"สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ ท่านลุง"
ลี่เซียนที่เดินจูงมือบุตรตัวน้อยลงมาขึ้นรถม้าของท่านลุงฉีคนบังคับรถม้าที่นางนัดหมายเอาไว้เมื่อวานว่าให้มารับนางด้านล่างของโรงเตี๊ยมที่นางพักเพื่อเดินทางไปที่บ้านท่านตาเหวินผู้นำหมู่บ้านผิงอานเพื่อจะไปพบช่างที่จะมาสร้างบ้านให้นาง ลี่เซียนที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าสังเกตเห็นสีหน้าของท่านลุงฉีที่ไม่ค่อยจะดีนักจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
"มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ ท่านลุง"
เห็นท่าทางอึกอักเกรงอกเกรงใจของคนตรงหน้าจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"หากมีอันใดท่านลุงบอกแก่ข้าได้นะเจ้าคะ อย่าได้เกรงใจ"
ท่านลุงฉีที่มองนางอย่างตัดสินใจจึงเอ่ยขึ้น
" เอ่อ คือ แม่นางลุงว่าจะไปส่งแม่นางที่บ้านท่านผู้เฒ่าเหวินแล้วจะกลับไปรับตอนบ่ายๆเลยได้หรือไม่ พอดีบุตรสาวลุงไม่สบายไม่มีใครพาแกไปโรงหมอ ลุงว่าจะพานางไปโรงหมอก่อนแล้วจะมารับแม่นางได้หรือไม่"
ท่านลุงฉีกล่าวอย่างเกรงใจเพราะนางนั้นได้ว่าจ้างรถม้าของท่านลุงไว้ทั้งวันได้ฟังดังนั้น จึงได้ส่งยิ้มไปให้แล้วกล่าวอย่างเข้าใจ
" ไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้คิดมาก อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้ไปที่ไหนต่อ ท่านลุงไปส่งข้าแล้วค่อยมารับเมื่อท่านเสร็จธุระแล้วก็ได้เจ้าค่ะ"
ท่านลุงฉีเมื่อได้ยินลี่เซียนกล่าวเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นอย่างยินดีนัก
"ขอบใจแม่นาง"
"ท่านลุงเรียกข้าว่าลี่เซียนเถอะเจ้าค่ะ อย่างไรต่อไปเราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันแล้ว มีอะไรก็พึ่งพากันได้"
นางที่ทราบจากท่านลุงฉีว่าบ้านของท่านลุงนั้นอยู่เลยไปจากที่ดินที่นางซื้อไปไม่กี่ลี้ ต่อไปก็จะเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันมีอันใดช่วยเหลือกันได้ก็ช่วย ท่านลุงฉีที่ส่งยิ้มกว้างมาให้รีบพยักหน้ารับ
"งั้นเรารีบไปกันเถอะเข้าค่ะ เดี๋ยวบุตรท่านจะคอย"
จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านผิงอาน พอไปถึงที่หมายลี่เซียนจึงให้ท่านลุงฉีไปทำธุระของตัวเองต่อเลย
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านของท่านตาเหวินก็เห็นทุกคนมานั่งคอยกันอยู่แล้ว
"ขอโทษที่ให้รอเจ้าค่ะ"
ทุกคนเมื่อเห็นนางเดินเข้ามาพร้อมกับร่างเล็กกลมป้อมของเสี่ยวซีก็ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับท่านตาที่เอ่ยขึ้น
"ทุกคนพึ่งจะมาถึงก่อนหน้าเจ้าไม่นานหรอกนะเซียนเอ๋ออย่าได้คิดมาก ว่าอย่างไรเสี่ยวซีน้อยวันนี้มีเพื่อนมาเล่นด้วยแหน่ะ"
จากนั้นจึงเรียกเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าขวบที่นั่งเล่นอยู่ตรงลานบ้าน เห็นว่าเป็นบุตรของคนงานที่จะมาสร้างบ้านให้นางที่วันนี้ไม่มีใครดูแลจึงพามาด้วยให้มาพาเสี่ยวซีไปเล่นด้วย ลี่เซียนจึงก้มลงพูดกับบุตรสาวตน
" เล่นกันดีๆ นะคะห้ามดื้อเข้าใจไหมคะลูก"
บอกบุตรสาวที่พยักหน้ารับ เสี่ยวซีของนางนั้นเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมากใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานนางและเสี่ยวซีก็แทบจะเหมือนแม่ลูกกันจริงๆ หากนางไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวซีไม่ใช่บุตรของนาง ซึ่งนางก็อยากให้เป็นแบบนั้น เมื่อเด็กทั้งสองเดินออกไปนั่งเล่นด้วยกัน ทุกคนจึงพากันมานั่งล้อมโต๊ะตัวใหญ่ มีท่านตาเหวินที่ยกน้ำชามาให้อย่างใจดีแล้วนั่งลงฟังนางที่แจ้งความต้องการกับนายช่าง เมื่อทุกคนหันมาทางนาง จึงได้เอ่ยขึ้น
