เซียวหลันยวนคิดว่าจะใช้แค่ปณิธานของตนเอง ฤทธิ์ยานี้ต่อให้กำเริบขึ้นมา เขาก็สามารถสะกดมันไว้ได้อย่างไร้ซุ่มเสียงคิดไม่ถึงว่าเขาจะประเมินตนเองสูงไปหลับไปครึ่งคืน เขาก็รู้สึกว่าทั่วร่างตนเองเหมือนมีไฟเผาอยู่ด้านใน เหงื่อไหลออกมาตลอด เพียงไม่นานก็เปียกเต็มเสื้อผ้าเขาคิดจะเรียกฟู่จาวหนิง แต่ก็รู้สึกว่าถ้าให้นางมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าจะดูเหมือนกลั่นแกล้งนางไปหน่อยเขาไม่ได้จะให้นางมาเป็นสาวใช้เสียหน่อยขณะที่คิดจะทน ก็รู้สึกว่ามีสองมือยื่นออกมาปลดเสื้อผ้าของเขาออกเซียวหลันยวนสมองมึนงง หนังตาหนักอึ้ง คิดจะลืมตาแต่ก็ดูยากลำบากเหลือเกิน จึงคว้าไว้แค่มือของนาง"ท่านต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า"ฟู่จาวหนิงพลิกมือดึงเขาขึ้นมา ปลดเสื้อผ้าของเขาออกนางเดิมทีก็รู้สึกว่าไม่ได้ยากเท่าไร ถึงอย่างไรก็มองตนเองเป็นพยาบาลดูแลคนไข้เสียแต่ตอนที่เห็นร่างกายของเซียวหลันยวนใจนางก็อดเต้นตึกตักไม่ได้คิดไม่ถึงว่าอ๋องที่อ่อนแออย่างเซียวหลันยวน ร่างกายกลับดีเสียขนาดนี้ หน้าอกแน่น กล้ามท้องก็ดี เป็นประเภทที่สวมเสื้อผ้าแล้วผอมแห้งแต่ถอดมากลับดูแน่นปั๊กแบบนั้นสมแล้่วที่เป็นวิชายุทธ์นางออกแรงเปลี่ยนเสื้อผ้าเขา
ก้มหน้าลงมอง จากนั้นก็ย้ายสายตาไปบนใบหน้าฟู่จาวหนิงที่อยู่ข้างๆ เขามองจ้องอยู่ครู่หนึ่งระหว่างแคร่กับเตียงไม้ห่างแค่นิดเดียวเท่านั้น เขากำมือนางไว้แน่นแบบนี้ แขนของนางจึงพาดอยู่ระหว่างช่องว่างไม่ได้คลุมผ้าห่มมิน่าเขาจึงรู้สึกว่ามือของนางเย็น สบายดีเหลือเกินตอนที่ร่างกายร้อนวาบ ความเย็นของนางเช่นนี้ ทำให้เขาไม่อยากจะปล่อยเลยจริงๆตอนนี้เซ๊ยวหลันยวนเองก็ดูไม่อยากจะปล่อยจริงๆ แต่ว่าดูแล้วที่กำไว้เช่นนี้นางคงไม่สบายนัก เขาจึงดึงตัวออกแล้วแขนของนางใส่ไว้ในผ้าห่ม คลุมผ้าให้กับนางเมื่อคืนเขามึนๆ งงๆ ถึงแม้จะลืมตาขึ้นลำบาก แต่ก็ยังรู้ว่านางเช็ดเหงื่อให้กับเขาหลายครั้ง แล้วยังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาหลายรอบด้วย"เจ้าคงเห็นข้าเปลือยหมดแล้วสินะ" เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำนางตอนนี้หลับไปแล้ว มองท่าทางที่ดูว่าง่าย คิ้วตาดกดำราวกับพัดเล็กสองใบทำให้เกิดเงา ดูน่าเอ็นดดูกว่าตอนที่ตื่นมาพอสมควรเลย"ข้าคงจะเสียเปรียบไปแล้ว"เซียวหลันยวนพูดขึ้นอีกคำ จากนั้นก็ยื่นมือไป ใช้นิ้วเกี่ยวหน้านางเบาๆความรู้สึกลื่นเหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้เมื่อคืนเลยเขาเก็บมือกลับมา นั่งลงมา เปิดผ้าห่มแล้วลงจากเตียง ตอนน
