"เจ้าจะทำให้ข้าโมโหใช่ไหม?" ฮูหยินเฉินสีหน้าเปลี่ยนไป "ข้าไม่ใช่เคยบอกเจ้าแล้วหรือ ตอนนั้นข้าจำใจต้องนำงานเย็บออกมา ก็เพื่อให้พวกเรามีค่าขึ้นมาบ้าง ให้ต่งฮ่วนจือมองพวกเราใหม่ ถึงรับพวกเราเอาไว้""แต่พวกเราจะเอางานฝีมือแห่งตงฉิงออกมาซี้ซั้วไม่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจมากเกิน แล้วเจ้าทำไม เจ้าทำไมจึงมอบงานปักนั้นออกไปแบบนี้?"เฉินฮ่าวจูกัดริมฝีปากล่าง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม "แต่ว่าพวกเราก็ฝากตัวอยู่แต่กับพันธมิตรโอสถใต้หล้า นอกจากงานฝีมือเพื่อแลกข้าวนิดหน่อย ที่เหลือก็ต้องพึ่งพาลุงต่งทั้งนั้น ลอยชายกันอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ท่านแม่หรอกหรือที่บอกว่าวันคืนเช่นนี้มันไม่มั่นคง?"นางชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาแดงรื้น "ยิ่งไปกว่านั้นเมืองจี้เองก็ยังหาคนที่เหมาะสมกับข้าไม่ได้ ข้าถึงอายุที่ต้องแต่งงานมานานแล้ว ถ้าหากยังเสียเวลาอยู่แบบนี้ ก็จะทำได้แค่แต่งงานส่งๆ ออกไปเท่านั้น แล้วข้าจะทำอย่างไรกัน?""เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอ๋องเจวี้ยนเหมาะกับเจ้าหรือ? ทำไมเจ้าถึงใฝ่สูงขนาดนั้น? เขามีพระชายาอ๋องเจวี้ยนอยู่แล้ว!" ฮูหยินเฉินโมโหกระฟัดกระเฟียด"ถ้าหากเข้าไปในจวนอ๋องเจวี้ยนได้ ให้ข้าไปเป็นพระชายารองก็ได้!" เฉิน
หญิงรับใช้พอเห็นฟู่จาวหนิงก็ประหม่าขึ้นมาแต่นางก็รีบอธิบายมาคำหนึ่ง "แม่นางฟู่ คือว่าท่านต่งบอกให้ไปเชิญฮูหยินเฉินกับแม่นางเฉินมากินข้าวด้วยกันน่ะ""โอ๋?" แล้วมันมีอะไรต้องกังวลกันล่ะ?หญิงรับใช้พอคิดถึงตัวตนฐานะของฟู่จาวหนิงที่เป็นพระชายาอ๋องเจวี้ยน จึงเขยิบเข้ามาแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวัง "แต่ข้ามีคำหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีน่ะสิ?"ฟู่จาวหนิงอยู่นิ่งเงียบหญิงรับใช้คนนี้ตอนอาหารค่ำก็ทำงานง่วน น่าจะไปเห็นองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นแล้ว และยังรู้ถึงตัวตนของเซียวหลันยวนด้วยตอนนี้จะมาบอกความลับอะไรกับนาง หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเซียวหลันยวน?"เจ้าพูดมาหน่อยสิ""ท่านต่งคิดจะเฉลิมฉลองให้ท่าน ถึงอย่างไรท่านก็เข้าร่วมกับสมาคมหมอใหญ่แล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ฮูหยินเฉินกับแม่นางเฉินพวกนางไม่ใช่คนของพันธมิตรโอสถ จะว่าไป แม่นางเฉินเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน จะให้ไปปรากฏตัวต่อหน้าท่านอ๋องบ่อยๆ ก็คงไม่ดี ท่านว่าใช่ไหม?"ฟู่จาวหนิงรู้สึกน่าขันนี่กังวลแทนนางขึ้นมาแล้วหรือ?หรือก็คือ กระทั่งสาวใช้เองก็ยังมองออกว่าเฉินฮ่าวจูมีใจให้เซียวหลันยวน ตอนนี้จึงนำเรื่องนี้มาแสดงความหวังดีกับนางหรือ