"ข้าอยากได้บ้านหลังไม่ต้องใหญ่มากนัก เจ้าค่ะ มีห้องนอนสองห้องแล้วก็ห้องครัว แล้วแบ่งเป็นห้องโถง ให้มีระเบียงด้านหน้าด้วยนะเจ้าคะ ส่วนห้องน้ำนั่นให้แยกออกจากตัวเรือนเจ้าค่ะ แล้วก็อยากจะให้ยกพื้นเรือนขึ้นสูงสักเล็กน้อย ใช้ไม้ปูเป็นพื้นเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจหรือไม่เจ้าคะ"
ลี่เซียนที่ใช้ถ่านขีดๆ เขียนบนแผ่นไม้ที่เตรียมไว้ให้ช่างดูเห็นนายช่างที่พยักหน้ารับก็โล่งใจ
" แต่ถ้าใช้ไม้มาปูพื้นก็ต้องใช้ไม้เยอะ น่าจะหลายตำลึงอยู่นะแม่นาง"
นายช่างเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวลเพราะในหมู่บ้านส่วนมากจะใช้พวกกระเบื้อง โคลนและอิฐ มาสร้างที่อยู่อาศัย
" ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นายช่างแจ้งราคามาได้เลย ต้องใช้เวลาสักกี่วันถึงจะเสร็จเจ้าคะ"
" หน้าจะประมาณห้าวันถึงจะเสร็จเรียบร้อย ทั้งค่าของและค่าแรงน่าจะสามตำลึงทอง"
เมื่อนายช่างแจ้งราคามาถึงจะใช้เงินถึงสามตำลึงทองแต่นางก็ถือว่าคุ้มเพราะคำว่าบ้านนั้นคือที่ที่นางต้องอยู่ไปตลอดไม่มีที่ใดอบอุ่นเท่าบ้านเราเอง
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง วันนี้เป็นวันที่บ้านของนางกับเสี่ยวซีเสร็จพร้อมจะเข้าอยู่ วันนี้นางและเสี่ยวซีจึงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าเพื่อจะซื้อของใช้เข้าบ้านกัน โดยมีรถม้าของท่านลุงฉีที่ตอนนี้กลายเป็นรถม้าเจ้าประจำของนางไปแล้ว เมื่อซื้อของที่วันนี้เยอะเอาการเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบเดินทางกลับบ้านเพื่อจัดของเข้าบ้านอย่างขะมักเขม้นและมีท่านป้าเนี่ยและหวั่นเอ๋อ ภรรยาและบุตรสาววัยสิบหนาวของท่านลุงฉีมาช่วย ครอบครัวของท่านลุงฉีเป็นเพื่อนบ้านครอบครัวแรกที่นางสนิทด้วย และเสี่ยวซีของนางก็ได้หวั่นเอ๋อมาเป็นเพื่อนเล่น วันนี้นางจึงตั้งใจจะทำอาหารเลี้ยงฉลองบ้านหลังใหม่ของนาง โดยเชิญครอบครัวท่านลุงฉีและท่านตาเหวินมาเป็นแขก ถึงวันนี้จะรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็มีความสุขที่สุด นางและบุตรไม่ต้องเป็นคนเร่ร่อนอีกต่อไปแล้วเมื่อร่วมกันทานอาหารที่วันนี้นางทำอาหารง่ายๆ หลายอย่างเนื่องในวันพิเศษนี้ ต่างก็ได้รับคำชมจากทุกคนถึงรสชาติที่พวกเขาไม่เคยทานและดูแปลกตานัก แต่ทว่าอร่อยเป็นที่ถูกปากของทุกคน บนโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศครื้นเครงและเสียงหัวเราะ เมื่อทานกันเสร็จก็นั่งคุยกันย่อยอาหารจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ คืนน
ร้านน้ำเต้าหู้ข้างทางของลี่เซียนได้รับการตอบรับดีเกินคาด แค่ไม่ถึงชั่วยามก็ขายหมดเกลี้ยง วันนี้นางทำน้ำเต้าหู้มาหนึ่งหม้อใหญ่และปาท่องโก๋ทอดห้าสิบคู่แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ วันพรุ่งนี้นางคงต้องทำเพิ่ม แม่ค้ามือใหม่ถึงกับยิ้มหน้าบานเมื่อนั่งนับเงินที่ขายได้วันนี้ นางกะว่าจะลองทำโจ๊กหมูขายในวันพรุ่งนี้ด้วย กิจการขายน้ำเต้าหู้ของลี่เซียนนั้นดำเนินไปในทางที่ดี มีลูกค้าประจำและขาจรแวะเวียนมาอุดหนุนไม่ขาด ทั้งรสชาติของน้ำเต้าหู้ที่หอมอร่อยและใบหน้างดงามเป็นหนึ่งของแม่ค้าคนงามก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าทั้งหลายพูดกันปากต่อปาก จากร้านค้าเพิงข้างทางก็ขยายกิจการขึ้นเรื่อยๆ จากโต๊ะเก้าอี้แค่สามที่นั่ง ตอนนี้มีเพิ่มขึ้นจนต้องขยายที่ทางเพิ่มลี่เซียนตอนนี้กลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านอาหาร"ห่าว ชือ" (อร่อย) ที่ขึ้นชื่อในละแวกนี้ ร้านของนางนั้นเปิดขายน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ข้าวต้มทรงเครื่อง และอาหารจานเดียวที่ทำง่ายๆ ซึ่งนางนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคนี้ "ท่านแม่ ซีเอ๋อหิวจังเลยเจ้าค่ะ" เสียงเล็กที่ดังขึ้นพร้อมร่างกลมป้อมที่วิ่งตรงมาหานาง มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากเล็ก ยกมือเล็กขึ้นลูบท้องอ
