เทศกาลโคมไฟวันหยวนเซียว ใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินได้พาบุตรชายและบุตรีไปเที่ยวภายในงาน พี่ใหญ่มีหน้าที่คอยดูแลน้องๆ ช่วยบิดาและมารดา แต่ทว่าความชอบของเด็กๆ นั้นต่างกัน บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณชายทั้งสามและคุณหนูห้ามละสายตา
พี่ใหญ่กับน้องเล็กอยากไปดูการละเล่นต่างๆ เช่นการโยนลูกศรให้ลงเป้าและการประลองหมากล้อมที่ใช้สติปัญญาในการเล่น ส่วนพี่รองกับพี่สามนั้นอยากไปชื่นชมการต่อบทกวี และฟังดนตรี ทั้งสี่คนจึงแยกเป็นสองกลุ่ม ฉีอันหนิงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการได้ออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟวันหยวนเซียวซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกของนาง “ท่านพี่ใหญ่เจ้าคะ เราไปดูหมากล้อมกันก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามดังขึ้นมาแข่งกับเสียงของดนตรีที่บรรเลงดังอยู่ไม่ไกล “ดีสิ ไปกันเถิดน้องสี่” พี่ใหญ่มิได้ขัดใจน้องสาวตัวน้อย เขาจูงมือเล็กของนางเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปที่วงหมากล้อมพร้อมกับบ่าวที่เดินตามหลังมาถึงสี่คน หมากล้อมวงนี้กำลังประลองสติปัญญาการเดินหมากกันอยู่อย่างสนุกสนาน ฉีอันหนิงมองการประลองตรงหน้าด้วยความสนใจ พลางคิดการวางหมากไปพร้อมๆ กับผู้ที่กำลังประลองอยู่ ฉีอันหลงที่ยืนอยู่เคียงข้างกับน้องสาวยกมือขึ้นมาลูบคางของตนเองพลางครุ่นคิดแนวทางการวางหมากตรงหน้าเช่นเดียวกัน แต่ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังจมอยู่กับความคิดอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านข้าง “อันหนิง เจ้ามิอยากลองเล่นหรือ” เสียงหวานที่ดังขึ้นไม่ไกลทำให้นางหันไปมอง “อ้าว…ก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ฉินหรงนี่เอง” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด “คารวะท่านพี่อันหลงเจ้าค่ะ” เด็กหญิงมิลืมที่จะเอ่ยทักทายพี่ชายของฉีอันหนิง “ตามสบายเถิด” ฉีอันหลงบอกเท่านั้นก่อนที่จะสนใจมองการแข่งขันหมากล้อมต่อไปโดยมิได้สนใจสหายตัวน้อยของน้องสาวอีก “แล้วเจ้าจะเล่นหรือไม่อันหนิง” คุณหนูสกุลซูเอ่ยถามฉีอันหนิงออกมาอีกครา “ผู้ใหญ่เขาเล่นกันอยู่ มิใช่เด็กเช่นเราจะเล่นได้ แค่มองดูก็พอแล้ว” ตอบออกมาจบประโยคก็หันหน้ากลับไปมองการแข่งขันตรงหน้าแล้วเลิกสนใจสหายที่สำนักศึกษาผู้นี้อีก ซูฉินหรงพอเห็นว่าคนตรงหน้ามิได้สนใจไยดีตนอีก นางจึงเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เง้างอเพราะคนที่นางสนใจกลับไม่สนใจนาง ถ้ามิใช่เพราะบิดาและมารดาแนะนำให้นางตีสนิทและเป็นสหายกับฉีอันหนิงให้ได้ ป่านนี้นางคงจะเมินคุณหนูสี่แห่งสกุลฉีที่แสนฉลาดผู้นี้ไปแล้ว “มิใช่สหายที่สนิทของน้องหรอกหรือ” ฉีอันหลงเอ่ยถามน้องสาวออกมา