อันเหนียนคุกเข่าอยู่หน้าแท่นหนังสือขององค์จักรพรรดิ ก้มหน้าต่ำ พอได้ยินคำพูดของเขา ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายขององค์จักรพรรดิลึกๆ ขึ้นมาองค์จักรพรรดินี่รังเกียจเขาอยู่ใช่ไหม?คนอื่นถ้าคิดจะวิจารณ์ตระกูลอันของพวกเขา องค์จักรพรรดิจะอุดปากพวกเขาได้หรือ?อย่างมากก็คงจะพูดออกมาอย่างคลุมเครือต่อหน้าพวกเขา แต่ลับหลังก็ไม่รู้ว่าจะลือกันแย่แค่ไหนจะว่าไป องค์จักรพรรดิตอนนี้รังเกียจพวกเขาแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาได้ยินคนอื่นพูดกัน ก็ต้องเข้าวังมาให้อค์จักรพรรดิออกหน้าให้ทุกครั้งไปหรือ?องค์จักรพรรดิจะออกหน้าแทนพวกเขาได้ทุกครั้ง แล้วจัดการคนเหล่านั้นได้หรือ?ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยถามอันชิง อันชิงถึงแม้จะรู้สึกขอบคุณต่ออ๋องเจวี้ยน แต่นางก็ไม่ใช่ผู้หญิงไร้สมองแบบนั้น"องค์จักรพรรดิ น้องสาวข้าไม่เคยเห็นหน้าตาอ๋องเจวี้ยนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นนางไม่มีเหตุผลต้องออกเรือนกับอ๋องเจวี้ยนเลย ยิ่งไปกว่านั้นกฎของตระกูลข้าก็มีอยู่ ห้ามเป็นสนมโดยเด็ดขาด องค์จักรพรรดิอาจจะลืมไปแล้วหรือ ว่านั่นเป็นเพราะศาลบรรพบุรษของเราแต่ก่อนโดนภรรยาผู้น้อยเล่นงานจนลำบาก ตระกูลอันเกือบจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพียงเพราะภรรยาผู้น
น้ำเสียงของเขาขรึมลงมาอันเหนียนก็น่าขันเสียจริง เขาเป็นจักรพรรดิถึงกับพูดว่าจะจัดงานเลี้ยงในวังให้ ในฐานะขุนนาง ตอนนี้ยังคิดจะทำให้เขาหมดอารมณ์อีกหรือ?เขาจะจัดงานเลี้ยงในวัง ต้องสนใจด้วยหรือว่าเขาจะมีอารมณ์หรือไม่มี?ดังนั้นถึงบอกว่าอันเหนียนไม่ทำให้คนรู้สึกชอบใจเอาเสียเลย"องค์จักรพรรดิ""เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเช่นนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ตอนบ่าย เจ้าพาน้องสาวเจ้าเข้ามาในวัง"องค์จักรพรรดิพูดจบก็ลุกขึ้นยืน "ถอยไปเถิด"พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไปอันเหนียนทำได้เพียงถอยออกมา มองแผ่นหลังขององค์จักรพรรดิ สีหน้าเขาก็ขรึมลงมาองค์จักรพรรดิไปหาฮองเฮา แจ้งเรื่องนี้กับนางฮองเฮารินน้ำชาให้เขา เอ่ยขึ้นว่า "บังเอิญเสียจริง องค์จักรพรรดิ อี้ไห่เจ้าเด็กคนนันก่อนหน้านี้ก็เข้ามาหาหม่อมฉันแล้ว บอกว่าเขารู้สึกรักใครแม่นางอันชิงจนถอนตัวไม่ขึ้น บอกว่าไม่ว่านางจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็ยินยอมจะรับนางเอาไว้"องค์จักรพรรดิตะลึงงัน"จริงหรือ?""ก็นั่นล่ะ""คนที่ช่วงชิงความบริสุทธิ์ของอันชิงไป เป็นอายวนหรือว่าอี้ไห่กันแน่?" องค์จักรพรรดิรู้สึกสอดรู้สอดเห็นขึ้นมาฮองเฮายิ้มๆ "เรื่องนี้ หม่อมฉันเ
