"ทำไม ทำไมคนคนนั้นถึงไม่เป็นแบงค์ส้ม ทำไมถึงไม่เป็นแบงค์ ทั้งที่แบงค์ก็รักนับไม่แพ้ติณณภัทรเลย"
เสียงตัดพ้อดังเล็ดลอดออกจากปากหมอหนุ่มผู้มีนิสัยเคร่งขรึมอย่างแบงค์เมื่อสติสัมปชัญญะของเขาถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าครอบงำจนสูญเสียความเป็นตัวเอง นับดาวเป็นเพื่อนสนิทที่เขาแอบรักมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยกัน จนถึงตอนนี้ที่เข้าสู่วัยทำงานความรู้สึกที่มีต่อเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่เพราะคำว่าเพื่อนค้ำคอทำให้เขาไม่กล้าสารภาพกลัวจะเสียเธอไป อีกทั้งเธอยังป่าวประกาศชัดเจนว่าชาตินี้จะขอครองตัวเป็นโสดเพราะขยาดผู้ชายยิ่งทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ใครไหนจะรู้เลยว่าวันหนึ่งเธอกลับแต่งงานมีครอบครัว และกล้าบอกได้เต็มปากเต็มคำว่ารักผู้ชายคนนั้นมันยิ่งทำให้เขาชอกช้ำ ได้แต่ถามตัวเอง และเพื่อนสนิทอีกคนอย่างส้มซ้ำ ๆ ว่าทำไมผู้ชายคนนั้นไม่เป็นเขา วันนี้เป็นวันที่เพื่อนสนิทอย่างนับดาวมีความสุขที่สุด เธอได้ฉลองวันเกิดพร้อมหน้าพร้อมตากับคนที่รัก และได้ให้กำเนิดบุตรสาวแสนน่ารัก ความจริงเขาควรจะยินดี แต่ไม่ใช่เลยมันเป็นวันที่เขาชอกช้ำมากที่สุดต่างหาก ชอกช้ำจนต้องใช้แอลกอฮอล์ช่วยหวังว่ามันจะบรรเทาความรู้สึก.. โดยเขาไม่รู้เลยว่ายังมีอีกคนที่ชอกช้ำไม่ต่างกันก็คือส้มคนที่ยอมนั่งดื่ม และรับฟังคำพูดตัดพ้อมากมายจากปากเขา เป็นคนที่แอบรักเขามาตลอดหลายปี แต่ทำได้แค่เก็บงำความรู้สึกเอาไว้เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขารักใคร เธอก็อยากจะถามแบงค์ไปเหมือนกันว่าทำไมคนที่เขารักถึงไม่เป็นเธอ เธอที่แอบรักเขามาตลอด แต่ทำได้เพียงแค่คิดในใจเพราะคำว่าเพื่อนมันค้ำคออยู่เช่นกัน "ทำไมแบงค์ไม่ลองมองคนอื่นนอกจากนับบ้างล่ะ" เธอกระดกน้ำสีอำพันลงคออึกใหญ่เรียกความกล้าให้ตัวเอง แล้วลองพูดหยั่งเชิงเพื่อนชายดู "ไม่ล่ะ.." คำตอบจากริมฝีปากหนาเหมือนเข็มถิ่มแทงใจคนฟังแบบนี้เธอคงจะหมดสิทธิ์ลุ้น ต่อให้ตอนนี้จะไม่มีนับดาวแล้วก็ตาม "หึ" เธอเค้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ นึกเย้ยหยันตัวเองที่อุตส่าห์แอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ มาตั้งนาน มือเรียวยกน้ำสีอำพันในแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วเทจากขวดใส่แก้วใหม่อีกครั้ง ตอนแรกเป็นแบงค์ที่ขอซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาดื่มที่คอนโดเธอหลังจากกลับจากโรงพยาบาลที่นับดาวคลอดลูกเพื่อต้องการเมาให้ลืมความเจ็บปวดในใจ แต่ตอนนี้เธอเองก็ต้องการดื่มให้ลืมความเจ็บปวดเช่นกัน จากที่จะดื่มนิดหน่อยเป็นเพื่อนแบงค์ก็ยกน้ำเมากระดกลงคอครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดไปเป็นขวด สติสัมปชัญญะเริ่มถูกครอบงำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อแต่ก็พยายามปรือขึ้นมองอีกคนที่นั่งดื่มอยู่บนพื้นตรงโซฟาอีกฝั่ง สะบัดศีรษะพรึ่บ ๆ สองสามครั้งไล่อาการมึนออก ก่อนจะเค้นน้ำเสียงยานห้ามปรามเพื่อนชายที่เหมือนจะเมาจนหมดสภาพ "บะ..แบงค์ส้มว่าพอเถอะ แบงค์เมามากแล้วนะ" "แบงค์ยังไหว ๆ" แบงค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงยานไม่ต่างกันพลางพยักหน้าหงึกหงักยืนยันกับเพื่อนสาวว่ายังไหวทั้งที่ความจริงแทบครองสติตัวเองไม่อยู่ มือหนายังคงยกอำสีอำพันในแก้วขึ้นดื่มครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อบรรเทาความเจ็บในใจ "พอเถอะแบงค์" ถึงแม้เพื่อนชายจะบอกว่ายังไหวแต่ส้มไม่เชื่อเพราะสิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้คือสภาพเพื่อนชายไม่ไหวจริง ๆ เมาจนหัวราน้ำ เมาจนเละแทะหมดคราบหมอผู้เคร่งขรึมไปสิ้นเชิง เธอพยายามรวบรวมสติที่เหลือเพียงน้อยนิดใช้มือยันโต๊ะกระจกพาตัวลุกขึ้นยืน ก่อนเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาอีกคน แย่งแก้วเหล้าจากมือของเขา "บอกว่าพอแล้วแบงค์" "เอามาส้ม แบงค์จะดื่มให้ลืมนับ ให้ลืมความเจ็บข้างในนี้" แบงค์หาได้ยอมไม่ใช้มือกำแก้วไว้แน่นไม่ให้ส้มเอาไปได้ ส่วนอีกข้างทุบลงบนอกด้านซ้ายที่มีก้อนเนื้อเต้นอยู่ "เอามานะแบงค์ ส้มบอกว่าพอแล้วไง ดื่มให้ตายก็ไม่ช่วยทำให้แบงค์ลืมนับ และหายจากความเจ็บปวดได้หรอก" "ไม่แบงค์จะดื่ม ส้มอย่ามาห้าม" "อย่าดื้อได้ไหมแบงค์" "ว้าย!" ทั้งสองเยื้อแย่งแก้วกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนส้มจะต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจในวินาทีที่พลาดท่าล้มลงใส่เพื่อนชายทำให้อีกคนที่ทรงตัวแทบไม่ได้อยู่แล้วเสียหลักล้มลงไปนอนหงายบนพื้นแข็ง ๆ โดยมือก็ดันดึงเธอลงไปด้วย แก้วเหล้าในมือหนาอีกข้างตกกระทบพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำสีอำพันสาดกระเซ็นไปทั่วตัวทั้งสองคน แต่กลับไม่สามารถกระทบความรู้สึกของทั้งสองได้เลยในเมื่อตอนนี้มีสิ่งที่น่าตกใจมากกว่า ส้มตาเบิกกว้างอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยเต้นแรงคล้ายกับจะทะลุออกมานอกอก อาการเมาแทบจะหายไปกับเหตุการณ์ในตอนนี้ นอกจากเธอจะล้มทับเพื่อนชายแล้ว ปากยังจูบลงบนริมฝีปากหนาพอดิบพอดี อึ้งค้างไปชั่วขณะเพราะทำอะไรไม่ถูกกระทั่งคนใต้ร่างเริ่มขยับจึงได้สติ รีบผละปากออกใช้มือทั้งสองยันพื้นแล้วค่อย ๆ พาตัวลุกขึ้น "อ๊ะ!" ทว่าเธอก็ต้องหลุดร้องออกมาเบา ๆ ครั้นถูกอีกคนตวัดมือกอดรัดเอวคอดทำให้ล้มลงไปทาบทับเขาอีกครั้ง หนำซ้ำวงแขนแกร่งยังกอดรัดรอบเอวแน่นจนขยับตัวไม่ได้ ทุกส่วนบนร่างกายแนบชิดไปกับร่างกำยำจนสัมผัสได้ถึงไอร้อน เธอถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พยายามรวบรวมสติไม่ให้แตกกระเจิงทั้งที่หัวใจมันกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ใช้มือดันอกแกร่งหวังให้หลุดจากพันธนาการ "แบงค์ปล่อยส้ม" "ไม่..แบงค์จะไม่ปล่อยนับไปไหนอีกแล้ว แบงค์รักนับนะรักมานานมากแล้ว" เหมือนในตอนนี้แบงค์จะหูตาพร่าเบลอเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เห็นใบหน้าเพื่อนสาวอย่างส้มที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ เป็นหน้าผู้หญิงที่แอบรัก พร่ำรำพันออกมาเสียงแผ่วพริ้ว และยิ่งกอดรัดร่างบางแน่นขึ้น ๆ ราวกับกลัวจะหายไป คนได้ยินถึงกับเจ็บจี๊ดในใจขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็พยายามสะกดกลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ยิ่งออกแรงดันอกแกร่งพลางพูดเรียกสติ "นี่ส้มเองแบงค์ ตั้งสติหน่อยสิ ปล่อยส้มก่อนแบงค์" "ไม่.." คำพูดเรียกสติของส้มไม่ได้ผลนอกจากแบงค์จะไม่ปล่อยแล้วยังพลิกตัวขึ้นอยู่ด้านบนแทนกลับกลายเป็นว่าเธอถูกเขาทาบทับไว้ "แบงค์กำลังทำอะไรรู้ตัวรึเปล่า ปล่อยส้มก่อน มีสติหน่อยแบงค์" ส้มตกใจไม่น้อยกับการกระทำของเพื่อนชายพยายามดิ้นใช้มือผลักไสร่างสูงพัลวัน แต่กลับถูกเขาจับมือกดตรึงกับพื้นเย็นเฉียบข้าง ๆ ศีรษะ "แบงค์รู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นของแบงค์นะนับ" ดวงตากลมพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนอึ้งกับประโยคตอบกลับจากริมฝีปากหนาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเพื่อนชายที่เธอมองว่าสุขุมนุ่มลึกมาตลอด "แบงค์ตั้งสติหน่อย นี่ส้มไม่ใช่นับ มองดี ๆ สิ มองดี ๆ แบงค์" พยายามเรียกเตือนสติเพื่อนชายพัลวันพร้อมทั้งดิ้นรนหวังให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ต่อให้เธอจะรักเพื่อนชายแค่ไหนแต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ เธอไม่ต้องการเป็นเงาของใคร ที่เธออยากได้คือหัวใจของเขา และหากจะมีอะไรกันมันต้องมาจากความรักไม่ใช่ความเมา หรือเพราะเหตุผลอื่น ๆ "แบงค์รักนับนะ" แบงค์ในตอนนี้ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำจนสมองปิดการรับรู้ต่อให้เพื่อนสาวพูดยังไงก็ไม่สามารถดึงสติเขากลับมาได้ ทว่ายิ่งคนใต้ร่างพยายามต่อต้านมากเท่าไรก็เหมือนยิ่งกระตุ้นด้านมืดในกายให้ตื่นขึ้นมา สมองสั่งการเพียงอย่างเดียวคือต้องครอบครองคนใต้ร่างเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ "บะ.." ริมฝีปากหนาโน้มลงกดจูบปิดเรียวปากอิ่มที่กำลังส่งเสียงพูดไว้ไม่ต้องการให้เธอเอ่ยอะไรได้อีก ส่งลิ้นเข้าไปกวาดต้อนโพรงปากฉ่ำไล่เกี่ยวกวัดลิ้นเล็กที่พยายามหลบหลีกอย่างเอาแต่ใจ "อื้อ.." ส้มพยายามขืนมือออกจากการกดตรึง