แต่ทว่าสายตาของเขาก็เอาแต่จดจ้องการแข่งขันหมากล้อมตรงหน้าด้วยความสนใจ “มิใช่หรอกเจ้าค่ะ นางอยากสนิทกับน้อง แต่น้องมิอยากสนิทกับนาง” คนฟังถึงกับหัวเราะออกมาในลำคอ “พี่เห็นเจ้ามีสหายคนสนิทอยู่เพียงแค่สองนางเท่านั้นใช่หรือไม่” “ใช่แล้วเจ้าค่ะ มีแค่เจียวซินกับซูซูเท่านั้น” ฉีอันหนิงตอบก่อนที่สองพี่น้องจะพากันเงียบไปเพราะกำลังสนใจการแข่งขันตรงหน้าที่ใกล้จะรู้ผลผู้แพ้ผู้ชนะเต็มที “ผิดแล้ว!!!” สองพี่น้องอุทานขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อฝ่ายบุรุษชุดน้ำเงินวางหมากล้อมลงไปบนกระดาน สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นด้วยหรืออันหนิง" เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างๆ กันกับเด็กหญิง “เจียวซิน!! อือ…ข้าเล่นเป็น” คนถูกถามอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาทักทายนางเป็นผู้ใด ก่อนที่จะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายและตอบออกมา “อืม…. เจียวซินนี่คือท่านพี่อันหลง พี่ใหญ่ของเราเอง” อันหนิงมิลืมที่จะแนะนำสหายสนิทให้รู้จักพี่ใหญ่ของตน เด็กหญิงคำนับพี่ชายของเพื่อนสนิท “คารวะท่านพี่อันหลงเจ้าค่ะ” “ตามสบายเถิดน้องหญิง” พอได้ยินชื่อ ฉีอันหลงก็พอจำได้ว่าเด็กหญิงผู้นี้นั้นเป็นสหายคนสนิทของน้องสาวของตน เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างเป็นกันเองและส่งยิ้มให้กับนาง บุรุษร่างสูงโปร่งวัยสิบสามยืนเด่นเป็นสง่า ข้างๆ กันมีเด็กหญิงที่มีหน้าตาน่ารักน่าชังยืนเคียงกันอยู่ ทั้งสามกำลังยืนลุ้นผลของการแข่งขัน ก่อนที่จะจบลงในเค่อเดียว สองพี่น้องพากันส่ายใบหน้าไปมาพร้อมกัน ซ่งเจียวซินที่มองเห็นอากัปกิริยาของสองพี่น้องถึงกับแอบขำออกมา “มีผู้ใดอยากจะลองอีกไหม” เสียงของบุรุษที่แข่งขันชนะเอ่ยออกมาอย่างท้าทาย “พี่ใหญ่ ลองสิ…เดี๋ยวน้องคอยช่วย” น้องเล็กรีบบอกพี่ชายทันทีเมื่อเห็นท่าทางหยิ่งผยองของอีกฝ่าย “จะดีเหรอน้องสี่” ฉีอันหลงเอ่ยถามน้องด้วยความไม่แน่ใจ เพราะถ้าหากแพ้คงจะเสียชื่อสกุลฉีเป็นแน่ “ดีเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านเชื่อข้าเถิด ด้วยสติปัญญาของท่านรวมกับของข้าแล้ว ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะมิทำให้สกุลฉีขายหน้าเป็นแน่” คำตอบที่จริงจังของน้องสาวทำให้พี่ชายคนโตมั่นใจ เขาจึงเสนอตัวแต่ทว่าขอให้เขาและน้องสาวได้ช่วยกัน อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าทั้งคู่เป็นเด็กจึงไม่ขัดข้อง ซ่งเจียวซินยืนให้กำลังใจพี่ชายของสหายและสหายที่นางสนิทอย่างชิดติดขอบ ร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสามปีนั่งลงบนเก้าอี้ประจันหน้ากับอีกฝ่ายที่ดูมีอายุมากกว่าถึงสิบกว่าปี