วันเวลาดำเนินมาถึงวันที่ส้มกับแบงค์ต้องแต่งงานกัน ช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทยซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของส้ม ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ทั้งสองจะบาดหมางกันแต่ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีปั้นหน้ายิ้ม และแสดงความรักต่อหน้าแขกเหรื่อได้อย่างแนบเนียน
และช่วงค่ำก็เป็นงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมชื่อดัง งานฉลองของทั้งสองถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมฐานะของสองตระกูล แขกเหรื่อถูกเชิญมาร่วมงานนับพันคน "เฮ้อ.." ส้มมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ชุดเจ้าสาวแสนสวยที่สวมอยู่บนตัวไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขสักนิด ในใจมันเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมอยากจะให้งานแต่งนี้เสร็จสิ้นไว ๆ ด้วยซ้ำไปเพราะเหนื่อยกับการที่ต้องปั้นหน้ายิ้ม และทำตัวเหมือนมีความสุขเต็มทน "วันนี้แกเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเลยรู้ไหมส้ม ทำหน้าให้มันสดชื่นหน่อยสิ" นับดาวที่คอยช่วยเพื่อนสาวแต่งตัวเอ่ยขึ้นครั้นเห็นสีหน้าเศร้าหมองในกระจกของเพื่อนพลางใช้มือตบบ่าเบา ๆ ให้กำลังใจและปลอบประโลมในเวลาเดียวกัน เพื่อนสาวเล่าทุกอย่าที่เกิดขึ้นให้ฟังหมดแล้วเธอจึงเข้าใจความรู้สึกเพื่อนสาวดีเพราะเคยผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว "เจ้าสาวที่สวยที่สุด แต่ไม่มีความสุข" ส้มเลื่อนสายตามองหน้าเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังผ่านกระจกอย่างปลง ๆ จะให้เธอมีความสุขได้ยังไงกันในเมื่องานแต่งครั้งนี้เกิดขึ้นจากการถูกบังคับ เธอได้แต่งงานกับคนที่รักก็จริงแต่เพราะลูก หนำซ้ำเขาก็ไม่ได้รักเธอสักนิด "เอาน่าฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้น" "ฉันก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น" แกร็ก! ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยแม่ของส้มนั่นเอง "ช่วยทำหน้าให้มันดี ๆ สมกับเป็นวันดี ๆ หน่อยได้ไหมยัยส้ม" อัปสรเดินเข้ามาหยุดยืนข้างบุตรสาวแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุรู้สึกไม่ชอบใจกับสีหน้าเศร้าหมองของบุตรสาวทั้งที่วันนี้เป็นวันแต่งงานของตัวเองแท้ ๆ "มันคงเป็นวันดี ๆ ของแม่กับพ่อมากกว่าค่ะ ไม่ใช่วันดีสำหรับส้ม" ส้มตอบกลับผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเอี่ยวมองหน้าท่านด้วยแววตาตัดพ้อ หากท่านฟังและนึกถึงความรู้สึกของเธอสักนิดท่านจะรู้ว่าเธอไม่ได้มีความสุขกับการแต่งงานครั้งนี้เลย ขนาดเธอบอกไปตรง ๆ ก็แล้วว่าไม่อยากแต่งท่านก็ยังจะบังคับ "พูดให้มะ.." "ใจเย็น ๆ นะคะคุณแม่ วันนี้เป็นวันดีอย่าทะเลาะกันเลยค่ะ" นับดาวรีบพูดแทรกขึ้นก่อนที่แม่ของเพื่อนสาวจะได้เอ่ยอะไรออกมาเพราะดูจากสีหน้าของท่านแล้วคงโกรธมากที่เพื่อนสาวตอบไปแบบนั้น เกรงว่าจะทะเลาะกันใหญ่โตพานทำให้เสียบรรยากาศในวันดี ๆ "จ้ะ" อัปสรยอมสงบอารมณ์อย่างว่าง่ายหลับตาพรูลมหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะปรือตาขึ้นเอ่ยกับบุตรสาวอย่างใจเย็นที่สุด "ลงไปที่งานได้แล้ว ถึงเวลาแล้ว" ส้มไม่ได้ตอบอะไรหยัดกายลุกขึ้นยืน ใช้มือรวบกระโปรงชุดแต่งงานที่ยาวพะรุงพะรังยกขึ้น แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้องโดยมีเพื่อนสาวกับผู้เป็นแม่เดินตามหลังไปติด ๆ เท้าเล็กชะงักเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้างานแล้วเห็นเจ้าบ่าวของเธอยืนอยู่ ไล่สายตามองสำรวจร่างสูงในชุดสูทสีเทาตรงอกด้านขวาติดดอกไม้สีขาวเพิ่มความเก๋ ทรงผมถูกปาดขึ้นโชว์หน้าผากให้ลุคคุณชายสุดเนี้ยบดูแปลกตาจากทุกวันนิ่ง ๆ อดชื่นชมไม่ได้วันนี้เขาหล่อ และดูดีกว่าทุกวันจริง ๆ แต่เพียงเสี้ยวนาทีเธอก็รีบสลัดความคิดออกเดินเข้าไปหาเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ขณะที่แบงค์ก็ไล่สายตามองร่างบางในชุดเจ้าสาวปาดไหล่แขนยาวสีขาวปักลวดลาย Art Deco ด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ จากแบรนด์ระดับโอต์ กูตูร์ สวมเครื่องเพชรประจำตระกูลที่แม่ของเขามอบให้ ทรงผมฟุ้ง รวบหลัง เปิดหน้าผากโชว์ปอยขับใบหน้าที่หวานอยู่แล้วหวานฉ่ำด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก ทั้งที่ความจริงคนตรงหน้าสวยมากวินาทีแรกที่เห็นยอมรับว่าตะลึงเล็กน้อบ แต่เสี้ยวนาทีก็สลัดความรู้สึกออกไป "พร้อมแล้วใช่ไหม" เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับอ้าแขนออกเชิงบอกให้เธอควงแขน