"พวกเราไปเมืองหลวงแคว้นเจา บางทีอาจจะมีโอกาสมากกว่าอยู่ที่เมืองจี้ก็ได้ ที่นั่น เจ้าสามารถเลือกบ้านสามีที่ดีกว่าได้"เมืองจี้ เล็กเกินไปจริงๆเมืองหลวงจักรพรรดิต้าชื่อ ก็ยังมีคนที่สงสัยในตัวพวกนาง จะไปโผล่หน้าอีกไม่ได้แล้วเช่นนั้น การออกจากต้าชื่อ ไปยังเมืองหลวงแคว้นเจาจึงดีที่สุดตอนที่สุราชั้นดีอาหารรสเลิกวางอยู่เต็มโต๊ะ เซียวหลันยวนก็กลับมาแล้วฟู่จาวหนิงเล่าเรื่องที่สมาคมหมอใหญ่ให้กับผู้อาวุโสจี้เสร็จ พอเห็นเขาเข้ามาก็ลุกออกไปรับนางเดินไปตรงหน้าเขา เงยหน้ามองเขา สายตามีความหยอกล้อ ไม่พูดอะไรเซียวหลันยวนประหลาดใจ "หนิงหนิงทำไมมองข้าแบบนั้นล่ะ?"เพิ่งจะแยกกันไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?"ก็แค่มองหน้าท่านเฉยๆ" ฟู่จาวหนิงมองเส้นคางขากรรไกรเขา "ยั่วยวนเสียจริง"ยั่วเอาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไล่ตามมาจนถึงเมืองจี้ แล้วยังยั่วเอาสาวน้อยข้างบ้านจนอยากจะเบียดตัวเข้ามาอีกจุ๊ๆนางคาดเดาได้เลย ถ้าแผลเป็นเขาหายดี ใบหน้านี้กลับไปเป็นดังเดิมเมื่อไร คงจะล่อลวงคนมากมายเลยทีเดียว"พูดอะไรไร้สาระ"เซียวหลันยวนมองไปทางผู้อาวุโสจี้ที่อยู่ข้างๆ ผู้อาวุโสจี้เองก็เงี่ยหู เห็นไ
"ชุดกระโปรงนี้ฮูหยินเฉินเป็นคนทำเองหรือ?" ฟู่จาวหนิงถาม"ไม่ใช่แค่ตัดเย็บ ดอกโบตั๋นทั้งหมดด้านบนก็ล้วนเป็นท่านแม่ของข้าปักร้อยลงไปทีละเข็ม! ท่านไม่รู้หรอก ว่ากระโปรงดอกโบตั๋นตัวนี้ท่านแม่ข้าต้องใช้เวลานานเท่าไร ต้องใช้ไหมด้ายไปเท่าไร ตาแทบจะลายหมดแล้ว"เฉินฮ่าวจูเองก็ไม่คิดว่าแม่ของนางจะนำกระโปรงดอกโบตั๋นตัวนี้ออกมอบให้ฟู่จาวหนิงนางรู้สึกปวดใจหน่อยๆ รู้สึกอาลัยเสียดายชุดกระโปรงตัวนี้ เดิมทีท่านแม่คิดจะนำไว้ใช้ในเรื่องงานแต่งงาน ให้นางสวมไปพบทางบ้านสามี แค่ปักกระโปรงตัวนี้ก็ใช้เวลาไปถึงแปดเดือน เวลาแปดเดือนนี่ยังถือว่าแม่ของนางปักได้เร็วแล้วนะ ความเร็วเดิมทีก็เร็วกว่าช่างปักเสียอีกถ้าหากเป็นคนอื่น หนึ่งปีก็อาจจะทำไม่เสร็จตอนนี้กลับนำกระโปรงตัวนี้มาให้ฟู่จาวหนิงเฉินฮ่าวจูกลับว่าฟู่จาวหนิงจะไม่รู้จักคุณค่า"กระโปรงตัวนี้สวยงามล้ำค่ามาก หาได้ยากมากจริงๆ" ต่งฮ่วนจือเองก็ทอดถอนใจชื่นชมผู้อาวุโสจี้พยักหน้า "กระโปรงตัวนี้ต้องขับเด่นศิษย์รักของข้าแน่นอน ถ้าเป็นคนอื่นสวมแล้วอาจจะไม่เห็นผลก็ได้"เฉินฮ่าวจูชะงักไปคำพูดนี้ของผู้อาวุโสจี้หมายความว่าอย่างไร? คือนอกจากฟู่จาวหนิงแล้วก
แต่ว่าฮูหยินเฉินก็สงบท่าทีลงมาได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อฟู่จาวหนิงมีนิสัยเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็ตรงไปตรงมาหน่อย"ให้ท่านเห็นสิ่งน่าอายเสียแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องร้องขอที่ไม่สมควรอยู่จริงๆ"ฟู่จาวหนิงเลิกคิ้วเป็นสัญญาณให้นางพูดต่อ"พวกท่านน่าจะใกล้กลับแคว้นเจาแล้วกระมัง?""