สุดท้ายแล้วผู้ครองแผ่นดินจึงพยักหน้ายอมตกปากรับคำโดยง่าย เขาจะส่งราชโองการอย่างเป็นทางการไปที่จวนแม่ทัพหนุ่มในภายหลัง ส่วนฉบับที่จะส่งไปบ้านฝ่ายหญิงนั้นเขาได้ร้องขอให้ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้...
"เจ้าจะไปไหนต่อนั่น" หลี่อวิ๋นมองตามแผ่นหลังของสหายที่ดูเหมือนจะมีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว หลังออกจากเขตพระราชฐานชั้นนอก สหายแซ่จางก็เดินอาด ๆ ขึ้นรถม้า "ข้าต้องไปรับนางก่อน ส่วนเรื่องที่สืบกันอยู่ ข้าฝากเจ้าสานต่อด้วย" "ขอรับ ๆ ท่านแม่ทัพ ข้าจะรีบไปจัดการให้เสร็จก่อนท่านกลับมา" อีกฝ่ายพูดหยอกเย้ากึ่งประชด มองดูรถม้าแล่นออกไป จึงค่อยกลับไปทำงานของตัวเอง จางจื่อเสวียนกลับมาถึงจวนพ่อบ้านก็รีบปรี่เข้ามาถามถึงเรื่องห้องพักของว่าที่นายหญิงและคุณหนูคุณชายทั้งสอง "นางกับลูกไม่ได้ตั้งใจจะพักที่นี่อย่างถาวร จัดห้องรับรองไว้ตามสมควรก็พอแล้ว" "ฮูหยินไม่ปรารถนาจะอยู่จวนหรือขอรับ?" พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาผู้ใดไม่อยู่ร่วมกันมาก่อน "นางชอบชีวิตสาวชาวไร่มากกว่า" "ต้องการตึกระฟ้าทันสมัยบ่งบอกความศิวิไลซ์ของเมืองแห่งนี้ ย่านธุรกิจที่มีคนใส่สูทผูกไทเดินพลุกพล่าน เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว แล้วก็เหมาะกับการค้นหาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงข้ามถนนมาเลนส์เดียวก็มีทัศนียภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงหนึ่งถนนกั้นก็เป็นย่านชุมชนแออัด มีตึกถูกทิ้งร้างเอาไว้ถึงสามแห่ง แต่พวกชาวบ้านแร้นแค้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างขึ้นไป ที่พอจะดูดีขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ที่เธอจับจองพื้นที่บริเวณดาดฟ้าเอาไว้ เยี่ยนถิงนั่งจิบกาแฟอยู่บนชั้นพิเศษที่เธอถือวิสาสะขอใช้งาน รายงานของคู่หูบอกว่าเป้าหมายของเธอจะเดินทางมาพักใกล้ๆ นี่ และเจรจาธุรกิจกันที่ตึกระฟ้านั่นด้วย เธอเฝ้ารออย่างใจเย็นมาหลายวัน รอเพิ่มอีกวันหรือสองไม่สะเทือนเส้นความอดทนเธอหรอก เป้าหมายครั้งนี้ถือเป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อที่ชื่อว่าเกาะฮ่องกง ผู้นำตระกูลมาเฟียหนึ่งในสามอันดับแรกที่มีอิทธิพลที่สุด ภารกิจของเธอคือฆ่าเขาเสีย ตัวตนนักฆ่าอย่างเยี่ยนถิงทำงานตามคำสั่งผู้ว่าจ้าง แต่เวลาที่คนใกล้ชิดของเหยื่อมาทวงคืนความแค้น กลับไม่ได้ไปลงที่ผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเครื่องมือสังหารเดินได้อย่างพวกเธอ เครื่องสื่อสารขนาดจ