นัยน์ตาคมกล้าของฉีอันหลงเป็นประกายขึ้นมาเมื่อมองไปยังคนที่ยืนส่งเสียงให้กำลังใจเขาและน้องสาว บ่าวทั้งสี่นั้นมิได้เอ่ยห้ามอันใดเพราะรู้ดีถึงฝีมือการเล่นหมากล้อมของสองพี่น้อง “เริ่มเลยดีกว่านะเจ้าคะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาก่อนที่จะได้รับสายตาเยาะหยันแกมดูถูกของอีกฝ่าย เกมการแข่งขันหมากรุกที่มิได้มีเดิมพันอันใดนอกจากชื่อเสียงและหน้าตาของตระกูลเริ่มต้นขึ้นอย่างที่ฉีอันหนิงต้องการ อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มเกมก่อน ฉีอันหลงวัยสิบสามปีแต่ทว่ามีท่าทีสุขุม ใบหน้าของเขามิได้ฉายแววแห่งความกังวลออกมาแม้แต่เพียงเศษเสี้ยว ผู้ที่มามุงดูการแข่งขันหมากล้อมเพิ่มมากขึ้น เพราะต่างก็ให้ความสนใจกับการประลองในครั้งนี้ “ลำบากท่านแล้ว” ริมฝีปากเล็กยกยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายเอ่ยประโยคนี้ บุรุษหนุ่มที่มีความมั่นใจอยู่ก่อนหน้าเกิดความระแวงขึ้นมาทันทีเมื่่อเห็นว่าอีกฝ่ายวางหมากโดยใช้สติปัญญาเข้าช่วย เขาพยายามสงบแล้วแท้ๆ แต่ก็มิอาจต้านทานความเก่งกาจของเด็กชายตรงหน้าได้ ไหนจะเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนเคียงข้างคอยช่วยพี่ชายของนางอีก “เก่งจริงๆ หนูน้อยทั้งสอง เจ้าเป็นลูกหลานจากตระกูลใดกันหรือ” ผู้คนที่มามุงดูการประลองในครั้งนี้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสนใจ “คุณชายใหญ่กับคุณหนูสี่ของพวกข้าเป็นบุตรชายคนโตและบุตรีคนเล็กของใต้เท้าฉีและฉีฮูหยิน” พอได้ยินเช่นนั้นเสียงปรบมือก็ยิ่งดังขึ้นไปอีก มีผู้ใดบ้างในเมืองตงหลางจะมิรู้จักสกุลฉี เพราะใต้เท้าฉีที่ว่าก็คือเจ้าเมืองตงหลาง เจ้าเมืองที่ทำหน้าที่เจ้าเมืองได้อย่างดีเยี่ยม จนชาวเมืองต่างยกย่องให้เขาเป็นขุนนางที่มีความตงฉิน ซื่อสัตย์ สุจริตเห็นแก่ส่วนรวมของบ้านเมือง “คุณชายกับคุณหนูทั้งสองช่างเก่งกาจนัก ข้าน้อยขออภัยที่ใช้วาจาล่วงเกิน ข้าน้อยยอมรับความพ่ายแพ้” บุรุษที่เป็นคู่ประลองเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาขออภัยสองเด็กน้อย “มิเป็นไรหรอก ท่านก็เก่ง เพียงแต่ท่านต้องมีสติและรู้จักถ่อมตนมากกว่านี้” ฉีอันหลงเอ่ยออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วจูงมือน้องสาวเดินออกจากวงหมากล้อมไปท่ามกลางเสียงชื่นชมจากเหล่าผู้ที่มามุงดูการประลอง โดยมิลืมที่จะคว้ามือสหายคนสนิทของน้องสาวที่ยืนปรบมือให้เขาและน้องสาวเมื่อครู่ให้เดินออกมาจากวงหมากล้อมนั้นด้วย “ท่านพี่อันหลงกับอันหนิงจะไปที่ใดกันต่อหรือเจ้าคะ” ซ่งเจียวซินเอ่ยถามพี่ชายคนโตของสหายคนสนิท “พี่จะพาน้องหญิงสี่ไปโยนศร น้องเจียวซินอยากไปกับพวกเราด้วยหรือไม่” เขาตอบนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกับนายหญิงให้กลับไปหาที่โรงเตี๊ยมอู่เซียว” สาวรับใช้ที่ติดตามคุณหนูรองมาเอ่ยทักท้วงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าคุณหนูนั้นอยากจะติดตามสหายสนิทไป “อ้อ… อืม อันหนิง ข้าคงไปกับเจ้าด้วยมิได้แล้วล่ะ ขอให้คืนนี้สนุกนะ แล้วเจอกันที่สำนักศึกษาจ้า” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหญิงเป็นบุตรีที่เชื่อฟังบิดาและมารดาเป็นที่สุด แค่พวกท่านอนุญาตให้นางเดินมาเที่ยวตามลำพังกับพวกสาวรับใช้ เพียงเท่านี้ก็มากพอสำหรับนางแล้ว “จ้า… เจ้าไปเถอะ ข้ากับพี่ใหญ่ก็จะไปเช่นกัน” ฉีอันหนิงบอกอย่างเข้าใจ คุณหนูรองสกุลซ่งคำนับลาพี่ชายของสหายคนสนิทก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับสาวรับใช้และบ่าวชายที่ติดตามเจ้าของร่างเล็กมาถึงสี่คน สองพี่น้องมองนางก่อนที่จะเดินจับมือกันไปตามเส้นทางที่ไปยังสถานที่ประลองโยนศรในงานเทศกาลหยวนเซียวในค่ำคืนนี้ เมื่อถึงสถานที่ประลองก็พบว่ามีผู้ที่สนใจเข้าร่วมประลองหลายคน ฉีอันหนิงที่เชี่ยวชาญในการโยนศรให้ลงเป้าเสนอตัวทันทีเมื่อมีการเอ่ยถามถึงผู้ท้าชิงคนต่อไป หลายคนมองมาต่างพากันขำขัน เพราะมิคาดคิดว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะชนะผู้ใหญ่ตัวโตที่มีช่วงแขนยาวได้ “แม่นางน้อย ข้าจะต่อให้เจ้าห้าดอก” บุรุษที่อายุน่าจะเกินยี่สิบปีเอ่ยขึ้นก่อนที่ผู้คนรอบๆ จะพากันยิ้มออกมาให้กับความกล้าของเด็กหญิง “มิต้องหรอกเจ้าค่ะ นับตามความเป็นจริงเถิด” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ ผู้เป็นพี่ชายคนโตยกยิ้มที่มุมปาก ผู้คนเหล่านี้ดูถูกน้องสี่ของเขามากเกินไปแล้ว “ฮ่าๆๆๆ เด็กน้อย เจ้าต้องการเช่นนั้นเองนะ ข้ามิได้บังคับ หากเจ้าจักต้องอับอายในค่ำคืนนี้เจ้าจะมาโทษข้าว่ารังแกเจ้ามิได้หรอกหนา” บุรุษหนุ่มผู้ที่ถูกเด็กหญิงท้าประลองถึงกับเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างดูถูกเย้ยหยัน “รอให้การประลองจบก่อนเถิด แล้วท่านค่อยหัวเราะน้องสาวของข้าก็ยังมิสาย” ฉีอันหลงเอ่ยออกมาด้วยความมิพอใจที่บุรุษผู้นี้นั้นหัวเราะน้องสาวของตน “เอาล่ะ การประลองรอบนี้จะเป็นการโยนให้ลงเป้า ทั้งหมดมียี่สิบดอก ให้ลงเป้าได้มิเกินสองดอกต่อหนึ่งเป้า” ผู้ที่จัดการประลองเอ่ยกติกาการประลองออกมา ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาต่างก็หยุดชมการประลองระหว่างบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงที่มีช่วงแขนที่ยาวกับเด็กหญิงที่มีรูปร่างเล็ก “จะชนะได้เช่นไรกันตัวเล็กเช่นนี้” สตรีผู้หนึ่งแสดงความคิดเห็นของนางออกมา “นั่นสิ ดูแขนก็รู้แล้วว่ามิมีทางจะชนะได้หรอก” บุรุษที่ยืนชมอยู่ก่อนหน้าแสดงความคิดเห็นเช่นกัน “พวกท่านอย่าเพิ่งตัดสินกับสิ่งที่เห็น แต่จงดูให้จบก่อนเถิด แล้วพวกท่านจะรู้ว่าคุณหนูสี่ของพวกข้าน้อยนั้นมิใช่เด็กน้อยที่พวกท่านจะมาดูถูกนางได้” ซุนซุนเอ่ยออกมาด้วยความมิพอใจ แต่นางเป็นเพียงบ่าวรับใช้จึงมิอาจแสดงความคิดเห็นออกมาได้มากมาย การโยนศรลงกาปากสูงที่เรียงกันสิบกาเริ่มต้นจากฝ่ายบุรุษหนุ่มที่มีสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจกับการโยนลูกศรของตน เพราะตั้งแต่งานเริ่มมายังมิมีผู้ท้าชิงคนใดสามารถล้มเขาได้ เขาเดินไปหยิบลูกศรที่ทำมาจากไม้ไผ่แล้วทำเหมือนลูกธนูขึ้นมาถือเอาไว้ ก่อนที่จะเริ่มโยนศรดอกแรกให้ลงปากกาสูงอันแรก ศรดอกแรกที่ลอยออกจากมือของบุรุษหนุ่มเข้าไปยังเป้าได้อย่างแม่นยำ ศรดอกที่สองที่ถูกโยนออกไปก็เข้าไปในเป้าเดียวกันอย่างง่ายดาย ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นมาด้วยความพอใจ บุรุษหนุ่มผู้ถูกเด็กหญิงตัวน้อยท้าประลองค่อยๆ โยนศรไปจนเหลือสองดอกสุดท้าย แต่เพราะความชะล่าใจ ความเย่อหยิ่งและมั่นใจในตนเองที่อยากจะแสดงให้ผู้ชมได้เห็นว่าเขาเก่งกาจ เขาโยนมันออกไปพร้อมกันทั้งสองดอก แต่แล้วลูกศรดอกหนึ่งกลับกระเด็นออกจากปากกา ทำให้เขาเสียแต้มไปหนึ่งแต้ม ใบหน้าที่เย่อหยิ่งก่อนหน้าฉายแววสลดลงเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะปรับสีหน้าให้เป็นเช่นเดิมเพียงเวลาไม่นาน เขามั่นใจว่าเด็กน้อยผู้นี้มิอาจจะชนะเขาไปได้ เพราะมองเช่นไรนางก็เป็นเพียงแค่เด็กหญิงคนหนึ่งที่ดูมิได้เก่งกาจเลยสักนิดการประลองโยนลูกศรลงกาปากสูงกลายเป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนในงาน เพราะในยามนี้ได้มีร่างเล็กของเด็กหญิงกำลังจะแสดงความสามารถของนางให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้ชม และผู้ที่นางเข้าไปท้าชิง มือเล็กถือลูกศรขึ้นมาทั้งสองอันก่อนที่จะโยนออกไปเบื้องหน้าที่มีกาปากสูงตั้งอยู่พร้อมกัน ผู้คนที่มองมาต่างลุ้นไปกับการโยนศรของเด็กหญิงที่มีหน้าตาน่ารักผู้นี้ ลูกศรไม้ไผ่ปลายแหลมคล้ายลูกธนูลอยละลิ่วลงไปในกาปากสูงทั้งสองอันอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงปรบมือดังกึกก้อง บุรุษหนุ่มที่ถูกเด็กหญิงท้าชิงถึงกับหน้าถอดสี“ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าเพิ่งกล่าวสิ่งใดออกมาก่อนที่จะได้เห็นจริงๆ” ฉีอันหลงเอ่ยออกมายิ้มๆ ก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวของตนด้วยแววตาที่ฉายแววภาคภูมิใจ“เยี่ยมๆๆ” เสียงของผู้ที่ชมการประลองอยู่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ เหลืออีกแปดดอกสำหรับลูกศรในมือ“เพิ่งลงแค่สองดอกอย่าเพิ่งดีใจไป ขนาดข้าเล่นทุกวันยังพลาดได้เลย”บุรุษหนุ่มผู้ที่ถูกเด็กหญิงท้าประลองเอ่ยออกมาด้วยท่าทางมั่นใจ มั่นใจว่าครั้งแรกที่เด็กน้อยผู้นี้ปาลงก็อาจจะเป็นเพราะความบังเอิญฉีอันหนิงมิได้มีท่าทีหวาดหวั่นแต่อย่างใด นางใช้สมาธิในการโยน น้ำหนักในการ
หลังจากที่บิดารับปากว่าจะให้ฉีอันหนิงฝึกขี่ม้าแล้ว เขาก็ทำตามที่รับปากนางเอาไว้โดยให้บ่าวรับใช้คนสนิทของตน เป็นผู้ช่วยฝึกให้นาง ฉีอันหนิงหัวเร็ว เด็กหญิงสามารถขี่ม้าได้แบบไม่หวาดกลัว ต่างจากพี่รองที่มิเอาดีในด้านนี้เลยสักนิด พี่ใหญ่มองน้องสาวด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ เขาขี่ม้าเป็นก่อนน้องๆ เพราะเขาเองก็ฝึกขี่ม้าในวัยเดียวกับผู้เป็นน้องสาวเช่นกัน“เก่งมากหนิงเอ๋อร์ อีกหน่อยเจ้าก็ขี่ม้าแข่งกับพี่ได้แล้ว” ฉีอันหลงเอ่ยชมน้องสาวออกมา“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องว่าน้องยังต้องฝึกให้บ่อยกว่านี้” ฉีอันหนิงถ่อมตน“รอเจ้าโตกว่านี้ก็แข่งตีคลีได้แล้ว ถึงยามนั้นสกุลฉีของเราคงมิมีผู้ใดสามารถเอาชนะได้แล้วล่ะ” เด็กหญิงส่งยิ้มให้กับผู้เป็นพี่ชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้าเคียงคู่กันไป ซุนซุนมองตามคุณหนูสี่ไปด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้ามิต้องห่วงคุณหนูสี่หรอกซุนซุน คุณหนูสี่ของเจ้าเก่งเกินวัย นางเป็นเด็กที่มีความสามารถ”ลุงลู่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากใต้เท้าฉีให้เป็นผู้ฝึกสอนคุณหนูสี่ขี่ม้าเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มลูกศิษย์เช่นนางมิมีผู้ใดที่มิอยากสั่งสอน เพราะคุณหนูสี่ความจำดี เรียนรู้เร็ว และอ่อนน้อมถ่อมตน นาง
หนึ่งปีต่อมาร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีกำลังขี่ม้าแข่งขันกับร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสี่ปี เสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ที่ข้างสนามทำให้สองพี่น้องชะลอความเร็วของม้าลง และค่อยๆ ขี่ม้ากลับมายังข้างสนาม ที่ซึ่งมีลุงลู่ ซุนซุน และหวงเทายืนอยู่ บ่าวชายรับม้าก่อนที่จะพาไปยังคอกม้า ส่วนคุณชายใหญ่และคุณหนูสี่ก็เดินนำทั้งลุงลู่และบ่าวรับใช้ทั้งสองกลับไปยังเรือนใหญ่“เป็นเช่นไรบ้างหลงเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ“ก้าวหน้ามากขึ้นแล้วขอรับท่านพ่อ อีกหกปีข้างหน้า ลูกว่าคงมิมีผู้ใดเอาชนะการตีคลีของสกุลฉีไปได้แล้วล่ะขอรับ” ฉีอันหลงตอบบิดาพลางมองหน้าน้องสาววัยแปดปี“ท่านพ่อ… ลูกยังอยากศึกษาวิชาการยิงธนูด้วยเจ้าค่ะ" คำขอที่ดังออกมาจากริมฝีปากเล็กของบุตรีทำเอาท่านเจ้าเมืองที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มถึงกับต้องชะงักมือ“เจ้าแน่ใจหรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรีของตนออกมาเพื่อความแน่ใจ“แน่ใจเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกเห็นท่านพี่ทั้งสามได้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู ลูกก็อยากจะฝึกบ้าง” เด็กหญิงวัยแปดปีกล่าวถึงเหตุผลออกมา“จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่ขี่ม้า
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า