องสามคนถูกคุมตัวไว้ที่คุกใต้ดิน ฮองเฮาโปรดวางพระทัย" นางอุดอู้อยู่ในนี้มาหลายวันอย่างจำใจเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้ออกไปเดินเหินได้อย่างอิสระเหมือนเก่าแล้วจึงทำให้โล่งใจเป็นอย่างมาก นางกำนันคนสนิทที่ติดตามมาเข้ามาประคองพระนางออกไปด้านนอกโดยมีหม่าเยี่ยนถิงเดินตามหลัง ทุกคนมารวมกันที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ของที่ประกาศสละราชสมบัติ องค์รัชทายาทรับสืบทอดตำแหน่งต่อ ด้วยความดีความชอบในครั้งนี้สามีของนางจึงได้รับประทานรางวัลมากมาย ห
"ขุนนางฉ้อฉล คดโกงบ้านเมือง ริบทรัพย์สินทั้งหมดคืนท้องพระคลัง ปลดเป็นสามัญชน!" "ฝ่าบาทโปรเมตตาด้วย ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ" "เอาตัวออกไป!" ท้องพระรองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โอรสสวรรค์ปรับลมหายใจให้สงบแม้ในใจจะร้อนรุ่มแทบมอดไหม้แล้วก็ตาม "มีใครจะพูดอะไรอีกไหม" ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ ใบหน้าแสนเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน ความรับผิดชอบอันหนังอึ้งของแผ่นดินนี้เขาเป็นผู้แบกรับ ฉะนั้นผู้ที่จะมาสืบทอดต่อหากไม่เทียบเท่ากันแล้วก็ต้องหนักแน่นให้ได้มากกว่าตน "ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องจะถวายฎีกาพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น "ว่ามา" "จวนช่างหยูลักลอบเปิดบ่อนพนัน ใช้ทรัพย์สินราชการในทางมิชอบ" "มะ ไม่จริงนะพะยะค่ะฝ่าบาท! กระหม่อมโดนใส่ร้าย!" "เอาจวนที่ข้าประทานให้ไปเป็นบอลพนัน ช่างกล้าจริงๆ" ฮ่องเต้ไม่เอ่ยเสียงกรรโชกเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ทว่าในเนื้อเสียงเจือความผิดหวังและดูแคลนอยู่หลายส่วน "ฝ่าบาทกระหม่อมไม่กล้า กระหม่อมโดนใส่ร้าย! เสนาบดีฮ่วนท่านอย่าพูดจาซี้ซั้ว!" "หัวข้อพนันและหลักฐานทั้งหมดอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ" เ
เมื่อตำแหน่งหงส์เคียงมังกรว่างเว้น โอรสธิดาทั้งหลายก็หวังอยากจะให้มารดาของตนขึ้นตำแหน่งแทน บางคนที่ไม่ได้มาหาพระบิดาบ่อยนักก็ยังมาเยี่ยมเยียนและพูดคุยด้วยบ่อย ๆ พูดชมมารดาในแง่ดีให้ฝ่าบาททรงเห็นใจหรือสนพระทัยบ้าง แม้มีโอกาสเพียงนิดที่จะเป็นมารดาของตนพวกนางก็ต้องเสี่ยง ยิ่งกับตระกูลเล็กตระกูลน้อยที่ไม่มีใครสนับสนุนหรือคุ้มหัวได้ในวังหลวง ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เมื่อฝ่ายองค์ชายเองก็ปรารถนาที่จะให้ตนขึ้นไปแทนที่พระบิดาได้ ไม่ใช่องค์รัชทายาทที่ถูกวางไว้ ฮ่องเต้มีโอรสด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดพระองค์ องค์หญิงสิบพระองค์ ทั้งหมดเกิดจากหนึ่งฮองเฮา สิบสนม โอรสและธิดาทั้งหมดยังมีนิสัยแตกต่างกัน แต่ผู้ที่ใฝ่สูงอยากเทียบเคียงองค์รัชทายาทอย่างชัดเจนมีเพียงองค์ชายรอง องค์ชายสี่ก็เป็นผู้มีคุณสมบัติอีกคนหนึ่ง ทว่าไม่ปรารถนาจะสืบทอด จึงหลบเป็นสงครามชิงบัลลังก์ปลีกวิเวกไปเฝ้าระวังที่ชายแดน เวลานี้ราชสำนักไม่มั่นคงแล้ว เพื่อเป็นการหยุดองค์ชายรองให้ได้อย่างเด็ดขาด สองสามีภรรยาจวนแม่ทัพทำงานกันอย่างหนัก หนักเสียจนจางจื่อเสวียนแอบคิดว่าหลังสร้างความดีความ