"มัวทำอะไรอยู่ ขึ้นเรือสิ" โจวเจี้ยนหนี่ไม่ตอบ แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ เยี่ยนถิงหรี่ตาลง มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล " หืม? ไม่นี่ แค่องค์กรติดต่องานใหม่มา" "งานอะไร ทำไมติดต่อผ่านนายไม่ใช่ฉัน" "เป็นงานที่ให้ฉันทำนี่ จะติดต่อเธอทำไมล่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เพราะคำตอบมันสมเหตุสมผล เยี่ยนถิงเลยเลิกใส่ใจเขาแล้วก้าวลงไปบนเรือยนต์ที่เตรียมไว้ หญิงสาวโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่งแล้วเดินไปที่ส่วนหน้าที่มีแผงควบคุม ทว่าอาจเพราะเธอไว้ใจคู่หูมากเกินไป ทั้งที่งานแบบนี้ไม่ควรไว้ใจทั้งนั้น เพราะมันมีการหักหลังได้ตลอดเวลา วัตถุหนัก ๆ แข็ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ฟาดเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรงจนหมดสติในทันที โจวเจี้ยนหนี่ยิ้มกริ่มต่อสายถึงองค์กร "เสร็จงานแล้วครับ มารับตัวเธอได้เลย…"ความรู้สึกปวดหนึบแล่นขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว เธอฝืนลืมตาอย่างยากลำบากแล้วก็พบแสงไฟสว่างจ้าที่ติดอยู่บนเพดานด้านบน เสียงพูดคุยดังระงมทันทีที่เธอตื่น แต่เยี่ยนถิงจับใจความไม่ได้สักประโยค ตอนนี้เธอปวดหัวอย่างรุนแรงจนสามารถหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ นี่เธออยู่ที่ไหนกัน "รู้สึกตัวแล้วเหรอ ช้ากว่าที่คิดนะ โจวคงหนักมือกับเธอไปหน่อย แต
"แต่บอสเป็นคนอนุมัติให้ทดลองผลงานชิ้นนี้กับเธอเองนี่ครับ" "หมออี้! ถ้ายังเถียงไม่เลิกผมจะฆ่าคุณเป็นคนต่อไป หยุดมันเดี๋ยวนี้" ขณะที่ทั้งในทั้งนอกห้องกำลังวุ่นวาย เยี่ยนถิงก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว มีแต่กลิ่นยาฉุนกึกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูก และจางหายไปอย่างช้า ๆ แว่วเสียงพร่ำเรียกหา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเสียงใคร มันดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายอยู่บนสะพานอีกฟากหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็ดูคล้ายเสียงของเธอเองอยู่เหมือนกัน นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า? เยี่ยนถิงพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนทุ่งหญ้าสักแห่งหนึ่ง มีดอกไม้หลากสีรายล้อม ทว่าทิวทัศน์นี้ก็อยู่ไม่นาน พวกมันเหี่ยวเฉาลงราวกับโดนน้ำกรดสาด กลายเป็นธุลีเน่าเปื่อยและทิ้งให้เธอยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดิน ที่บางแห่งก็แห้งแตก บางแห่งก็กลายเป็นโคลนตมอย่างไม่สมประกอบ จะบอกว่านักฆ่าอย่างเธอไม่ควรตายบนทุ่งดอกไม้หรือยังไงกัน… ถ้าเป็นอย่างนั้นเยี่ยนถิงก็อยากเรียกร้องเช่นกัน คืนชีวิตธรรมดาให้เธอสิ คืนความเป็นเด็กสาวสามัญให้เธอ คืนครอบครัวและบ้านเกิดให้เธอ คืนชีวิตธรรมดาที่ไม่ต้องหวาดระแวงทุกวินาทีมาให้เธอสิ เอาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสของเธอคืนมา ถ้าจะตัดสินกันด้วยสิ่งที