ส่ายหน้าหนีริมฝีปากหนาแต่ก็ไร้ผล หนำซ้ำคนด้านบนยิ่งบดขยี้ริมฝีปากหนักหน่วงจนเธอเหมือนจะขาดอากาศหายใจเสียให้ได้ ร่างกายเริ่มรุ่มร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ ครั้นคนด้านบนบดเบียดท่อนเนื้อที่ตั้งเป็นลำภายใต้กางเกงกับเนินเนื้อสาว สมองเริ่มพร่าเบลอเหมือนถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าครอบงำอีกครั้ง จากที่พยายามต่อต้านก็คล้อยตาม หลับตาอ้าเผยอปากรับสัมผัสแสนหวามจากคนด้านบน เธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยากจะปฏิเสธแต่ร่างกายกลับไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมมีอะไรกับเขา แต่ก็มิอาจต้านทานความต้องการทางร่างกาย และส่วนลึกในหัวใจได้เช้าวันใหม่ภายในห้องนอนของคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองหลวงเผยให้เห็นร่างของสองหนุ่มสาวที่กำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงสภาพของทั้งสองเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าเพราะเมื่อคืนเพิ่งผ่านศึกเร่าร้อนบนเตียงมาอย่างหนักหน่วงร่างสูงภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อถูกแสงแดดที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างสีขาวเข้ามากระทบเปลือกตา "อ่า.." เขาส่งเสียงครางในลำคอเบา ๆ พลางยกมือขึ้นกุมขมับ พยายามปรือตาที่หนักอึ้งขึ้นมาด้วยอาการมึน ๆ คิ้วเข้มพลันขมวดเป็นปมเมื่อเห็นเพดานที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ดวงตาคมกระพริบปริบ ๆ สองสามครั้งไล่อาการพร่าเบลอออก ก่อนจะเลื่อนหน้ามองบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มขยับขยุกขยิกข้างตัว"ส้ม!" ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจครั้นเห็นใบหน้าของเพื่อนสาวอย่างส้ม ที่สำคัญเธอยังนอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังอึกค่อย ๆ ไล่สายตาลงมองร่างกายตัวเองด้วยหัวใจลุ้นระทึกรูม่านตายิ่งขยายมากกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง ได้แต่สบถในใจซ้ำ ๆ ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นทำไมเขากับเพื่อนสาวถึงได้มาอยู่ในสภาพแบบนี้ ที่แน่ ๆ คือเมื่อคืนเขากับเพื่อนสาวคงไม่ใช่แค่นอนแก้ผ้ากันเฉย
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างส้มกับแบงค์ยังคงเป็นเพื่อนกันดั่งเดิม แม้ช่วงแรกส้มจะทำตัวห่าง ๆ เพื่อนชายไปบ้าง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมยังคงไปมาหาสู่เธอเป็นประจำ บางครั้งก็ซื้ออาหารมาทานที่ห้องเธอบ้างล่ะ วันหยุดก็มาชวนเธอไปเที่ยวบ้าง วนเวียนอยู่แบบนั้นทำเหมือนว่าเรื่องในคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจนสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ให้กับความช่างตื้อของเขา อย่างเช่นตอนนี้ที่เขามานั่งหน้าสล่อนอยู่ห้องเธอพร้อมกับถุงอาหารมากมาย"หอบอะไรมาเยอะแยะแบงค์" เธอหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่งกวาดสายตามองถุงข้าวของที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกระจก ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าถามเพื่อนชาย"ข้าวเที่ยงไง กินคนเดียวมันเหงาเลยพามากินกับเธอ" แบงค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วลุกเดินไปหยิบจานในครัวเพื่อมาใส่อาหารทำเหมือนที่นี่เป็นห้องตัวเองไม่ต้องขออนุญาตเพื่อนสาวสักนิด เขามาบ่อยจนรู้แล้วว่าอะไรวางอยู่ตรงไหนบ้าง"จริง ๆ เลย" ส้มได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับการตีเนียนทำเหมือนเป็นเจ้าของห้องของเพื่อนชาย เลือกจะนั่งเอนหลังพิงโซฟาแล้วหลับตาลง ปล่อยให้อีกคนใช้ห้องได้ตามสบาย ช่วงนี้เธอร