ส้มพยักหน้ารับพร้อมกับเดินไปยืนเคียงข้างเขาสอดมือเข้าไปควงแขนอย่างรู้งาน จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในงานตามพรมแดงที่ถูกปูไว้ ตลอดทางเดินเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย และมีกลุ่มเพื่อน ๆ คอยโปรยกลีบดอกกุหลาบเพิ่มบรรยากาศโรแมนติก ทั้งสองต้องปั้นหน้ายิ้มทำเหมือนว่ามีความสุขทั้งที่ความจริงต่างทุกข์ระทม ขณะที่กำลังก้าวขึ้นเวทีส้มก็เผลอขยำแขนเสื้อของร่างสูงแน่นเพราะรู้สึกตื่นเต้นเกินไปทำให้อีกคนต้องปรายตามองด้วยความสงสัย กดเสียงถามเบา ๆ "เป็นอะไร" คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธเบา ๆ แทนคำตอบพร้อมกับคลายมือออกจากแขนเสื้อเขาเล็กน้อย ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อพากันเดินไปยังกลางเวทีที่มีพิธีกรรออยู่ พิธีกรหญิงวัยสามสิบต้น ๆ คลี่ยิ้มให้คู่บ่าวสาวด้วยความยินดี ก่อนจะเชิญผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายขึ้นมากล่าวคำอวยพรบนเวที "เจ้าบ่าวเจ้าสาวของเรามาแล้ว ลำดับต่อไปขอเชิญพ่อแม่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวคำอวยพรค่ะ" สิิ้นเสียงประกาศของพิธีกรพ่อแม่ของส้มกับแบงค์ก็พากันเดินขึ้นบนเวที กล่าวความรู้สึกของตัวเอง อวยพรบ่าวสาว และกล่าวขอบคุณแขกในงาน จากนั้นก็เชิญประธานขึ้นเวลาเวทีคล้องพวงมาลัยให้บ่าวสาว และกล่าวคำอวยพร และก็มาถึงช่วงเวลาสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวซึ่งเป็นเวลาที่ส้มรู้สึกกดดันที่สุดกลัวว่าจะถูกถามคำถามแปลก ๆ หัวใจดวงน้อยกระหน่ำเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ มือไม้เย็นเฉียบไปหมด ขณะที่แบงค์มีท่าทีเรียบนิ่งไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด "เจ้าบ่าวเจ้าสาวช่วยเล่าจุดเริ่มต้นของความให้ฟังได้ไหมคะว่าจากเพื่อนสนิททำไมถึงกลายมาเป็นคู่รักกันได้" แค่คำถามแรกจากพิธีกรส้มก็ถึงกับสะอึกเผลอจิกเล็บลงบนอุ่งมือแน่น ก่อนหันไปมองร่างสูงข้าง ๆ เชิงขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจ สุดท้ายเธอก็ต้องคิดหาคำพูดเอาเอง พยายามบังคับมืออันสั่นเทายกไมค์ขึ้นพูด "พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าความรู้สึกนี้มันก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไร มารู้ตัวอีกทีต่างคนก็ต่างมีใจให้กันค่ะ" ขณะพูดเธอก็มองใบหน้าหล่อเหลาไปด้วยพร้อมกับระบายยิ้มหวานออกมาทำเหมือนว่ากำลังรู้สึกมีความสุขมากที่ได้เขามาเป็นคู่ชีวิต แต่ใครจะรู้เลยว่าในใจขืนขมแค่ไหน แบงค์เค้นหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยันกับคำตอบโกหกของหญิงสาว ค่อย ๆ โน้มริมฝีปากไปกระซิบชิดกกหูเล็กด้วยน้ำเสียงหยัน "เธอนี่แต่งเรื่องเก่งจริง ๆ นะ" คำพูดราบเรียบที่ดังข้างกกหูเหมือนคมมีดกรีดลึกลงกลางใจคนฟัง ตาคู่สวยไหวระริกด้วยความเสียใจ แค่เขาไม่ช่วยพูดว่าแย่แล้ว ยังจะมาพูดจาทำลายความรู้สึกกันอีกทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้กัน มือเรียวที่ขนาบอยู่ข้างตัวกำแน่นพยายามข่มก้อนสะอื้นที่กำลังจะตีขึ้นมา เอียงคอออกห่างใบหน้าหล่อเหลาเล็กน้อย แล้วเอี่ยวมองสบสายตาของเขาพร้อมกับระบายยิ้มออกมาราวกับว่าตอนนี้เธอกับเขากำลังหยอกล้อกันให้ทุกคนเข้าใจแบบนั้น "หื้ม..เจ้าบ่าวเจ้าสาวสวีทหวานไม่เกรงใจกันเลยนะคะ พิธีกรตาร้อนไปหมดแล้ว" พิธีกรสาวเอ่ยแซวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทำให้ทั้งสองละสายตาออกจากกันให้ความสนใจแขกเหรื่อเหมือนเดิม ก่อนพิธีกรจะถามคำถามต่อไป "แล้วอะไรที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวประทับใจในตัวกันและกันคะ" "สิ่งที่ผมประทับใจในตัวเจ้าสาวของผมที่สุดคือนิสัยครับ เธอเป็นคนที่รักครอบครัวมาก จิตใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น แม้กระทั่งหมาแมวเธอก็ยังช่วยเหลือครับ ที่สำคัญคือเธอคอยอยู่เคียงข้าง และคอยให้กำลังกำลังใจผมเสมอในยามที่ผมพบเจอปัญหา หรือมีเรื่องไม่สบายใจ" ครั้งนี้เป็นแบงค์ที่ตอบก่อน ทุกอย่างที่เขาเอ่ยออกไปล้วนมาจากความรู้สึกข้างในหญิงสาวเป็นแบบนั้นจริง ๆ ทว่าตอนนี้มันกลับไม่ใช่อีกแล้วเพื่อนสาวคนที่แสนดีคนนั้นได้จากเขาไปแล้ว ส้มมองหน้าเพื่อนชายอย่างอึ้ง ๆ ไม่คิดว่าเขาจะพูดแบบนี้ตอนแรกที่ได้ยินคำถามก็แอบกังวลกลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดออกไป เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความโล่งอก ก่อนยกไมค์ขึ้นตอบต่อ สายตายังคงจับจ้องบนใบหน้าหล่อเหลาส่งผ่านความรู้สึก "ส่วนดิฉันสิ่งที่ประทับใจและรักในตัวผู้ชายคนนี้ที่สุดคือนิสัยเช่นกันค่ะ ฉันรู้สึกโชคดีมากที่มีเขาอยู่เคียงข้าง เขาเป็นเหมือนป้อมปราการที่คอยปกป้องฉันจากอันตรายต่าง ๆ เขาเป็นทั้งเพื่อนและคนรักที่ดีมากค่ะ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาตั้งแต่ในสถานะเพื่อนจนเลือกขั้นเป็นคนรักเขาดูแลเอาใจใส่ฉันเป็นอย่างดี ทำให้ฉันมีแต่ความสุขและเสียงหัวเราะ" ขณะเอ่ยไปน้ำสีใสก็ค่อย ๆ รินไหลออกจากแววตาไหวระริกอย่างสุดจะกลั้น ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายบีบรัดด้วยความเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนนั้นที่เธอพูดถึงมันไม่มีอีกแล้ว เพื่อนชายที่แสนดีของเธอคนนั้นไม่มีอีกแล้วคนตรงหน้าเธอในตอนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ที่ใจร้ายกับเธอมาก ๆ หากสามารถขอพรได้สักข้อเธอก็ขอให้เพื่อนชายคนเดิมของเธอกลับมา และขอให้เขารักเธอตอบบ้าง.. สำหรับทุกคนในงานคงคิดว่าที่เธอร้องไห้เพราะรู้สึกดีใจ และตื้นตันที่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี และรักเธอมากทั้งที่ความจริงไม่ใช่สักนิด แน่นอนว่าแบงค์ต้องแสดงเป็นเจ้าบ่าวที่รักเจ้าสาวมากยกมือขึ้นข้างที่ถือไมค์โอบไหล่มนเอาไว้ แล้วใช้อีกข้างซับน้ำตาบนพวงแก้มนวลอย่างอ่อนโยน ส่วนทางกับคำพูดที่เอ่ยออกมา "เธออย่าอินไปหน่อยเลยมันก็แค่การแต่งงานจอมปลอม" ส้มได้แต่กำหมัดแน่นกับคำพูดจิกกัดแสนร้ายกาจของเพื่อนชาย พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วเค้นเสียงตอกกลับอย่างเหลืออด "ที่ส้มร้องไห้ไม่ใช่เพราะอิน แต่เสียใจต่างหากที่เพื่อนชายแสนดีคนนั้นหายไป เหลือแต่ผู้ชายใจร้ายที่ยืนว่าส้มอยู่ตอนนี้" "หากจะโทษต้องโทษเธอที่ทำให้เพื่อนชายผู้แสนดีคนนั้นหายไป" "แบงค์ไม่เคยคิดจะโทษตัวเองบ้างเลยใช่ไหม" "ช่างเป็นคู่ที่เกื้อกูลกันจริง ๆ เลยใช่ไหมคะทุกคน สุดท้ายนี้เชิญเจ้าบ่าวขอบคุณแขกในงานหน่อยค่ะ" ระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันเสียงของพิธีกรสาวก็ตังแทรกขึ้นทำให้ทั้งสองต้องสงบศึกปั้นหน้ายิ้มต่อ โดยแบงค์ก็ทำหน้าที่กล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน จากนั้นก็เดินควงแขนกันไปทำการจุดเทียนที่ซุ่ม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ของบ่าวสาว เพื่อเป็นการอวยพรให้ชีวิตรักเป็นไปอย่างราบรื่น และทำการจดทะเบียนสมรสต่อทั้งสองมองใบทะเบียนสมรสที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าด้วยความลำบากใจต่างคนต่างไม่อยากจด แต่ก็ต้องฝืนใจจรดปลายปากกาลงเซ็นเพราะมีสายตานับพันคู่จับจ้องอยู่ เมื่อการจดทะเบียนสมรสเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาตัดเค้ก ทั้งสองร่วมกันตัดเค้กระหว่างนั้นก็มีดนตรีเปิดคลอไปด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศ ทว่ากลับไม่ได้ช่วยให้คนทั้งสองอารมณ์ดีขึ้นมาสักนิดต่างอยากให้งานในค่ำคืนนี้จบลงสักที ครั้นทำการตัดเค้กเสร็จก็นำไปมอบให้กับประธานพิธี พ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ จากนั้นก็เดินกลับไปยังเวทีอีกครั้งเพื่อทำการโยนช่อดอกไม้ที่เตรียมเอาไว้ และงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้ก็เป็นอันจบลง แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกันกลับเพราะส้มไม่ได้จัดอาฟเตอร์ปาร์ตี้เหมือนหลาย ๆ งานที่เขาชอบจัดกัน การแต่งงานครั้งนี้เป็นแค่การแต่งงานจอมปลอมเหมือนที่เพื่อนชายว่าไว้ ไม่จำเป็นต้องอะไรมากมาย อีกอย่างเธอทุกข์ระทมเกินกว่าจะมีอารมณ์สนุกได้"หึ" ส้มมองห้องที่ถูกจัดเป็นห้องหอ บนเตียงโรยด้วยกลีบกุหลาบเป็นรูปหัวใจอย่างสวยงามด้วยแววตาว่างเปล่าพร้อมกับเค้นหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน เธอช่างเป็นเจ้าสาวที่น่าสมเพชสิ้นดีนอกจากจะโดนเจ้าบ่าวพูดจาจิกกัดตลอดงานแล้ว ในคืนเข้าหอเจ้าบ่าวก็หายตัวไปอีก หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันกลับไปหมดเจ้าบ่าวของเธอก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาหายไปตั้งแต่ตอนไหน ยอมรับว่าเสียใจไม่น้อยต่อให้นี่จะเป็นการแต่งงานปลอม ๆ เขาก็ควรให้เกียรติเธอกับครอบครัวหน่อย หากคนอื่นรู้คงเอาไปนินทากันสนุกปากเธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนทำการปัดกลีบกุหลาบบนที่นอนออกจนเกลี้ยง จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังสวมชุดแต่งงานอยู่เพราะรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ๆ เปลือกตาก็แทบปิดอยู่รอมร่อ ทันทีที่หัวถึงหมอนนุ่ม ๆ เพียงไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปติ้ง~ ติ้ง~ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอหลับไปกระทั่งเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา ยกมือขึ้นขยี้ตาไล่อาการงัวเงียเบา ๆ ก่อนจะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้าโต๊ะกระจกมาดู คิ้วสวยขมวดชนกันเป็นปมด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าข้อความที่ถูกส่งมาจากไลน์แปลก ๆ โปรไฟล์เป็นรูปตั