ถูกต้อง""ท่านทั้งสองสามารถพาข้ากับฮ่าวจูไปที่เมืองหลวงด้วยได้ไหม? พวกเราไม่ลูกไม่กล้าออกเดินทางไกลนับพันลี้ และเราก็ทำเองไม่ได้ด้วย ถ้าสามารถติดตามพวกท่านไป ก็ถือว่าได้รับการคุ้มครอง พอถึงเมืองหลวงแคว้นเจา พวกเราก็สามารถจัดการลงหลักปักฐานตนเองได้ ไม่ต้องรบกวนพวกท่านอีก"คำพูดของฮูหยินเฉินทำเอาต่งฮ่วนจืองงงัน"เจ้า พวกเจ้าจะไปเมืองหลวงแคว้นเจาหรือ? อยู่ที่นี่แล้วมีตรงไหนไม่สบายหรือไรกัน?" ต่งฮ่วนจือคิดไม่ถึงเลย ว่าแม่ลูกฮูหยินเฉินจะคิดออกจากเมืองจี้เขากระทั่งโดนผลกระทบทางจิตใจด้วยซ้ำเพราะก่อนหน้านี้ ฮูหยินเฉินไม่ได้เผยอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยเขาไม่ได้รับความเชื่อใจจากพวกนางแม่ลูกหรือ?ฮูหยินเฉินมองเขาเชิงขอโทษ "ท่านต่ง ขออภัยด้วย ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกอะไรกับท่านเลย พวกเรามาอยู่ที่เมืองจี้สี่ปีกว่าแล้ว ได้รับการดูแ
ฟู่จาวหนิงเห็นสายตาของเฉินฮ่าวจูเป็นประกายขึ้นมานางกระทั่งมองเซียวหลันยวนอย่างชื่นชมเดิมทีนางก็อยากจะรับปากอยู่ แต่พอเห็นสายตาชื่นชมคาดหวังของเฉินฮ่าวจูแล้ว ฟู่จาวหนิงก็รู้สึก...นางต้องมีปัญหาอะไรแน่ ถึงจะพาความยุ่งยากนี้ไปด้วย ให้โอกาสนางมาลอยไปลอยมาต่อหน้าเซียวหลันยวนขณะที่กำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเซียวหลันยวนดังขึ้นมา"ไม่สะดวก ไม่เหมาะสม ข้าไม่ชอบให้มีคนมาลอยไปลอยมาต่อหน้าข้า เกะกะลูกตา"พรวดฟู่จาวหนิงอดมองไปทางเขาไม่ได้เมื่อครู่เขาเพิ่งจะเห็นด้วยที่จะพาสองแม่ลูกนี้ไป แค่ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนใจเสียแล้วหรือ?คล้ายกับนางจริงๆ นางชอบในสายตาฟู่จาวหนิงอดมีรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ สายตาของเขาราวกับเป็นประกายน้ำไหลเอื่อยเซียวหลันยวนเมื่อครู่ที่เหลือบไปเห็นสายตาของเฉินฮ่าวจูรู้สึกไม่ชอบอย่างมาก พอคิดว่าต้องพาพวกนางไปแล้ว ตลอดทางไม่รู้ต้อง "เสพ" กับสายตาเช่นนี้อีกเท่าไร เขาไม่ค่อยสบายเท่าไรนักเกี่ยวกับฝีมืองานปักของตงฉิง เอาไว้ค่อยว่ากันแล้วกันก็ไม่ได้จะต้องเอาคนไปเสียหน่อยเฉินฮ่าวจูแทบจะร้องไห้ออกมาแล้วอ๋องเจวี้ยนทำไมจึงเย็นชาไร้น้ำใจเช่นนี้!ใบหน้าของเขาหล่อเห
ฮูหยินเฉินเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร นางเองตอนนี้ก็เจ็บจี๊ดที่ใจขึ้นมาเหมือนกันกระโปรงลายดอกโบตั๋นมอบออกไปแล้วแต่ว่าก็ไม่ถือว่าส่งมอบออกไปหรอก แต่เป็นการแลกเปลี่ยน และกับการที่ผู้อาวุโสจี้พาพวกนางทั้งสองคนไปเมืองหลวงแคว้นเจาแต่นางเดิมทีคิดจะไปด้วยกันกับอ๋องเจวี้ยนและฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงเป็นหมอเทวดา ระหว่างทางหากไม่สบายตรงไหน ฟู่จาวหนิงคงไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ตายไปแน่ แล้วพวกนางทั้งสองคนสุขภาพก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรนัก ตอนนี้ก็ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้วด้วย ระหว่างทางอาจจะเป็นหวัดขึ้นมาได้ตลอดเวลาสองคือ ฟู่จาวหนิงเป็นหญิงสาว ระหว่างการเดินทางจะละเอียดละออหน่อย พักแรมหรือการกินอยู่ก็จะค่อนข้างละเอียด พวกนางเองก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ตามไปด้วยสามคือ ระยะทางที่ห่างไกลเช่นนี้ จะอย่างไรก็สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทางได้ฮ่าวจูในเมื่อชอบอ๋องเจวี้ยนเสียขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ ระหว่างทางบางทีอาจจะมีโอกาสถ้าไม่ได้ นางก็ยังสามารถขอให้อ๋องเจวี้ยน ช่วยจัดแจงหาที่พักให้นางในเมืองหลวง ถึงตอนนั้นพอเข้าเมืองหลวงพวกนางก็มีที่มีทางแล้ว แค่โผล่หน้าออกไป คนในเมืองหลวงก็จะรู้ว่าพวกนางนั้นมาพร้อมกับอ๋องเจว
วันต่อมาฟู่จาวหนิงก็ยังไปที่หอวัฒนธรรมครั้งนี้พอนางโผล่หน้าไป คนทั้งหมดก็แทบจะมองมาที่นางทุกคนรู้ว่านางเข้าร่วมสมาคมหมอใหญ่แล้ว"นี่เป็นหมอเทวดาหญิงคนแรกของสมาคมหมอใหญ่เลยนะ""ไม่ใช่แค่นี้ แต่ยังเป็นหมอเทวดาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย!"มีคนไม่น้อยกำลังวิพากษ์วิจารณ์ฟู่จาวหนิงแต่พวกประธานกงซุนก็ยอมให้นางเข้าร่วมแล้ว กระทั่งซุนฉงหมิงก็ยังไม่มีคำพูดประหลาดใด ดังนั้นจึงไม่มีใครวิจารณ์ต่อคุณสมบัติของนางแค่รู้สึกว่านางอายุน้อยขนาดนี้ แล้วยังเป็นหญิงสาวอีกด้วย ช่างน่าตกตะลึงเสียจริงคนป่วยคนนั้นเมื่อวานนี้ก็เข้ามาด้วยเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น เขายังนั่งได้แล้ว และพูดได้แล้วด้วยแม้ใบหน้าจะยังพันผ้าไว้ แต่ดวงตาที่ถูกอาการบวมน้ำเบียดจนเป็นร่องแต่เดิมตอนนี้ก็เปิดขึ้นได้แล้ว ดวงตาเองก็ไม่เล็กเลย ทำเอาคนรู้สึกตกตะลึงมากเขายังพูดได้ด้วย พอมาถึงก็ให้คนนำสมบัติล้ำค่าทองคำกล่องหนึ่งมายื่นให้ตรงหน้าฟู่จาวหนิง ขอบคุณที่นางช่วยชีวิตตนเองเอาไว้"หมอเทวดาฟู่ พวกเราทางนั้นมีหลายคนที่ป่วยเช่นเดียวกันกับข้า แล้วข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอดทนและมีเงื่อนไขเพียงพอที่จะลากสังขารออกมารักษ
และมีเหล่าขุนนางใหญ่แอบคุยกันถึงเรื่องนี้องค์จักรพรรดิโมโหจนล้มป่วยส่วนเหล่าทูตจากแคว้นหมิ่นก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หลังจากหยวนอี้กลับมา ก็บอกกับภายนอกว่าไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แล้วจึงอยู่แต่ในวังราชนิเวศน์ไม่ออกไปพบใครตอนนี้ยังออกไปลำบากแต่ความเป็นจริงคือเนื่องจากองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นบาดเจ็บ จำเป็นต้องหลบเพื่อพักฟื้นก่อนองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็แต่งตัวเป็นสาวใช้วังซ่อนอยู่ในวังราชนิเวศน์ระหว่างทางจากเมืองเจ้อกลับเมืองหลวง นางเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เฉินเซียวตายไปแล้ว