เยี่ยนถิงพยายามประคองตัวเองขึ้นจากความปวดเมื่อยทั่วทั้งร่าง เธอต้องหาวิธีลดไข้ก่อนไม่อย่างนั้นคงได้ช็อกตายแน่ นักฆ่าสาวคลำทางไปทั้งสภาพไม่สู้ดี เธอไม่มีสติพิจารณาอะไรนอกจากหาน้ำมาดื่มให้ได้ก่อน มือปัดป่ายไปข้างเตียงที่นอนก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงฝืนลุกขึ้นมาทั้งที่เสี่ยงจะล้มได้ทุกย่างก้าว ใกล้ประตูหรือหน้าต่างเธอก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ตาลายไปหมด "อึก!" เพราะสภาพร่างกายกำลังย่ำแย่ เยี่ยนถิงจึงรู้สึกเจ็บที่อกขึ้นมา เธอยกกาน้ำขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น เพราะกระหายจนทนไม่ไหว ก่อนพาร่างที่ซวนเซกลับไปนอนที่เดิม ใครจะคิดว่า เธอยังฝันต่อเรื่องเดิมได้อีก... หม่าเยี่ยนถิงเป็นคุณหนูจวนขุนนางผู้หนึ่ง จึงได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มากวิชาหลายแขนง ทำให้นางมีความรู้รอบตัวมากกว่าเด็กวัยเดียวกันหลาย ๆ คน แต่ด้วยเป็นสตรีแคว้นเซี่ย การทำงานบางอย่างยังนิยมให้บุรุษรับผิดชอบ นางจึงทำได้เพียงเรียนรู้ไว้ประดับสมอง หลังถูกบิดาขับไล่มาที่ชนบทของหัวเมืองชั้นนอก ชีวิตจากที่เคยมีบ่าวติดตามก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ท้องของนางก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก เห็นนางเป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้านละ
"ท่านแม่?" "..." "ท่านแม่!" หลังเห็นเธอเงียบไม่ตอบ เด็กที่ยังไม่รู้ความสองคนก็พุ่งเข้ามาหาเธอ กอดขาผู้เป็นแม่คนละข้างแล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก เยี่ยนถิงถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน หากจับแรงไปพวกเขาจะช้ำเอาหรือไม่ ในสายตาของหญิงสาว เด็กสองคนนี้เหมือนลูกกระรอกที่อยู่ในกำมือ ต้องจับแบบไหนถึงจะดี ต้องพูดอะไรพวกเขาถึงจะไม่กลัว ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนถิงไม่เคยรับมือกับการเลี้ยงเด็ก เธอจึงประหม่ายิ่งกว่าฆ่าคนครั้งแรกเสียอีก "ท่านแม่ไม่ตายแล้วใช่ไหม ท่านป้าร้านหมั่นโถวบอกว่าท่านอาจจะตายก็ได้" "ท่านแม่ไม่หายใจ ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นอีกแล้ว" "ท่านแม่ต้องกินข้าวบ้าง ท่านไม่ต้องทำอะไรให้พวกข้าแล้วก็ได้ เป่าเปาจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย" เด็กสองคนแย่งกันพูดไม่หยุดจนเธอฟังไม่ทันว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่สถานการณ์แบบนี้ ให้เอามีดมาจ่อคอเธอก็คงพูดไม่ออกหรอกว่าแม่จริง ๆ ของพวกตายไปแล้วน่ะ "เอ่อ…ข้า ข้าไม่เป็น แค่ไข้ขึ้นสูงจนสลบไปเท่านั้น" เยี่ยนถิงยิ้มแห้ง หาคำแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ "ท่านแม่อย่าทิ้งพวกข้าไปอีกนะ" ทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไปก็สูดน้ำมูกไปจนเยี่ยนถิงพูดไม่ออกยิ