"อ๊ะ!"หัวใจดวงน้อย ๆ ของส้มหล่นวูบลงสู่ตาตุ่มเมื่อถูกเพื่อนชายทุ่มลงบนเตียงนุ่ม ๆ สีหน้าแสดงความตื่นตระหนกให้เห็นอย่างชัดเจน "แบงค์จะทำอะไร""ลองมีอะไรกับคนความคิดสกปรก และร่างกายสกปรกแบบฉันหน่อยเป็นไร ไหน ๆ เธอก็ยอมลงทุนตลบหลังฉันบากหน้าไปบอกเรื่องท้องกับพ่อแม่ฉันจนได้ตำแหน่งเมียไปครอง" ไม่ว่าเปล่าแบงค์ตามลงไปคร่อมร่างบางที่กำลังจะขยับหนีทันที รวบมือเรียวทั้งสองกดตรึงไว้ข้างศีรษะ จับจ้องดวงหน้าเรียวที่ฉายไปด้วยความตื่นตระหนกนิ่ง ๆความจริงเขาไม่ได้อยากทำเกินเลยกับหญิงสาวเป็นครั้งที่สอง แต่คำพูดของเธอทำให้เขาเปลี่ยนความคิด"อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะแบงค์ส้มท้องอยู่ เราตกลงกันแล้วไงว่าจะอยู่ด้วยกันในฐานะพ่อแม่ของลูกเฉย ๆ จะไม่มีเรื่องแบบนี้" ส้มทักท้วงข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกันก่อนแต่งงานหวังว่าจะช่วยเตือนสติเพื่อนชายได้บ้าง พร้อมกับพยายามขืนมือออกจากการกดตรึง เธอไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเขาถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ พอเวลาต้องเลิกกันมันคงเจ็บปวดมาก บางทีอาจจะมองหน้าไม่ติดกันด้วยซ้ำไป และที่สำคัญเธอไม่อยากซ้ำรอยใครเธอรับไม่ได้จริง ๆ"ฉันเป็นหมอฉันรู้ว่าทำได้ หรือไม่ได้ เธอแค่นอนอ้าขาให้ฉั
หลังจากแบงค์เสร็จสมตามที่ตัวเองต้องการเขาก็ทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้หญิงสาวอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นไม่กี่นาทีก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวาน ขณะที่ส้มได้แต่กลำกลืนความขืนขมไว้ในอกกับท่าทางของเพื่อนชายที่ทำเหมือนเธอเป็นกระโถนรองรับอารมณ์พอได้ดั่งใจก็ทิ้งขว้างไม่เหลียวแลจ้องมองแผ่นหลังกว้างด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะละสายตาออก หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบอกแล้วพาตัวลงจากเตียงเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายที่เคลือบไปด้วยเหงื่อ และน้ำกามตามหว่างขาออกจากนั้นออกมาแต่งตัวโดยที่อีกคนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง และเธอไม่คิดจะปลุกเขา ครั้นแต่งตัวเสร็จก็เดินลงไปยังชั้นล่างของบ้านวิสุทธิ์ภักดี"อ้าว! หนูส้มทำไมรีบลงมา ไม่พักผ่อนอีกหน่อยล่ะจ๊ะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่ เมื่อวานก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" ผกาที่นั่งคุยกับสามีในห้องโถงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมกับระบายยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นลูกสะใภ้คนโปรดเดินลงมาจากบันใด"หนูชินกับการตื่นเช้าแล้วค่ะคุณป้า" ส้มระบายยิ้มตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาอีกตัว "ยังเรียกป้าอยู่อีก หนูแต่งงานเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่เพื่อนตาแบงค์แล้ว เรียก
หลังจากหาหมอเสร็จส้มก็โทรเรียกแกร็บคาร์ แล้วออกไปยืนรอด้านหน้าอาคารของโรงพยาบาล ยืนรอไม่ถึงห้าสิบนาทีรถก็มาถึง เธอลอบถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากก้าวขึ้นมานั่งบนรถแล้วเพราะอากาศข้างนอกทั้งร้อนทั้งอบอ้าว พอได้รับแอร์เย็นฉ่ำทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย มือเรียววางลงบนหน้าท้องที่มีอีกหนึ่งหัวใจอาศัยอยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้ห้าสัปดาห์แล้ว ถึงแม้เขาจะเกิดมาจากความผิดพลาดแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ และมันยังมาจากผู้ชายที่เธอแอบรักหมดหัวใจถือเสียว่าเป็นตัวแทนความรักของเธอที่มีต่อเขาก็แล้วกัน ต่อให้พ่อของเขาจะไม่ต้องการแต่เธอจะดูแลหัวใจดวงนี้ให้ดีที่สุด แววตาเศร้าหมองทอดมองวิวริมทางขณะที่รถกำลังแล่นไปตามถนน มือยังคงวางบนหน้าท้องแบนราบในสมองครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เธอไม่รู้เลยว่าวันข้างต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง และไม่รู้ว่าจะสามารถทนต่อความร้ายกาจของเพื่อนชายได้ตลอดรอดฝั่งไหม แต่ไม่ว่ายังไงเธอจะอดทนให้ถึงที่สุดหากไม่ไหวจริง ๆ ค่อยว่ากันอีกทีเธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ ครั้นแกร็บคาร์เคลื่อนตัวมาจอดลงหน้ารั้วบ้านวิสุทธิ์ภักดี เลือกให้รถจอดหน้าร