อ๋องเจวี้ยนได้รับการแจ้งจากในวัง ตอนได้ยินว่าพรุ่งนี้ให้เขาพาพระชายาเข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยงก็รู้ขึ้นมาทันทีว่าองค์จักรพรรดิจะต้องทำเรื่องน่าเบื่ออีกแน่เขาหัวเราะเย็นชาขึ้นมาชิงอีกังวลเล็กน้อย"ท่านอ๋อง งานเลี้ยงครั้งที่แล้วคืองานเลี้ยงหงเหมิน ครั้งนั้นท่านก็มีปานประหลาดลามขึ้นมาทั้งตัว หายามารักษาอยู๋นานกว่าจะดีขึ้น ตอนนี้ยังจะเชิญท่านไปงานเลี้ยงในวังอีก"งานเลี้ยงวังครั้งที่แล้วคือเมื่อหลายปีก่อนแต่ว่าครั้งนั้นท่านอ๋องก็เหมือนทิ้งชีวิตไปครึ่งหนึ่งครั้งน้นเองก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ องค์จักรพรรดิจึงผลักขันทีกับสาวใช้ในวังหลายคนออกมารับเคราะห์ โบยจนตายไปตั้งหลายคนต่อหน้าท่านอ๋องแต่ว่าท่านอ๋องเองก็ได้รับความทรมานมานานพอควรครั้งนั้นองค์จักรพรรดิเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจว่าหลังจากนี้ถ้ามีงานเลี้ยงในวังก็จะไม่ให้อ๋องเจวี้ยนมาเข้าร่วมอีกแล้ว อนุญาตให้ท่านอ๋องไม่ต้องเข้าวังร่วมงานเลี้ยงใดๆอีกตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?เป็นถึงจักรพรรดิ แต่พูดเหมือนผายลมแบบนี้ได้ด้วยหรือ?คนที่ไม่รักษาคำพูดแบบนี้มันก็เป็ฯขยะทั้งนั้นคำว่าขยะคำนี้ ชิงอีก็เรียนรู้มาจากฟู่จาวหนิง เขารู้สึกว่ามีเหตุผลดี"พวก
ฟู่จาวหนิงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่นางยังต้องให้เจ้าเด็กน้อยนี่มาเลี้ยงดูหรือ?เจ้าเด็กน้อยไม่ได้เรื่องที่มาหาคนไกลถึงพันลี้ แต่กลับไม่มีเบาะแสอะไรเลย แล้วยังเกือบจะถูกคนตีจนตายเหมือนเหยื่อล่า อย่างเขาเนี่ยนะ คิดจะมาเลี้ยงดูนางกับท่านปู่?"จริงนะ ท่านอย่าไม่เชื่อสิ ตั้งแต่เด็กข้าไม่เคยมีผู้อาวุโสเลย มีแค่ท่านแม่คนเดียวเท่านั้น แต่ว่าท่านแม่เองก็ดูแลมากไม่ไหว ตอนที่ข้าเห็นท่านก็รู้สึกว่าท่านคือพี่สาวของข้า พอเห็นท่านปู่ก็รู้สึกว่าเขาคือท่านปู่ของข้า ข้าพักเข้ามา ก็รู้สึกว่าที่นี่เหมือนบ้านของข้า"เฮ่อเหลียนเฟยกลัวฟู่จาวหนิงจะไม่เชื่อ จึงคิดจะยกมือลั่นคำสาบาน่"เอาล่ะเอาล่ะ เจ้าดูแลตัวเองดีดี ถ้าหากมีคนจากบ้านอื่นมาหาเรื่อง เจ้าก็ให้พวกเขามาขวางเอาไว้แล้วกัน อย่าบุ่มบ่ามรู้ไหม?""ขอรับ พี่หญิง ข้าจะไม่เพิ่มความลำบากให้ท่านแน่""คุณหนู"เสี่ยวเถารีบร้อนวิ่งเข้ามา "ท่านพี่หงจั๋วมาอีกแล้ว"นางรู้จักหงจั๋วกับเฝิ่นซิงแล้ว"นางมาทำอะไรหรือ?"ฟู่จาวหนิงเองก็รู้สึกแปลกๆ มากันอีกทำไม?"ท่านพี่หงจั๋วบอกว่า องค์จักรพรรดิมีรับสั่ง ให้อ๋องเจวี้ยนพาท่านเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ ด
คนมากมายล้วนได้รับข่าวในวังหลวงแล้วจู่ๆ ก็มีงานเลี้ยงในวัง ทุกคนล้วนรู้สึกแปลกใจ แต่นี่ก็เป็นรับสั่งจากองค์จักรพรรดิ ทุกคนแน่นอนว่าทำได้เพียงไปตระเตรียม วันถัดมาตอนบ่ายก็ทยอยกันเข้าวังงานเลี้ยงวังนี้จัดขึ้นในตำหนักเหอชิงตำหนักเหอชิงไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นวันนี้จึงไม่ได้มีมหรสพยิ่งใหญ่นัก คนที่เรียกเข้าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเครือพระญาติในราชวงศ์ และยังมีพวกคนใหญ่โตที่มียศถาหน่อยอีกบางส่วน