"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่า
"ท่านแม่ ถ้าความสูงประมาณนี้ล่ะก็ เราหยิบไข่บนรังนกได้บางรังเลยนะ" จื่อเหวินตาวาววับหลังได้สัมผัสมุมมองใหม่ "นั่นก็ถูกของเจ้า แต่จะเก็บไข่ไปพร่ำเพรื่อไม่ได้หรอกนะ" "ทำไมล่ะขอรับ?" "พวกมันเป็นนกป่า มีศัตรูตามธรรมชาติมากพออยู่แล้ว หากเราเอาไข่มันมากินทุกครั้งที่เจอ ลูกนกก็จะไม่ได้เกิด แล้วถ้ามีคนทำแบบนี้ทุกวันวันละร้อยละพันคน พวกมันคงสูญพันธุ์ในสักวัน" "ท่านแม่ สูญพันธุ์คืออะไรขอรับ?" "เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมันตัวเป็น ๆ อีกหลังจากนั้น เหลือเพียงซากโครงกระดูกให้เจ้าเรียนรู้ว่าเคยมีมันอาศัยอยู่ร่วมกับเรา" "ฟังดูเศร้าจัง" "ฟังดูเศร้าจริง ๆ" เยี่ยนถิงยืนยันคำตอบด้วยสายตาว่างเปล่า จะกล่าวว่านางไม่สนต่อหน้าพวกเขาก็คงไม่ได้ ต่อให้ต้องล่าสัตว์ทั้งป่านางก็คงไม่รู้สึกอะไร และที่มันสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุก็เป็นเรื่องจริงเดินเข้ามาลึกอีกนิด เยี่ยนถิงก็พบแหล่งพืชผลที่เก็บได้ เด็กเดินไปขุนหัวมันอยู่ทางหนึ่ง ส่วนนางก็ขุดเผือกและเก็บผลไม้อยู่ไม่ไกล ของพวกนี้เก็บไปมาก ๆ ใช่ว่าจะดี หากเก็บตามใจคงไม่มีเหลือให้กินถึงวันหน้า คนที่มาทีหลังก็จะได้เข้าป่าลึกขึ้นไปอีกด้วย ข้าคงต้องหางานทำแล้ว นางป
หม่าเยี่ยนถิงนับเวลารออยู่ในใจ กระทั่งเด็ก ๆ หลับมา นางได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ไกล "ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว" "เที่ยวเดียวไม่พอหรอกนะ" "ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ายังแบกถังน้ำใหญ่ไม่ได้ ต้องไปอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ" หม่าเยี่ยนถิงฉีกยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรสาว นางลูบผมบุตรสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหาแฝดผู้พี่ที่ทำหน้ารอคอยอยู่เช่นกัน "มานี่มา" พอเขาเข้ามาใกล้นางก็ลูบศีรษะเขาเบา ๆ เช่นกัน ไม่ให้เขาน้อยใจว่ามารดารักน้องสาวมากกว่า "เจ้าเก่งที่พาตัวเองกับเหมียวเหมียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย" คนได้รับคำชมรู้สึกหัวใจพองโตจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เด็กชายยิ้มกว้างแข่งกับมารดา แล้วน้องสาวก็ยิ้มตาม หม่าเยี่ยนถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ "ไม่เห็นท่านแม่ยิ้มนานแล้ว ปกติท่านแม่เอาแต่ร้องไห้ ท่านแม่ต้องยิ้มอีกเยอะ ๆ เจ้าคะ" หนี่เหวินเบิกตากว้างมองมารดาอย่างตกตะลึง ก่อนจะกล่าวออกมาจากหัวใจดวงน้อย ๆ นางชอบเวลาท่านแม่ยิ้มเป็นอย่างมากเพราะเหมือนโลกของนางสดใสขึ้นมาทันที "พวกเจ้าก็ต้องยิ้มเยอะ ๆ เหมือนกัน" ให้ความสดใสและความหวังนี้ อยู่ตราบนานเท่านาน หม่าเยี่ยนถิงมองเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู พวกเขาน