ลี่เซียนที่ได้หลับตาลงไปแค่นิดเดียวก็สะดุ้งตื่น จึงเดินออกมานอกเรือนชะเง้อมองหาเจ้าของร่างเล็กกลมป้อมที่มักจะเล่นอยู่แถวหน้าเรือนก็ไม่เห็น"เสี่ยวซี อยู่แถวนี้หรือเปล่า" ..... "ซีเอ๋อ หวั่นเอ๋อ" ..... หันไปเห็นจิ่วซิ่นที่หอบตะกร้าผ้าผ่านมาจึงได้ถามหาเจ้าตัวแสบที่ไม่รู้ไปเล่นซนอยู่ที่ไหน"จิ่วซิ่น เห็นซีเอ๋อหรือไม่" "อืม เห็นเดินไปทางหน้าถนนกับหวั่นเอ๋อเจ้าค่ะ นายหญิง" "อ้อจ๊ะ มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ"บอกก่อนจะเดินออกมามุ่งหน้าไปทางถนนหน้าเรือน ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวแสบนั่นไปไหน ทำไมถึงได้ดื้อนักนะ อย่างนี้คงต้องมีการลงโทษกันบ้าง บ่นพลางก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังน้ำตกที่คิดว่าทั้งสองคนคงแอบหนีออกมาเล่นน้ำเป็นแน่เมื่อมาถึงบริเวณน้ำตกก็เดินหาทั้งสองคน เห็นมีร่องรอยของเท้าเล็กซึ่งคงจะเป็นของซีเอ๋อและอีกรอยนั้นเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากหวั่นเอ๋อ หากมีหวั่นเอ๋อมาด้วยนางไม่ค่อยจะกังวลเท่าไหร่นักเพราะหวั่นเอ๋อเป็นเด็กที่เก่งและมีความสามารถเคยออกไปหาของป่ากับมารดาตั้งแต่เด็กและนางว่ายน้ำแข็งมาก เท้าเล็กจึงเดินตรงไปยังริมฝั่งน้ำตกชะเง้อคอมองลงไปในน้ำว่าเด็กทั้งสองเล่นน้ำอยู่หรือไม่"ซีเอ๋อ หวั่นเอ๋อ"
องค์ชายสามมู่เหยียนหรงหรืออ๋องสาม พยัคฆ์ตัวที่สาม แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเหลียว ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็นเทพสังหาร ชมชอบและโปรดปรานสิ่งสวยงาม ทุกสิ่งที่ปรารถนาล้วนแล้วแต่มากองตรงหน้าและต้องเป็นของที่ดีที่สุด นิสัยดิบเถื่อน ซึ่งบางครั้งก็ถึงกับถ่อยต่างจากหน้าตาที่หล่อเหลาดังรูปสลัก เพราะชมชอบการใช้ชีวิตในค่ายทหารมากกว่าวังหลวง มองเรื่องความรักเป็นเรื่องโง่งม ใช้สตรีเปลืองที่สุด สตรีที่เคยใช้แล้วไม่เคยใช้ซ้ำ แต่บรรดาสาวงามต่างอยากลองที่จะเสี่ยงยอมพลีกายให้บุรุษสูงศักดิ์ผู้หล่อเหลาผู้นี้เชยชมอ๋องสามมู่เหยียนหรงที่เดินทางกลับจากการไปปราบปรามชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่องสมคบคิดกันก่อกบฏเพื่อที่จะแบ่งแยกดินแดนออกจากแคว้นเหลียว ซึ่งศึกในครั้งนี้ยืดเยื้อมากว่าสองปีจนตอนนี้พระองค์สามารถถอนรากถอนโคนพวกที่ก่อกบฏจนหมดสิ้น ศึกในครั้งนี้ทำให้พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ชายแดนถึงสองปี เมื่อเข้าสู่สภาวะปกติจึงถอนกำลังเพื่อกลับเข้าเมืองหลวง แต่พระองค์นั้นเดินทางล่วงหน้ามาก่อนพร้อมผู้ติดตามซึ่งเป็นคนสนิทเพียงสองคนเท่านั้นเพราะไม่ชมชอบการเดินทางที่ล่าช้า จนมาถึงหมู่บ้านผิงอานแห่งนี้จึงคิดจะหยุดพักก่อนออกเดินทางเข้าเมือ