"งานราชกิจยุ่งมากหรือ ท่านถึงกลับมาป่านนี้" "ไปคุยกันที่ห้องหนังสือหลังมื้อเย็นเถิด" เขาส่งสายตาเป็นสัญญาณ นางพยักหน้าเข้าใจได้ทันที "เด็ก ๆ วันนี้พอก่อน ไปกินข้าวกันเถอะ" เพราะได้เล่นมาสักพักแล้วพวกเขาจึงไม่งอแงที่ต้องเลิกเร็ว เด็กทั้งสองเก็บของที่กระจายอยู่ใส่หีบไม้อย่างระมัดระวังแล้วยกไปเก็บห้องใครห้องมันโดยไม่ขอพี่เลี้ยงให้ช่วย แม้จะมีสิทธิ์ทำได้แต่หม่าเยี่ยนถิงไม่อยากให้ลูกพึ่งพาคนอื่นมากเกินไปจนเคยตัว มียศได้ก็เสียยศได้ หากวันหนึ่งถูกใส่ร้ายโดนริบทรัพย์ขึ้นมาจะลำบากตน และใช่ว่าการใส่ร้ายจะได้รับการเปิดโปงเสียทุกครั้งไป หลายครั้งที่ความยุติธรรมไปไม่ถึงความจริง ด้วยเหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่างนั้น ดังนั้นหากเลี่ยงได้ก็จงเลี่ยงให้ถึงที่สุด หาไม่แล้วก็ต้องสู้ยิบตา หลังทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ ก็ส่งเด็ก ๆ เข้านอน หม่าเยี่ยนถิงก็มาพบสามีที่ห้องอักษรห้องเดิม สีหน้าของเขาตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด "องค์ชายรองสั่งการมาอีกแล้วสินะ" "ใช่ คราวนี้จะใช้อุบายอะไรล่ะ" จางจื่อเสวียนพยักหน้ายอมรับ และเล่าเรื่องทั้งหมดรวมทั้งถามหาอุบายที่จะเข้าไปในวังในครั้งนี้ด้วย "เขาอยากให้ข้าไปพบฮองเฮา เช่นนั้นห
หลังจากหม่าเยี่ยนถิงไปพบพระนางวันนั้น ฮองเฮาก็เริ่มแสดงอาการป่วยกระเสาะกระแสออกมา ทั้งยังหนักขึ้นเรื่อย ๆ แค่เพียงข้ามวันราวกับถูกพิษ แต่อาหารของพระนางและเครื่องสำรับคาวหวานกลับตรวจไม่พบพิษเลย กระทั่งถ้วยชาก็ไม่ ฮ่องเต้เป็นห่วงฮองเฮาจนเจียนประชวรตาม สร้างความระส่ำระสายให้แก่ขุนนางเป็นอันมาก กลางดึกคืนหนึ่ง จางจื่อเสวียนก็ได้รับคำเชิญอีกเช่นเคย ทั้งที่กลางค่ำกลางคืนอย่างควรได้นอนหลับสบาย ๆ อยู่จวนกับภรรยา กลับต้องมาวิ่งเต้นเป็นนกสองหัวปลอมอยู่นี่ ทำเอาชายหนุ่มหงุดหงิดไม่น้อย "องค์ชายรองมีสิ่งใดต้องการหรือพ่ะย่ะค่ะ" "ควรถึงเวลาที่ตำแหน่งมารดาแผ่นดินจะว่างลงชั่วคราวได้แล้ว" ประโยคนี้ทำให้จางจื่อเสวียนหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาท่าทีนิ่งขรึม "องค์ชายรองเรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ฮองเฮาประชวรฝ่าบาทจึงได้มีการเพิ่มมาตรการป้องกันมากขึ้นทั้งการตรวจพิษ และคนเข้าออกของวังหลังเข้มงวดมาก แม้แต่ภรรยาของกระหม่อมก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปโดยง่ายดังเก่าแล้ว" "เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงไป เพราะครั้งนี้คนที่ลงมือจะเป็นพระชายา" พระชายาหงเตี๋ยเป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีหง นิสัยมักใหญ่ใฝ่สู