พาเหล่าภรรยาและทายาทเข้ามาแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คนที่มาก็ยังมีไม่น้อยในตำหนักจัดโต๊ะไว้สองแถว ตรงกลางเว้นว่างเอาไว้เหล่าสาวชาวเดินเข้าออกจัดวางสำรับอาหารสุราเลิศรสไว้แล้วด้านนอกยังมองเห็นดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่ง นี่อยู่ในวัง แต่ด้านนอกกลับเหมือนฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีดอกไม้เหลืออยู่เลยนายท่านจ้าวก็พาจ้าวเฉินจ้าวหรูมาด้วยนายท่านจ้าวพอเข้ามาก็พูดคุยกับสหายก่อน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่เข้ามาประจบประแจงเยินยอเขา จนทำให้จ้าวเฉินจ้าวหรูที่ได้ยินยืดอกภูมิใจขึ้นมาดูเอาเถิด บิดาของพวกเขาจะได้รับการเอ็นดูจากองค์จักรพรรดิ คนอื่นๆ จึงยกยอพวกเขาเช่นนี้รอจนอันเหนียนอันชิงเข้ามา สีหน้าของพี่น้องก็ดูขรึมลงทันทีเ
พอคนคู่นี้เดินเข้ามา ครู่หนึ่งก็ดึงสายตาคนทั้งหมดไปทันทีในนี้มีคนไม่น้อยที่ตั้งอกตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวมา และยังมีหญิงสูงศักดิ์อีกลหายคนที่อยากจะเข้าวัง ดังนั้นวันนี้จึงแข่งกันสวยแข่งกันงามเดิมทีพวกนางล้วนกำลังแอบพิจารณาการแต่งกายของคนอื่น ต่างฝ่ายต่างมีความคิดขึ้นมาแต่ว่าขณะที่คู่สามีภรรยาอ๋องเจวี้ยนเดินเข้ามา ความคิดเหล่านี้ก็ถูกสั่นสะเทือนลอยไปทั้งหมด คนอื่นๆ แต่งตัวกันอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจแล้วอ๋องเจวี้ยนมาในชุดจักรพรรดิสีม่วง บนสีม่วงเข้มปักอินทรีเงิน คอปกสีดำ แขนเสื้อสีดำ เข็มขัดเอวสีดำรองเท้าสีดำ ทำให้คนล้วนต้องศิโรราบ ต่อให้เขาสวมหน้ากากเงินครึ่งหน้าอยู่ ก็ไม่ได้ทำลายท่วงท่าของเขาเลย ซ้ำยังทำให้เขาดูแล้วยิ่งเพิ่มความลึกลับขึ้นไปอีกฟู่จาวหนิงที่อยู่ข้างๆ เขาก็อยู่ในชุดชาววังสีม่วง ในสีม่วงมีประกายสีเงิน ขณะที่เดินก็ราวกับจันทราบนฟ้าราตรี ด้นบนปักโบตั๋นสีเงินไว้ ดูสูงส่งเรียบสงบและรูปร่างของนางก็สวยสง่า เรียวคอยาวราวหงส์ฟ้า ไหล่กลึงกลมเกลี้ยงทั้งสอง เอวที่โอบได้รอบ กระโปรงยาวลากพื้น ทรงสง่ามีระดับผมสีดำขลับของนางถูกรวบเป็นมวย เสียบเอาไว้ด้วยปิ่นไข่มุกสองเล่ม และยังมีด
"ท่านอ๋อง"ด้านนอกมีเสียงเสี่ยวเถาคารวะอ๋องเจวี้ยนดังลอดเข้ามาเซียวหลันยวนเดินเข้ามาแล้วส่วนประโยคครึ่งหลังของเซี่ยซื่อตอนนี้ก็เพิ่งจะดังขึ้นมา..."ยังไหวอยู่ใช่ไหม?"พอสิ้นเสียงนางก็เห็นอ๋องเจวี้ยนเดินเข้ามา แทบจะสำลักขึ้นทันที รีบลุกขึ้นยืน"คารวะท่านอ๋อง! อันห่าว พวกเราไปให้อาหารไก่กัน!"เซี่ยซื่อรีบพูดประโยคนี้ ดึงเซี่ยอันห่าวรีบเดินออกไปแล้วให้ตายเถอะ ตอนที่นางพูดอะไรแบบนี้ ทำไมถึงมาถูกอ๋องเจวี้ยนจับได้กัน? จาวหนิงเองทำไมไม่บอก ว่าอ๋องเจวี้ยนจะเข้ามารับนาง?ฟู่จาวหนิงไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะมารับด้วยซ้ำวันนี้นางกลับมาบ้านตระกูลฟู่ เซียวหลันยวนเองก็ออกไปทำธุระแท้ๆ ทำไมถึงเข้ามาได้กัน?"