@บ้านเอกวิโรจน์ส้มขับรถเข้ามาจอดยังบ้านหลังใหญ่โตโออาไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า คฤหาสน์ที่เป็นเหมือนกรงขังสำหรับเธอ เป็นคฤหาสน์ที่หาความสุขไม่เจอ เธอนั่งมองรอบ ๆ บริเวณบ้านผ่านกระจกรถพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องโถงก็เห็นพ่อกับแม่ และพี่ชายนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม "สวัสดีค่ะพ่อ แม่ พี่เบส""นี่ถ้าพ่อไม่ให้แม่เขาโทรตาม ลูกก็คงไม่คิดจะกลับบ้านเลยใช่ไหม" อภิสิทธิ์ประมุขของบ้านมองบุตรสาวคนเล็กที่กำลังหย่อนก้นนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาดุแทนที่จะรับไหว้ส้มไม่ได้ตอบอะไรกลับทั้งที่ในใจอยากตะโกนบอกท่านดัง ๆ ว่าสาเหตุที่เธอไม่อยากกลับบ้าน หรืออยู่ในบ้านหลังนี้เพราะความเข้มงวดของพวกท่านสองคนนั่นแหละ ทว่ารู้แก่ใจดีว่าถ้าพูดไปท่านทั้งสองคงจะพานโกรธหาว่าเธอไม่เคารพพวกท่านอีกเพราะมันเคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นมาเธอจึงเลือกสงบปากสงบคำดีกว่าปล่อยให้พวกท่านบ่นไป"พ่อก็อย่าดุน้องเลยครับ" เบสชายหนุ่มตาหล่อเหลาวัยสามสิบปีออกหน้ารับแทนน้องสาวเพราะเข้าใจดี
"ส้มรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะพี่เบส ไม่ต้องให้หมอมาตรวจหรอก" ส้มบอกกล่าวกับผู้เป็นพี่ชายที่นั่งอยู่ริมเตียงข้าง ๆ เธอพลางหยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงหลังจากได้นอนพัก และได้ยาดมมาดมจนรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว"ตรวจดูนั่นแหละดีแล้วจะได้รู้ว่าเป็นอะไร หากป่วยจะได้รักษาทัน" ไม่ทันที่เบสจะได้ตอบอะไรอัปสรที่ยืนอยู่ริมเตียงอีกฝั่งกับสามีก็เอ่ยแทรกขึ้น สายตาจ้องมองหน้าบุตรสาวด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดาได้"พี่ก็เห็นด้วยกับแม่นะ เกิดเป็นขึ้นมาอีกจะทำยังไง" ข้อนี้เบสเห็นด้วยกับผู้เป็นแม่ถึงแม้น้องสาวจะบอกว่าดีขึ้นแล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ให้หมอตรวจดูจะได้รู้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นอะไร"ก็ได้ค่ะ" ส้มพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายไม่คิดเอะใจสักนิดถึงความผิดปกติในร่างกาย คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองชอบนอนดึก และไม่ค่อยทานข้าวจึงเกิดอาการแบบนี้ เพื่อความสบายใจของทุกคนตรวจดูหน่อยก็ไม่เสียหายผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีหมอประจำตระกูลก็เดินทางมาถึง "ช่วยตรวจดูลูกสาวฉันให้หน่อยค่ะว่าเป็นอะไร เมื่อกี้พอได้กลิ่นอาหารก็เหม็นจนต้องวิ่งไปอาเจียน ช่วยตรวจดูหน่อยค่ะว่าเป็นอะไร" ทันทีที่หมอหญิงวัยสามสิบแปดปีเดินเข้ามาถึงในห้องอัปส
@คอนโดส้มหลังจากคุยกับผู้เป็นแม่ และพี่ชายจนเข้าใจส้มก็ขับรถกลับมายังคอนโด ซึ่งระหว่างทางก็แวะซื้อที่ตรวจครรภ์ติดมือมาด้วยจะได้รู้ชัดเจนไปเลยว่าท้องจริงหรือไม่ และผลมันก็ออกมาว่าท้องจริง ๆ..ตอนนี้เธอมืดแปดด้านไปหมดไม่รู้ว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีเพราะพ่อกับแม่เธอคงยอมแน่ ๆ จนกว่าจะได้รู้ว่าพ่อของลูกในท้องเธอเป็นใคร ถ้าบอกไปท่านต้องบังคับให้เพื่อนชายรับผิดชอบแน่ ๆหากบอกเรื่องท้องกับเพื่อนชายเธอก็ไม่รู้เลยว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง เขาจะยอมรับไหม หรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างเธอกับเขาจะต้องจบลงด้วยหรือเปล่า แล้วเธอควรทำยังไงดี...ครืดดด~ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอนั่งจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกมากมายจนเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้น เธอพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างตัวมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เพื่อนสาวจึงกดรับสาย"ว่าไงนับ"(เมื่อกี้แม่แกโทรมาถามฉันว่าแฟนแกเป็นใคร ท่านบอกว่าแกท้อง มันเป็นความจริงรึเปล่า""มะ..แม่ฉันโทรหาแกอย่างนั้นเหรอ" หัวใจดวงน้อย ๆ ของส้มถึงกับหล่นไปอยู่ตาตุ่มกับคำบอกกล่าวจากปลายสายไม่ใช่เพราะตกใจที่เพื่อนสาวอย่างนับดาวรู้ แต่เธอกลัวผู้เป็นแม่จ