"คุณหนู อ๊ะ! นายหญิง" เสียงของหวั่นเอ๋อที่ดังขึ้นพร้อมกับยกมือปิดปากเพราะสภาพล่อแหลมของนายหญิงของตนและบุรุษที่ อื้อ หล่อจังลี่เซียนที่เห็นหวั่นเอ๋อมองมายังนางด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วบิดกายไปมาอย่างเขินอายนั้นก็รีบสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง ซึ่งครั้งนี้เขายอมปล่อยแต่โดยดี" เอ่อคือ คือว่า ข้า"เสียงตะกุกตะกักของสตรีที่กำลังคิดหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองเหมือนเด็กที่ทำความผิดและกลัวโดนจับได้ที่มาอยู่ในสภาพไม่น่ามองกับบุรุษแปลกหน้า ทำให้อ๋องสามนึกขำสตรีตรงหน้านัก นี่นางผ่านการมีลูกมีสามีมาแล้วจริงๆ หรือหึหึได้ยินเสียงหัวเราะของบุรุษด้านหลังลี่เซียนถึงกับอยากจะเต้นเร่าๆ"พอดีข้าผ่านมาเห็นนายหญิงของเจ้าพลัดตกน้ำเลยให้ความช่วยเหลือก็เท่านั้น" คำแก้ตัวเอาหน้าของบุรุษที่เดินผ่านหน้านางไปหยัดตัวขึ้นจากน้ำแล้วส่งมือหนามาให้นางจับ นางเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้นางตกน้ำแท้ๆ แต่กลับพูดแก้ตัวเสียดูดี นางไม่เคยพบเคยเจอบุรุษหน้าไม่อายแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ยังมาทำหน้ายียวนใส่นางอีก อยากจะปัดมือหนาหยาบนั้นออกแต่ดูจากความสูงของตลิ่งแล้ว ให้เขาช่วยสักครั้งคงไม่เป็นไ
โจวซุ่น โจวเฟิง สององครักษ์ คนสนิทคู่พระทัยอ๋องสามที่ร่วมหัวจมท้ายกับอ๋องสามทั้งแต่ยังเป็นองค์ชายน้อยผู้อ่อนโยนจนกลายมาเป็นอ๋องสามเทพสังหารผู้ดิบเถื่อนมองสตรีเป็นแค่เครื่องระบายความกำหนัดของบุรุษ ได้แต่หวังว่าสวรรค์จะประทานสตรีที่เพียบพร้อมมาเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของผู้เป็นนายเสียที เห็นสายตาพยัคฆ์ที่มองตามหลังแม่นางผู้นั้นแล้ว ก็รู้ได้ว่าท่านอ๋องชมชอบนางไม่น้อย ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเห็นพระองค์มองสตรีด้วยสายตาเช่นนี้ แต่น่าเสียดายนักที่สตรีผู้นั้นมีเจ้าของเสียแล้วแถมยังมีพยานรักตัวน้อยแล้วอีกด้วย ถึงนางจะดูงดงามจนยากจะถอนสายตา ท่านอ๋องคงไม่ได้คิดแย่งชิงดวงใจผู้อื่นใช่หรือไม่เพราะทรงรู้ดีว่าการถูกแย่งชิงของรักนั้นเจ็บปวดเพียงใด"ข้าอยากรู้จักนาง" ท่านอ๋อง!!! สององครักษ์คนสนิทถึงกับหันมองหน้านายตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าท่านอ๋องจะใช้สตรีสิ้นเปลืองแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับภรรยาผู้อื่นมู่เหยียนหรงรู้ว่าคนสนิททั้งสองนั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงพูดให้ทั้งคู่คลายใจ" นางไร้สามี หากอยากรู้ว่าจริงแท้แค่ไหน เจ้าทั้งสองก็ไปสืบมา" เอ่ยจบก็เดินมุ่งหน้าไปยังที่พักม้าแล้วห้อตะบึงมุ่งหน้าเข้า
เดิมฮ่องเต้แห่งแคว้นเหลียวมีเพียงฮองเฮาคู่พระทัยเพียงแค่องค์เดียว และกำเนิดองค์ชายทั้งหมดสามพระองค์ คือ องค์ชายใหญ่ มู่เหวินเทียน ผู้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทในขณะนี้ องค์ชายรอง มู่หย่งไท่ ดำรงตำแหน่งชินอ๋องและ องค์ชายสาม มู่เหยียนหรง ดำรงตำแหน่งจวิ๋นอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเพราะมีฝีมือในการรบทัพจับศึกต่างจากองค์ชายรองที่แม้จะมีตำแหน่งชินอ๋องแต่ชมชอบในการใช้วาทศิลป์มากกว่าใช้กำลัง ต่อมาฮองเฮาพระมารดาแห่งแผ่นดินก็ได้สิ้นพระชนม์ลงในตอนที่อ๋องสามอายุย่างเข้าสิบห้าหนาวกำลังโตเป็นหนุ่มรูปงาม แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเป็นสาเหตุให้องค์ชายสามผู้อ่อนโยนเปลี่ยนไปราวคนละคนเมื่อพระบิดาแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่เคียงข้างบัลลังก์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จำเป็นต้องมีหงส์เคียงมังกรหากว่าหงส์ตัวนั้น มิใช่สตรีที่องค์ชายสามเฝ้าทะนุถนอมรอวันที่ครบกำหนดไว้อาลัยการจากไปของพระมารดาก็จะสู่ขอนางมาเคียงข้าง แต่นางกลับยอมสะบั้นรักพระองค์เพื่อนั่งตำแหน่งสูงสุดเหนือสตรีทั้งปวง ทำให้องค์ชายสามแบกหัวใจที่บอบช้ำระเห็จตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารจนสามารถไต่ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นด้วยความสามารถล้วนๆ และครั้งนี้เป