ท่านมาได้อย่างไรกันนี่?"หลังจากนางถามก็รีบปิดงานปักชิ้นนั้นไว้ด้วยสัญชาตญาณแต่หลังจากทำท่าทางนี้ นางก็รู้สึกประหม่า ทำไมนางต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ด้วยล่ะ? ประหม่าอะไรกัน?ด้วยสมองของเซียวหลันยวน ไม่มีทางมองข้ามการกระทำนี้ของนางแน่ ยิ่งไปกว่นั้น คงคิดได้แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้มีอะไรผิดปกติแล้วก็ตามคาด สายตาของเซียวหลันยวนตกไปอยู่บนของขวัญชิ้นนั้นเสิ่นเชี่ยวเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกใน
ฟู่จาวเฟยบอกกับนางเบาๆ "พี่สาวข้ากล่อมน้าเซี่ยแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องออกไปแล้ว ยังอยู่ที่บ้านนี่ล่ะ"อันห่าวถอนใจโล่งนางยิ้มขึ้นมา ยิ้มอย่างเจิดจ้า"ข้ามีของขวัญจะให้พี่จาวหนิง"นางรีบวิ่งกลับไปห้องของตนเองหยิบของขวัญที่เตรียมไว้แล้วล่วงหน้า วิ่งไปส่งให้ฟู่จาวหนิง"อันห่าวยังมีของขวัญให้ข้าด้วยหรือ? ดีจังเลย ข้าดีใจมาก"ฟู่จาวหนิงรับมาอย่างดีใจ"เป็นงานปักชิ้นหนึ่ง ใส่กรอบไม้พะยูงไว้แล้ว เอาไปแขวนได้" เซี่ยซื่อปิดปากมองนางยิ้มๆ "อันห่าวปักอยู่นานมากเลย"นางเฝ้ารอฟู่จาวหนิงกลับมาเห็นงานปักแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร"ขอบคุณนะเซี่ยอันห่าว ไว้ข้ากลับมาจะเอามาแขวนไว้ที่ห้องหนังสือแน่นอน จะได้เห็นทุกวัน!"ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ"จริงหรือ?" เซี่ยอันห่าวเห็นนางดีใจ ก็เบิกบานตามไปด้วย"แน่นอน..."คำนี้ของฟู่จาวหนิงยังพูดไม่ทันจบ ก็มองเห็นรูปภาพที่ปักอยู่บนชิ้นงาน ครึ่งประโยคหลังของนางก็ติดอยู่ที่คอหอยทันที"แค่กๆๆ"นางจะชมว่าฝีมือปักของเซี่ยอันห่าวดีมากหรือ?!เสิ่นเชี่ยวเองก็เข้ามาดูด้วย น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาแต่เดิม ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เพราะบนงานปักเป็นรูปคนสี่คน!ร่างสูง
เสิ่นเชี่ยวยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น ถลึงตาโตมองฟู่จาวหนิงนางอยากจะให้เวลาย้อนกลับไปอีกหน่อย แล้วฟังให้ชัดอีกครั้ง เมื่อครู่ฟู่จาวหนิงเรียกนางว่าแม่ใช่ไหม?เซี่ยซื่อกับฟู่จาวหนิงคุยกันอีกสองคำ ก็เงยหน้าขึ้นมองสภาพเสิ่นเชี่ยว จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น"อาเชี่ยว?"นางโตกว่าเสิ่นเชี่ยว ก่อนหน้านี้เสิ่นเชี่ยวก็เรียกนางว่าพี่สะใภ้รองอยู่ตลอด ตอนนี้ทั้งสองคนเรียกกันแบบพี่น้อง นางจึงเรียนกชื่อเสิ้นเชี่ยวตรงๆเซี่ยซื่อเขย่าตัวเสิ่นเชี่ยวเบาๆ"ทำไมนิ่งไปแล้วล่ะ?"เสิ่นเชี่ยวตอนนี้เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน รีบเช็ดน้ำตาที่หลั่งทะลักออกมา แต่นางเองก็ไม่ทันสังเกต ไม่รู้เลยว่าตนเองร้องไห้ออกมาแล้ว"ข้า ข้าได้ยินจาวหนิง นาง..." เรียกข้าว่าแม่น่ะ"จาวหนิงเป็นเด็กดี" เซี่ยซื่อเข้าใจความคิดนางขึ้นมาทันที "เจ้าน่ะ มีบุญญาวาสนามาก"เซี่ยซื่อก่อนหน้านี้เป็นห่วงฟู่จาวหนิงมาก รู้สึกว่านางยากลำบากจริงๆ ตั้งแต่เด็กไม่มีพ่อแม่ ต่อมาก็ต้องดูแลท่านปู่ตั้งแต่อายุยังน้อย ในบ้านก็ถูกญาติๆ รังแกนางยังโมโหเสิ่นเชี่ยวกับฟู่จิ้นเชินแทนจาวหนิงเลยแต่ตอนที่ฟู่จิ้นเชินกับเสิ่นเชี่ยวกลับมา นางได้ยินว่าสามีภรรยาทั