องครักษ์ของนางก็ตาย เหลือแค่นางคนเดียว ตอนนี้จึงจำใจต้องพึ่งพาหยวนอี้ไปก่อนไม่ใช่แค่หยวนอี้ที่บาดเจ็บ นางเองก็บาดเจ็บด้วยก่อนหน้านี้ป่วยไปรอบหนึ่ง บวกกับการบาดเจ็บครั้งนี้ องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นผอมลงไปมากเมืองเจ้อเองก็สงบไปอีกหลายวันครึ่งเดือนต่อมา ฟู่จาวหนิงในที่สุดก็ควบคุมโรคระบาดเอาไว้ได้ทั้งหมด เมืองเจ้อยกเลิกการปิดเมืองคนทั้งเมืองล้วนดีใจกันอย่างบ้าคลั่งวันที่ฟู่จาวหนิงจะออกจากเมืองเจ้อ ประชาชนทั้งเมืองก็มาล้อมส่งที่ถนนอยู่ในเมืองเจ้อนานขนาดนี้ ฟู่จาวหนิงก็รู้สึกผูกพันกับเมืองเจ้อขึ้นมาแล้ว แต่
โจวติ้งเจินถูกผลักออกไปจากเมืองเจ้อมาได้ครึ่งทางเขาก็ได้สติขึ้นมา พอรู้ว่าตนเองต้องถอนกำลังแบบนี้ ก็โมโหจนแทบจะเป็นลมไปอีกรอบแต่เขาก็ถ่ายหนักจนตัวโยน ตอนนี้แค่แรงจะด่าก็ยังไม่มีเพราะในป่าในเขา เขากระทั่งไม่มีกระดาษแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ใบไม้กับกิ่งไม้มาจัดการ ตอนนี้รูทวารเองก็เต็มไปด้วยแผล ขยับทีก็เจ็บเหลือแสน"กลับ กลับไป..."รองขุนพลเห็นสภาพแบบนี้ของเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจว่า "ท่านขุนพล ครั้งนี้พวกเราช่างมันเถอะ อ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนร่วมมือกัน วิธีการก็ชั้นต่ำมาก ไม่รู้ว่ายาพวกนั้นของพวกเขาจัดการมาอย่างไร ถ้าพวกเรายังไปอีก ไม่รู้ว่าต้องติดยากันอีกกี่รอบนะ"ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทางนั้นก็ไม่มีอะไรกินกันแล้ว เดิมทีคิดว่าวันสองวันก็น่าจะจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ใครจะคิดว่าอ๋องเจวี้ยนจะไร้เหตุผล ถึงกับใช้วิธีการแบบนี้แล้ววรยุทธ์ของอ๋องเจวี้ยนก็ห่างชั้นกับพวกเขา ตราบใดที่ไม่ต้องปะทะกับท่านขุนพล เขาก็แฝงเข้ามาในกลุ่มพวกเขาได้ ถ้าหากเข้ามาก็ไม่มีใครขวางอยู่หรอกพวกเขาถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร ต่อให้ไม่ตายชีวิตก็น่าจะหายไปซักครึ่งอยู่"ท่านขุน
โจวติ้งเจินไม่อยากจะออกไปไกลหน่อยเสียที่ไหน?แต่เขาทำไม่ไหวน่ะสิ!ท้องเสียครั้งนี้ ลากยาวไปถึงสามวัน!คืนวันที่สอง พวกทหารที่เรี่ยวแรงหายไปก็ฟื้นกลับมาพอควรแล้ว โจวติ้งเจินกลับล้มลงไปแทนเขาถ่ายออกมาจนทั้งเนื้อตัวซีดไปหมด ไม่มีแรงจะพูดจาเลยทีเดียวตอนที่เขาเตรียมจะรองขุนพลเตรียมเข้าไปตีเมือง รองขุนพลก็เริ่มท้องเสียบ้างแล้ววันที่สาม เขาออกคำสั่งอย่างอ่อนแรงให้ทหารเข้าไปโจมตีเมือง ให้รองขุนพลน้อยหลายคนนำทหารออกไป เหล่าทหารก็ไม่มีแรงกันขึ้นมาอีก!ทหารกว่าครึ่งล้มลงไปนอนระเนระนาดอีกครั้ง ลุกกันไม่ขึ้นแผนการโจมตีเมืองถูกบีบให้หยุดชะงักอีกครั้งโจวติ้งเจินโมโหจนเกือบจะเส้นเลือดในสมองแตกเขาตอนนี้ยังมองไม่ออกที่ไหนว่าเป็นฝีมือเซียวหลันยวน?แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายวางยามาได้อย่างไร! ยาพวกนั้นทำไมถึงไม่มีสีมีกลิ่นเลย"ต้องเป็นฟู่จาวหนิงแน่ๆ ต้องเป็นยาที่นางทำขึ้นมา..."สุดท้ายโจวติ้งเจินคิดออกถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ถ่ายออกมาจนตัวโหวง ลุกไม่ขึ้นที่นี่ไม่มีอะไรที่กินได้แล้ว ต่อให้ล่าสัตว์มา ตอนนี้เขาก็กลืนไม่ลงถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป โจวติ้งเจินรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่รองขุนพ
อันเหนียนรู้สึกว่า สามีภรรยาอย่างพวกเขาทั้งสองคนถ้าอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย อาจจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกก็ได้ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นคู่สวรรค์สร้าง ใครก็แทรกกลางเข้าไปไม่ได้เซียวหลันยวนเดินเข้ามา เห็นอันเหนียนกำลังคุยอยู่กับฟู่จาวหนิงเขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างๆ ฟู่จาวหนิง แต่มองไปทางอันเหนียน"คุยอะไรกัน?"คุยกันสนุกเชียวนะ? เหมือนจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันเหนียนด้วยฟู่จาวหนิงเองก็สีหน้ามีชีวิตชีวาเหมือนกันเอาอีกแล้ว อันเหนียนก่นด่าในใจ เจอเข้ากับสายตาของเซียวหลันยวน "กำลังคุยกับพระชายา ว่าพวกท่านตอนนี้นิสัยคล้ายคลึงกันเรื่อยๆ แล้ว""อย่างนั้นหรือ? พวกเราเป็นสามีภรรยา จะคล้ายกันมันก็เรื่องปกตินี่" เซียวหลันยวนบีบแขนฟู่จาวหนิง"มือทำไมเย็นนักล่ะ?" ฟู่จาวหนิงโดนความเย็นของมือเขาดึงความสนใจไปทันที นางพลิกกลับมากุมมือเซียวหลันยวน มืออีกข้างก็ปลดหน้ากากของเขาลงมาพอปลดหน้ากากถึงจะเห็นสีหน้าของเขาดูแล้วยังดีอยู่"ฝนตกลงมาครู่หนึ่ง แล้วนอกเมืองก็อากาศเย็นมาก" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้น ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด "หนิงหนิงให้ข้ากอดหน่อย เดี๋ยวก็อุ่นขึ้นแล้ว"แค่กๆอันเหนียน
ยาครั้งนี้ มีประสิทธิภาพมากจริงๆพอถึงตอนฟ้าสาง มีคนป่วยหนักแต่เดิมหลายคน มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเดิมทีที่ป่วยจนไม่รู้สึกตัวแล้ว วันนี้ตอนเช้าก็สามารถประคองตัวลุกขึ้นนั่งมากินข้าวต้มได้นี่ทำให้คนทั้งหมดดีใจกันมากมีผลลัพธ์เช่นนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวรู้สึกว่าตนเองวันนี้เดินเชิดหน้ายืดหลังตรงได้เสียทีนี่อธิบายได้ว่ามีความหวังแล้วจริงๆ! ไม่สิ พูดว่าเป็นความหวังไม่ได้แล้ว มันมีผลลัพธ์ที่ดีแล้วต่างหากตอนที่ฟู่จาวหนิงวุ่นอยู่ทั้งคืน เซียวหลันยวนเองก็ออกไปทั้งคืนไม่ได้กลับมาตอนที่ฟู่จาวหนิงได้พัก ได้กินข้าวเช้า จึงเพิ่งนึกได้ว่าเซียวหลันยวนไม่รู้หายไปไหนนางถามสืออี สืออีก็ดูจะตื่นเต้นขึ้นมารางๆ"ท่านอ๋องออกเมืองไปแล้วขอรับ"ออกเมือง?เซียวหลันยวนออกจากเมือง แล้วทำไมสืออีถึงดูตื่นเต้น?"หรือจะออกไปหาโจวติ้งเจิน?" ฟู่จาวหนิงตกตะลึงถึงแม้ทหารส่วนใหญ่จะโดนพิษที่ทำให้เสียกำลังในการต่อสู้ไป แต่ก็มีส่วนน้อยที่ไม่ได้โดนพิษ หรืออาจจะมีคนที่โดนพิษไปน้อยมาก นั่นก็ยังสู้ได้อยู่นะองครักษ์ของเซียวหลันยวนส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อคืนตอนที่นางวิ่งไปดูแลคนป่วยตรงนั้นตรงนี้ ย
แต่ว่านางเองก็เห็นว่าฝนเองก็ตกอย่างที่ฟู่จิ้นเชินคำนวณไว้จริงๆตอนนี้พอเห็นสีหน้าของฟู่จิ้นเชินกับอันเหนียน ก็รู้ว่าน่าจะเรียบร้อยดี"ให้ใต้เท้าอันเล่าเถอะ เขาเล่านิทานเก่งกว่าข้า" เซียวหลันยวนไม่ค่อยชินที่ต้องพูดอะไรยาวๆ สถานการณ์แบบนี้ให้อันเหนียนพูดดีที่สุดอันเหนียนเองก็ดูจนใจ นี่มองเขาเป็นพวกนักเล่านิทานหรือไรกัน?ปกติเขากับพูดกับพระชายามากหน่อย อ๋องเจวี้ยนก็จะหึงหวงขึ้นมา แล้วมาใช้เขาแบบนี้ ไม่หึงแล้วเรอะ?ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจ แต่ตอนที่สายตาคาดหวังของฟู่จาวหนิงหันมา อันเหนียนก็เล่าฉากเมื่อครู่ออกมาอย่างมีชีวิตชีวาฟู่จาวหนิงหลังจากฟังก็อดขำขึ้นมาไม่ได้"ดูท่าขุนพลโจวคืนนี้คงจะน่าเวทนาเอาเรื่อง ฤทธิ์ของผงยานั่น ก็ทำให้พวกเขากระทั่งแรงจะตั้งค่ายก็ยังไม่มีจริงๆ นั่นล่ะ"ยิ่งไปกว่นั้นพวกเขายังไม่มีแรงจะเดินไปไหนไกลได้ด้วยถ้าหากฝนตกทั้งคืน เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะต้องตากฝนกันทั้งคืนและคืนนี้ โจวติ้งเจินก็ซมซานจนต้องด่าพ่อล่อแม่ออกมาเลยทีเดียวแต่ว่าคนมากมายแค่แรงจะด่าก็ยังไม่มียังดีที่ฝนห่านี้ไม่ได้มีฟ้าผ่า พวกเขาถอยลงไปตีนเขากันอย่างยากลำบาก ที่นั่นมีต้นกล้วยอยู่ผืนใหญ่ แล
เหล่าทหารถ้าให้บอกว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน แล้วยังไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้องปวดบิดปวดหัวหรืออยากถ่ายอะไรทำนองนั้นเลยพวกเขาแค่รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงอย่างเดียวเท่านั้น!"แม่งเอ๊ยจู่ๆ ก็มาอ่อนแรงเป็นผู้หญิงได้ยังไงกัน!" มีคนอดก่นด่าตัวเองขึ้นมาไม่ได้ คิดจะยกมือขึ้นทุบตัวเองก็ยังไม่มีแรงเลยตอนนี้จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าอะไรคืออ่อนแอดั่งหลิวต้องลม ปวกเปียกจนดูแลตัวเองไม่ได้มีคนลงไปนอนบนพื้นขนาดแค่จะปีนขึ้นมาก็ยังไม่มีแรง"ลุกขึ้นมา!""บอกให้พวกเจ้าลุกขึ้นมา ไม่ได้ยินรึ? อย่าบีบให้ข้าต้องซัดพวกเจ้านะ!"โจวติ้งเจินโมโหจนมึนงง ตะโกนขึ้นดังลั่น กระโจนลงมาจากม้า สาวเท้าเดินเข้าไปข้างตัวทหารที่อยู่ใกล้เขาที่สุด ยกเท้าขึ้นเตะคนที่นอนอยู่บนพื้น"ลุกขึ้นมาได้ยินไหม? พวกเจ้าดูซิพวกเหมือนตัวอะไรกันไปแล้ว?"มาตีเมืองกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ดันมานอนบนพื้น! มานอนกันจนทำให้คนบนหอเมืองหัวเราะเยาะ! ดูแล้วยังเป็นเขาด้วยที่กลายเป็นเรื่องตลก!"พวกเจ้าสภาพแบบนี้ ขุนพลอย่างข้าก็เหมือนเข้ามาเป็นตัวตลกให้เขาดูแล้ว!"เข้ามาเป็นตัวตลกให้เซียวหลันยวน!และตอนนี้ บนหอเมืองก็มีเสียงของเซียวหลันยวนลอดเข้ามา"ข
มีคนตกใจมีคนร้องโหยหวนมีคนมีคนที่กระโดดโลดเต้นและมีคนที่จะกระโดดก็ยังกระโดดไม่ขึ้น หลังจากล้มลงบนพื้นก็ถูกคนข้างๆ ล้มทับกันเข้ามาอีกชั่วขณะหนึ่ง ท่วงท่าที่องอาจน่าเกรงขามแต่เดิมของทหาร ก็ดูสับสนโกลาหลเหมือนสุนัขเหมือนไก่ขึ้นมาแม้เอาทหารมากมายไปเทียบกับสุนัขกับไก่จะไม่ค่อยเหมาะสม แต่สภาพเช่นนี้ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกัน เพราะเดิมทีเหล่าทหารก็เตรียมพร้อมจะโจมตี จัดกระบวนกันเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรงกัน จึงควบคุมไว้ไม่อยู่โจวติ้งเจินพอเห็นสถานการณ์ก็ยิ่งโกรธยิ่งร้อนรนชั่วขณะหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ยิ่งไปกว่านั้นฤทธิ์ยาของคนเหล่านี้ก็ไม่เหมือนกันด้วย มีพวกที่อยู่ใกล้หน่อยสูดกันเข้าไปก่อน มีบางส่วนสูดเข้าไปช้าหน่อย บางคนก็สูดเข้าไปมาก บางคนก็สูดเข้าไปน้อยแล้วยังต้องดูกำลังภายในคุณสมบัติร่างกายของแต่ละคนด้วยอย่างโจวติ้งเจิน วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งที่สุด กำลังภายในลึกล้ำ ดังนั้นเขาตอนนี้ยังไม่รู้สึกไม่สบายเท่าไรนักและเพราะเขาที่อยู่ตรงนี้ ตัวเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในร่างกาย จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าเหล่าทหารเกิดอะไรกันขึ้น"วันนี้กินอะไรกันเข้าไป? โดนพิษอะไรเข้าหร
ฟู่จาวหนิงมั่นใจอย่างมากต่อยาที่ตนเองสกัดขอแค่องครักษ์เหล่านั้นสามารถสาดยาออกไปตามทิศทางลมได้ อย่างน้อยก็ต้องทำลายพลังต่อสู้ของทหารได้ครึ่งหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของยานี้ก็อยู่ได้ถึงเกือบหนึ่งวันเต็มจึงจะอ่อนกำลัง เวลาหนึ่งวัน เพียงพอจะให้โจวติ้งเจินลนลานจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ทหารจำนวนมากขนาดนี้ล้อมเมืองอยู่ อยู่ดีดีก็ไม่มีเรี่ยวแรง แค่ไปหาสาเหตุก็แทบแย่แล้วโจวติ้งเจินตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเห็นว่าหนึ่งชั่วยามที่กำหนดให้กับโหยวจางเหวิน อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเปิดประตูเมืองส่งคนป่วยออกมา ก็รู้ว่าโหยวจางเหวินต้องคิดจะปกป้องคนป่วยเหล่านั้นแน่นอน"โง่เขลาเสียจริง โหยวจางเหวินคิดว่าตัวเองเป็ฯคนใจบุญมากนักหรือไรกัน? เขาคิดว่าตัวเองจะปกป้องคนมากขนาดนี้ในเมืองเจ้อได้เรอะ? ยังคิดว่าอ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนจะมาคอยหนุนเขาได้หรือไรกัน?"โจวติ้งเจินกัดฟัน เรียกรองขุนพลออกมา "เตรียมโจมตีด้วยไฟ แล้วก็เตรียมบุกประตูเมือง"พวกเขาเดิมทียังมีแผนสำรองแบบนี้ไว้ด้วยต่อให้ไม่คิดจะโจมตีเข้าเมืองจริงๆ แต่ก็ยังจะทำท่าทีแบบนั้น ใช้ไม้ซุงทลายประตูโจมตีเข้ามาที่ประตูเมือง ทำให้เกิ