"ท่านแม่เจ้าขา" เสียงเล็กที่ดังขึ้นอย่างออดอ้อนในขณะที่มือบอบบางของลี่เซียนกำลังสาละวนกับการทำซี่โครงหมูตุ๋นให้ร่างเล็กเป็นมื้อเย็นของวันนี้"หืม ว่าอย่างไรจ๊ะคนเก่ง" ปากกระจับสีชมพูระเรื่อที่ขานรับโดยไม่มองใบหน้าเล็กที่กำลังส่งสายตากับบ่าวคนสนิทอย่างมีเลศนัย "ท่านแม่เจ้าขา หากมีคนมารับสำรับเย็นนี้ด้วยจะได้หรือไม่เจ้าคะ"มือบางที่ปิดฝาหม้อหมูตุ๋นแล้วหันมามองใบหน้าจิ้มลิ้มและดวงตากลมโตใสแจ๋วที่มองมายังนางอย่างรอคอยคำตอบ"ใครหรือจ๊ะ""สหายของลูกเองเจ้าค่ะ"เห็นมารดาทำท่าครุ่นคิดจึงรีบเอ่ยเสียงใส" สหายของลูกกล่าวไว้ว่า หากเป็นสหายกันแล้วการจะมาเยี่ยมเยือนสหายถึงเรือนมิใช่เรื่องแปลก หากแต่เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจและจริงใจของตนต่อสหายที่คบหาและการมาทำความรู้จักกับผู้ใหญ่คือการให้เกียรติเจ้าค่ะ" อืม ความคิดเข้าท่าช่างเป็นเด็กมีความคิดน่าคบหา ใช้ได้มองเด็กน้อยตรงหน้าแล้วยกยิ้มหวานขึ้นก่อนจะเอ่ยอนุญาต"เอาสิจ๊ะ" "เย้ ท่านแม่ใจดีที่สุดเลย" มือบางจึงยกขึ้นยีผมคนตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว มิใช่ว่าแม่หนูน้อยชวนเพื่อนมาก่อนจะมาขออนุญาตนางหรอกหรือวันนี้จึงมาออดอ้อนให้นางทำซี่โครงหมูตุ๋นของชอบข
ลี่เซียนเดินตามร่างสูงออกมาด้านนอก เห็นชายชุดดำที่ตอนนี้ถูกเปิดผ้าคลุมหน้าออกนั่งคุกเข่าเอามือไพล่หลังมองมายังอ๋องสามมู่เหยียนหรงและนางด้วยสายตาแข็งกร้าว "โจวซุ่น นำแม่นางลี่เซียนไปรอที่รถม้า" หันมาสั่งคนสนิทที่เดินมารับสัมภาระจากสตรีที่เดินตามหลังพระองค์มาด้วยใบหน้างอง้ำ"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง เชิญขอรับแม่นางลี่เซียน" ลี่เซียนส่งห่อผ้าให้คนของอ๋องสาม สั่งเสร็จเจ้าตัวก็เดินไปยังกลุ่มของคนชุดดำที่ถูกคุมตัวอยู่โดยไม่หันมามองนาง"ว่าอย่างไรเหวินเชาไม่เจอกันนานเลยนะ แต่เจ้าก็ไม่พัฒนาฝีมือขึ้นเลย ยังคงไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ไม่คิดว่าบิดาเจ้า จะปล่อยให้คนไร้ฝีมือเช่นเจ้ามาทำการใหญ่"อ๋องสามที่ทักทายชายชุดดำที่มองพระองค์อย่างไม่พอใจความจริงชายผู้นี้ก็มีฝีมือไม่เลว แต่เป็นเพราะความอวดดี และความใจร้อนจึงทำให้แพ้ภัยตัวเอง ตลอดระยะเวลาสองปีพระองค์ตามสืบจนล่วงรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังชนเผ่าเหล่านี้คือเสนาบดีเฒ่า จางกงหยวน แต่ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิด เพราะเฒ่าเจ้าเล่ห์มีอำนาจอยู่ในมือไม่น้อย"อยากจะฆ่าก็ฆ่าไม่ต้องเสียเวลามาพูดให้มากความ"จางเหวินเชาบุตรชายลับๆ ที่เกิดจากเสนาบดีเฒ่า จางกงหยวน กับนา
"เห็นทีว่าข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการไม่ได้" อ๋องสามกล่าวกับสตรีที่มองพระองค์อย่างไม่พอใจ"ไปเก็บของซะ เจ้าและเสี่ยวซีต้องอยู่ในความดูแลของข้า เราจะเดินทางกลับเมืองหลวงกัน" ลี่เซียนที่มองใบหน้าบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าที่ไม่มีแววล้อเล่น"ไม่ หม่อมฉันไม่ไปไหนกับพระองค์ทั้งนั้น หม่อมฉันดูแลตัวเองและซีเอ๋อได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนอื่น"อ๋องสามมองสตรีตรงหน้าอย่างอดทนอดกลั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรกับปากเล็กๆนั่นที่ขยันพ่นวาจาร้ายกาจทำร้ายจิตใจพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า" ดูแลตัวเองได้อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หากไม่ใช่ข้าแต่เป็นคนร้ายจริงๆ จะเป็นอย่างไร หากข้ามาไม่ทันเสี่ยวซีจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญพวกมันคงไม่ปล่อยให้เจ้าและเสี่ยวซีมีชีวิตรอดหรอกนะ ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกบ้าง ข้าไม่ปล่อยให้บุตรของสหายต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะความดื้อรั้นของใครหรอกนะ และข้าไม่ใช่คนอื่น เจ้าอย่าได้ลืมว่าข้ากับสามีเจ้าเป็นสหายกัน"ลี่เซียนที่จ้องตาคมดุนั้นอย่างไม่เกรงกลัว หากนางไม่ใช่มารดาของเสี่ยวซี พระองค์คงจะไม่สนใจไยดีสินะ ได้ อยากจะเข้าใจอย่างนั้นก็เชิญเลย ปากก็พูดว่านางเป็นภรรยาของสหาย
"หากกลัวก็บอกมา ว่าหลักฐานอยู่ที่ใด แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป" เสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะเล็ก แอบสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเส้นผมนุ่ม"เงียบซะข้าไม่ชอบเสียงร้อง" อึก อึก ลี่เซียนที่เงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่กักนางไว้ในอ้อมแขนยิ่งมองใกล้ๆ ทำไมถึงได้ดูคุ้นนัก ร่างสูงที่เห็นว่าร่างบางนั้นเงียบไปจึงได้ผละออกเล็กน้อยก้มลงมองใบหน้างามที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา จึงทำให้ใบหน้าทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบตาจ้องตาอย่างมิอาจเลี่ยง ราวมีแรงดึงดูดจากร่างเล็กทำให้ใบหน้าคมเข้มโน้มต่ำลงมา แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างใจปรารถนาพรึ่บ!!! "ท่าน!! คนเลว คนชั่วทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไรกัน" มือเล็กที่ยกขึ้นทุบอกแกร่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แล้วน้ำตาที่อดกลั้นก็พังทลายลงมาอีกครั้งอ๋องสามมู่เหยียนหรงที่ไม่คาดคิดว่านางจะกระชากผ้าปิดหน้าออกถึงกับตกใจ ก่อนจะได้สติเมื่อคนตัวเล็กปล่อยโฮออกมาจนพระองค์ถึงกับทำอะไรไม่ถูก"เซียนเอ๋อ หยุด หยุดก่อน ฟังก่อน" มือหนาที่รวบมือเล็กที่ทุบตีพระองค์ไม่ยั้งแต่แรงคนที่กำลังโกรธกลับมีมากไม่คิดจะหยุดทั้งทุบทั้งตีทั้งข่วนจนคอแกร่งเลือดออกซิบ แต่อ๋องสามกลับมิได้สนใจกลัวแต่ว่านางจะเจ็บมือ จึง
ร่างสูงใหญ่ในชุดดำที่ปิดบังใบหน้าถึงกับสะดุดลมหายใจ หัวใจที่เย็นชาเต้นผิดจังหวะไปจังหวะหนึ่ง เมื่อสตรีผู้ที่เขาตามหามากว่าสองปีหันใบหน้างดงามมาทางตน ก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเรียบ ควบคุมความรู้สึกที่แปลกไปของตนเอง"เข้าไปด้านใน เดี๋ยวนี้" ชายชุดดำที่หันปลายกระบี่มาทางนางพูดขึ้น ลี่เซียนที่มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นทางรอดจึงหันหลังเปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งเป็นเรือนนอนของนาง โชคดีเหลือเกินที่ทุกคนออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นนางไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ เมื่อก้าวพ้นประตูมาจึงได้ยินเสียงปิดประตูตามหลังหันไปมองห้องด้านในที่มีชายชุดดำอีกสองคนรื้อค้นข้าวของจนกระจุยกระจาย โดยไม่ต้องบอกนางก็รู้ได้ว่าคนพวกนี้มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด เหอะ นางพยายามพาตัวเองและบุตรถอยห่างจากปัญหาและอันตรายแต่สุดท้ายกลับหนีไม่พ้น ต้องมาพัวพันกับเรื่องราวเหล่านี้อยู่ดี หรือการที่นางมาอยู่ที่นี่มาพัวพันกับทุกคนที่เกี่ยวข้องเพราะต้องการให้นางมาคลี่คลายทุกอย่าง แต่นางก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งจะช่วยอะไรได้ ไม่ได้มีวิชาการต่อสู้อะไรเลย หากถูกฆ่าก็ตายจริงๆ เจ็บจริงๆ ไม่ได้มีความเทพอะไรเลย "หลักฐานอยู่ที่ไหน" ลี่เซียนหลุดจากความคิดที่กำลังสับส