"ช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนดีดีก่อน"เซียวหลันยวนบีบเอวนาง เป็นห่วงเป็นใย"ขุนให้มีน้ำมีนวลขึ้นหน่อย"นางตอนนี้ผอมมากไปแล้วผอมจนดูเหมือนเซียนแล้ว รู้สึกเหมือนจะบินลอยไปได้ตลอดเวลาฟู่จาวหนิงลูบหน้าเขา "ท่านเองก็ต้องขุนให้มีน้ำมีนวลด้วย"สามีภรรยาถัดจากนี้จึงเริ่มแผนการขุนตัวเองฟู่จาวหนิงกลับไปบ้านตระกูลฟู่ ผู้เฒ่าฟู่เองก็เห็นว่านางผอมไปมาก เป็นห่วงจนร้องเรียกป้าจงรีบเข้ามาทำกับข้าวดีดีให้นางสักมื้อเซี่ยซื่อกับหลินอันห่าวก็ล้อมเข้ามา หาข่าวเรื่องเมืองเจ้อกับนางระหว่างนี้ ฟู่จาวหนิงก็มองออกว่าเซี่ยซื่อเหมือนมีเรื่องอะไร จึงหาจังหวะถามนางขึ้น"น้าเซี่ย ทำไมรู้สึกเหมือนท่านดูไม่ค่อยร่าเริงเลย?"เซี่ยซื่อถอนหายใจ ไม่ได้คิดจะปิดบังนาง"จาวหนิง เจ้าเองก็รู้แล้ว ว่าเมื่อครู่ข้าหาข่าวเรื่องที่เมืองเจ้ออยู่ไม่น้อย อันที่จริงข้าก็เคยคิด ว่าจะไปอยู่ที่เมืองเจ้อดีไหม""ทำไมหรือ? อยู่ที่นี่ไม่สบายใจหรือ?" ฟู่จาวหนิงงงงันขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเซี่ยซื่อมีความคิดแบบนี้"ไม่หรอก อยู่ที่นี่สบายใจอยู่แล้ว แต่คนของตระกูลหลินก็ไม่ยอมตายใจเอาแต่เข้ามารังควาญ"หลังจากที่เซี่ยซื่อหย่ากับสามี คนตระกูล
"ดูการเคลื่อนไหวของทูตแคว้นหมิ่นอีกหน่อย"เซียวหลันยวนรู้สึกว่าตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ดูก่อนว่าทูตของแคว้นหมิ่นเจรจากับองค์จักรพรรดิได้หรือไม่ฟู่จาวหนิงดึงเขานั่งลง อ้อมไปอยู่ด้านหลังแล้วนวดหัวให้เขาหลายวันนี้เขาเองก็ยุ่งเหลือเกิน ต้องจัดการเรื่องตั้งมากมาย นางเหนื่อย เขาเองก็ไม่ได้สบายเท่าไรนัก"แคว้นหมิ่นต้องการตงฉิง เรื่องนี้ท่านคิดอย่างไรบ้างล่ะ?"ตงฉิง ถึงอย่างไรก็เป็นของเขาเขาตอนนี้คงผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของตงฉิงตงฉิงตอนนี้ต่อให้ยังไม่เห็นท้องฟ้าเห็นตะวัน แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีเจ้าของถ้าหากแคว้นหมิ่นต้องการคลังสมบัติกับเหมืองแร่ของตงฉิง ก็เท่ากับต้องการสิ่งของของเซียวหลันยวน จากความเข้าใจต่อเซียวหลันยวนของฟู่จาวหนิง เขาจะไม่ทนดูของของตนเองถูกแบ่งออกไปแน่เซียวหลันยวนสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายและสบายที่นิ้วของนางนำมา"ตงฉิง ข้าไม่ยอมยกให้อยู่แล้ว"ตงฉิง เขามีจุดประสงค์อื่นอยู่แล้วของที่เป็นของเขา เขาไม่มีทางยอมให้เปล่าๆ แบบนี้ไหนจะเรื่องนี้ แม้เขาเป็นคนแคว้นเจา แต่ตอนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตงฉิงครั้งนั้น แคว้นเจารู้แต่ก็ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ในอดีตเคยรับบุ