อื้อ.." ส้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่สดชื่นเลยสักนิด หนำซ้ำยังปวดเมื่อยตามร่างกายไปหมดเพราะนอนบนพื้นตลอดคืน ใช่ฟังไม่ผิดเมื่อคืนเธอหลับไม่ลงจริง ๆ เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์บวกกลิ่นบุหรี่จากคนข้าง ๆ ลอยเข้าจมูกแม้ใช้ผ้าห่มปิดจมูกแล้วก็ตาม จนเธอทนไม่ไหวสุดท้ายต้องเอาผ้าห่มมารองนอนที่พื้นแข็ง ๆ และเย็นเฉียบบริเวณหน้าตู้เสื้อผ้า ขณะที่อีกคนนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเธอประสานมือเหนือศีรษะแล้วบิดตัวไปมาเพื่อไล่อาการปวดเมื่อยออก จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นยืนพับผ้าห่มไปวางบนที่นอน ซึ่งยังมีคนเห็นแก่ตัวนอนอยู่ ยืนจ้องใบหน้าหล่อเหลาด้วยความรู้สึกตัดพ้อขนาดเธอท้องอยู่เขาก็ยังไม่คิดเห็นใจ หรือไม่อย่างน้อยเขาควรนึกถึงลูกในท้องเธอบ้างเพราะเป็นลูกเขาเช่นกันไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอยืนมองใบหน้าหล่อเหลาอยู่แบบนั้น กระทั่งร่างสูงเริ่มขยับเขยื้อนเธอจึงละสายตาออก แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาอาบน้ำยี่สิบนาทีก็เสร็จครั้นเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าเพื่อนชายนั่งพิงหัวเตียงอยู่ด้วยท่าทางงัวเงียคงเพิ่งตื่น เธอปรายตามองแวบหนึ่งแล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจ รีบหยิบเสื้อผ้าพาเข้าไป
จากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาห้าเดือนเดือนเต็ม ๆ ที่ส้มเข้ามาอยู่ในบ้านวิสุทธิ์ภักดี ทุกอย่างยังคงวนลูปเหมือนเดิมแม้เธอจะอยู่อย่างสะดวกสบายในบ้านหลังนี้ แต่ใจของเธอมีแต่ความทุกข์ระทมไม่เคยได้สัมผัสคำว่าความสุขเลยเพราะถูกเพื่อนชายรังแกทั้งทางร่างกาย วาจา และจิตใจ เรื่องลูกเขาก็ไม่เคยสนใจตั้งแต่เธอท้องเดือนแรกกระทั่งเข้าเดือนที่หกแล้วเขาไม่แม้แต่จะถามถึงสักครั้ง เวลาไปหาหมอก็แค่พาไปตามหน้าที่ ไปส่งเธอแล้วทิ้งให้กลับเองทุกครั้ง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขามาส่งเธอแล้วกลับไป ครั้นหาหมอเสร็จเธอก็ต้องโทรเรียกแกร็บคาร์ให้ไปส่งที่บ้านเหมือนเช่นเคย ชีวิตของการมีสามีมันเหมือนจะเหนื่อย และทุกข์ใจกว่าตอนอยู่ตัวคนเดียวด้วยซ้ำเมื่อกลับมาถึงบ้านเธอก็ตรงขึ้นห้องนอนทันทีเพราะวันนี้ผกาไม่อยู่บ้านเลยไม่ต้องแวะพูดคุยกับท่าน ส่วนอีกคนคงจะกลับมาดึก ๆ หรือไม่ก็ไปนอนกกกับผู้หญิงกลับมาอีกทีก็เช้ามืดเหมือนที่ผ่านมา เพื่อนชายเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเมื่อก่อนเขาไม่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน และมัวผู้หญิงแบบนี้ แต่พอแต่งงานกับเธอก็เป็นอย่างที่เห็นเธอเจอเรื่องแบบนี้เกือบตลอดห้าเดือนที่ผ่านมาจนหัวใจมันเริ่มชิ
วันต่อมา"อ้วก..แหวะ!"เสียงอาเจียนโฮกฮากดังเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำทำให้ร่างสูงที่นอนหลับอยู่บนเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา"เฮ้อ.." เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางยกมือขึ้นนี้ผมอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าเอง แต่เขาต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอาเจียนจะนอนต่อก็นอนไม่หลับแล้ว ซึ่งมันเป็นแบบนี้เกือบทุกเช้าลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นจากจมูกโด่งอีกครั้งระคนหงุดหงิด ก่อนเขาจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งใช้มือลูบหน้าไล่อาการงัวเงียออก แล้วขยับไปนั่งห้อยขาริมเตียงมองไปยังประตูห้องน้ำด้วยความไม่พอใจส้มที่เดินออกมาจากห้องน้ำถึงกับชะงักเล็กน้อยในตอนที่ก้าวเท้าพ้นประตูห้องน้ำแล้วเจอกับแววตาดุดันที่มองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคงไม่พอใจที่เธออาเจียนจนทำให้เขาตื่นเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีไม่พอใจแบบนี้ หากเป็นไปได้อยากจะให้เขาลองมาอุ้มท้องเองจริง ๆ จะได้รู้สึกว่ามันเป็นยังไงเธอเลือกจะทำเป็นไม่สนใจเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่ แล้วไปนั่งทาครีมที่โต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อเสร็จก็ลุกเดินไปยังชั้นล่างทำเหมือนอีกคนเป็นธาตุอากาศ คิ้วสวยพลันขมวดชนกันด้วยความแปลกใจครั้นเดินลงมาถึงชั้นล่างแล้วเห็นกระเป๋าเดินทางใบโต ๆ
น้ำสีใสที่คลั่งอยู่ในหน่วยตาของส้มค่อย ๆ ร่วงหล่นลงแก้มทันทีที่แบงค์เดินโอบไหล่หญิงสาวข้างกายผ่านเธอเข้าไปในบ้าน เสียงของเขาที่ถามไถ่ผู้หญิงคนนั้นว่าวันนี้ทำงานเหนื่อยไหม หิวข้าวหรือยัง พูดคุยกันอย่างกระหนุงกระหนิงลอยมาเข้าหูยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บ มันเป็นคำถามที่เธอไม่เคยได้รับสักครั้ง เขาไม่เคยแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเธอกับลูกในท้องเหมือนที่แสดงกับผู้หญิงคนนั้นเลย แล้วเธอกับลูกผิดอะไรนักหนาทำไมเขาถึงใจร้ายได้ขนาดนี้"คุณส้มคะคุณแบงค์ให้มาตามไปทานข้าวค่ะ" ไม่รู้ว่าแค่ไหนที่เธอยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาระบายความเจ็บปวดในใจกระทั่งเสียงแม่บ้านดังขึ้นจึงรีบใช้มือเช็ดน้ำตาออก หลับตาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วหันไปพยักหน้ารับ "ค่ะ"มือทั้งสองกำหมัดแน่นพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นอยู่ในอก เธอรู้ว่าที่เพื่อนชายให้แม่บ้านมาตามไปทานข้าวทั้งที่ปกติไม่เคยคิดจะชวนเลยสักครั้งคงอยากให้เธอไปเห็นภาพสวีทของเขากับเมียน้อย รู้อยู่เต็มอกว่าต้องเป็นแบบนั้นแต่เธอก็เลือกจะเดินเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารที่มีผู้ชายเลวกับหญิงแพศยานั่งอยู่เพราะหากเธอไม่มาทั้งสองคงหัวเราะเยาะ และยิ่งได้ใจเธอมองสามีของตัวเ
หลายวันต่อมาหลังจากวันที่ได้เจอเพื่อนสาวนี่ก็ผ่านไปสี่วันเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์เฝ้าตามหาเธอหนักกว่าเดิมเพราะค่อนข้างมั่นใจมากว่าเป็นเพื่อนสาว อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเธออยู่นิวยอร์กจริง ๆ ทว่าเขาออกตามหาทุกซอกทุกมุมของนิวยอร์กก็ไร้วี่แวว จากวันที่ได้เจอเธอเขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับสมองเอาแต่นึกถึงภาพเพื่อนสาวจนร่างกายซูบผอมลงเล็กน้อยนึกโทษตัวเองตลอดเวลาว่าหากวันนั้นเขาไม่ก้มลงช่วยเด็กคงไม่คาดกับเพื่อนสาว เขาคิดถึงเธอมากอยากจะรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า แล้วลูกของเขาเป็นยังไงบ้าง มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากเหลือเกินอยากจะรู้ถึงเรื่องราวชีวิตของเพื่อนสาวกับลูก แต่ก็ไม่สามารถทำได้ หากหาเพื่อนสาวไม่เจอไม่ได้เอ่ยคำขอโทษออกไปเขาคงต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด และความทุกข์ระทมตลอดชีวิต วันนี้ผลจากการกระทำเลว ๆ ได้ย้อนกลับมาคืนสนองเขาแล้วทางด้านส้มเธอก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวในตอนเที่ยงของเมื่อวานโดยวิธีผ่าคลอด และนับว่าเป็นโชคดีของเธอที่บุตรสาวเกิดมาสมบรูณ์ดีทุกอย่างแม้ว่าตอนอุ้มท้องเธอจะเครียด เศร้า และร้องไห้อยู่บ่อย ๆเธอนอนมองลูกน้อยที่หลับในอ้อมกอดด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำในอกเพราะบุตรสาวหน้
วันรุ่งขึ้นแบงค์ก็เดินทางไปยังประเทศอเมริกาทันทีจุดมุ่งหมายคือนครนิวยอร์กตามที่คิดไว้ว่าเพื่อนสาวน่าจะอยู่ที่นั่น ครั้นเดินทางมาถึงเขาก็เข้าพักผ่อนที่โรงแรมชื่อดังย่านใจกลางเมือง นอนพักผ่อนเอาแรงวันพรุ่งนี้จะได้เริ่มออกตามหาเพื่อนสาวพอรุ่งเช้าแบงค์ก็เริ่มออกตามหาเพื่อนสาวทันทีโดยเริ่มจากบริเวณโรงแรมที่พักอยู่ใช้รูปถามไถ่ผู้คนไปเรื่อย ๆ และยังจ้างนักสืบของที่นี่ช่วยตามหาอีกแรง ทว่าผลการตามหาในวันแรกกลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเธอเลย ทุกคนที่เขาไปถามไถ่ต่างบอกว่าไม่เคยเจอแต่ไม่ว่ายังไงเขาจะไม่มีวันถอดใจ นิวยอร์กพื้นที่ออกกว้างขว้างต้องมีสักที่แหละที่เขาจะเจอเพื่อนสาวแม้จะต้องใช้เวลาพอสมควรก็ตาม"เธอกับลูกอยู่ที่ไหนนะส้ม" เขาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเปิดดูรูปของเพื่อนสาวที่ถ่ายคู่กับเขา นิ้วเรียวลูบไล้ใบหน้าที่เคลือบด้วยรอยยิ้มของเพื่อนสาวบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกผิดรอยยิ้มที่เขาคงไม่มีวันได้เห็นมันอีกเพราะเขาได้ทำลายมันเองกับมือไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขานั่งมองรูปเพื่อนสาวอยู่อย่างนั้น ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงจัดก
ภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบนานหลายนาที ก่อนแบงค์จะยกมือขึ้นไหว้ขอโทษพ่อแม่ของเพื่อนสาวด้วยความรู้สึกผิด "ผมขอโทษคุณลุง คุณป้าอีกครั้งนะครับที่เป็นต้นเหตุทำให้ส้มหายไป""ขอโทษให้ได้อะไรขึ้นมา ขอโทษไปก็ไม่ได้ทำให้ลูกสาวลุงกลับมา ถ้าอยากให้ลุงยกโทษให้ก็ตามลูกสาวลุงกลับมาให้ได้สิ" อภิสิทธิ์เป็นคนตอบ สายตาจ้องมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความโกรธ "หากแบงค์ไม่พาเมียน้อยมาหยามหน้าลูกสาวลุงถึงในบ้าน แถมยังมีลูกด้วยกันอีกลูกสาวลุงคงไม่หนีเตลิดไปแบบนี้แบงค์ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นไม่คิดแก้ตัวแม้ทุกอย่างที่ท่านพูดไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นสักนิด ความจริงคือผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เมียน้อย หรือเด็กของเขา และเธอก็ไม่ได้ท้องด้วยทุกอย่างล้วนเป็นการแสดงเขาจ้างผู้หญิงคนนั้นให้ช่วยแสดงละครเป็นผู้หญิงของเขาเพื่อทำให้เพื่อนสาวรู้ซึ้งถึงการถูกหักหลัง เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอสักครั้ง และเขาก็ไม่ใช่คนมักมากที่มีอะไรกับใครไปทั่วอย่างที่เพื่อนสาวคิด ทุกอย่างที่เห็นล้วนเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้น เขาไม่ได้ออกไปเที่ยวกลางคืนเหมือนที่เพื่อนสาวเข้าใจ แต่ทำเหมือนว่าไปเที่ยวจริง ๆ ด้วยการซื้อเหล้าไปนั่งดื่มที่คอนโด ซื้
จากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาสามเดือนเต็ม ๆ แล้วที่ส้มหนีมาอยู่อเมริกา เดือนแรกที่มาอยู่มันยากเย็นมากสำหรับเธอ รู้สึกโดดเดี่ยวเคว้งคว้างหัวใจสุด ๆ กลางคืนนอนกอดตัวเองร้องไห้จนหลับไปทุกคืนเพราะคิดถึงคนใจร้าย แต่พอเข้าเดือนที่สองก็เริ่มเคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียว กระทั่งมาถึงวันนี้หัวใจที่บอบช้ำของเธอค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีคิดถึงเขาบ้างแต่ก็ไม่ได้มีน้ำตา หรือเจ็บปวดเหมือนช่วงแรก เวลาค่อย ๆ เยียวยาหัวใจที่แตกสลายของเธอ และเชื่อว่าในสักวันเธอจะนึกถึงเขาได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย..เธอนั่งมองรูปที่เคยถ่ายกับเพื่อนชายในโทรศัพท์ด้วยแววตาเรียบนิ่ง วันนี้เธอสามารถมองรูปของเขาได้โดยไม่มีน้ำตาแล้ว มือเรียวเลื่อนดูรูปในโทรศัพท์ที่เป็นโมเม้นต์ต่าง ๆ ของเธอกับเขาที่มีมากกว่าสองร้อยรูปไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงรูปสุดท้ายจึงกดไปที่ลบอัลบั้มวันนี้เธอตัดสินใจจะลบออกจากโทรศัพท์แม้จะรู้สึกเสียดายก็ตาม แต่ในเมื่อมันเป็นแค่อดีตไปแล้วก็ไม่รู้จะเก็บไว้อีกทำไม เธอหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พร้อมกับจิ้มนิ้วลงบนคำว่ายืนยันลบรูป แค่เสี้ยวนาทีรูปนับสองร้อยก็หายไปในพริบตา นับจากนี้ไปจะไม่มีคนชื่อแบงค์อยู่ในชีวิต
"น้องส้มอยากทานอะไรครับ บอกมาได้เลยเดี๋ยวพี่พาไป" เจ้านายถามไถ่ขณะขับรถไปตามถนนทำให้ส้มที่ทอดสายตามองวิวริมทางอย่างเหม่อลอยได้สติ หันหน้ากลับมาตอบอย่างเกรงใจ "ส้มทานอะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่นายเลย""งั้นอาหารไทยไหมครับ มีร้านอาหารไทยร้านหนึ่งพี่ไปทานเป็นประจำเลย" เจ้านายเสนอ ซึ่งส้มก็พยักหน้ารับ "ค่ะ""น้องส้มท้องได้กี่เดือนแล้วครับ" เจ้านายชวนคุยไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างความสนืทสนมกับหญิงสาว"ห้าเดือนใกล้หกเดือนแล้วค่ะ" "แล้วรู้รึยังครับเพศหญิง หรือเพศชาย""หญิงค่ะ" ส้มยิ้มตอบ ทว่าในใจกลับย้อนนึกถึงอีกคนที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ แต่ไม่เคยถามไถ่อะไรเกี่ยวกับลูกเลย พอคิดแล้วความรู้สึกก็เริ่มดำดิ่งอีกครั้ง ใบหน้าเรียวหม่นหมองลงฉับพลันจนเจ้านายที่ปรายตามองเธอเป็นครั้งคราวสัมผัสได้จึงชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เธอเศร้า"อาหารไทยน้องส้มชอบทานอะไรมากที่สุดครับ""ส้มตำค่ะ แซ่บสุดอร่อยสุดแล้ว" คำถามจากชายหนุ่มทำให้ส้มต้องปรับอารมณ์ฝืนระบายยิ้มออกมาบาง ๆ "เหมือนพี่เลยครับชอบทานส้มตำ อีกอย่างก็คือต้มยำทะเล" "ค่ะ แล้วพี่เจ้านายอยู่อเมริกานานแล้วเหรอคะ" ส้มเป็นฝ่ายชวนคุยบ้างเพราะหากปล่อยให้ชายหนุ่มชวนคุยอย
หลังจากกลับมาจากบ้านเอกวิโรจน์แบงค์ก็เดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงในห้องนอนด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในสมอง คำถามผุดขึ้นในสมองตลอดเวลาว่าหญิงสาวหายไปไหน จะว่าไปอยู่บ้านเพื่อนคนไหนก็คงไม่ใช่เพราะเธอมีแค่นับดาวกับเขาที่เป็นเพื่อนกันเท่านั้น ลองติดต่อไปที่คนรู้จักของเธอ ทุกคนต่างก็บอกว่าไม่รู้ลำพังเขาไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเท่าไรหรอกกับการหายไปของเธอแม้จะรู้สึกวูบโหวงในใจอยู่บ้างคิดว่าอีกสักพักคงหายไปเอง แต่พ่อแม่ของเขากับพ่อแม่ของเธอพากันโทษว่าเป็นความผิดของเขา และบังคับให้เขาตามหาหญิงสาวให้เจอ โดยเฉพาะแม่ของเขาที่ยื่นคำขาดว่าหากหาเธอไม่เจอจะตัดเขาออกจากกองมรดกแต่ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าจะเริ่มตามหาหญิงสาวจากตรงไหนดีเพราะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยสักนิด หนำซ้ำก่อนหน้านี้เธอไม่มีท่าทีว่าจะจากไปเลย หากหาก็เหมือนงมเข้มในมหาสมุทร เธอยังอยู่ในกรุงเทพหรือไปอยู่จังหวัดไหนก็มิอาจรู้ได้"เฮ้อ.." ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกจากจมูกโด่งด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนเขาจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลา ยกมือขึ้นกายหน้าผาก สายตาจ้องมองเพดานสีขาวอย่างครุ่นคิด ผ่านไปเนินนานหลายนาทีจึงดีดตัวลุกขึ้นนั่งครั้นคิดอะไรออก ล้วงไปหยิบโทร
