วันต่อมาฟู่จาวหนิงก็ยังไปที่หอวัฒนธรรมครั้งนี้พอนางโผล่หน้าไป คนทั้งหมดก็แทบจะมองมาที่นางทุกคนรู้ว่านางเข้าร่วมสมาคมหมอใหญ่แล้ว"นี่เป็นหมอเทวดาหญิงคนแรกของสมาคมหมอใหญ่เลยนะ""ไม่ใช่แค่นี้ แต่ยังเป็นหมอเทวดาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย!"มีคนไม่น้อยกำลังวิพากษ์วิจารณ์ฟู่จาวหนิงแต่พวกประธานกงซุนก็ยอมให้นางเข้าร่วมแล้ว กระทั่งซุนฉงหมิงก็ยังไม่มีคำพูดประหลาดใด ดังนั้นจึงไม่มีใครวิจารณ์ต่อคุณสมบัติของนางแค่รู้สึกว่านางอายุน้อยขนาดนี้ แล้วยังเป็นหญิงสาวอีกด้วย ช่างน่าตกตะลึงเสียจริงคนป่วยคนนั้นเมื่อวานนี้ก็เข้ามาด้วยเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น เขายังนั่งได้แล้ว และพูดได้แล้วด้วยแม้ใบหน้าจะยังพันผ้าไว้ แต่ดวงตาที่ถูกอาการบวมน้ำเบียดจนเป็นร่องแต่เดิมตอนนี้ก็เปิดขึ้นได้แล้ว ดวงตาเองก็ไม่เล็กเลย ทำเอาคนรู้สึกตกตะลึงมากเขายังพูดได้ด้วย พอมาถึงก็ให้คนนำสมบัติล้ำค่าทองคำกล่องหนึ่งมายื่นให้ตรงหน้าฟู่จาวหนิง ขอบคุณที่นางช่วยชีวิตตนเองเอาไว้"หมอเทวดาฟู่ พวกเราทางนั้นมีหลายคนที่ป่วยเช่นเดียวกันกับข้า แล้วข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอดทนและมีเงื่อนไขเพียงพอที่จะลากสังขารออกมารักษ
ดังนั้นตัวตนฐานะของผู้ป่วยคนนี้มีอะไรพิเศษไหมนะ? หรือว่าความพิเศษของเขา จะไม่ใช่แค่อาการโรค?"หมอเทวดาฟู่"หมอเทวดาอันเข้ามาทักทายนาง"คารวะหมอเทวดาอัน""รีบมาดูคนป่วยคนนี้กับพวกเราเถอะ" หมอเทวดาอันพานางเข้ามาอยู่ตรงหน้าคนป่วยคนหนึ่ง ผู้อาวุโสเหยาเองก็อยู่ที่นี่แล้วพอเห็นนางเข้ามาก็รู้สึกยินดีมาก "แม่นางฟู่ มาๆๆ ท่านลองมาดูแม่นางคนนี้"ฟู่จาวหนิงเข้าไปวินิจฉัยโรคด้วยกันในสามวัน นางรักษาคนป่วยไปแล้วถึงสี่คน ชื่อเสียงระบือขึ้นมาพวกหมอเหล่านั้นในสมาคมหมอใหญ่มองนาง สายตาก็ซับซ้อนขึ้นมา เพราะฟู่จาวหนิงแค่คนเดียวก็รักษาหายไปแล้วถึงสี่คน! รวมถึงห่าวหลันเฉิงคนนั้นด้วยนี่เป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสมาคมหมอใหญ่เลยผู้อาวุโสจี้ทุกวันก็คอยฟังข่าวที่หอวัฒนธรรม หัวเราะร่าขึ้นอย่างภูมิใจ ทุกมือล้วนกินข้าวได้เพิ่มอีกชามใหญ่ศิษย์ของเขาคนนี้ทำให้เขาภูมิใจเสียจริงเพราะฟู่จาวหนิงร้ายกาจขนาดนี้ คนอื่นพอพูดถึงนางก็ยังบอกว่า นางเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสจี้พันธมิตรโอสถใต้หล้า เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมทั้งวิชาแพทย์และสมุนไพร!ชื่อของเขาหลายวันนี้ล้วนถูกแขวนอยู่ข้างปากของคนเหล่านั้นพันธมิตรโอสถ