ฟู่จาวหนิงเห็นเขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่"รู้สึกว่าเขาไม่ควรโง่ขนาดนี้"เซียวหลันยวนคิดถึงท่วงท่าสง่าผ่าเผยสมัยที่จักรพรรดิยังวัยหนุ่ม คิดถึงตอนที่เขายังเด็ก ตอนที่องค์จักรพรรดิยิ้มแย้มทักทายเขา แต่พอหันกลับก็วางแผนเกือบทำเขาจมบ่อน้ำตายครั้งนั้น เขามองไม่ออกถึงแผนการที่องค์จักรพรรดิสร้างขึ้นมาจริงๆต่อมาให้คนไปตรวจสอบก็ยังตรวจสอบอะไรไม่ได้ หลักฐานทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเชื่อมั่นสัญชาตญาณตนเองเกินไป เขาก็คงถูกหลอกผ่านไปแล้วแต่ว่าตอนนี้องค์จักรพรรดิกลับโง่แบบนี้ไปแล้วหรือ?"ก่อนหน้านี้ที่ข้าจับชีพจรให้องค์จักรพรรดิ ก็ไม่พบว่าเขาโดนยาพิษอะไร" ฟู่จาวหนิงนึกย้อนกลับไปตอนที่จับชีพจรให้องค์จักรพรรดิ "แต่ว่า จับชีพจรเองก็ไม่ได้แม่นยำไปเสียทั้งหมด ถ้าหากโดนพิษที่ออกฤทธิ์ช้ามาหลายปีจนทำร้ายสมองเข้า ก็ไม่แน่ว่าจะตรวจหาพบ"ฟู่จาวหนิงมองเขา "ท่านสงสัยเรื่องนี้หรือ?"เขาน่าจะสงสัยว่าองค์จักรพรรดิถูกวางยาพิษ พอสะสมนานวันเข้าจึงกระทบไปถึงสมองจะว่าไปก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"เป็นไปได้ แต่ในเมื่อเจ้าตรวจไม่เจอ ก็อธิบายว่าต่อให้ถูกว
เสิ่นเชี่ยวยืนยันว่าไม่ได้ยินเรื่องขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเลยจริงๆพอเซียวหลันยวนกลับมา ฟู่จาวหนิงจึงถามขึ้นเซียวหลันยวนก็มีแหล่งข่าวของตนเองอยู่"นางกับหยวนอี้อยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนบาดเจ็บ หยวนอี้หนักหน่อย ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นแต่งตัวเป็นสาวใช้วัง พักฟื้นอยู่ด้วยกันในวังราชนิเวศน์ ทั้งสองคนไม่ออกไปไหนเลย"เซียวหลันยวนหลังจากกลับมาก็พักผ่อนไปหนึ่งวัน จากนั้นก็เริ่มจัดการธุระเรื่องต่างๆองค์จักรพรรดิยังไม่เรียกเขาเข้าวัง ตอนนี้น่าจะยังกลัวอยู่หน่อยๆ กลัวเขาที่เพิ่งกลับมาจากเมืองเจ้อ จะถูกติดโรคระบาดมาหรือเปล่าเรื่องครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกความขี้ขลาดกลัวตายขององค์จักรพรรดิ เขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองเจ้อ องค์จักรพรรดิขี้เกียจจะไปถาม เพราะถ้าจะถามขึ้นมาจริงๆ เป็นไปได้มากว่าจะถูกเขาพูดไปถึงช่วงหลัง แล้วถามหาความรับผิดชอบเรื่องวัตถุดิบยากับเสบียงเหล่านั้นระดับความขี้เหนียวขนาดนั้นขององค์จักรพรรดิ จะยอมออกมาได้อย่างไร?ดังนั้นเรื่องนี้เกรงว่าคงมีแต่จะยื้อออกไปเรื่อยๆ ลากไปจนกว่าโหยวจางเหวินจะเข้าวังเซียวหลันยวนตอนนี้ก็ขี้เกียจไปคิดเล็กคิดน้อยกับอง
ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวมองจูเฉียนเฉี่ยน"คนทั้งหมดล้วนกำลังยุ่งกับเรื่องสำคัญ ยุ่งกันจนหัวหมุน ใครมีเวลามาสนใจเรื่องไร้สาระของเจ้ากัน? อย่าคิดว่าทุกคนเขาจะเอาแต่คิดเรื่องความรักที่ไม่เหมาะสมนี้! หมอฟู่เองก็ไม่ได้คิดจะแกล้งอะไรเจ้า แค่ไม่อยากให้เจ้าทำเรื่องเสียต่างหาก""ข้าไปทำเรื่องเสียตอนไหนกัน? ข้าก็ช่วยอยู่ที่นั่นตลอด ข้าเองก็ช่วยไปตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง?" จูเฉียนเฉี่ยนน้อยใจ"เช่นนั้นเจ้าก็ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้เรอะ? ยังคิดจะตามไปเมืองหลวงอีก?""ท่านลุง หรือข้าจะต้องเป็นยายแก่ที่ไม่ได้แต่งงานไปตลอดชีวิตกัน? พ่อกับแม่ข้าจะไม่วางใจเอานะ!" จูเฉียนเฉี่ยนตาแดงรื้นขึ้นมานางมองไปยังรถม้าที่แล่นห่างออกไป รู้ว่าตอนนี้ตนเองตามไปไม่ทันแล้ว เสียใจจนอยากจะร้องไห้"ใครไม่ให้เจ้าแต่งงานกัน? ข้าจะให้ป้าของเจ้าหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เจ้เาอง""ชีวิตของข้าไม่เหมาะกับคนธรรมดา!" จูเฉียนเฉี่ยนร้องขึ้นมาอีกนางแต่งงานส่งเดชไม่ได้"เช่นนั้นก็หาคนที่เหมาะก็จบแล้วนี่!" ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวตะคอกเสียงขรึมถึงอย่างไรถ้าเขาทำให้จูเฉียนเฉี่ยนไประรานตระกูลฟู่ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีหน้าไปพบหมอฟู่แล้วจูเฉียนเฉ
และมีเหล่าขุนนางใหญ่แอบคุยกันถึงเรื่องนี้องค์จักรพรรดิโมโหจนล้มป่วยส่วนเหล่าทูตจากแคว้นหมิ่นก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หลังจากหยวนอี้กลับมา ก็บอกกับภายนอกว่าไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แล้วจึงอยู่แต่ในวังราชนิเวศน์ไม่ออกไปพบใครตอนนี้ยังออกไปลำบากแต่ความเป็นจริงคือเนื่องจากองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นบาดเจ็บ จำเป็นต้องหลบเพื่อพักฟื้นก่อนองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็แต่งตัวเป็นสาวใช้วังซ่อนอยู่ในวังราชนิเวศน์ระหว่างทางจากเมืองเจ้อกลับเมืองหลวง นางเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เฉินเซียวตายไปแล้ว องครักษ์ของนางก็ตาย เหลือแค่นางคนเดียว ตอนนี้จึงจำใจต้องพึ่งพาหยวนอี้ไปก่อนไม่ใช่แค่หยวนอี้ที่บาดเจ็บ นางเองก็บาดเจ็บด้วยก่อนหน้านี้ป่วยไปรอบหนึ่ง บวกกับการบาดเจ็บครั้งนี้ องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นผอมลงไปมากเมืองเจ้อเองก็สงบไปอีกหลายวันครึ่งเดือนต่อมา ฟู่จาวหนิงในที่สุดก็ควบคุมโรคระบาดเอาไว้ได้ทั้งหมด เมืองเจ้อยกเลิกการปิดเมืองคนทั้งเมืองล้วนดีใจกันอย่างบ้าคลั่งวันที่ฟู่จาวหนิงจะออกจากเมืองเจ้อ ประชาชนทั้งเมืองก็มาล้อมส่งที่ถนนอยู่ในเมืองเจ้อนานขนาดนี้ ฟู่จาวหนิงก็รู้สึกผูกพันกับเมืองเจ้อขึ้นมาแล้ว แต่