@บ้านเอกวิโรจน์รถโตโยต้า อัลฟาร์ดที่มีผกากับแบงค์นั่งอยู่ด้านในเคลื่อนตัวมาจอดลงยังบ้านเอกวิโรจน์ ก่อนทั้งสองจะพากันลงจากรถเดินเข้าไปในบ้าน"เอ้า! คุณพี่ผกาสวัสดีค่ะ" อัปสรที่นั่งอยู่ในห้องโถงรีบลุกขึ้นทักทายเมื่อเหลือบเห็นผกากับบุตรชายเดินเข้ามา อดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ ๆ ทั้งสองก็มาปรากฏตัวที่บ้าน "มาได้ยังไงกันคะเนี่ย"ผกาพยักหน้ารับไหว้ ขณะที่แบงค์นั้นยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม "สวัสดีครับคุณป้า"อัปสรยิ้มรับ ก่อนทั้งสามจะพากันนั่งลงที่โซฟา"ฉันกับตาแบงค์มาหาหนูส้มน่ะ" ผกาเปิดประเด็นคุยทันที ขณะที่สายตามองสำรวจไปรอบบ้านเพื่อหาลูกสะใภ้เช่นเดียวกับแบงค์ที่กวาดสายตามองหา แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า"มาหาส้ม ไม่ใช่ว่าส้มอยู่ที่บ้านคุณพี่เหรอคะ" อัปสรถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความงุนงง จู่ ๆ ผกาก็มาถามหาบุตรสาวที่นี่ ซึ่งเธอคิดว่าบุตรสาวอยู่บ้านวิสุทธิ์ภักดีมาตลอด แล้วตกลงมันยังไงกันแน่ มองหน้าถามทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความสงสัย "มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ น้องงงไปหมดแล้ว""บอกไปสิตาแบงค์ว่ามันเกิดอะไรขึ้น" ผกาหันมองหน้าบุตรชายด้วยแววตาดุ แบงค์อำอึ้งอยู่สักพักใหญ่ก่อนบอกกล่าวไปอย่างไม่เต็มเสียงมากน
หัวใจของแบงค์วูบโหวงโดยไม่ทราบสาเหตุวินาทีที่เห็นข้อความบนกระดาษที่เขียนว่าใบสำคัญการหย่ามีลายเซ็นของหญิงสาวเรียบร้อยใบหย่าคือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด แต่ทำไมเขาไม่ได้รู้สึกดีใจหรือมีความสุขสักนิดทั้งที่ความจริงเขาควรรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่อาการวูบโหวงในอกอย่างเช่นตอนนี้รีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูปรากฏว่าภายในตู้เหลือเพียงเสื้อผ้าของเขาแขวนอยู่ ส่วนฝั่งของหญิงสาวว่างเปล่ามีเพียงไม้แขวนไร้เสื้อผ้าเขาเดินกลับมาหย่อนก้นลงนั่งริมเตียงด้วยความรู้สึกหลากหลาย อีกมือยื่นไปหยิบแหวนแต่งงานที่หญิงสาวถอดทิ้งเอาไว้มาดูสลับกับใบหย่า พร่ำบอกตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องการแล้วทำไมถึงไม่ดีใจบางทีอาจเป็นเพราะอยู่กับเธอทุกวันพอรู้ว่าอีกคนหายไปเป็นปกติที่ต้องรู้สึกแปลก ๆ เขาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะสลัดความคิดและความรู้สึกที่ตีกันออก แล้วลุกถอดเสื้อผ้าคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำทว่าพอเข้ามาในห้องน้ำแล้วเห็นแก้วใส่แปรงสีฟันเหลือเพียงของเขาอันเดียววางโดดเดี่ยว โฬมล้างหน้าและของใช้ต่าง ๆ ของเธอที่เคยวางเต็มขอบอ่างล้างหน้าก็หายไปพานทำให้รู้สึกแปลก ๆ ไม่น้อย เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย.."บ้าชะมัด" เส
วันต่อมาส้มขับรถออกจากคอนโดกลับบ้านวิสุทธิ์ภักดีแต่เช้าเพื่อเก็บเสื้อผ้าของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพราะเธอจองตั๋วเครื่องบินสำหรับไปประเทศอเมริกาตอนสิบเอ็ดโมงเธอลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อรถจอดลงหน้าบ้านนั่งจมอยู่กับความเศร้าเนินนานหลายนาที ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ เท้าเล็กพลันหยุดชะงักหลังจากที่ก้าวเดินได้เพียงสองสามก้าวในตอนที่เห็นผู้ชายใจร้ายเดินออกมาจากบ้าน จ้องมองใบหน้าของเขาด้วยนัยน์ตาเศร้าหมองระคนเจ็บปวด นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นหน้าหล่อ ๆ ของเขาซึ่งตอนนี้เขาก็มองมาที่เธอเช่นกันแต่มองด้วยสายตาเย็นชาใบหน้าไร้ความรู้สึกมันเจ็บปวดในอกเหลือเกิน มือเรียวกำหมัดแน่นพยายามข่มหยาดน้ำตาที่กำลังจะรินไหลออกจากหางตา แล้วก้าวเท้าเดินต่อสายตามองตรงไปข้างหน้าเดินสวนไปราวกับคนไม่รู้จักกันทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อยู่หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ค่อย ๆ หยดเผาะลงบนพวงแก้มครั้นเดินผ่านผู้ชายใจร้ายมาได้แค่สองก้าวเพราะคำว่ารักเพียงคำเดียวทำให้เธอเจ็บปวดได้มากขนาดนี้แม้พยายามบอกใจให้เกลียดเขา แม้พยายามทำเป็นเข้มแข็งแล้วก็ตาม แต่ในสักวันเธอจะต้องเลิกรักเขาให้ได้..มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก