ลี่เซียนที่อุ้มเสี่ยวซีน้อยเดินมาจนเจอถนนเส้นหนึ่งที่มีร่องรอยของรถม้าวิ่งผ่านจึงเดินเรียบไปตามทางเรื่อยๆ หากเจอชาวบ้านที่ผ่านมาจะได้ไถ่ถาม เดินไปเพียงไม่นานก็มีคนผ่านมาจริงๆ เป็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่ใช้วัวเทียมเกวียนบรรทุกผักและของป่าผ่านมา นางจึงได้เรียกเอาไว้ เมื่อเห็นทั้งสองหยุดเกวียนจึงกล่าวขึ้น
"ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านลุงท่านป้า"
สองสามีภรรยาเมื่อเห็นว่ามีสตรีที่อุ้มเด็กน้อยมายืนเรียกอยู่ข้างทางจึงหยุดเกวียนพร้อมไถ่ถาม
"มีอะไรหรือนังหนู แล้วนี่มาจากไหนกันรึ"
หญิงผู้เป็นภรรยาเอ่ยถามขึ้น
ลี่เซียนที่เห็นว่าข้างหลังยังพอมีที่ว่างพอให้นางและบุตรอาศัยไปได้จึงเอ่ยบอกด้วยใบหน้าเศร้าหมองน้ำตานองหน้า หากจะให้เดินต่อไปเห็นทีว่าจะไม่ไหวนี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว หิวก็หิวร้อนก็ร้อน คงต้องสวมวิญญาณสตรีอ่อนแอบอบบางเสียแล้ว
"ข้าและบุตรเดินทางมาจากต่างเมืองเจ้าค่ะ ด้วยสามีข้านั้นมีอาชีพค้าขายแต่ถูกโจรปล้นและโดนฆ่าตาย ตัวข้าและบุตรีไม่เป็นที่ต้องการของบ้านสามีจึงโดนขับไล่ออกจากจวน เพราะไม่มีหลายชายไว้สืบสกุลจึงร่อนเร่มาจนถึงที่นี่เผื่อจะมีหนทางทำกินเจ้าค่ะ อยากจะถามท่านลุงท่านป้าว่าที่นี่คือที่ใดหรือเจ้าคะ"
สองสามีภรรยาได้ยินก็นึกสงสาร จึงได้ถามไถ่อีกเล็กน้อยแล้วให้นางและบุตรติดเกวียนเพื่อไปลงในตัวเมืองเพราะทั้งสองก็กำลังจะเอาผักและของป่าไปส่งพอดี ได้ความว่าที่นี่คือเมืองฉางอัน เป็นเมืองหน้าด่านของแคว้นเป่ย ซึ่งนางก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับแคว้นแห่งนี้เลย ได้แต่พยักหน้าเออออไปก่อน พอเข้าไปในตัวเมืองค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้คงต้องหาอะไรรองท้องก่อน บุตรตัวน้อยของนางก็ชั่งรู้ความนักไม่ร้องไห้งอแงแม้แต่นิดเดียว
"ทนอีกนิดนะจ๊ะ เด็กดี เดี๋ยวเข้าไปในเมืองแล้วแม่จะหาของอร่อยให้กินนะจ๊ะ"
"แม่ หม่ำ หม่ำ"
เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นทำให้นางสงสารนัก ท่านป้าที่ได้ยินจึงส่งหมั่นโถวและกระบอกน้ำมาให้
"เอาให้ลูกกินรองท้องก่อนสินางหนู คงจะหิวแล้ว"
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านป้า"
มือผอมบางยกขึ้นรับหมั่นโถวและน้ำนำมาป้อนให้เด็กน้อยที่อ้าปากรับอย่างเอร็ดอร่อยจนนางถึงกับยิ้มกับความน่าเอ็นดูนั้น พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนทันที ช่างเลี้ยงง่ายนัก
ผ่านมาประมาณครึ่งชั่วยามตอนนี้สองข้างทางเริ่มจะมีบ้านเรือนบ้างแล้ว หากไม่เจอท่านลุงท่านป้าคาดว่านางคงต้องอาศัยนอนในป่าอีกคืนเป็นแน่ ได้ยินท่านลุงบอกว่าจะมีหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ติดกับเมืองฉางอันที่สุดต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วยามก็จะถึงและเดินทางต่อไปอีกไม่ถึงลี้ก็จะเข้าเขตเมืองฉางอัน ลี่เซียนที่นั่งมองทิวทัศน์สองข้างทางไปเรื่อยๆ กำลังคิดว่านางจะหาที่ดินของหมู่บ้านนั่นแหละตั้งรกรากเพราะอยู่ใกล้เมืองดี จะได้เดินทางสะดวก เมื่อมาถึงหมู่บ้านที่ว่านางรู้สึกชอบที่นี่มากเพราะถึงจะอยู่ใกล้ๆ เมือง แต่ก็เงียบสงบนัก แถมบรรยากาศก็ดีมากด้วย ค่อยกลับมาดูอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้นางต้องเข้าไปในตัวเมืองก่อน
"ท่านลุงท่านป้าเจ้าคะ ถ้าหากข้าจะซื้อที่ดินที่นี่จะต้องติดต่อที่ใดหรือเจ้าคะ"
เอ่ยถามขึ้นเพราะนางไม่รู้อะไรเลย
"จะต้องติดต่อผู้นำหมู่บ้านของที่นี่แหละนางหนู อยากจะอยู่ที่นี่หรือ ป้าว่าก็ดีนะ ไม่ไกลจากตัวเมืองด้วยเดินทางไม่กี่เค่อก็ถึง"
เสียงท่านป้าที่เอ่ยขึ้น ทำให้นางรีบสอบถามต่ออย่างสนใจใคร่รู้ ได้ความว่าที่นี่คือหมู่บ้าน ผิงอาน (สงบสุข) ชื่อช่างเหมาะกับบรรยากาศนักชาวบ้านที่นี่ส่วนมากจะเพาะปลูกและหาของป่าขาย จะมีบ้างที่ไปรับจ้างในตัวเมือง นางชอบที่นี่เป็นอย่างมาก พรุ่งนี้ค่อยกลับมาติดต่อแล้วกัน คืนนี้คงต้องพักในเมือง เดินทางเพียงไม่นานก็เข้ามายังตัวเมืองฉางอัน ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ร้านรวงเต็มไปหมด เมื่อเกวียนหยุดลงนางจึงเอ่ยลาท่านลุงท่านป้า เมื่อแยกออกมาจึงคิดว่าต้องหาที่พักก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเดินมายังโรงเตี๊ยมขนาดกลางที่ดูสะอาดสะอ้านเพื่อเข้าพัก คงต้องหลับเอาแรงก่อน ร่างกายนางตอนนี้ล้าไปหมด จนไม่มีแรงที่จะคิดอะไรทั้งนั้น พอเปิดห้องเรียบร้อยก็หลับไปพร้อมเด็กน้อยในอ้อมแขน
ลี่เซียนสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกถึงความเหนียวหนืดบนใบหน้า พอลืมตาขึ้นดูก็เห็นใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั่งน้ำลายยืดอยู่ด้านข้าง"เสี่ยวซี หิวหรือคะลูก" สิ้นเสียงหวานที่เอ่ยถาม ร่างเล็กป้อมก็ไต่ลงจากเตียงแล้วเดินเตาะแตะไปตรงประตูห้อง"แม่ หม่ำ หม่ำ" "เดินเก่งแล้วด้วยหรือคะ เก่งจริงๆ" ลี่เซียนที่เห็นเด็กน้อยลุกขึ้นเดินเอง ในตอนแรกนางนึกว่าแก่เดินยังไม่แข็งหรือเดินยังไม่ได้เสียอีก ดูท่าคงจะหิวมาก นางจึงรีบลุกขึ้นสางผมยาวยุ่งเหยิงของตนให้เข้าที่แล้วเดินไปอุ้มร่างกลมไว้ในอ้อมแขนพาเดินลงไปชั้นล่างของโรงเตี๊ยม สั่งอาหารสองสามอย่างแล้วมารอยังห้องพัก สั่งมากินข้างบนคงจะสะดวกกว่าเพราะบุตรของนางยังเล็กหากจะให้กินด้านล่างกลัวจะรบกวนคนอื่น เมื่อเสี่ยวเอ้อที่ยกสำรับมาให้ปิดประตูลง ลี่เซียนถึงกับมองอาหารบนโต๊ะตาโต นี่คืออาหารที่ดีที่สุดตั้งแต่นางหลุดมาอยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้ จึงรีบลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยและไม่ลืมส่งเข้าปากบุตรสาวตัวน้อยที่ดูจะชมชอบกับการกินอยู่ไม่น้อยทีเดียวเมื่อกินกันจนอิ่มจึงพากันไปอาบน้ำล้างตัวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข คงต้องลงไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับนางและบุตรเสียก่อนเพราะชุดที่สวมอยู่คื
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อจัดการธุระส่วนตัวทั้งตนเองและบุตรเรียบร้อยแล้ว ลี่เซียนจึงพาบุตรตัวน้อยมายังที่จอดรถม้าสำหรับเช่าโดยสาร เพื่อจะไปยังหมู่บ้านผิงอาน สอบถามจากคนขับรถม้า ก็มีท่านลุงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นั่น นางจึงได้ว่าจ้างให้พานางไปยังบ้านของผู้นำหมู่บ้าน โดยใช้เวลาเดินทางเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้าน และเดินทางต่อไปยังบ้านของท่านผู้นำ เมื่อถึงจุดหมายจึงให้ท่านลุงคนขับรถม้ารอนางอยู่แถวนั้นก่อน นางต้องเข้าไปเจรจากับผู้นำหมู่บ้านเรื่องที่จะซื้อที่และคงต้องไปดูสถานที่จริง นางนั้นได้ว่าจ้างรถม้าของท่านลุงไว้ทั้งวัน เพื่อความสะดวกในการเดินทางเพราะต้องไปอีกหลายที่และขากลับจะได้ไม่ต้องลำบากหอบบุตรหาทางกลับโรงเตี๊ยม เมื่อลงจากรถม้าก็จูงมือบุตรเข้าไปยังบ้านของผู้นำหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ด้านหน้า เห็นชายชราหนวดขาวที่ดูท่าทางใจดีกวาดลานบ้านอยู่จึงได้เดินเข้าไปสอบถาม"ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านตา ข้ามาขอพบท่านผู้นำเจ้าค่ะ" ชายชราที่หันมามองนางพร้อมส่งยิ้มมาให้อย่างใจดี"ตานี่แหละผู้นำหมู่บ้าน แม่หนูมีธุระอะไรหรือไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน" ลี่เซียนเมื่อรู้ว่าท่านตาใจดีผู้นี้คือผู้นำหมู่บ้านจึงทำความเคารพและบ
"สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ ท่านลุง" ลี่เซียนที่เดินจูงมือบุตรตัวน้อยลงมาขึ้นรถม้าของท่านลุงฉีคนบังคับรถม้าที่นางนัดหมายเอาไว้เมื่อวานว่าให้มารับนางด้านล่างของโรงเตี๊ยมที่นางพักเพื่อเดินทางไปที่บ้านท่านตาเหวินผู้นำหมู่บ้านผิงอานเพื่อจะไปพบช่างที่จะมาสร้างบ้านให้นาง ลี่เซียนที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าสังเกตเห็นสีหน้าของท่านลุงฉีที่ไม่ค่อยจะดีนักจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย"มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ ท่านลุง" เห็นท่าทางอึกอักเกรงอกเกรงใจของคนตรงหน้าจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง"หากมีอันใดท่านลุงบอกแก่ข้าได้นะเจ้าคะ อย่าได้เกรงใจ" ท่านลุงฉีที่มองนางอย่างตัดสินใจจึงเอ่ยขึ้น" เอ่อ คือ แม่นางลุงว่าจะไปส่งแม่นางที่บ้านท่านผู้เฒ่าเหวินแล้วจะกลับไปรับตอนบ่ายๆเลยได้หรือไม่ พอดีบุตรสาวลุงไม่สบายไม่มีใครพาแกไปโรงหมอ ลุงว่าจะพานางไปโรงหมอก่อนแล้วจะมารับแม่นางได้หรือไม่"ท่านลุงฉีกล่าวอย่างเกรงใจเพราะนางนั้นได้ว่าจ้างรถม้าของท่านลุงไว้ทั้งวันได้ฟังดังนั้น จึงได้ส่งยิ้มไปให้แล้วกล่าวอย่างเข้าใจ" ไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้คิดมาก อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้ไปที่ไหนต่อ ท่านลุงไปส่งข้าแล้วค่อยมารับเมื่อท่านเสร็จธุระแล้วก็ได้เจ้าค่ะ
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง วันนี้เป็นวันที่บ้านของนางกับเสี่ยวซีเสร็จพร้อมจะเข้าอยู่ วันนี้นางและเสี่ยวซีจึงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าเพื่อจะซื้อของใช้เข้าบ้านกัน โดยมีรถม้าของท่านลุงฉีที่ตอนนี้กลายเป็นรถม้าเจ้าประจำของนางไปแล้ว เมื่อซื้อของที่วันนี้เยอะเอาการเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบเดินทางกลับบ้านเพื่อจัดของเข้าบ้านอย่างขะมักเขม้นและมีท่านป้าเนี่ยและหวั่นเอ๋อ ภรรยาและบุตรสาววัยสิบหนาวของท่านลุงฉีมาช่วย ครอบครัวของท่านลุงฉีเป็นเพื่อนบ้านครอบครัวแรกที่นางสนิทด้วย และเสี่ยวซีของนางก็ได้หวั่นเอ๋อมาเป็นเพื่อนเล่น วันนี้นางจึงตั้งใจจะทำอาหารเลี้ยงฉลองบ้านหลังใหม่ของนาง โดยเชิญครอบครัวท่านลุงฉีและท่านตาเหวินมาเป็นแขก ถึงวันนี้จะรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็มีความสุขที่สุด นางและบุตรไม่ต้องเป็นคนเร่ร่อนอีกต่อไปแล้วเมื่อร่วมกันทานอาหารที่วันนี้นางทำอาหารง่ายๆ หลายอย่างเนื่องในวันพิเศษนี้ ต่างก็ได้รับคำชมจากทุกคนถึงรสชาติที่พวกเขาไม่เคยทานและดูแปลกตานัก แต่ทว่าอร่อยเป็นที่ถูกปากของทุกคน บนโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศครื้นเครงและเสียงหัวเราะ เมื่อทานกันเสร็จก็นั่งคุยกันย่อยอาหารจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ คืนน
ร้านน้ำเต้าหู้ข้างทางของลี่เซียนได้รับการตอบรับดีเกินคาด แค่ไม่ถึงชั่วยามก็ขายหมดเกลี้ยง วันนี้นางทำน้ำเต้าหู้มาหนึ่งหม้อใหญ่และปาท่องโก๋ทอดห้าสิบคู่แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ วันพรุ่งนี้นางคงต้องทำเพิ่ม แม่ค้ามือใหม่ถึงกับยิ้มหน้าบานเมื่อนั่งนับเงินที่ขายได้วันนี้ นางกะว่าจะลองทำโจ๊กหมูขายในวันพรุ่งนี้ด้วย กิจการขายน้ำเต้าหู้ของลี่เซียนนั้นดำเนินไปในทางที่ดี มีลูกค้าประจำและขาจรแวะเวียนมาอุดหนุนไม่ขาด ทั้งรสชาติของน้ำเต้าหู้ที่หอมอร่อยและใบหน้างดงามเป็นหนึ่งของแม่ค้าคนงามก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าทั้งหลายพูดกันปากต่อปาก จากร้านค้าเพิงข้างทางก็ขยายกิจการขึ้นเรื่อยๆ จากโต๊ะเก้าอี้แค่สามที่นั่ง ตอนนี้มีเพิ่มขึ้นจนต้องขยายที่ทางเพิ่มลี่เซียนตอนนี้กลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านอาหาร"ห่าว ชือ" (อร่อย) ที่ขึ้นชื่อในละแวกนี้ ร้านของนางนั้นเปิดขายน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ข้าวต้มทรงเครื่อง และอาหารจานเดียวที่ทำง่ายๆ ซึ่งนางนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคนี้ "ท่านแม่ ซีเอ๋อหิวจังเลยเจ้าค่ะ" เสียงเล็กที่ดังขึ้นพร้อมร่างกลมป้อมที่วิ่งตรงมาหานาง มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากเล็ก ยกมือเล็กขึ้นลูบท้องอ
ลี่เซียนที่ได้หลับตาลงไปแค่นิดเดียวก็สะดุ้งตื่น จึงเดินออกมานอกเรือนชะเง้อมองหาเจ้าของร่างเล็กกลมป้อมที่มักจะเล่นอยู่แถวหน้าเรือนก็ไม่เห็น"เสี่ยวซี อยู่แถวนี้หรือเปล่า" ..... "ซีเอ๋อ หวั่นเอ๋อ" ..... หันไปเห็นจิ่วซิ่นที่หอบตะกร้าผ้าผ่านมาจึงได้ถามหาเจ้าตัวแสบที่ไม่รู้ไปเล่นซนอยู่ที่ไหน"จิ่วซิ่น เห็นซีเอ๋อหรือไม่" "อืม เห็นเดินไปทางหน้าถนนกับหวั่นเอ๋อเจ้าค่ะ นายหญิง" "อ้อจ๊ะ มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ"บอกก่อนจะเดินออกมามุ่งหน้าไปทางถนนหน้าเรือน ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวแสบนั่นไปไหน ทำไมถึงได้ดื้อนักนะ อย่างนี้คงต้องมีการลงโทษกันบ้าง บ่นพลางก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังน้ำตกที่คิดว่าทั้งสองคนคงแอบหนีออกมาเล่นน้ำเป็นแน่เมื่อมาถึงบริเวณน้ำตกก็เดินหาทั้งสองคน เห็นมีร่องรอยของเท้าเล็กซึ่งคงจะเป็นของซีเอ๋อและอีกรอยนั้นเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากหวั่นเอ๋อ หากมีหวั่นเอ๋อมาด้วยนางไม่ค่อยจะกังวลเท่าไหร่นักเพราะหวั่นเอ๋อเป็นเด็กที่เก่งและมีความสามารถเคยออกไปหาของป่ากับมารดาตั้งแต่เด็กและนางว่ายน้ำแข็งมาก เท้าเล็กจึงเดินตรงไปยังริมฝั่งน้ำตกชะเง้อคอมองลงไปในน้ำว่าเด็กทั้งสองเล่นน้ำอยู่หรือไม่"ซีเอ๋อ หวั่นเอ๋อ"
องค์ชายสามมู่เหยียนหรงหรืออ๋องสาม พยัคฆ์ตัวที่สาม แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเหลียว ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็นเทพสังหาร ชมชอบและโปรดปรานสิ่งสวยงาม ทุกสิ่งที่ปรารถนาล้วนแล้วแต่มากองตรงหน้าและต้องเป็นของที่ดีที่สุด นิสัยดิบเถื่อน ซึ่งบางครั้งก็ถึงกับถ่อยต่างจากหน้าตาที่หล่อเหลาดังรูปสลัก เพราะชมชอบการใช้ชีวิตในค่ายทหารมากกว่าวังหลวง มองเรื่องความรักเป็นเรื่องโง่งม ใช้สตรีเปลืองที่สุด สตรีที่เคยใช้แล้วไม่เคยใช้ซ้ำ แต่บรรดาสาวงามต่างอยากลองที่จะเสี่ยงยอมพลีกายให้บุรุษสูงศักดิ์ผู้หล่อเหลาผู้นี้เชยชมอ๋องสามมู่เหยียนหรงที่เดินทางกลับจากการไปปราบปรามชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่องสมคบคิดกันก่อกบฏเพื่อที่จะแบ่งแยกดินแดนออกจากแคว้นเหลียว ซึ่งศึกในครั้งนี้ยืดเยื้อมากว่าสองปีจนตอนนี้พระองค์สามารถถอนรากถอนโคนพวกที่ก่อกบฏจนหมดสิ้น ศึกในครั้งนี้ทำให้พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ชายแดนถึงสองปี เมื่อเข้าสู่สภาวะปกติจึงถอนกำลังเพื่อกลับเข้าเมืองหลวง แต่พระองค์นั้นเดินทางล่วงหน้ามาก่อนพร้อมผู้ติดตามซึ่งเป็นคนสนิทเพียงสองคนเท่านั้นเพราะไม่ชมชอบการเดินทางที่ล่าช้า จนมาถึงหมู่บ้านผิงอานแห่งนี้จึงคิดจะหยุดพักก่อนออกเดินทางเข้าเมือ