สุดท้ายแล้วผู้ครองแผ่นดินจึงพยักหน้ายอมตกปากรับคำโดยง่าย เขาจะส่งราชโองการอย่างเป็นทางการไปที่จวนแม่ทัพหนุ่มในภายหลัง ส่วนฉบับที่จะส่งไปบ้านฝ่ายหญิงนั้นเขาได้ร้องขอให้ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้..."เจ้าจะไปไหนต่อนั่น"หลี่อวิ๋นมองตามแผ่นหลังของสหายที่ดูเหมือนจะมีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว หลังออกจากเขตพระราชฐานชั้นนอก สหายแซ่จางก็เดินอาด ๆ ขึ้นรถม้า"ข้าต้องไปรับนางก่อน ส่วนเรื่องที่สืบกันอยู่ ข้าฝากเจ้าสานต่อด้วย" "ขอรับ ๆ ท่านแม่ทัพ ข้าจะรีบไปจัดการให้เสร็จก่อนท่านกลับมา" อีกฝ่ายพูดหยอกเย้ากึ่งประชด มองดูรถม้าแล่นออกไป จึงค่อยกลับไปทำงานของตัวเองจางจื่อเสวียนกลับมาถึงจวนพ่อบ้านก็รีบปรี่เข้ามาถามถึงเรื่องห้องพักของว่าที่นายหญิงและคุณหนูคุณชายทั้งสอง"นางกับลูกไม่ได้ตั้งใจจะพักที่นี่อย่างถาวร จัดห้องรับรองไว้ตามสมควรก็พอแล้ว""ฮูหยินไม่ปรารถนาจะอยู่จวนหรือขอรับ?" พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาผู้ใดไม่อยู่ร่วมกันมาก่อน"นางชอบชีวิตสาวชาวไร่มากกว่า""ต้องการ
หม่าเยี่ยนถิงพยักหน้า ก่อนจะพาเด็ก ๆ ขึ้นรถม้าที่เช่ามานางจ้างพวกเขาให้ไปส่งเพราะสะดวกกว่าการเอารถม้าไปเอง เมื่อไปถึงเมืองถัดไปนางก็จะเช่ารถม้าไปเมืองต่อเมือง เปลี่ยนคันโดยสารที่เมืองนั้น ๆ แล้วไปต่อใช้เวลาค่อนวันก็เดินทางมาถึงที่หมายแรก นางเข้าพักที่โรงเตี๊ยมพวกเด็ก ๆ ที่พึ่งเคยได้ออกจากเมืองมาไกลถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขามองซ้ายมองขวาสองข้างทางตลอดตั้งแต่เข้าเมืองมา มันมีทุกอย่างขายเหมือนเมืองที่พวกเขาอยู่ต่างแต่สถานที่เด็ก ๆ คงชอบบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากกว่าเป้าหมายของมัน"ไปกินข้าวกันก่อนเถิด""ข้าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง" เป่าเปาน้อยมองหน้ามารดาอย่างไม่แน่ใจ เขารู้ว่าสถานะที่บ้านตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะร้องขอสิ่งที่มีมูลค่ามากมายกว่าที่เคยกิน"เอาสิ แล้วเหมียวเหมียวอยากกินอะไรล่ะ" นางหันมาถามบุตรสาวอีกคน"เกี๊ยวน้ำเจ้าค่ะท่านแม่""งั้นไปที่เหลาอาหารตรงนั้นก็แล้วกัน"หม่าเยี่ยนถิงพาบุตรทั้งสองไปที่ร้านอาหาร สั่งของง่าย ๆ มาสองสามอย่างกับข้าวหนึ่งโถ นางต