อ๋องสามมู่เหยียนหรงที่กลับมาถึงตำหนักหยกขาวก็เห็นว่ากำลังทหารที่ติดตามพระองค์อยู่ที่เมืองฉางอันห้าสิบนายที่ล้วนเป็นทหารฝีมือดีที่พระองค์ฝึกมาเองกับมือนั้นตั้งขบวนกันพร้อมแล้วรอเพียงแค่คำสั่งเคลื่อนขบวนจากพระองค์เท่านั้น ก็พร้อมออกเดินทาง แต่ร่างสูงสง่ากลับเดินหน้าตึงเข้าไปในตำหนักโดยไม่สนใจทหารใต้บังคับบัญชาที่มองตามวรกายสูงศักดิ์อย่างไม่เข้าใจว่านายเหนือหัวไปกินรังแตนมาจากไหน อ๋องสามเมื่อเข้ามาภายในห้องบรรทมก็เปลื้องอาภรณ์เดินตรงไปชำระล้างวรกายแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มือหนาขัดถูสัมผัสและกลิ่นกายของสตรีใจร้ายที่ยังรู้สึกถึงกลิ่นหอมของนางที่ยังติดตรึงอยู่ล้างเพียงใดก็ล้างไม่ออก ก่อนจะเดินออกมาจากห้องอาบน้ำทั้งที่หยดน้ำยังเกาะพราวตามตัวคว้าเอาอาภรณ์มาสวมอย่างลวกๆ โจวเฟิงที่วิ่งกระหอบเข้ามาเมื่อทหารมารายงานว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว เจอโจวซุ่นที่นั่งอยู่ด้านหน้าตำหนักโดยไม่เห็นวรกายของท่านอ๋องจึงเอ่ยถามขึ้น "ท่านอ๋องเล่า""อยู่ข้างใน"โจวซุ่นที่มองสหายที่รีบร้อนเข้าไปอย่างไม่เข้าใจว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรถึงได้รีบร้อนนัก"ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ""มีอะไร"เสียงขานรับของนายเหนือหัวถึงกับทำใ
แสงที่สาดส่องแยงตาทำให้ลี่เซียนรู้สึกตัวตื่น ขยับกายที่เมื่อยขบพร้อมกับอาการปวดศีรษะ กำลังจะพลิกกายเพื่อลงจากเตียงแต่กลับรู้สึกถึงความหนักที่พาดอยู่ตรงเอวบาง สติที่ยังมาไม่ครบดีในตอนแรกแทบจะวิ่งเข้าร่างนางเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายนางเปลือยเปล่า ก่อนจะพลิกไปมองด้านข้างที่มีบุรุษคุ้นตานอนหลับอย่างสบายอยู่ เท้าบางจึงยันร่างหนาเต็มแรงด้วยความลืมตัว"โอ้ยยย"เสียงร้องของบุรุษที่กำลังหลับฝันดี ลืมตาอีกทีก็มานอนอยู่บนพื้นด้านล่าง เงยหน้ามองสตรีที่เป็นสาเหตุทำให้พระองค์มานอนกองอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนี้ ร่างบางที่เอาผ้าห่มมาคลุมจนถึงคอแต่เท้าเล็กที่โผล่ออกมายังยกค้างอยู่ทำให้พระองค์มองสตรีตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางถีบพระองค์ สตรีน่าตาย นี่นางถึงกับกล้าถีบพระองค์เลยหรือเมื่อคืนก็ลงมือกับพระองค์อย่างเลือดเย็นทีนึงแล้ว พอเช้ามากลับถีบพระองค์เสียตกเตียง รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น อย่างนี้เห็นทีจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ คงจะต้องสั่งสอนให้หลาบจำเสียแล้ว ว่าแล้วร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เห็นใบหน้าสตรีที่มองมาอ้าปากค้างจ้องพระองค์แทบตาถลนจึงมองตามสายตาของนาง "เห้ย"แล้วรีบกระโดดเข้าไปตะ
เสียงหัวเราะใสกังวานของลี่เซียนดังขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของท่านโจวซุ่น แล้วจึงเอ่ยขึ้น"เห็นท่าทางของท่านโจวซุ่นแล้ว บุรุษที่จะมาเป็นสามีของข้าในอนาคตนั้นคงยังไม่มีกระมัง"แล้วเสียงหัวเราะของคนทั้งสามก็ดังขึ้นอีกระลอกอ๋องสามที่นั่งเงียบส่งสายตาให้คนสนิทที่ไม่มีทีท่าว่าจะมองมายังพระองค์เลย จึงใช้เท้าเหยียบลงบนหลังเท้าของคนสนิทอย่างแรง" โอ้ยยย"เสียงของโจวซุ่นที่ร้องขึ้นเสียงหลงทำให้ลี่เซียนถามขึ้นอย่างตกใจ" เป็นอะไรไปเจ้าคะท่านโจวซุ่น" "เอ่อ ยุงกัดน่ะขอรับ" เอ่ยกับสตรีตรงหน้าแล้วยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้ก่อนจะหันไปมองยุงตัวโตที่กัดเขา เห็นสายตาที่มองมาเหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ไม่ยอมเอ่ยใครจะไปรู้กันเล่า "รินสุราให้ท่านลุงฉีหน่อยสิโจวซุ่น สุราในจอกท่านลุงหมดแล้วไม่เห็นหรืออย่างไร"เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบาๆ ทำให้โจวซุ่นมองผู้เป็นนายทีมองแม่นางลี่เซียนที ท่านอ๋องคงไม่คิดที่จะ... "โจ่วซุ่น" เอ่ยเรียกพร้อมถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง" อ๋อ เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ ดื่มๆ ท่านลุงดื่ม วันนี้ไม่เมาไม่เลิก"ลี่เซียนที่เห็นสองนายบ่าวกระซิบกระซาบกันก็มองอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก จึงเอ่ยขอตัว"นี่ก็ดึกมากแล้วถ้า
การปรากฏกายของบุรุษสูงศักดิ์ทำให้เกิดความเงียบขึ้นจนแม้แต่เข็มตกสักเล่มคงจะได้ยิน ลี่เซียนที่เห็นบุรุษตรงหน้าถึงกับยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองคิดว่านางจะเมาสุราของท่านลุงฉีจนตาฝาดมองเห็นบุรุษที่ทำให้นางนอนไม่ค่อยจะหลับทั้งคืนมาอยู่ตรงหน้า แต่เสียงดุๆ ที่ดังขึ้นกับเสียงคุกเข่าของทุกคนที่ค้อมลงทำให้รู้ว่านางไม่ได้ตาฝาด"เปิ่นหวางแค่มาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซีเอ๋อว่าจะมาร่วมยินดี ก่อนจะออกเดินทาง เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดว่าเปิ่นหวางมายุ่งวุ่นวาย"พูดกับสตรีตรงหน้าที่มองพระองค์หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเย็นชา ไม่ต้องแสดงอาการรังเกียจพระองค์ออกหน้าออกตาขนาดนั้นก็ได้ ทรงรู้อยู่แล้วว่าไม่อยากต้อนรับ ก่อนจะบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย โดยไม่คิดจะหันไปมองสตรีที่ทำให้พระองค์ใจเต้นแรงตั้งแต่เห็นใบหน้างามนั้นแดงก่ำ ตาหวานเยิ้มเย้ายวนคงเป็นเพราะฤทธิ์สุราที่วางเรียงรายอยู่กระมัง ท่านลุงฉีและทุกคนเมื่อหายตกตะลึงเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์ที่พวกตนเทิดทูนและชื่นชมมายืนอยู่ตรงหน้าก็ปลาบปลื้มนักและพระองค์ก็มิได้ถือตนว่าสูงศักดิ์แต่กลับให้ความเป็นกันเองจึงได้คลายอาการเกร็งลงรีบกุลีกุจอเชื้อเชิญพระองค์แทบจะอุ้มเลยก็ว่าได้ ส่วนเสี่
ลี่เซียนที่นำของทุกอย่างที่เก็บเอาไว้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นหยกพกสีแดงเลือด เครื่องประดับที่อยู่ในกล่องไม้ราคาแพงลวดลายบนกล่องใบนี้ล้วนฝังด้วยทองคำและอัญมณี นางคิดว่าราคากล่องคงจะแพงพอๆ กับราคาเครื่องประดับด้านในกระมัง เครื่องประดับที่ว่าคือเครื่องประดับที่ทำจากทองคำและอัญมณีเข้าชุดกันไม่ว่าจะเป็นปิ่นปักผม สร้อยคอ กำไล แหวนล้วนลวดลายเดียวกัน เอ่อ และแหวนหยกอีกวงที่นางขอยืมไปจำนำไว้แต่ตอนนี้ก็ไถ่ถอนมาคืนแล้ว ก็ตอนที่ก่อตั้งร้านต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงต้องขอหยิบยืมก่อน บนเครื่องประดับทุกชิ้นล้วนมีอักษรคำว่า"อัน" สลักอยู่คงจะเป็นแซ่ของเจ้าของและผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ตอนนี้กลายเป็นสีหม่นเพราะเก็บไว้นาน แต่ตัวอักษรที่ปักตรงมุมผ้ายังคงชัดเจน ฉางชุน นางได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไม่ต้องสงสัย นั่งมองสิ่งของเหล่านี้อยู่เป็นชั่วยามแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีหลักฐานอะไรซ่อนอยู่จะเอาออกไปถามใครก็ไม่ได้ จึงตัดสินใจเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ตามเดิม พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของเสี่ยวซีที่นางตั้งขึ้นเอง เพราะนางเจอเสี่ยวซีในวันนี้เมื่อสองปีก่อน จึงได้ให้วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวซีและนางจะได้ทำบุญให้มารด