@บ้านเอกวิโรจน์
ส้มขับรถเข้ามาจอดยังบ้านหลังใหญ่โตโออาไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า คฤหาสน์ที่เป็นเหมือนกรงขังสำหรับเธอ เป็นคฤหาสน์ที่หาความสุขไม่เจอ เธอนั่งมองรอบ ๆ บริเวณบ้านผ่านกระจกรถพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องโถงก็เห็นพ่อกับแม่ และพี่ชายนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม "สวัสดีค่ะพ่อ แม่ พี่เบส" "นี่ถ้าพ่อไม่ให้แม่เขาโทรตาม ลูกก็คงไม่คิดจะกลับบ้านเลยใช่ไหม" อภิสิทธิ์ประมุขของบ้านมองบุตรสาวคนเล็กที่กำลังหย่อนก้นนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาดุแทนที่จะรับไหว้ ส้มไม่ได้ตอบอะไรกลับทั้งที่ในใจอยากตะโกนบอกท่านดัง ๆ ว่าสาเหตุที่เธอไม่อยากกลับบ้าน หรืออยู่ในบ้านหลังนี้เพราะความเข้มงวดของพวกท่านสองคนนั่นแหละ ทว่ารู้แก่ใจดีว่าถ้าพูดไปท่านทั้งสองคงจะพานโกรธหาว่าเธอไม่เคารพพวกท่านอีกเพราะมันเคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นมาเธอจึงเลือกสงบปากสงบคำดีกว่าปล่อยให้พวกท่านบ่นไป "พ่อก็อย่าดุน้องเลยครับ" เบสชายหนุ่มตาหล่อเหลาวัยสามสิบปีออกหน้ารับแทนน้องสาวเพราะเข้าใจดี เขาเองก็ถูกคาดหวังจากพ่อแม่ไม่ต่างจากน้องสาวเลย "ลูกก็เข้าข้างน้องตลอด" เป็นอัปสรที่เลื่อนสายตาเอ่ยกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงตำหนิ ก่อนเลื่อนสายตามองหน้าบุตรสาวต่อ "ที่พ่อเขาพูดก็ถูก แม่ว่าลูกควรขายคอนโดแล้วกลับมาอยู่บ้านซะ" "ส้มยอมทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการมาตลอด แต่เรื่องนี้ส้มขอเถอะค่ะให้ส้มได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง" ทำพูดของผู้เป็นแม่ทำเอาส้มต้องหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ แล้วปรือตาขึ้นบอกกล่าวอย่างใจเย็นที่สุด ทุกวันนี้ถึงเธอจะอายุยี่สิบหกแล้วแต่ก็ยังต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่อยู่เลย พวกท่านบอกให้เธอเข้าไปช่วยงานที่บริษัทเธอก็ต้องทำทั้งที่ความฝันของเธอคือการเป็นดีไซน์เนอร์ต่างหาก เพราะคำว่าบุญคุณที่พวกท่านพร่ำพูดกลอกหูเธออยู่ซ้ำ ๆ เพราะคำขู่ที่ว่าหากไม่ทำตามจะตัดออกจากกองมรดก และไม่ต้องมาเป็นเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก "แม่จะยอมให้ลูกอยู่คอนโดต่อก็ได้" คำตอบของผู้เป็นแม่ทำให้เธอยิ้มออกมาได้บ้าง แต่เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นใบหน้าก็พลันบึ้งตึงอีกครั้งกับประโยคถัดมาของท่าน "แต่มีข้อแม้ว่าลูกต้องไปดูตัวกับจิณณะลูกชายคุณหญิงพิมพรรณวันพรุ่งนี้" "เมื่อไรแม่จะเลิกจับคู่ให้หนูสักทีคะ" เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมามองผู้เป็นแม่ด้วยความผิดหวัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านบังคับให้เธอไปดูตัว แต่มันนับไม่ถ้วนแล้วต่างหากจนเธอเอือมระอาเต็มทนแล้ว "ก็ต่อเมื่อลูกได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี และเหมาะสมกับลูกไง" อัปสรตอบกลับเสียงราบเรียบ ที่เธอทำไปทั้งหมดมีจุดประสงค์เดียวคือหวังดีต่อบุตรสาว อยากให้บุตรสาวได้เจอกับคนที่ดี บุตรสาวเธอมีเพรียบพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะ การศึกษา หน้าตา และชาติตระกูลผู้ชายที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยเธอจึงต้องมีทุกอย่างเท่าเทียมกับบุตรสาว ต้องผ่านการค้ดกรองจากเธอจะคว้าใครมามั่ว ๆ ไม่ได้ "หนูหาเองได้ค่ะ แม่ไม่จำเป็นต้องมากังวลกับเรื่องนี้" "แม่ต้องยุ่งสิเกิดลูกไปคว้าใครมามั่ว ๆ แม่จะทำยังไง ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด" "แม่หวังดีกับหนูจริง ๆ หรือแม่กลัวจะอับอายขายหน้ากันแน่คะถ้าสมมุติว่าหนูคว้าผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาให้แม่" ส้มเอ่ยอย่างรู้ทันเพราะพ่อแม่ของเธอให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมมากไม่อย่างนั้นคงไม่บังคับให้เธอกับพี่ชายอยู่ในกรอบที่พวกท่านต้องการตลอด "แม่เขาบอกว่าหวังดี ก็คือหวังดีแกเป็นลูกก็ควรทำตามไม่ใช่มายอกย้อนแบบนี้" อภิสิทธิ์เอ่ยแทรกขึ้นอย่างไม่ชอบใจที่บุตรสาวแข็งข้อขึ้นมา ส้มกับเบสจึงได้แค่ส่ายหน้าไปมาสุดท้ายทั้งสองก็มิอาจชนะท่านทั้งสองได้เพราะคำว่าพ่อแม่มันค้ำคออยู่ "พรุ่งนี้แม่นัดทานข้าวกับคุณหญิงพิมพรรณช่วงเย็น ๆ ที่ร้านอาหารเดอะลองค์ ลูกต้องมาอย่าทำให้แม่ขายหน้าเด็ดขาด" อัปสรยื่นคำขาด มองหน้าบุตรสาวอย่างกดดันบ่งบอกให้รู้ว่าบุตรสาวจะได้เห็นดีหากไม่มาตามคำสั่ง "มะ.." "อาหารเสร็จแล้วค่ะ คุณท่านกับคุณผู้หญิงจะทานเลยไหมคะ" ส้มทำท่าจะตอบกลับไปแต่เสียงแม่บ้านก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อนเธอจึงจำใจต้องเงียบปากลง "ทานเลยจ้ะ" อัปสรตอบแม่บ้านไปด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ครั้นแม่บ้านหายหลังไปก็หันมาเอ่ยกับบุตรสาวต่อ "ตามนี้นะส้ม อย่าทำให้แม่ผิดหวัง" ว่าจบก็ลุกเดินไปยังห้องอาหารโดยมีประมุขของบ้านลุกเดินตามไปติด ๆ "เฮ้อ.." ส้มได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายจนคนเป็นพี่ชายอย่างเบสต้องยื่นมือไปตบบ่าปลอบประโลม และให้กำลังใจในคราวเดียวกัน "อดทนนะพี่เชื่อว่าสักวันทุกอย่างจะดีขึ้น" "ส้มก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นค่ะ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมาเบาหวิวพร้อมกับลมหายใจหนัก ๆ บอกเลยว่าเธอมีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ว่าจบก็ลุกเดินตามพ่อกับแม่ไปยังห้องอาหาร เบสก็เช่นกัน บนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบบรรยากาศเป็นไปอย่างอึมครึมทั้งที่ความจริงการทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาภายในครอบครัวมันควรมีความสุข และเต็มไปด้วยความอบอุ่น ส้มกับเบสมีความรู้สึกไม่ต่างกันเลยนั่นก็คืออึดอัดจนแทบอยากจะหายไป ทว่าก็ทำไม่ได้ ทั้งสองได้แต่นั่งมองตากัน ก่อนที่ส้มจะต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกเมื่อแม่บ้านนำอาหารมาวางบนโต๊ะ "อึก.." "เป็นอะไรส้ม" อัปสรขมวดคิ้วถามบุตรสาวด้วยความสงสัย คนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน "เหม็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะแม่ มันเหม็นมากเลย" ส้มบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ มือปิดปากกับจมูกไว้แน่นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหม็นอะไร รู้เพียงว่ามันเหม็นมากจนเธออยากจะอาเจียนออกมา "เหม็นอะไรพี่ไม่เห็นว่าจะเหม็นอะไรเลย" เบสทำจมูกฟุดฟิดพยายามสูดดมหากลิ่นตามที่น้องสาวบอก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้กลิ่นอะไรเลยจึงหันมองหน้าน้องสาวด้วยความแปลกใจ "พี่ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย มีแต่หอมกับข้าวที่แม่บ้านยกมา" "มันเหม็นจริง ๆ นะพี่เบส" เธอยังคงยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับคลายมือออกจากปาก และจมูก พยายามสูดดมหาต้นตอของกลิ่นเพื่อยืนยัน ทว่าในวินาทีที่ก้มลงสูดดมหากลิ่นบริเวณถ้วยต้มข่าไก่เธอก็ต้องรีบยกมือขึ้นอุดปากเพราะรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียนออกมา รีบผลุกผลันลุกวิ่งไปยังห้องน้ำสำหรับแขก โก้งคออาเจียนออกมาจนหน้าดำหน้าแดง ทุกคนต่างพากันลุกขึ้นวิ่งตามไปดูด้วยความเป็นห่วง โดยเบสเป็นคนเข้าไปคอยลูบหลังให้น้องสาวพลางถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง "เป็นอะไรส้ม" ส่วนประมุขของบ้านกับอัปสรยืนดูอยู่ที่ประตูห้องน้ำ สายตามองบุตรสาวที่กำลังโก้งคออาเจียนด้วยความเป็นห่วง ทว่าในใจอัปสรนั้นกำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่กับอาการที่บุตรสาวเป็นอยู่ เธอสังเกตเห็นตั้งแต่บนโต๊ะอาหารแล้วว่าบุตรสาวมีอาการแปลก ๆ พอได้กลิ่นอาหารก็รู้สึกเหม็นทั้งที่มันออกจะหอม อาการคล้ายกับเธอตอนแพ้ท้องเมื่อก่อนไม่มีผิด แต่เธอยังไม่อยากคิดเองเออเองคงต้องหาทางพิสูจน์ "ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อยค่ะ" เธอกระซิบกับผู้เป็นสามีพร้อมกับลากแขนให้เดินตามออกมา ขณะที่เบสยังคงคอยยืนลูบหลังให้น้องสาวไม่ห่าง "ไหวไหมส้ม" "อึก.." ส้มส่ายหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายแทนคำตอบว่าไม่ไหว ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงหดหายไปหมดคงเป็นเพราะอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ครั้นอาเจียนเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเย็นเฉียบอย่างอ่อนแรง เหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นตามใบหน้าจนชื่น จากผิวหน้าอมชมพูก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียวไร้สีเลือดทำเอาเบสตกใจไม่น้อย "พี่ว่าส้มขึ้นไปนอนพักที่ห้องดีกว่า จะได้เรียกหมอมาว่าตรวจดูด้วยว่าเป็นอะไร" รีบโน้มไปช้อนตัวน้องสาวขึ้นอุ้มพาเดินออกจากห้องน้ำ ซึ่งเจอกับพ่อแม่ที่เดินมาพอดีจึงรีบบอกกล่าว "ผมว่าน้องเหมือนจะเป็นลมเลยครับ ผมจะพาน้องขึ้นไปพักบนห้องแล้วโทรตามหมอว่าตรวจดู" "โอเค รีบพาน้องขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวแม่โทรตามหมอเอง" อัปสรพยักหน้ารับ แล้วหันมองหน้าสามีเพราะหลังจากได้ปรึกษาถึงอาการที่น่าสงสัยของบุตรสาวแล้วทั้งสองก็คิดว่าจะโทรตามหมอประจำตระกูลให้มาตรวจดูเช่นกันจึงเข้าทางพอดี จะได้รู้ว่าสิ่งที่กำลังสงสัยเป็นจริงไหม หรือเธอกังวลไปเอง"ทำไม ทำไมคนคนนั้นถึงไม่เป็นแบงค์ส้ม ทำไมถึงไม่เป็นแบงค์ ทั้งที่แบงค์ก็รักนับไม่แพ้ติณณภัทรเลย" เสียงตัดพ้อดังเล็ดลอดออกจากปากหมอหนุ่มผู้มีนิสัยเคร่งขรึมอย่างแบงค์เมื่อสติสัมปชัญญะของเขาถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าครอบงำจนสูญเสียความเป็นตัวเองนับดาวเป็นเพื่อนสนิทที่เขาแอบรักมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยกัน จนถึงตอนนี้ที่เข้าสู่วัยทำงานความรู้สึกที่มีต่อเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแต่เพราะคำว่าเพื่อนค้ำคอทำให้เขาไม่กล้าสารภาพกลัวจะเสียเธอไป อีกทั้งเธอยังป่าวประกาศชัดเจนว่าชาตินี้จะขอครองตัวเป็นโสดเพราะขยาดผู้ชายยิ่งทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ใครไหนจะรู้เลยว่าวันหนึ่งเธอกลับแต่งงานมีครอบครัว และกล้าบอกได้เต็มปากเต็มคำว่ารักผู้ชายคนนั้นมันยิ่งทำให้เขาชอกช้ำ ได้แต่ถามตัวเอง และเพื่อนสนิทอีกคนอย่างส้มซ้ำ ๆ ว่าทำไมผู้ชายคนนั้นไม่เป็นเขาวันนี้เป็นวันที่เพื่อนสนิทอย่างนับดาวมีความสุขที่สุด เธอได้ฉลองวันเกิดพร้อมหน้าพร้อมตากับคนที่รัก และได้ให้กำเนิดบุตรสาวแสนน่ารัก ความจริงเขาควรจะยินดี แต่ไม่ใช่เลยมันเป็นวันที่เขาชอกช้ำมากที่สุดต่างหากชอกช้ำจนต้องใช้แอลกอฮอล์ช่วยหวังว่ามันจะบรรเทาความรู้สึก..โดยเขาไม