"องค์ชายสอง ได้รับข่าวมาว่า ฝ่าบาทเองก็กำลังอยู่ระหว่างทางไปเมืองจี้ น่าจะอีกไม่กี่ชั่วยามก็ถึงแล้ว!"องครักษ์คนหนึ่งห้อม้าตะบึงตามหลังองค์ชายสองที่ขี่อยู่บนม้าใหญ่สีพุทราแดง"อะไรนะ?"องค์ชายสองตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อ"จริงแท้อย่างที่สุด!""เสด็จพ่อจะไปเมืองจี้แบบไม่มีเหตุผลทำไมกัน?" องค์ชายสองขมวดคิ้ว รู้สึกไม่อยากเชื่อองค์จักรพรรดิไม่ค่อยออกจากวังหลวง ตอนนี้ไม่ใช่แค่ออกจากวังหลวง แต่ยังออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิตรงไปเมืองจี้ด้วย!ต้องรู้ด้วยว่าเมืองจี้แม้จะไม่ได้ห่างจากเมืองหลวงจักรพรรดินัก แต่ไปกลับก็น่าจะใช้เวลาถึงสิบวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่เมืองใหญ่ที่คนพลุกพล่านด้วยเขาจะมาที่นี่ทำไมกัน?"ฝ่าบาทจะมาที่งานประชุมหมอใหญ่นี่หรือเปล่า?""งานประชุมหมอใหญ่เขาส่งหมอหลวงมาก็พอ เมื่อไรกันที่เขาอยากจะขเ้าร่วมด้วยตนเอง?" องค์ชายสองกลับไม่อยากจะเชื่อสมาคมหมอใหญ่ไม่ชอบให้ราชวงศ์มาเข้าร่วมแต่ไหนแต่ไร เพราะพอมีอำนาจของราชวงศ์เข้ามา ก็กลัวว่าจะเกิดความวุ่นวาย ถ้าหากหมอล้วนยืนอยู่ข้างราชวงศ์ เช่นนั้นงานสมาคมหมอใหญ่ก็จะกลายเป็นสถานที่ของหมอหลวงไป แล้วยังจะเป็นองค์กรของประชาชนอีกเสียที
อ๋องเจวี้ยนหรือ?"หยุดก่อน!"องค์ชายสองตะโกนขึ้นเสียงขรึมรถม้าหยุดลง ชิงอีที่กำลังเร่งเดินทางหันมามองเขาถ้ารู้แต่แรกคงไม่บอกท่านอ๋องกับพระชายาแล้วว่าคนที่มาน่าจะเป็นองค์ชายสองเซียวหลันยวนมองฟู่จาวหนิง นางเองก็มองเขาอย่างงงงัน "เขามาทำอะไร?"องค์ชายสองมาทำอะไร?เซียวหลันยวนให้นางนั่งนิ่งไม่ต้องขยับ บอกกับชิงอีกว่า "ถามเขาว่ามีเรื่องอะไร"องค์ชายสองพลิกตัวลงจากม้า เดินมาที่ด้านหน้ารถม้า ม่านรถตอนนี้ปล่อยลงมาแล้ว แต่ชั่วแวบเหมือนกระเรียนบินผ่านเมื่อครู่นั้น หญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถม้า ก็ดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์"นี่คือองค์ชายสองของพวกเรา!" องครักษ์ของเขากลัวว่าคนเหล่านี้จะทำการเสียมารยาท จึงรีบแจ้งออกมาคำหนึ่งองค์ชายสองเหลือบมองเขา จากนั้นก็มองไปทางรถม้า"ขอถามหน่อยว่าในรถม้าใช่หมอเทวดาฟู่แม่นางฟู่หรือไม่?"มาหาข้าหรือ?ฟู่จาวหนิงกระพริบตาใส่เซียวหลันยวนพวกเขารู้ว่าจักรพรรดิต้าชื่อกำลังตรงมาที่เมืองจี้ ดังนั้นจึงรีบเดินทางออกมา เพื่อไม่ต้องมาเจอกัน คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับองค์ชายสองเสียก่อนแต่คนเขาก็มาหาตรงหน้าแล้ว นางเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กล้าเผชิญหน้าขณะที่กำลังเอ่ยปาก