"เจ้าเป็นไรไหม" เมื่อเห็นสหายชะงักไปเขาก็ถามด้วยความเป็นห่วง"ไม่ๆ ขอโทษด้วย ข้าแค่ยังไม่ชิน" เขาโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน"ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ไม่รู้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทุกคนตามหาก็ไม่เจอ""ข้าความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้อยู่เกือบปี""ทำไมถึงความจำเสื่อมได้ เจ้าบอกว่าจะออกเดินทางไปตามหาภรรยามิใช่หรือ" หลี่อวิ๋นกอดอก เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ และความเป็นไปได้ก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ซึ่งเขาสงสัยอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องถูกลอบทำร้าย อีกทั้งพวกเขาเองก็ตามหามาตลอดเกือบหนึ่งปี แต่กลับเหมือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย"ข้าคิดว่าตัวเองถูกลอบทำร้าย แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ""ไม่แปลก ศีรษะเจ้าได้รับการกระทบกระเทือนจนถึงกับลืมเลือนไปเลยนี่""เท่าที่เจ้าตามสืบหาข้า สงสัยใครบ้างไหม""คนที่อยากกำจัดเจ้ามีอยู่สักกี่คนเชียว" สหายเจ้าสำอางตบที่นั่งว่างข้างตัว ให้เขารีบลงไปนั่งหารือกันเร็ว ๆห้องรับรองถูกจัดเป็นสถานที่ห้ามรบกวนชั่วคราว สองสหายปรึกษากันอย่า
"ข้าเอง" จางจือเหวินเอ่ยตอบพร้อมดึงหมวกคลุมลง เขามองพ่อบ้านในความทรงจำที่ดูเหมือนจะแก่ขึ้นมากกว่าในความทรงจำ"นายท่าน กลับมาได้อย่างไร กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ!?" อีกฝ่ายรีบโค้งเคารพ ถามเป็นการใหญ่ด้วยความใจร้อนปนตื่นเต้น"เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่างน่ะ เตรียมน้ำให้ข้าอาบที""ทราบแล้วขอรับจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้"ใช้เวลาไม่นานข่าวการกลับมาของเขาก็กระจายไปทั่วจวน สาวใช้รีบเร่งทำความสะอาด และงานที่ติดพันอยู่ให้เสร็จก่อนไปช่วยงานในครัวห้องครัวต้องจัดลำดับอาหารและรายการใหม่ทั้งหมด ในตอนที่เจ้านายหายตัวไปพวกเขากินของง่าย ๆ ที่ใช้เวลาเตรียมไม่นาน แต่พอชายหนุ่มกลับมาแล้วเขาต้องเตรียมไว้ทั้งหมด ต้องใช้วัตถุดิบที่ดีและเป็นอาหารที่นิยมทำให้ชนชั้นสูงหลังสาวใช้ออกไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาด ข่าวการกลับมาของเขาก็กระจายออกไปอีก กลายเป็นหัวข้อสนทนาใหญ่ที่ทั้งเมืองต่างรู้กัน ใช้เวลาไม่ถึงวันก็รู้ไปถึงในวังหลวงพอผู้เป็นนายกลับมาแล้ว พ่อบ้านจึงให้ผู้ช่วยไปติดตามงานส่วนใหญ่ที่ยังคั่งค้างอยู่แทน ส่วนตนเองก็มาปฏิบัติรับใ
"เยี่ยนถิง ข้าควรต้องเอาเสื้อผ้าไปกี่ชุด"ชายหนุ่มยืนถามจากหน้าประตู เขาไม่เคยต้องจัดกระเป๋าด้วยตัวเองมาก่อน การจัดของกลับเมืองหลวงครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกก็ว่าได้"ถ้ามีจวนอยู่ คิดว่าไม่จำเป็นต้องจัดส่วนของท่านหรอกนะ ข้าวของจำเป็นคงอยู่ที่จวนหมดแล้ว แต่เสื้อผ้าของข้ากับเด็ก ๆ คงยังไม่มีอยู่ที่นั่นแน่นอน""อ่า พูดไปก็จริงของเจ้า เช่นนั้นข้าควรทำอะไรล่ะ""ดึกดื่นป่านนี้จะทำอะไรอีกเล่า เก็บแรงไว้ทำอาหารและงานบ้านวันพรุ่งนี้เถอะ""หือ?""