"คุณหนู อ๊ะ! นายหญิง" เสียงของหวั่นเอ๋อที่ดังขึ้นพร้อมกับยกมือปิดปากเพราะสภาพล่อแหลมของนายหญิงของตนและบุรุษที่ อื้อ หล่อจังลี่เซียนที่เห็นหวั่นเอ๋อมองมายังนางด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วบิดกายไปมาอย่างเขินอายนั้นก็รีบสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง ซึ่งครั้งนี้เขายอมปล่อยแต่โดยดี" เอ่อคือ คือว่า ข้า"เสียงตะกุกตะกักของสตรีที่กำลังคิดหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองเหมือนเด็กที่ทำความผิดและกลัวโดนจับได้ที่มาอยู่ในสภาพไม่น่ามองกับบุรุษแปลกหน้า ทำให้อ๋องสามนึกขำสตรีตรงหน้านัก นี่นางผ่านการมีลูกมีสามีมาแล้วจริงๆ หรือหึหึได้ยินเสียงหัวเราะของบุรุษด้านหลังลี่เซียนถึงกับอยากจะเต้นเร่าๆ"พอดีข้าผ่านมาเห็นนายหญิงของเจ้าพลัดตกน้ำเลยให้ความช่วยเหลือก็เท่านั้น" คำแก้ตัวเอาหน้าของบุรุษที่เดินผ่านหน้านางไปหยัดตัวขึ้นจากน้ำแล้วส่งมือหนามาให้นางจับ นางเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้นางตกน้ำแท้ๆ แต่กลับพูดแก้ตัวเสียดูดี นางไม่เคยพบเคยเจอบุรุษหน้าไม่อายแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ยังมาทำหน้ายียวนใส่นางอีก อยากจะปัดมือหนาหยาบนั้นออกแต่ดูจากความสูงของตลิ่งแล้ว ให้เขาช่วยสักครั้งคงไม่เป็นไ
ลี่เซียนเดินตามร่างสูงออกมาด้านนอก เห็นชายชุดดำที่ตอนนี้ถูกเปิดผ้าคลุมหน้าออกนั่งคุกเข่าเอามือไพล่หลังมองมายังอ๋องสามมู่เหยียนหรงและนางด้วยสายตาแข็งกร้าว "โจวซุ่น นำแม่นางลี่เซียนไปรอที่รถม้า" หันมาสั่งคนสนิทที่เดินมารับสัมภาระจากสตรีที่เดินตามหลังพระองค์มาด้วยใบหน้างอง้ำ"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง เชิญขอรับแม่นางลี่เซียน" ลี่เซียนส่งห่อผ้าให้คนของอ๋องสาม สั่งเสร็จเจ้าตัวก็เดินไปยังกลุ่มของคนชุดดำที่ถูกคุมตัวอยู่โดยไม่หันมามองนาง"ว่าอย่างไรเหวินเชาไม่เจอกันนานเลยนะ แต่เจ้าก็ไม่พัฒนาฝีมือขึ้นเลย ยังคงไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ไม่คิดว่าบิดาเจ้า จะปล่อยให้คนไร้ฝีมือเช่นเจ้ามาทำการใหญ่"อ๋องสามที่ทักทายชายชุดดำที่มองพระองค์อย่างไม่พอใจความจริงชายผู้นี้ก็มีฝีมือไม่เลว แต่เป็นเพราะความอวดดี และความใจร้อนจึงทำให้แพ้ภัยตัวเอง ตลอดระยะเวลาสองปีพระองค์ตามสืบจนล่วงรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังชนเผ่าเหล่านี้คือเสนาบดีเฒ่า จางกงหยวน แต่ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิด เพราะเฒ่าเจ้าเล่ห์มีอำนาจอยู่ในมือไม่น้อย"อยากจะฆ่าก็ฆ่าไม่ต้องเสียเวลามาพูดให้มากความ"จางเหวินเชาบุตรชายลับๆ ที่เกิดจากเสนาบดีเฒ่า จางกงหยวน กับนา
"เห็นทีว่าข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการไม่ได้" อ๋องสามกล่าวกับสตรีที่มองพระองค์อย่างไม่พอใจ"ไปเก็บของซะ เจ้าและเสี่ยวซีต้องอยู่ในความดูแลของข้า เราจะเดินทางกลับเมืองหลวงกัน" ลี่เซียนที่มองใบหน้าบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าที่ไม่มีแววล้อเล่น"ไม่ หม่อมฉันไม่ไปไหนกับพระองค์ทั้งนั้น หม่อมฉันดูแลตัวเองและซีเอ๋อได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนอื่น"อ๋องสามมองสตรีตรงหน้าอย่างอดทนอดกลั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรกับปากเล็กๆนั่นที่ขยันพ่นวาจาร้ายกาจทำร้ายจิตใจพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า" ดูแลตัวเองได้อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หากไม่ใช่ข้าแต่เป็นคนร้ายจริงๆ จะเป็นอย่างไร หากข้ามาไม่ทันเสี่ยวซีจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญพวกมันคงไม่ปล่อยให้เจ้าและเสี่ยวซีมีชีวิตรอดหรอกนะ ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกบ้าง ข้าไม่ปล่อยให้บุตรของสหายต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะความดื้อรั้นของใครหรอกนะ และข้าไม่ใช่คนอื่น เจ้าอย่าได้ลืมว่าข้ากับสามีเจ้าเป็นสหายกัน"ลี่เซียนที่จ้องตาคมดุนั้นอย่างไม่เกรงกลัว หากนางไม่ใช่มารดาของเสี่ยวซี พระองค์คงจะไม่สนใจไยดีสินะ ได้ อยากจะเข้าใจอย่างนั้นก็เชิญเลย ปากก็พูดว่านางเป็นภรรยาของสหาย
"หากกลัวก็บอกมา ว่าหลักฐานอยู่ที่ใด แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป" เสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะเล็ก แอบสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเส้นผมนุ่ม"เงียบซะข้าไม่ชอบเสียงร้อง" อึก อึก ลี่เซียนที่เงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่กักนางไว้ในอ้อมแขนยิ่งมองใกล้ๆ ทำไมถึงได้ดูคุ้นนัก ร่างสูงที่เห็นว่าร่างบางนั้นเงียบไปจึงได้ผละออกเล็กน้อยก้มลงมองใบหน้างามที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา จึงทำให้ใบหน้าทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบตาจ้องตาอย่างมิอาจเลี่ยง ราวมีแรงดึงดูดจากร่างเล็กทำให้ใบหน้าคมเข้มโน้มต่ำลงมา แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างใจปรารถนาพรึ่บ!!! "ท่าน!! คนเลว คนชั่วทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไรกัน" มือเล็กที่ยกขึ้นทุบอกแกร่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แล้วน้ำตาที่อดกลั้นก็พังทลายลงมาอีกครั้งอ๋องสามมู่เหยียนหรงที่ไม่คาดคิดว่านางจะกระชากผ้าปิดหน้าออกถึงกับตกใจ ก่อนจะได้สติเมื่อคนตัวเล็กปล่อยโฮออกมาจนพระองค์ถึงกับทำอะไรไม่ถูก"เซียนเอ๋อ หยุด หยุดก่อน ฟังก่อน" มือหนาที่รวบมือเล็กที่ทุบตีพระองค์ไม่ยั้งแต่แรงคนที่กำลังโกรธกลับมีมากไม่คิดจะหยุดทั้งทุบทั้งตีทั้งข่วนจนคอแกร่งเลือดออกซิบ แต่อ๋องสามกลับมิได้สนใจกลัวแต่ว่านางจะเจ็บมือ จึง
ร่างสูงใหญ่ในชุดดำที่ปิดบังใบหน้าถึงกับสะดุดลมหายใจ หัวใจที่เย็นชาเต้นผิดจังหวะไปจังหวะหนึ่ง เมื่อสตรีผู้ที่เขาตามหามากว่าสองปีหันใบหน้างดงามมาทางตน ก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเรียบ ควบคุมความรู้สึกที่แปลกไปของตนเอง"เข้าไปด้านใน เดี๋ยวนี้" ชายชุดดำที่หันปลายกระบี่มาทางนางพูดขึ้น ลี่เซียนที่มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นทางรอดจึงหันหลังเปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งเป็นเรือนนอนของนาง โชคดีเหลือเกินที่ทุกคนออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นนางไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ เมื่อก้าวพ้นประตูมาจึงได้ยินเสียงปิดประตูตามหลังหันไปมองห้องด้านในที่มีชายชุดดำอีกสองคนรื้อค้นข้าวของจนกระจุยกระจาย โดยไม่ต้องบอกนางก็รู้ได้ว่าคนพวกนี้มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด เหอะ นางพยายามพาตัวเองและบุตรถอยห่างจากปัญหาและอันตรายแต่สุดท้ายกลับหนีไม่พ้น ต้องมาพัวพันกับเรื่องราวเหล่านี้อยู่ดี หรือการที่นางมาอยู่ที่นี่มาพัวพันกับทุกคนที่เกี่ยวข้องเพราะต้องการให้นางมาคลี่คลายทุกอย่าง แต่นางก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งจะช่วยอะไรได้ ไม่ได้มีวิชาการต่อสู้อะไรเลย หากถูกฆ่าก็ตายจริงๆ เจ็บจริงๆ ไม่ได้มีความเทพอะไรเลย "หลักฐานอยู่ที่ไหน" ลี่เซียนหลุดจากความคิดที่กำลังสับส