"อ๋องเจวี้ยน จากที่ข้ารู้มา หากไม่มีพระราชโองการจากจักรพรรดิเจา ท่านไม่สามารถออกจากแคว้นเจาได้"องค์ชายสองมองเซียวหลันยวน "ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังมาถึงต้าชื่อ ก็น่าจะแจ้งทราบกับจวนทางการถึงการเดินทาง"อ๋องเจวี้ยนเนื่องจากมีตัวตนฐานะพิเศษ แตกต่างกับคนอื่นในมือเขามีองครักษ์เงามังกรอยู่ด้วยต่อให้เป็นจักรพรรดิต้าชื่อก็ยังต้องหวาดหวั่นถึงจุดนี้"ข้าเดิมทีแค่ออกมาท่องเที่ยว และมารับพระชายากลับบ้าน พวกท่านมองข้ามข้าไปก็พอแล้ว" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบองค์ชายสองชะงักไปเรื่องนี้มันมองข้ามกันได้หรือ?"ข้าได้ยินว่า ท่านมีติดต่อกันกับองค์หญิงคนเล็กของเราด้วย กระทั่งยังไปกินข้าวกลางวันกันส่วนตัว" องค์ชายสองตอนที่พูดคำนี้ก็มองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงคงไม่ได้ถูกอ๋องเจวี้ยนหลอกเอากระมัง?ยังคิดว่าเขามารับนางกลับแคว้นเจาจริงหรือ? รู้หรือเปล่าว่าอ๋องเจวี้ยนช่วยชีวิตองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่กินข้าวด้วยกันกับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นแค่ครั้งเดียวด้วย"องค์หญิงใหญ่ที่กลับเข้าเมืองหลวงจากสุสานจักรพรรดิในครั้งนี้ ก็เพื่อทำเรื่องใหญ่ในชีวิตนาง วันนั้นที่นางกลับถึงเมืองหลวง
"แม่นางฟู่...""พระชายาอ๋องเจวี้ยน" เซียวหลันยวนแก้คำเรียกของเขาเสียใหม่องค์ชายสองชะงักไป ตอนนี้ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับคำเรียกไหม?แต่เขาเองก็ยังแก้ให้ "พระชายาอ๋องเจวี้ยน ได้ยินว่าท่านเองก็ใช้ชีวิตในแคว้นเจาได้ไม่ค่อยดีนัก ท่านมีแค่ปู่คนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นอีก พ่อแม่ของท่านในอดีตก็ข้องเกี่ยวกับเรื่องที่อ๋องเจวี้ยนถูกวางยาพิษ ตอนนี้ยังคงระหกระเหินหาตัวกันไม่พบ"ดวงตาฟู่จาวหนิงก็เย็นชาลงมาเช่นกันองค์ชายสองมองข้ามจุดนี้ไป เขาต้องแสดงความจริงใจของตนเองออกมาให้เห็น"ดังนั้น ในแคว้นเจาท่านแทบจะไม่มีญาติฝ่ายแม่คอยช่วยเหลือ ไร้ที่พึ่งพา ตอนนั้นที่ท่านรีบแต่งงานเข้าจวนอ๋องเจวี้ยน คิดแล้วก็น่าจะมีความลำบากที่ยากจะแก้ไข ตอนนี้ข้าอยากจะช่วยท่าน ท่านไม่ต้องกลับแคว้นเจาแล้ว อยู่ที่ต้าชื่อนี้เถอะ...""ให้ข้าอยู่ที่ต้าชื่อ?""ใช่ อยู่ที่ต้าชื่อ อย่างน้อยราชวงศ์ก็ไม่มีความเคืองแค้นอะไรกับท่าน ท่านอยู่ที่แคว้นเจาก็มีชื่อหมอเทวดาอยู่แล้ว ข้าเองก็สามารถปกป้องท่านได้ ช่วยท่านค้นหาพ่อแม่ พวกเราปล่อยข่าวออกไป พอพ่อกับแม่ท่านรู้ว่าท่านไม่อยู่ที่แคว้นเจาแล้ว ก็คงจะไม่กังวลอะไรอีก ไม่แน่อา
"ไป!"ฟู่จาวหนิงนั่งกลับเข้ามา สั่งการเสียงขรึม"ชิ้ง!"องครักษ์องค์ชายสองชักกระบี่คิดจะขวาง มีคนรีบเข้าไปประคององค์ชายสองสืออีสือซานพวกเขาก็ควบม้าล้อมเข้ามาทันทีทั้งสองฝ่ายเหมือนพร้อมจะเปิดศึกกันแล้วเซียวหลันยวนตอนนี้เพิ่งตั้งสติกลับมาได้ เขามองฟู่จาวหนิงคิดไม่ถึงว่าฟู่จาวหนิงจะปกป้องเขา ขนาดที่สั่งสอนองค์ชายสองแห่งต้าชื่อแบบนี้นางไม่ไหวหน้าองค์ชายสองเลยแม้แต่น้อย ทำเอาใจของเขาหวานชื่นเหลือแสน"หนิงหนิงอย่างเพิ่งโกรธ"เซียวหลันยวนปลอบนางแผ่วเบาคำหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งออกไปจากรถม้า มององค์ชายสองที่ถูกประคองตัวอยู่ ปลดหน้ากากลงมาหลังจากปลดหน้ากากลง ใบหน้าของเขาก็เปิดเผยออกภายใต้แสงตะวันอบอุ่นยามบ่ายคิ้วยาวเข้ม ตาดำเปล่งประกายดุจดวงดารา สันจมูกแหลม ริมฝีปากงดงามราวจรดด้วยพู่กันกระทั่งองค์ชายสองที่ถูกเรียกว่าหล่อเหลาในต้าชื่อก็ยังเหม่อลอยไปเล้กน้อย ถอยออกไปก้าวหนึ่งอ๋องเจวียน นี่คือหน้าตาแท้จริงของอ๋องเจวี้ยน!ใครบอกกันว่าหน้าของอ๋องเจวี้ยนพังยับไปแล้ว หน้าตาประดุจภูตผี? ใครกัน!หน้าตาเช่นนี้ ทำเอาแสงตะวันสูญสิ้นสีสันไปได้เลย!องครักษ์ขององค์ชายสองเองก็มองอ๋องเจวี้ย
ฟู่จาวหนิงจับมือของเซียวหลันยวนเอาไว้"นี่มันในรถม้านะ"เสียงของนางอ่อนยวบหน่อยๆ น่าจะเพราะใบหน้าของเซียวหลันยวนอยู่กล้านางขนาดนี้ ดวงตาลึกซึ้งของเขา จมูกสันโด่งนั่น แล้วยังมีริมฝีปากที่กลืนลมหายใจของนางไปแล้ว ล้วนทำเอาเลือดของนางเดือดพล่านไม่ใช่มีแค่ชายหนุ่มที่ถูกหญิงสาวยั่วยวนจนร่างกายร้อนผ่าว แต่หญิงสาวเองก็ถูกชายหนุ่มดึงดุดได้เช่นกันตอนนี้เซียวหลันยวนทำเอานางรู้สึกปากลิ้นแห้งผากสมกับเป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจาจริงๆ!พูดได้ว่า ตอนอยู่ในต้าชื่อนางก็ไม่เคยเห็นใครหน้าตาดีเท่าเขา หรือคนที่ตรงกับส่วนที่นางชอบเลยชายคนนี้ตรงตามแบบที่นางชอบอย่างสมบูรณ์เซียวหลันยวนสัมผัสหน้าผากนางเบาๆ และกำลังพยายามข่มลมหายใจกับอาการใจเต้นลงมาในดวงตาเขายังมียังมีแสงมืดมนอยู่"ข้ามีความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก..." เสียงของเขาแหบพร่า"อ๋า? ความรู้สึกอะไร?""อยากกลับบ้านดุจคมศร" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นมาทีละคำๆอยากกลับบ้านดุจคมศร?อยากกลับแคว้นเจาขนาดนั้นเลยหรือ?ฟู่จาวหนิงตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจนัก จนตอนที่เขาจูบลงมาที่ริมฝีปากนางอีกครั้ง นางจึงเข้าใจขึ้นมา หัวใจเต้นระรัวขึ้นอีกครั
อ๋องเจวี้ยนจะร่วมมือกับราชาเฮ่อเหลียนหรือ?จะว่าไป เมืองหูเดิมทีก็อยู่ชายแดน แถบนั้นเดิมทีก็อยู่ใกล้กับขอบเขตที่เผ่าเฮ่อเหลียนก่อเรื่องอยู่ส่วนเมืองเจ้อห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก พูดได้วส่า ทรัพยากรต่างๆล้วนต้องส่งออกไปางนั้น อ๋องเจวี้ยนคนเดียวจะยึดเมืองทั้งเมืองไปทำไม?อ๋องเจวี้ยนเองก็ไม่มีทหารเสียหน่ยอเดิมทีเป็นแค่เรื่องที่คิดก็รู้สึกไร้สาระแล้ว แต่องค์จักรพรรดิต่อต้านอ๋องเจวี้ยน ความคิดจะรับมืออ๋องเจวี้ยนกลายเป็นความดื้อรั้นและความเคยชินไปแล้วเขาคิดไปจริงๆ"ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรในเมืองหลวง ใต้หนังตาข้าเขาก็ไม่มีอิสระ ไม่สะดวก! ดังนั้นการคิดจะเลือกสถานที่ของตนเองแล้วกลายเป็นอ๋อง ก็อาจจะเป็นความคิดที่เขาคิดไว้ก็ได้"พระชายาเยว่แอบเบ้ปากนางรู้ ว่าเรื่องเกี่ยวกับอ๋องเจวี้ยน แค่พูดส่งเดชออกมาองค์จักรพรรดิก็จะเชื่อถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็ไม่สนอะไรอยู่แล้ว ขอแค่รับมือกับอ๋องเจวี้ยนได้ ขอแค่ไม่ให้อ๋องเจวี้ยนได้สมปรารถนา เขาก็จะเบิกบานตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอ๋องเจวี้ยนคิดจะขนเสบียงไปเมืองเจ้อด้วยตนเอง ไม่ว่าเป้าหมายเขาคืออะไร แค่ห้ามไว้ก็พอแล้วอ๋องเจวี้ยนไม่เบิกบาน
อันเหนียนร้องซี๊ดนี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?"นี่แค่เพิ่งวันแรกนะ พวกเราต้องอยู่ที่นี่ครึ่งเดือนจริงหรือ?" เสี่ยวเยว่ตอนนี้เริ่มกังวล ถ้าทุกวันเป็นแบบนี้ ฟู่จาวหนิงจะทนไหวได้ยังไง?ต่อให้ร่างทำจากเหล็กก็ยังเหนื่อยเลย"ลุงฟู่ไม่ได้เตือนนางหน่อยหรือ?""วันนี้แค่เวลาจะเตือนยังไม่มีเลย คุณชายฟู่เองก็เหนื่อยจัด"ฟู่จิ้นเชินเห็นว่าลูกสาวเหนื่อยขนาดนี้ ก็ยังอยากให้ตัวเองทำอะไรมากหน่อย เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอีกหน่อย ละเอียดขึ้นอีกหน่อยผลลัพธ์คือพอเขาเร่งความเร็วทางนี้ คนป่วยที่มาขอตรวจก็เข้ากันเร็วขึ้น ดังนั้นพอประสิทธิภาพไวขึ้น ปริมาณงานของแต่ละคนก็มากตามไปด้วยพอได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ ฟู่จิ้นเชินก็เดินเข้ามา บิดข้อไม้ข้อมือผ่อนคลาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่เป็นแบบนี้ทุกวันหรอก หลังจากนี้พอคนป่วยส่วนใหญ๋ได้รับการรักษา ก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา"แม้เขาจะเหนื่อยแต่ก็ยังเป็นห่วงฟู่จาวหนิง แต่อีกด้านก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากวันนี้ฟู่จาวหนิงทำให้เขาเปิดโลกใหม่เลยทีเดียวตอนที่นางตรวจรักษาทั้งมีสมาธิ ตั้งใจ เด็ดขาด เฉียบแหลม มืออาชีพ ยอดเยี่ยมกว่าหมอทั้งหมดที่เขาเคยเจอมาในอดีตยิ่งไปกว่านั้นภายใต้สถาน
"ภรรยาของเจ้าตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว เจ้ารู้ใช่ไหม?" ฟู่จาวหนิงมองชายหนุ่มหลังจากเขาได้ยินก็งงงันไป"ข้า ข้าไม่รู้เลย ข้าคิดว่านางเป็นหวัด คิดว่านางแค่หิว" ชายหนุ่มมือไม้เป็นพัลวัน "นางก่อนหน้านี้ตกไปในน้ำ..."ฟู่จาวหนิงหยิบเข็มเงินออกมา แทงลงไปที่หญิงสาวหลายเข็ม เช่นนี้สามารถช่วยให้เหงื่อออก ให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมา"ร่างกายนางอ่อนแอมาก จริงๆ ก็เป็นหวัด แต่ตอนนี้ครรภ์เด็กไม่ค่อยมั่นคง ดังนั้นจึงกินยาส่งเดชไม่ได้ ข้ามีวิชาฝังเข็มรักษาหวัด ทุกวันให้เจ้าส่งนางไปที่โรงหมอ ข้าจะฝังเข็มให้นาง""โรง โรงหมอ? ท่าน ท่านหมอ โรงหมอไหนหรือ?" ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างกระวนกระวายในเมืองเจ้อเดิมทีก็มีโรงหมออยู่ ทั้งหมดสามแห่ง หมอสามคนล้วนอายุมากแล้ว แต่ก่อนยังพอไหว แต่นับตั้งแต่เมืองเจ้อมีผู้ประสบภัยทะลักเข้ามาก็ไม่ดีเสียแล้วตอนนี้โรงหมอไม่เปิด หมอทั้งสามคน คนหนึ่งบอกว่าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อีกสองคนก็หลบอยู่แต่ในบ้านไม่เข้าไปโรงหมอ"อาเหอ เจ้าบอกที่อยู่กับเขาหน่อย" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้น"่ขอรับ"อาเหอบอกตำแหน่งโรงหมอชั่วคราวที่พวกเขาจัดขึ้นให้กับชายหนุ่มอย่างละเอียดหญิงสาวคนนั้นในที่สุดก็ฟื้นแล้
พวกเขาล้วนมองตามเสียงไป อาเหอเองก็ยกเท้าเดินออกไป ไม่นานก็กลับมา"มีหญิงสาวเป็นลมขอรับ""ไปดูหน่อย"ฟู่จาวหนิงวิ่งออกไปทันทีคนมากมายรวมกันอยู่แบบนี้ กลิ่นเองก็ไม่ค่อยดีนัก แต่นางก็ยังเข้าไปที่เพิงเตี้ยๆ นั่นด้านในมีหญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น หน้าซีดเหมือนกระดาษ ริ่มฝีปากไม่มีสีเลือด ข้างๆ มีแม่นางน้อยอยู่ กำลังร้องห่มร้องไห้เขย่าตัวนาง"เสี่ยวเยว่ ดูแลเด็กด้วย" ฟู่จาวหนิงกำชับมาคำหนึ่ง ส่วนตนเองก็มุดเข้าไป นั่งยองลงข้างๆ หญิงสาวคนนั้น ตรวจอาการให้นางพอแตะมือนาง ก็รู้สึกว่าเย็นจนน่ากลัวเสื้อผ้าบนตัวนางบางมาก แต่บนตัวแม่นางน้อยกลับห่อไว้หนาพอควร มองออกว่าเอาเสื้อผ้าให้เด็กไปฟู่จาวหนิงจับชีพจรนาง ในสั่นกึกชีพจรครรภ์ น่าจะสองเดือนกว่าแล้ว แต่ว่าชีพจรนี้ก็อ่อนแรงเต็มที หญิงสาวเป็นโรคโลหิตจางรุนแรง โลหิตจางบวกกับความหิวความหนาว จะเป็นลมก็เรื่องปกติ"อาเหอ ไปตักข้าวต้มมาชามหนึ่ง" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้น"่ขอรับ"อาเหอรีบไปตักข้าวต้ม แต่ว่าตอนนี้ที่แจกข้าวต้มเริ่มเข้าแถวแล้ว พอเขาเดินไปที่ด้านหน้า คนที่เข้าแถวอยู่ก็ไม่ยอม"เข้าแถวเซ่!""ใต้เท้าข้าราชการมาทางนี้หน่อย ต
ตอนนี้แบ่งข้าวต้มได้คนละชาม ตอนกลางวันข้าวต้มคนละชามกับแป้งนึ่งครึ่งก้อน ก็ถือว่าดีมากแล้วข้าวเย็นก็มีแค่ข้าวต้มชามเดียว"เด็กที่อายุต่ำกว่าสิบขวบ คนแก่ที่อายุหกสิบขึ้นไป สามารถได้เพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วก็พวกเด็กทารกบางส่วน ยังแลกข้าวต้มได้อีกครึ่งชามด้วย"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวอธิบายกับฟู่จาวหนิง พวกเขาทำได้ถึงขนาดนี้นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว ถึงอย่างไรแรงคนก็ไม่พอนี่นะ"ตอนนี้ร้านรวงในเมือง ก็ยังไม่กล้าจะทำการค้ากันเลย""นี่เพราะอะไร?" อันเหนียนถาม"อย่างเช่นพวกร้านขายซาลาเปา ขายขนมปิ่ง ขายสุระพวกนั้น พอเปิดร้านกลิ่นจะรุนแรงมาก ตอนที่หิวจนตาลายแล้ว ใครจะยังทนไหวกัน? แล้วผู้ประสบภัยพวกนี้ มีเงินพอซื้อกันที่ไหน?"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวส่ายหัว "ดังนั้นจึงเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อย มีคนขโมยของกิน มีคนใช้วิะีการหลอก ถึงอย่างไรความวุ่นวายต่างๆ ก็เกิดขึ้นตลอด ร้านรวงพวกนั้นจึงไม่กล้าเปิดกันแล้ว"ไม่แปลกที่ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวจะอดนอนจนตาแดงก่ำ เรื่องราวมันเยอะมาจนทำเอาเขาไม่ได้พักผ่อนดีดีเลย""ช่วงนี้คนป่วยก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ่ท่านลองฟังสิ เสียงที่ดังขึ้นลงสลับกันนี้"ฟู่จาวหนิงได้ยินนานแล
ฟู่จาวหนิงได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่"ไม่เอาค่ารักษาจากเจ้าหรอก วางใจเถอะ"นางพูดพลางตรวจสถานการณ์ของเสี่ยวยา พอเห็นว่านางหลับปุ๋ย จับชีพจรแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ จึงถอนใจโล่งพอได้ยินว่าไม่ต้องการค่ารักษาจากพวกเขา ตู้เสี่ยวเฟิงก็ถอนใจโล่ง แต่ก็ยังรู้สึกกระวนกระวาย "หัวของน้องสาวข้าเป็นอะไรมากไหม?""โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก" ฟู่จาวหนิงเห็นดวงตาสุกใสของเขา ก็อดชอบขึ้นมาไม่ได้ เด็กคนนี้ใจสู้มาก ยิ่งไปกว่านั้นยังใจดีมาก นางก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือสักหน่อย"พวกเจ้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน รักษาบาดแผล เอ็นกระดูกเจ้าขาด ขยับมากไม่ได้ มือเองก็หักด้วย ไม่มีคนดูแลก็ไม่ได้อีก"ตู้เสี่ยวเฟิงร้อนรนขึ้นมา "จะให้คนมาดูแลได้อย่างไร? ข้าช่วยทำงานมาชดใช้เงินค่ายาได้!"เขาได้ยินว่าไม่ต้องจ่ายค่ารักษษก็ยังไม่วางใจ รู้สึกว่าต้องทำอะไรบ้าง"ขอร้องท่านล่ะ ให้น้องข้าได้กินอะไรหน่อย เมื่อวานนางหิวจนเป็นลมไป" ตู้เสี่ยวเฟิงเสียงขืนฟู่จาวหนิงถอนหายใจ"เมื่อคืนให้นางกินไปแล้ว อยู่ที่นี่แค่ทำให้พวกเจ้าพี่น้องไม่หิวแย่มันก็ทำได้อยู่""ข้าจะช่วยท่านทำงาน ข้ามีมือข้างเดียวก็ได
ดังนั้นพวกเขายังไม่มีเวลานอนเลย"พระชายา วันนี้ตอนเช้า สถานการณ์พี่น้องคู่นั้นตรวจสอบมาแล้ว" ผู้บริหารท้องถิ่นโหยววางชามลง อธิบายสถานการณ์กับนาง"เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อตู้เสี่ยวเฟิง น้องสาวชื่อตู้เสี่ยวยา พี่น้องคู่นี้พักอยู่ในซอยที่พวกท่านเห็นเมื่อวาน บ้านตระกูลตู้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้เวทนาขนาดนั้น ผู้เฒ่าตู้หลายปีก่อนไปช่วยขุดบ่อน้ำ แต่พลาดหกล้มจนตายไป ส่วนยายเฒ่าตู้คืนที่ไปเฝ้าศพก็ถูกลมหนาว ต่อมาก็ล้มป่วย ไม่ถึงครึ่งปีก็จากไป""พ่อแม่ของตู้เสี่ยวเฟิงตอนขึ้นไปตัดฟืนบนเขาก็เกิดเรื่อง ทั้งบ้านเหลือแต่พี่น้องคู่นี้ ไม่มีญาติที่ไหน ก่อหน้านี้ตู้เสี่ยวเฟิงก็วิ่งทำงานไปทั่ว เช่นช่วยคนส่งจดหมาย วิ่งจากต้นเมืองไปท้ายเมือง แบกหามของ ช่วยคนหิ้วน้ำ บางครั้งก็ไปอุทยานนอกเมืองช่วยคนเก็บผลไม้ แลกกับเงินเล็กๆ น้อยๆ ฝืนเลี้ยงตนเองกับน้องสาวมา"ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวถอนใจ"ตู้เสี่ยวเฟิงไม่รู้ไปเก็บหมาตัวหนึ่งมาจากไหน เลี้ยงอยู่สามสี่ปี ปกติตอนที่เขาออกไปทำงานก็จะมีหมาตัวนี้อยู่กับตู้เสี่ยวยา เมื่อวานมีคนเห็นหมาตัวนั้น จึงเข้ามาแย่งไป"ฟู่จาวหนิงเข้าใจแล้ว"แย่งหมา เลยทำร้ายคน?"ผู้บริหารท้