เช้าวันใหม่ภายในห้องนอนของคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองหลวงเผยให้เห็นร่างของสองหนุ่มสาวที่กำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงสภาพของทั้งสองเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าเพราะเมื่อคืนเพิ่งผ่านศึกเร่าร้อนบนเตียงมาอย่างหนักหน่วงร่างสูงภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อถูกแสงแดดที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างสีขาวเข้ามากระทบเปลือกตา "อ่า.." เขาส่งเสียงครางในลำคอเบา ๆ พลางยกมือขึ้นกุมขมับ พยายามปรือตาที่หนักอึ้งขึ้นมาด้วยอาการมึน ๆ คิ้วเข้มพลันขมวดเป็นปมเมื่อเห็นเพดานที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ดวงตาคมกระพริบปริบ ๆ สองสามครั้งไล่อาการพร่าเบลอออก ก่อนจะเลื่อนหน้ามองบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มขยับขยุกขยิกข้างตัว"ส้ม!" ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจครั้นเห็นใบหน้าของเพื่อนสาวอย่างส้ม ที่สำคัญเธอยังนอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังอึกค่อย ๆ ไล่สายตาลงมองร่างกายตัวเองด้วยหัวใจลุ้นระทึกรูม่านตายิ่งขยายมากกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง ได้แต่สบถในใจซ้ำ ๆ ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นทำไมเขากับเพื่อนสาวถึงได้มาอยู่ในสภาพแบบนี้ ที่แน่ ๆ คือเมื่อคืนเขากับเพื่อนสาวคงไม่ใช่แค่นอนแก้ผ้ากันเฉย
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างส้มกับแบงค์ยังคงเป็นเพื่อนกันดั่งเดิม แม้ช่วงแรกส้มจะทำตัวห่าง ๆ เพื่อนชายไปบ้าง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมยังคงไปมาหาสู่เธอเป็นประจำ บางครั้งก็ซื้ออาหารมาทานที่ห้องเธอบ้างล่ะ วันหยุดก็มาชวนเธอไปเที่ยวบ้าง วนเวียนอยู่แบบนั้นทำเหมือนว่าเรื่องในคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจนสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ให้กับความช่างตื้อของเขา อย่างเช่นตอนนี้ที่เขามานั่งหน้าสล่อนอยู่ห้องเธอพร้อมกับถุงอาหารมากมาย"หอบอะไรมาเยอะแยะแบงค์" เธอหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่งกวาดสายตามองถุงข้าวของที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกระจก ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าถามเพื่อนชาย"ข้าวเที่ยงไง กินคนเดียวมันเหงาเลยพามากินกับเธอ" แบงค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วลุกเดินไปหยิบจานในครัวเพื่อมาใส่อาหารทำเหมือนที่นี่เป็นห้องตัวเองไม่ต้องขออนุญาตเพื่อนสาวสักนิด เขามาบ่อยจนรู้แล้วว่าอะไรวางอยู่ตรงไหนบ้าง"จริง ๆ เลย" ส้มได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับการตีเนียนทำเหมือนเป็นเจ้าของห้องของเพื่อนชาย เลือกจะนั่งเอนหลังพิงโซฟาแล้วหลับตาลง ปล่อยให้อีกคนใช้ห้องได้ตามสบาย ช่วงนี้เธอร