ถ้าเข้าเมืองหลวงไปแล้ว ไปอยู่ในจวนแล้ว ท่านคงไม่มีโอกาสทำมันอีก แล้วข้าก็อดเห็นชายหนุ่มมากความสามารถใส่ผ้ากันเปื้อนทำงานบ้านด้วย"หม่าเยี่ยนถิงใช้สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แฝงเจตนาโลมเลียอยู่หน่อยๆ จนชายหนุ่มเผลอยกมือปิดหน้าอกตัวเองไม่รู้ตัว"เจ้าเป็นคนแบบนี้หรือนี่!""ยังไม่รู้ก็รู้ไว้เสีย" นอกจากหน้าด้านไร้ยางอายตอบกลับแล้ว นางยังกล่าวท้าทายอีกด้วย"หรืออยากลองรู้มากกว่านี้วันนี้เลยก็ได้"จางจื่อเสวียนกรีดร้อง
"เป็นอย่างไร สนุกหรือไม่""สนุกมากเลยเจ้าค่ะ มันคล้ายกับการที่ข้าเล่นกับพี่และเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน" พวกเด็ก ๆ มักจับกลุ่มกันเองเพื่อเล่นสวมบทต่างๆ อยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ได้ไกลตัวเลย"ลองคิดว่าถ้าไปเล่นแบบนี้ที่หน้าแพงขายดอกไม้ ลูกค้าก็จะสนใจหันมามอง ถึงไม่ซื้อในทันทีก็จะต้องเอาไปพูดต่อแน่""แม่จะให้พวกข้าเล่นบทบาทสมมุติตอนขายดอกไม้หรือขอรับ""ถูกต้อง แต่มันจะสั้นและกระชับกว่านี้""มันจะได้ผลใช่ไหมขอรับ""ได้ผลในแง่ดึงความสนใจละนะ ที่นี่ยังไม่นิยมมีดอกไม้ขายตามรายทาง เขาไม่รู้จะซื้อมันไปทำอะไร เพราะฉะนั้นนี่คือการนำทาง ว่าการซื้อดอกไม้ทำประโยชน์อะไรให้พวกเขาบ้าง" หนี่เหวินไม่เข้าใจจึงบอกให้มารดาอธิบายเพิ่มเติม"ดอกไม้ถูกนำไปประดับตามบ้านเรือนเต็มไปหมด เกือบทุกหลังที่มีดอกไม้ประดับ ไม่มีใครเกลียดดอกไม้หรืออย่างน้อยก็เท่าที่แม่รู้สึก" เด็ก ๆ ตั้งใจฟังต่อไปไม่กล้าเอ่ยขัด"บุรุษนิยมนำเครื่องหอม ถุงหอม เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ ไปเกี้ยวพาสตรีที่ตนชอบพอ ดอกไม้นี้ก็ทำหน้าที่นั้นได้เช่นกัน
ตั้งแต่ได้ความทรงจำกลับมา ก็ทำใจไว้แล้วว่าคงต้องเข้ารับราชการอย่างเสียไม่ได้ ดีอยู่เพียงว่าไม่ต้องเข้าไปปวดหัวกับพวกขุนนางฝ่ายพลเรือนในราชสำนัก หากไม่มีข้าศึกศัตรูให้เขาต้องไปออกรบที่ชายแดนอีก ก็แค่อยู่จวนและไปรายงานการฝึกทหารเป็นครั้งคราว"ตามใจเจ้า""เช่นนั้นก็ดี ข้าจะกลับเมืองด้วย" หม่าเยี่ยนถิงคิดตรึกตรองแล้วเอ่ยตอบรับ แม้งานที่ไร่จะมากแต่ตอนนี้พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ไว้จ้างชาวบ้านที่ไว้ใจได้แถวนี้ช่วยดูแลให้ก่อนระหว่างไม่อยู่ท่าทีขึงขังจริงจังเมื่อก่อนหน้าเริ่มมลายหายไป ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานเมื่อครู่แสดงสีหน้าเก้อเขินออกมา มือยกขึ้นลูบท้ายทอยเพราะไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ตรงไหน"แบบนี้เท่ากับว่าเราเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม" ถามทีก็หลบสายตานางที่เหลือบมองนางที ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนจริง ๆ นั่นล่ะ"เป็นอย่างนั้นจริงๆ"หม่าเยี่ยนถิงยอมรับอย่างง่าย ๆ มุมปากยกยิ้มออกมาน้อย ๆ ก่อนจะปรับเป็นสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม"ท่านอยากเดินทางไปวันไหน" หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยถามเพราะไ
จะว่าไปนางก็ไม่เคยเห็นดอกไม้ขายที่ตลาดจริง ๆ รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย"เรื่องนี้แม่ยกความดีความชอบให้ความคิดเจ้า อยากลองปลูกดอกไม้ขายดูไหมเล่า""ได้หรือขอรับ?" เด็กชายตาวาววับขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อมารดาพยักหน้าหม่าเยี่ยนถิงไม่เคยเห็นร้านขายดอกไม้ที่เมืองไหนเลยแม้แต่เมืองที่นางไปทำภารกิจ บุรุษที่นี่เกี้ยวสตรีด้วยการซื้อของไปฝาก ส่วนมากเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องประทินโฉมนี่อาจเป็นการทำตลาดใหม่ในแคว้นนี้ก็ได้ใครจะรู้แม้ว่าสตรีทุกคนจะไม่ได้ชอบดอกไม้เหมือน ๆ กันไปหมด แต่นางมั่นใจว่าไม่มีใครเกลียดบุปผาสวยงามเป็นแน่ หากจัดช่อให้สวยงามหน่อย อย่างไรต้องมีบุรุษมากหน้าหลายตา มาหาซื้อไปฝากสตรีที่ตนหมายใจหาไม่แล้วนางก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่คิดไว้ ตัดสินใจได้ดังนั้นหม่าเยี่ยนถิงก็ลงมือเลยทันที ทำการถอนหญ้าถางวัชพืชทำแปลงใหม่อีกส่วนหนึ่งสำหรับปลูกดอกไม้โดยเฉพาะเด็ก ๆ เห็นมารดาทำเรื่องใหม่ ๆ และน่าสนุกอยู่ตลอดเวลาก็ซึมซับพฤติกรรมนั้นมาด้วยหลังตะวันคล้อยลงมา
สตรีที่อยู่ในร่างหม่าเยี่ยนถิงปรารถนาจะดูแลบุตรทั้งสองต่อให้ เป็นความตั้งใจของนางที่ก็ไม่ต่างจากเขาในเวลานี้ แล้วก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็ได้กระมังแม่ทัพแดนเหนือที่พึ่งคืนสถานะตนได้ไม่นาน วางแผนทวงคืนสิทธิ์ควรได้ของภรรยาอย่างเงียบ ๆก่อนวันที่ถูกสหายบิดาเชิญไปร่วมโต๊ะในงานเลี้ยงนั้น มารดาของจางจื่อเสวียนก็เริ่มมองหาสตรีที่คู่ควรมาเป็นคู่หมั้นหมายไว้แล้ว หนึ่งในนั้นคือบุตรสาวคนโตของเสนาบดีหม่าซึ่งตอนนั้นยังเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย เขากับนางเคยเล่นกันเมื่อสมัยเด็ก และน้องสาวของหม่าเหลียนหลิวก็มักมาแอบมองอยู่ใกล้ ๆ ทุกครั้ง จนเขาต้องเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายมาเล่นด้วย สตรีผู้นั้นเติบใหญ่มาเป็นภรรยาเขาในวันนี้แม้ขั้นตอนจะไม่ถูกต้องตามขนบ แต่ลึก ๆ ในใจเจ้าของร่างแท้จริงก็พึงใจนางมากกว่าผู้เป็นพี่สาว แม้มารดาจะมีสตรีที่หมายตาไว้มากมาย แต่ไม่ว่าจะเลือกใครมาเป็นภรรยาก็จะต้องผ่านความเห็นของเขาก่อน สถานะในบ้านของจางจื่อเสวียนสำคัญขึ้นมากหลังได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการทว่าหลังเสร็จสิ้นคืนที่ร่วมเตียงกันไปวันนั้น เขาก็ได้รับคำสั่งด่วนให้ไปช