"ทำไมแบงค์มองส้มแบบนั้น" ในที่สุดส้มก็ทนอยู่ในสถานการณ์อันน่าอึดอัดไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อเพื่อนชายเอาแต่นั่งมองหน้าเธอเป็นสิบ ๆ นาทีแล้วรวบรวมความกล้าข่มความตื่นเต้นเอาไว้เปล่งเสียงถามไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มือที่ประสานกันบนหน้าตักบีบเข้าหากันแน่น"แม่ส้มโทรมาถามแบงค์ว่ารู้จักแฟนส้มไหม ท่านบอกว่าส้มท้อง สรุปส้มท้องจริง ๆ ใช่ไหม" แบงค์หลับตาพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนปรือขึ้นถามเพื่อนสาวที่นั่งตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าในใจกลับลุ้นระทึกกับคำตอบเป็นอย่างมาก แอบภาวนาขอให้ทั้งหมดเป็นเรื่องไม่จริงบอกตามตรงว่าวินาทีที่ได้ยินแม่ของส้มบอกว่าเธอท้องหัวใจของเขามันหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไรตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาส้มไม่เคยมีแฟนสักคน ไม่เคยข้องแวะ หรือยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนในเชิงชู้สาว หรือกระทั่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครนอกจากเขาที่มาจากความผิดพลาดในค่ำคืนนั้น แล้วแบบนี้ลูกในท้องเธอจะเป็นลูกใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่ลูกเขา"ใช่ส้มท้องจริง ๆ" ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายพลันกระตุกวูบกับคำยืนยันจากปากเพื่อนสาว 'อ่า..ให้ตายเถอะ' ได้แค่สบถในใจซ้
วันต่อมา@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ตาแบงค์มานั่งคุยกับแม่หน่อย" เสียงของผู้เป็นแม่ทำให้แบงค์ที่กำลังจะเดินผ่านห้องโถงหยุดชะงัก หันไปเลิกคิ้วถามท่านด้วยความสงสัย "แม่มีอะไรครับผมต้องรีบไปเคลียร์งานที่บริษัท เสร็จแล้วจะได้ไปเปิดคลินิกต่อ""วันนี้ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ลูกต้องไปธุระกับพ่อ และแม่" คุณหญิงผกาเอ่ยแกล้มออกคำสั่งจ้องมองบุตรชายด้วยแววตาดุไร้แววล้อเล่นทำเอาแบงค์แปลกใจไม่น้อยเพราะไม่ใช่บ่อยครั้งที่จะเห็นผู้เป็นแม่ในมุมแบบนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ ๆ เขาจึงต้องเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาอีกตัวตรงข้ามพ่อแม่อย่างเลี่ยงไม่ได้"แม่มีอะไรครับทำไมต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้น" เปล่งเสียงถามไปด้วยความสงสัยกับท่าทางตึงเครียดของแม่กับพ่อที่มองมายังเขาราวกับว่าเขาไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้น"แกทำหนูส้มท้องยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ" วินิจประมุขของบ้านพูดโดยไม่อ้อมค้อม มองหน้าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยแววตาคาดโทษ ขณะที่แบงค์นั่นถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับคำบอกกล่าวจากปากผู้เป็นพ่อ คิ้วเข้มขมวดชนกันด้วยความสงสัย สมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามว่าท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน ไหนจะกังวัลว่าบทสรุปขอ
@บ้านเอกวิโรจน์สุดท้ายแบงค์ก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดัน และคำประกาศกร้าวของพ่อแม่ได้จำใจต้องมาที่บ้านของเพื่อนสาวกับพวกท่าน เขาถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ครั้นรถจอดลงหน้าบ้านเอกวิโรจน์ บ้านของเพื่อนสาวที่เขาเข้าออกเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากจะเหยียบเข้าไปที่สุด"ทำหน้าให้มันดี ๆ ตาแบงค์" ผกาเอ็ดบุตรชายด้วยน้ำเสียงดุรู้สึกไม่ชอบใจที่บุตรชายทำหน้าซังกะตาย หากพ่อแม่ของเด็กสาวเห็นคงคิดว่าบุตรชายของเธอไม่เต็มใจรับผิดชอบลูกสาวของทั้งสองคนโดนดุไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ลงจากรถไปเงียบ ๆ ทิ้งให้คนเป็นพ่อแม่ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเอือมระอากับท่าทางของบุตรชาย ก่อนจะพากันลงจากรถ.."รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่หนูส้ม อย่าคิดทำอะไรให้แม่กับพ่อขายหน้าเด็ดขาดเข้าใจไหม" ผกาเน้นย้ำกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้งในขณะที่กำลังพากันเดินเข้าไปในบ้าน"แม่ย้ำกับผมเป็นร้อยรอบแล้วครับ" แบงค์เอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจพลางปรายตามองผู้เป็นแม่ เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาท่านก็เอาแต่ย้ำเรื่องนี้ กลัวเหลือเกินกลัวว่าวะเสียหน้าไม่คิดจะถามเขาเลยสักนิดว่ารู้สึกอย่างไรมีความสุขไหมกับการตัดสินใจของพวกท่าน
@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ว้าย!" ส้มร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกพ่อของลูกยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านวิสุทธิ์ภักดี "จะอุ้มทำไมแบงค์ส้มก็กำลังจะเดินเข้าบ้านอยู่นี่ไง" ครั้นตั้งตัวได้เธก็โวยวายใส่ร่างสูงพลางใช้มือทุบอกเขาแรง ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอุ้มทำไมกันในเมื่อเธอก็ยอมเดินเข้าบ้านดี ๆ ไม่ได้จะวิ่งหนีกลับบ้านสักหน่อยแบงค์เพียงยิ้มให้เพื่อนสาวเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรตั้งหน้าอุ้มเธอเดินดุ่ม ๆ เข้าบ้าน ก่อนจะพาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทำเอาส้มต้องขมวดคิ้วเป็นปม รีบเปล่งเสียงถามทันที "แบงค์จะพาส้มไปไหน ปล่อยส้มลงเดี๋ยวนี้นะ""พาขึ้นไปดูทะเบียนสมรส แล้วก็ใบหย่าไงเพื่อยืนยันว่าแบงค์ยังไม่ได้เซ็นมันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่" สิ้นประโยคใบหน้าหล่อเหลาก็เคลือบไปด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์จนส้มอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย พยายามข่มอาการเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงดุหวังว่าอีกคนจะเกรงขึ้นมาบ้าง "แบงค์ก็ขึ้นไปหยิบลงมาให้ดูสิ จะอุ้มส้มขึ้นไปด้วยทำไม" "อยากพาขึ้นไปดูให้ถึงที่ไง" "มันใช่เรื่องไหม
หลายปีต่อมา"คุณพ่อคะเมื่อวานตอนไปห้างมีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณแม่ด้วยค่ะ" ทันทีที่แบงค์ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านเอกวิโรจน์บุตรสาวที่นั่งรอการมาของเขาในห้องโถงก็รีบเอ่ยฟ้องเสียงเจื้อยแจ๋ว"จริงเหรอครับ" ทำเอาแบงค์ถึงกับหูผึ่งรีบเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างบุตรสาว ถามไถ่ด้วยความร้อนรนใจ "แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อไหม แล้วแม่เขาตอบผู้ชายคนนั้นไปว่ายังไงบ้าง""เขาก็หล่อนะคะ แต่น้อยกว่าคุณพ่อ" ภริตาเด็กน้อยวัยย่างเข้าเก้าขวบตอบไปตามความจริงเพราะสำหรับเธอแล้วไม่มีใครหล่อกว่าพ่อตัวเอง "ส่วนคุณแม่แค่ยิ้มหวานให้ผู้ชายคนนั้นค่ะไม่ได้ตอบอะไร น้องริตาเลยตอบแทนคุณแม่ไปว่ามีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไปเลย""ทำดีมากลูกรัก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ลูกช่วยดูแลแม่จากผู้ชายคนอื่น" ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยบึ้งตึงก่อนหน้านี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากบุตรสาว ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปหยีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีเกือบห้าปีแล้วอีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะคบห้าปีพอดี บุตรสาวของเขาอายุย่างเข้าเก้าปีเริ่มเติบโตเป็นสาวแล้วรู้เรื่องทุกอย่างจึงเป็นตัวช่วยของเขาได้ดีงานที่เขามอ
จากวันนั้นเวลาก็ดำเนินมาหนึ่งปีเต็ม ๆแบงค์ยังคงคอยดูแลลูกในฐานะคุณอาที่แสนดี ซึ่งเขาก็เต็มใจยอมรับไม่คิดเรียกร้องอะไรแค่ได้อยู่ในชีวิตผู้หญิงที่รักทั้งสองคนเขาก็มีความสุขแล้วครืดดด~สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้แบงค์ที่กำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปหาบุตรสาวที่บ้านเอกวิโรจน์เหมือนเช่นทุกวันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูคิ้วเข้มพลันขมวดชนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือแม่ของลูกอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติเธอจะไม่โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จึงกดรับสายด้วยความอยากรู้"โทรมาแต่เช้าเลยมีอะไรรึเปล่าส้ม"(ส้มจะโทรมาบอกว่าวันนี้ให้มาหาลูกตอนเย็น ๆ นะ เพราะช่วงเช้าพ่อกับแม่ส้มจะพาน้องริตาไปข้างนอก)พอได้ฟังประโยคจากปลายสายเขาก็หน้าหงอยลงฉับพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะกะไว้ว่าจะไปรับสองแม่ลูกไปทำบุญด้วยกันที่วัดสักหน่อยเนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสาวคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันตั้งแต่เกิดเรื่องนั่น"อ๋อ..ได้ ๆ" เขาได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจแล้วเปล่งเสียงตอบปลายสายไ
ส้มทอดสายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนริมระเบียงห้องพักด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พาบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มและลูก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนสายลมเย็นยะเยือกลอยสัมผัสผิวเรียบเนียนทำให้เธอต้องรีบยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำนิลที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ลอยประดับประดาอย่างสวยงาม แต่นาทีต่อมาเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ที่คลุมลงมาบนไหล่ ครั้นเอี่ยวหน้ามองก็พบว่าเป็นพ่อของลูกนั่นเองที่เอาผ้ามาคลุมไหล่ให้เธอ จึงเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาท "ขอบคุณ"แบงค์เพียงยกยิ้มให้เพื่อนสาวบาง ๆ แล้วเดินไปยืนริมระเบียงข้าง ๆ ทอดสายตามองออกไปนอกท้องทะเลอันมืดสลัวโดยไม่พูดอะไรออกมา เฉกเช่นเดียวกับส้มที่มองออกไปยังทะเลอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นระยะไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับทะเลเบื้องหน้า "บรรยากาศดีเนาะ ส้มว่าไหม
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันลงไปทานอาหาร ครั้นทานอาหารเสร็จก็เช่ารถของโรงแรมพาบุตรสาวไปเล่นที่สวนน้ำกระทั่งเที่ยงจึงพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของภูเก็ต"กินข้าวเสร็จคุณอาใจดีจะพาน้องริตาไปเที่ยวไหนต่อคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ๋วระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับเอียงหน้าขึ้นมองคุณอาใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ส้มนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งจ้องมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวเพราะยิ่งนับวันบุตรสาวก็ยิ่งติดคนเป็นพ่อมากขึ้น ดูอย่างตอนนี้สิแทนที่จะนั่งข้างเธอ กลับเลือกไปนั่งข้างชายหนุ่มแต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเขาเล่นตามใจบุตรสาวไปเสียทุกอย่างไม่ว่าบุตรสาวจะบอกจะขออะไรก็ทำให้หมดไม่เคยขัดจึงทำให้บุตรสาวชอบอยู่กับเขา"อืม..เราไปดูเครื่องบินที่หาดไม้ขาวกันไหมครับ พอแดดร่มหน่อยเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นน้ำทะเลกัน" คนถูกถามอย่างแบงค์นั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนเสนอความคิดเห็นให้บุตรสาวพร้อมกับยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู"ได้ค่ะ"เด็กน้อยภริตายิ้มรับจนตาหยีพลอยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยิ้มตามไปด้วย ก่อนแบงค์จะเล
นับจากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์ได้กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อนสาวกับลูกอีกครั้ง ตอนเช้าของทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะแวะมาหาบุตรสาวก่อนเสมอ และหลังเลิกงานตอนเย็นก็แวะมาเล่นกับบุตรสาวอีกครั้ง หากเป็นวันหยุดเขาก็จะมารับบุตรสาวพาไปเที่ยวเป็นประจำ บางครั้งก็พาไปนอนค้างคืนที่บ้านด้วยกัน ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ของลูกก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าเดิมเพราะเธอปิดกั้นเขาทุกทางคงจะมีแค่เรื่องลูกที่ทำให้เธอยอมเกี่ยวข้องกับเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถอดใจหวังว่าสักวันจะแทรกซึมเข้าไปในใจเธอได้อีกครั้งวันนี้เป็นวันหยุดเขาเลยชวนบุตรสาวไปเที่ยวทะเลตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ และเขายังแอบพูดกับบุตรสาวว่าให้ชวนแม่ไปด้วยเพราะหวังว่าจะได้สร้างโมเม้นท์ดี ๆ กับแม่ของลูกเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนส้มยอมไปเที่ยวทะเลด้วยเพราะทนแรงออดอ้อนจากบุตรสาวไม่ไหว ทะเลที่เขาจะพาสองแม่ลูกไปเที่ยวก็คือภูเก็ตนั่นเองเพราะเขาไปมาครั้งที่แล้วมันสวยมาก ที่เที่ยวก็มีเยอะแยะจึงอยากให้บุตรสาวได้เที่ยวบ้าง ทั้งสามออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยรถส่วนตัวโดยแบงค์ทำหน้าที่เป็นคนขับ เขาอยากจะ