อ๋องสามมู่เหยียนหรงที่กลับมาถึงตำหนักหยกขาวก็เห็นว่ากำลังทหารที่ติดตามพระองค์อยู่ที่เมืองฉางอันห้าสิบนายที่ล้วนเป็นทหารฝีมือดีที่พระองค์ฝึกมาเองกับมือนั้นตั้งขบวนกันพร้อมแล้วรอเพียงแค่คำสั่งเคลื่อนขบวนจากพระองค์เท่านั้น ก็พร้อมออกเดินทาง แต่ร่างสูงสง่ากลับเดินหน้าตึงเข้าไปในตำหนักโดยไม่สนใจทหารใต้บังคับบัญชาที่มองตามวรกายสูงศักดิ์อย่างไม่เข้าใจว่านายเหนือหัวไปกินรังแตนมาจากไหน อ๋องสามเมื่อเข้ามาภายในห้องบรรทมก็เปลื้องอาภรณ์เดินตรงไปชำระล้างวรกายแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มือหนาขัดถูสัมผัสและกลิ่นกายของสตรีใจร้ายที่ยังรู้สึกถึงกลิ่นหอมของนางที่ยังติดตรึงอยู่ล้างเพียงใดก็ล้างไม่ออก ก่อนจะเดินออกมาจากห้องอาบน้ำทั้งที่หยดน้ำยังเกาะพราวตามตัวคว้าเอาอาภรณ์มาสวมอย่างลวกๆ โจวเฟิงที่วิ่งกระหอบเข้ามาเมื่อทหารมารายงานว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว เจอโจวซุ่นที่นั่งอยู่ด้านหน้าตำหนักโดยไม่เห็นวรกายของท่านอ๋องจึงเอ่ยถามขึ้น "ท่านอ๋องเล่า""อยู่ข้างใน"โจวซุ่นที่มองสหายที่รีบร้อนเข้าไปอย่างไม่เข้าใจว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรถึงได้รีบร้อนนัก"ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ""มีอะไร"เสียงขานรับของนายเหนือหัวถึงกับทำใ
แสงที่สาดส่องแยงตาทำให้ลี่เซียนรู้สึกตัวตื่น ขยับกายที่เมื่อยขบพร้อมกับอาการปวดศีรษะ กำลังจะพลิกกายเพื่อลงจากเตียงแต่กลับรู้สึกถึงความหนักที่พาดอยู่ตรงเอวบาง สติที่ยังมาไม่ครบดีในตอนแรกแทบจะวิ่งเข้าร่างนางเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายนางเปลือยเปล่า ก่อนจะพลิกไปมองด้านข้างที่มีบุรุษคุ้นตานอนหลับอย่างสบายอยู่ เท้าบางจึงยันร่างหนาเต็มแรงด้วยความลืมตัว"โอ้ยยย"เสียงร้องของบุรุษที่กำลังหลับฝันดี ลืมตาอีกทีก็มานอนอยู่บนพื้นด้านล่าง เงยหน้ามองสตรีที่เป็นสาเหตุทำให้พระองค์มานอนกองอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนี้ ร่างบางที่เอาผ้าห่มมาคลุมจนถึงคอแต่เท้าเล็กที่โผล่ออกมายังยกค้างอยู่ทำให้พระองค์มองสตรีตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางถีบพระองค์ สตรีน่าตาย นี่นางถึงกับกล้าถีบพระองค์เลยหรือเมื่อคืนก็ลงมือกับพระองค์อย่างเลือดเย็นทีนึงแล้ว พอเช้ามากลับถีบพระองค์เสียตกเตียง รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น อย่างนี้เห็นทีจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ คงจะต้องสั่งสอนให้หลาบจำเสียแล้ว ว่าแล้วร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เห็นใบหน้าสตรีที่มองมาอ้าปากค้างจ้องพระองค์แทบตาถลนจึงมองตามสายตาของนาง "เห้ย"แล้วรีบกระโดดเข้าไปตะ
เสียงหัวเราะใสกังวานของลี่เซียนดังขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของท่านโจวซุ่น แล้วจึงเอ่ยขึ้น"เห็นท่าทางของท่านโจวซุ่นแล้ว บุรุษที่จะมาเป็นสามีของข้าในอนาคตนั้นคงยังไม่มีกระมัง"แล้วเสียงหัวเราะของคนทั้งสามก็ดังขึ้นอีกระลอกอ๋องสามที่นั่งเงียบส่งสายตาให้คนสนิทที่ไม่มีทีท่าว่าจะมองมายังพระองค์เลย จึงใช้เท้าเหยียบลงบนหลังเท้าของคนสนิทอย่างแรง" โอ้ยยย"เสียงของโจวซุ่นที่ร้องขึ้นเสียงหลงทำให้ลี่เซียนถามขึ้นอย่างตกใจ" เป็นอะไรไปเจ้าคะท่านโจวซุ่น" "เอ่อ ยุงกัดน่ะขอรับ" เอ่ยกับสตรีตรงหน้าแล้วยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้ก่อนจะหันไปมองยุงตัวโตที่กัดเขา เห็นสายตาที่มองมาเหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ไม่ยอมเอ่ยใครจะไปรู้กันเล่า "รินสุราให้ท่านลุงฉีหน่อยสิโจวซุ่น สุราในจอกท่านลุงหมดแล้วไม่เห็นหรืออย่างไร"เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบาๆ ทำให้โจวซุ่นมองผู้เป็นนายทีมองแม่นางลี่เซียนที ท่านอ๋องคงไม่คิดที่จะ... "โจ่วซุ่น" เอ่ยเรียกพร้อมถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง" อ๋อ เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ ดื่มๆ ท่านลุงดื่ม วันนี้ไม่เมาไม่เลิก"ลี่เซียนที่เห็นสองนายบ่าวกระซิบกระซาบกันก็มองอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก จึงเอ่ยขอตัว"นี่ก็ดึกมากแล้วถ้า
การปรากฏกายของบุรุษสูงศักดิ์ทำให้เกิดความเงียบขึ้นจนแม้แต่เข็มตกสักเล่มคงจะได้ยิน ลี่เซียนที่เห็นบุรุษตรงหน้าถึงกับยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองคิดว่านางจะเมาสุราของท่านลุงฉีจนตาฝาดมองเห็นบุรุษที่ทำให้นางนอนไม่ค่อยจะหลับทั้งคืนมาอยู่ตรงหน้า แต่เสียงดุๆ ที่ดังขึ้นกับเสียงคุกเข่าของทุกคนที่ค้อมลงทำให้รู้ว่านางไม่ได้ตาฝาด"เปิ่นหวางแค่มาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซีเอ๋อว่าจะมาร่วมยินดี ก่อนจะออกเดินทาง เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดว่าเปิ่นหวางมายุ่งวุ่นวาย"พูดกับสตรีตรงหน้าที่มองพระองค์หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเย็นชา ไม่ต้องแสดงอาการรังเกียจพระองค์ออกหน้าออกตาขนาดนั้นก็ได้ ทรงรู้อยู่แล้วว่าไม่อยากต้อนรับ ก่อนจะบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย โดยไม่คิดจะหันไปมองสตรีที่ทำให้พระองค์ใจเต้นแรงตั้งแต่เห็นใบหน้างามนั้นแดงก่ำ ตาหวานเยิ้มเย้ายวนคงเป็นเพราะฤทธิ์สุราที่วางเรียงรายอยู่กระมัง ท่านลุงฉีและทุกคนเมื่อหายตกตะลึงเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์ที่พวกตนเทิดทูนและชื่นชมมายืนอยู่ตรงหน้าก็ปลาบปลื้มนักและพระองค์ก็มิได้ถือตนว่าสูงศักดิ์แต่กลับให้ความเป็นกันเองจึงได้คลายอาการเกร็งลงรีบกุลีกุจอเชื้อเชิญพระองค์แทบจะอุ้มเลยก็ว่าได้ ส่วนเสี่
ลี่เซียนที่นำของทุกอย่างที่เก็บเอาไว้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นหยกพกสีแดงเลือด เครื่องประดับที่อยู่ในกล่องไม้ราคาแพงลวดลายบนกล่องใบนี้ล้วนฝังด้วยทองคำและอัญมณี นางคิดว่าราคากล่องคงจะแพงพอๆ กับราคาเครื่องประดับด้านในกระมัง เครื่องประดับที่ว่าคือเครื่องประดับที่ทำจากทองคำและอัญมณีเข้าชุดกันไม่ว่าจะเป็นปิ่นปักผม สร้อยคอ กำไล แหวนล้วนลวดลายเดียวกัน เอ่อ และแหวนหยกอีกวงที่นางขอยืมไปจำนำไว้แต่ตอนนี้ก็ไถ่ถอนมาคืนแล้ว ก็ตอนที่ก่อตั้งร้านต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงต้องขอหยิบยืมก่อน บนเครื่องประดับทุกชิ้นล้วนมีอักษรคำว่า"อัน" สลักอยู่คงจะเป็นแซ่ของเจ้าของและผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ตอนนี้กลายเป็นสีหม่นเพราะเก็บไว้นาน แต่ตัวอักษรที่ปักตรงมุมผ้ายังคงชัดเจน ฉางชุน นางได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไม่ต้องสงสัย นั่งมองสิ่งของเหล่านี้อยู่เป็นชั่วยามแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีหลักฐานอะไรซ่อนอยู่จะเอาออกไปถามใครก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ตามเดิม พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของเสี่ยวซีที่นางตั้งขึ้นเอง เพราะนางเจอเสี่ยวซีในวันนี้เมื่อสองปีก่อน จึงได้ให้วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวซีและนางจะได้ทำบุญให้มารด