"เจ้ากลับมาแล้วหรือ? เหนื่อยไหม?"อาเหอเองก็กุมมือภรรยา มือของพวกเขาเย็นจนบาดเจ็บ พอกุมไว้แบบนี้ ทั้งสองคนก็รู้สึกเจ็บๆ คันๆ แต่ก็ไม่ทำให้พวกเขาแยกมือจากกันลูกหลับไปแล้ว หลับอย่างสบายแม้จะเป็นแค่ห้องเดียว เตียงหนึ่งให้เด็กกับคนแก่นอน พวกเขาสามีภรรยาปูเสื้อ แต่เช่นนี้ก็ดีมากแล้วตั้งแต่หนีประสบภัยมา พวกเขาลำบากมามาก หลายครั้งที่วนเวียนอยู่ขอบเหวความตาย ดวงใจตึงเกร็งอยู่ตลอด ไม่มีตอนไหนที่ผ่อนคลายได้เลย หนาวเย็นหิวโหยมาตลอดทาง ไม่ได้นอนหลับในห้องอย่างแท้จริงมานานมาก ทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าเตียงอบอุ่นในห้องที่อบอุ่นนี่ล้ำค่าอย่างมากอาเหอนอนลงมา ทั่วทั้งตัวอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายสุดๆระหว่างทางเขาต้องปกป้องพ่อแม่ภรรยาและลูก เป็นผู้นำครอบครัว จะอ่อนแอลงไม่ได้เลยแม้แต่น้อยพวกเขาเองก็เคยเจอพวกนักเลงหัวไม้ที่ฉวยโอกาสก่อเรื่องในช่วงภัยพิบัติระหว่างทาง มีหลายคนอุดปากลากภรรยาไปกลางดึก ถ้าไม่ใช่เขาใช้หินทุบหัวหนึ่งในนั้นจนสมองไหล จนคนที่เหลือหนีไปอย่างตกใจ ตอนนี้ภรรยาคงหายไปแล้วหลังจากครั้งนั้น เขาก็ไม่กล้านอนหลับในตอนกลางคืนจริงๆ จังๆแต่ตอนนี้น่าจะนอนได้เสียที"เหนื่อย" อาเหอได้สติก
เซียวหลันยวนยืนมือไว้บนหน้าผาก ถามเขาว่า "เจ้าคิดว่า เจ้าอารามอยู่บนยอดเขาโยวชิงจะเหงาไหม?""หา?" ชิงอีงงงันเจ้าอารามยอดเขาโยวชิงอยู่บนเขามาไม่รู้กี่ปี พวกเขาแม้จะอยู่ที่นั่นมาสิบกว่าปี แต่ก็ไม่เคยเห็นปัญหานี้มาก่อนดังนั้น ชิงอีจึงไม่รู้คำตอบของคำถามนี้คิดๆแล้ว เขาจึงถามคำถามที่ซ่อนไว้ในใจออกมา "ท่านอ๋อง เจ้าอารามตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว?"คำถามนี้อันที่จริงเขาอยากถามมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเซียวหลันยวนเหลือบมองเขา "ข้าเองก็ไม่เคยถาม""ดังนั้นท่านอ๋องก็ไม่รู้ว่าเจ้าอารามอายุเท่าไรหรือ?""นี่มันสำคัญไหม?""ไม่ ไม่ขอรับ" ชิงอีรีบโบกมือ "ข้าน้อยก็แค่อยากรู้""ออกไปก่อน""่ขอรับ"หลังจากชิงอีออกไป เซียวหลันยวนจึงหยิบจดหมายขึ้น เปิดออกอ่านจดหมายสั้นกระชับ เป็นลักษณะของเจ้าอารามโยวชิงแต่ที่เขียนบนจดหมาย ก็ไม่ใช่เรื่องที่เร่งรีบอะไร"ก่อนเดือนสาม พาภรรยาของเจ้ามาที่ยอดเขาโยวชิงหน่อย"แค่ประโยคเดียวเซียวหลันยวนงงงันพาจาวหนิงไปยอดเขาโยวชิง? มีเรื่องอะไรกัน?พอคิดๆ เซียวหลันยวนจึงเขียนตอบกลับจาวหนิงตอนนี้ไปเมืองเจ้อ หลังจากกลับมายังต้องถามนางอีก ไม่รู้ว่านางจะยอมไปยอดเข