ส้มนั่งคุยกับนับดาวไปเรื่อย ๆ โดยปล่อยให้บุตรสาวเล่นกับชายหนุ่มไปเพราะเลี่ยงไม่ได้ ระหว่างนั้นก็ปรายตามองสองคนพ่อลูกเป็นระยะ ๆ "แกจะไม่ให้น้องริตารู้จริง ๆ เหรอว่าแบงค์เป็นพ่อของเขา ฉันว่าน้องริตามีความสุขมากนะที่ได้เจอแบงค์" นับดาวเอียงหน้ากระซิบถามเพื่อนสาวเบา ๆ หลังจากนั่งมองเพื่อนชายกับบุตรสาวเล่นด้วยกันมาสักครู่แล้ว"ตอนนี้ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ แต่ถ้าในอนาคตไม่รู้" ส้มเองยังคงยืนยันคำเดิมเพราะเธอยังจำความหมางเมินที่ชายหนุ่มแสดงต่อลูกในท้องได้ดี เขาไม่แม้แต่ทำหน้าที่พ่อสักครั้ง"แกลองเปิดโอกาสให้แบงค์ได้ทำหน้าที่พ่อดูสักหน่อยสิ หากมันดีหรือไม่ดีแกก็ค่อยตัดสินใจอีกครั้ง" นับดาวใช้มือตบลงบนบ่าเพื่อนสาวเบา ๆ เชิงให้กำลัง ก่อนจะหันไปชวนเด็กน้อยภริตาเข้าไปในครัวเพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้คุยกัน "น้องริตาไปดูขนมคุกกี้ในครัวกับแม่นับดีกว่าค่ะว่าเสร็จรึยัง""ค่ะ" เด็กน้อยภริตารีบพยักหน้ารับคำอย่างไร้เดียงสาพร้อมกับลุกเดินไปหานับดาว จากนั้นก็พากันเดินหายเข้าไปในครัวทิ้งให้แบงค์กับส้มนั่งกันตามลำพังภายในห้องโถงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบนานหลายนาที ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา "แบงค์รู้เร
วันต่อมา"สรุปเรื่องของลูกกับเจ้านายเป็นยังไงแล้วลูก" เสียงของคุณหญิงอัปสรดังขึ้นทำให้ส้มที่นั่งจมอยู่กับความคิดมากมายในหัวหลุดจากภวังค์ เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเปล่งเสียงตอบผู้เป็นแม่อย่างเนือย ๆ "มันจบแล้วค่ะแม่ หนูกับพี่นายคุยกันจนได้ข้อสรุปแล้วว่ากลับไปพี่น้องกันเหมือนเดิมดีกว่าเพราะขืนดันทุรังคบกันต่อไปหนูคิดว่าคงมีปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น หนูไม่อยากเสียใจและเหนื่อยกับเรื่องความรักแล้ว""แม่เข้าใจ ไม่เป็นไรนะยังไงลูกก็ยังมีพ่อกับแม่อยู่ข้าง ๆ" อัปสรนึกเห็นใจบุตรสาวไม่น้อยที่ต้องมาผิดหวังกับเรื่องความรักซ้ำ ๆ ถึงสองครั้งสองคราทำได้เพียงขยับตัวเข้าไปรั้งบุตรสาวมาสวมกอดไว้หลวม ๆ เชิงปลอบประโลมและให้กำลังใจในเวลาเดียว ซึ่งส้มไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงฝืนระบายยิ้มให้ท่านบาง ๆ แม้ในใจจะรู้สึกชอกช้ำไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหลังจากเจ้านายมาหาที่บ้านเธอก็ตัดสินใจถามเขาไปตรง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ลียามาบอก คำตอบที่ได้รับจากปากเจ้านายคือมันเป็นเรื่องจริง เขาพลาดมีอะไรกับลียาจริง ๆ เพราะความเมาเขาเล่าให้เธอฟังทุกอย่างโดยไม่ปิดบังรวมทั้งเรื่องที่โดนผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายบังคับให้แต่ง
หลังจากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ เรื่องระหว่างส้มกับเจ้านายก็เหมือนจะไม่มีอะไรเพราะหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาแม่ของเขาไม่ได้โทรมากวน หรือทำอะไรเลยซึ่งเจ้านายเองก็ไปมาหาสู่เธอเป็นปกติเหมือนเช่นทุกวัน ส่วนพ่อของลูกก็หายเงียบไปเลยตั้งแต่วันนั้นเธอก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้ชีวิตของเธอกับลูกจะราบรื่นสักที ทว่าเหมือนที่เธอหวังจะไม่เป็นจริงเมื่อแม่บ้านเดินมารายงานว่า "คุณส้มค่ะมีคนมาขอพบค่ะ เห็นว่าชื่อลียา"คิ้วสวยขมวดชนกันเป็นปมด้วยความแปลกใจระคนสงสัยเพียงได้ยินชื่อคนที่มาหา แต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่เพราะเธอกับลียาไม่ได้สนิท หรือรู้จักกันแต่อย่างใดที่เธอมาหาคงไม่พ้นเรื่องของเจ้านายแน่ ๆ เธอลอบถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะบอกกล่าวแม่บ้าน "เชิญเขาเข้ามาเถอะค่ะ"สิ้นเสียงเธอแม่บ้านก็เดินออกไปทันที และเพียงไม่นานก็เห็นแม่บ้านเดินนำหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวเข้ามา"สวัสดีค่ะคุณส้ม" ลียายกมือขึ้นไหว้ส้มซึ่งมีอายุมากกว่าเธออย่างนอบน้อมทันทีที่เดินมาถึงส้มเพียงพยักหน้ารับคำกล่าวทักทาย แล้วถามไถ่เข้าประเด็นทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลาแม้แแต่นาทีเดียว "คุณลียามีอะไรคะถึงได้มาหาส้มถึงที