สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนาน
เด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที “ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน “ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก” ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน “เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเจ้าถึงจะมิได้ออกไปสู้รบแต่ก็มีความสำคัญต่อราชวงศ์มาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว และแน่นอนว่าเจ้าจักต้องเก่งกาจมิแพ้บรรพบุรษของเจ้าอย่างแน่นอนมู่เฉิน” อาจารย์เฟยเอ่ยชมพร้อมถึงกล่าวถึงตระกูลของศิษย์หนุ่มที่ใครๆ ในเมืองตงฉวนต่างก็รู้จักดี ซ่งมู่เฉินคร้านจะเอ่ยออกมาจึงได้แต่ส่งยิ้มให้กับท่านอาจารย์ก่อนที่เขาจะฝึกซ้อมต่อไป เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการทดสอบเขาจึงต้องพยายามฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด ความมุ่งมั่นและความพยายามของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เขาผ่านการทดสอบอย่างง่ายดาย มิมีผู้ใดในรุ่นที่สามารถเอาชนะเขาได้ เขาคือผู้ที่ฮ่องเต้แคว้นโจวหนานทรงทำการคัดเลือกเองมากับมือ เพราะนอกจากบุคลิกของเด็กหนุ่มผู้นี้จะสุขุมนุ่มลึกแล้ว เขายังมีความฉลาดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทายาทคนโตสกุลมู่ ซ่งมู่เฉินผู้นี้นั้นมิได้เก่งเพียงแค่บู๊เท่านั้น เขายังมีความเก่งกาจในเรื่องบุ๊นอีกด้วย ซึ่งหากยากนักในราชสำนักในยุคสมัยนี้ “อันดับที่หนึ่งแห่งการทดสอบความพร้อมในคราวนี้คือซ่งมู่เฉิน” อาจารย์ที่เป็นผู้คุมการทดสอบในครั้งนี้ประกาศผลออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี “ยอดเยี่ยมไปเลย” บรรดาสหายที่เป็นมิตรกับเขาเอ่ยชมเชยออกมาจากใจจริง “ขอบใจพวกเจ้ามาก แต่ข้าว่าพวกเจ้าก็ยอดเยี่ยมมิแพ้กัน” ซ่งมู่เฉินบอกสหายเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความจริงใจ กลุ่มเด็กหนุ่มที่อิจฉาในฝีมือของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำได้แค่เพียงอิจฉาเขาก็เท่านั้น เพราะมิว่าผู้ใดในวัยรุ่นก็มิสามารถเอาชนะเขาได้สักคน เด็กหนุ่มส่วนมากจึงเลือกที่จะมองข้ามมากกว่าการจะหาเรื่องอีกฝ่าย “อีกสองข้างปีหน้าอาจารย์จะส่งพวกเจ้าไปประจำการอยู่แต่ละหน่วยที่มีฐานที่ตั้งอยู่ตามเมืองต่างๆ พวกเจ้าทุกคนคงจะรู้ถึงความหมายของการเป็นหน่วยพิเศษนั้น มีหน้าที่ต้องทำ และห้ามเปิดเผยตัวตนว่าพวกเจ้านั้นทำงานอยู่หน่วยใด” “ขอรับ” เหล่าลูกศิษย์ตอบออกมาพร้อมกัน “ถ้าเช่นนั้นวันนี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยฝึกซ้อมกันใหม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าลูกศิษย์จึงยกมือขึ้นมาคำนับลาอาจารย์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนในที่ของตน “มู่เฉิน นี่เจ้าจะกลับเมืองตงหลางหรือไม่” เพราะผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งถึงที่ยี่สิบจะได้สิทธิ์ในการกลับบ้าน ซ่งมู่เฉินได้ลำดับที่หนึ่ง จึงเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาได้รับสิทธิ์นั้น “นั่นสิขอรับคุณชาย ท่านจะกลับไปยังเมืองตงหลางหรือไม่” ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามเขามาจากเมืองตงหลางเอ่ยถามออกมาบ้าง “กลับสิ… ข้าคิดถึงน้องสาว และอยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าด้วย” อนาคตหัวหน้าหน่วยพิเศษเอ่ยออกมา “น้องสาว… เจ้ามีน้องสาวด้วยเหรอ” สหายคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มีสิขอรับ คุณชายของข้าน้อยมีน้องสาวอายุห่างกันหลายปี แต่นางหน้าตามิต่างจากคุณชายเลยขอรับ” จูจงฉีรีบตอบแทนคุณชายของตน “เช่นนั้นข้าขอจองนางไว้ก่อนได้หรือไม่” เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลามิแพ้กับคุณชายสกุลซ่งเอ่ยออกมาทันทีแบบมิต้องคิด เพราะถ้าผู้ใดได้เกี่ยวดองกับตระกูลซ่งนั้นนับว่าจะกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของแคว้นโจวหนานเลยก็ว่าได้ “คงมิได้… เห็นท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าจะให้นางออกเรือนไปกับบุรุษที่อาศัยอยู่ที่เมืองตงหลาง บุรุษต่างเมืองเช่นเจ้าคงไม่มีหวัง” เขาตัดสัมพันธ์กับเพื่อนตรงหน้าโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะอีกฝ่ายนั้นมีเสน่ห์แพรวพราว หากน้องสาวของตนออกเรือนไปกับเพื่อนผู้นี้มีหวังจะได้พบกับความทุกข์มากกว่าความสุขเป็นแน่ “ฮ่าๆๆๆ ข้าก็พูดเล่นไปเช่นนั้นแหละ สตรีเมืองต้าหนานหลายสกุลที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเตรียมไว้ให้เลือก เหตุใดข้าจักต้องไปเป็นเขยต่างเมืองด้วยล่ะ” เพราะไม่อยากให้เสียหน้า เด็กหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา ซ่งมู่เฉินยิ้มเย็นก่อนที่เขาและจูจงฉี ลูกน้องที่ซื่อสัตย์จะพากันเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อกลับไปเตรียมตัวที่ห้องของตน สำหรับการเดินทางกลับเมืองตงหลางในวันรุ่งขึ้น วันต่อมาซ่งมู่เฉินและเพื่อนร่วมหน่วยที่สอบผ่านลำดับหนึ่งถึงยี่สิบได้เดินทางกลับไปยังเมืองของตนเพื่อเยี่ยมเยือนครอบครัว ก่อนที่จะต้องเดินทางกลับมาฝึกฝนต่อ จูจงฉีนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายซ่งมานานตั้งแต่เขาจำความได้ จูงจงฉีจึงถูกส่งมาคอยดูแลซ่งมู่เฉินและมีโอกาสได้เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ เขาผ่านการทดสอบเป็นลำดับที่สิบห้า “คุณชายขอรับ นายท่านกับฮูหยินให้ข้าน้อยมารอรับคุณชายขอรับ” บ่าวรับใช้ที่เดินออกมาจากรถม้าของจวนสกุลซ่งรับคำนับคุณชายใหญ่และเอ่ยขึ้นมาทันที “ท่านพ่อท่านแม่รู้ได้เช่นไรว่าข้าจะได้กลับไปวันนี้” ซ่งมู่เฉินรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย ว่าเพราะเหตุใดบิดาและมารดาของตนถึงได้ทราบว่าเขาจะได้กลับเมืองตงหลางในวันนี้ “คุณชายขอรับ… ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านอาจารย์หยุ่นซีเป็นสหายสนิทกับท่านพ่อของท่าน” จูจงฉีไขข้อข้องใจของคุณชายใหญ่ออกมา ซ่งมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นจึงเดินไปขึ้นรถม้าแต่โดยดี จูจงฉีเดินตามคุณชายไปก่อนที่รถม้าของจวนสกุลฉีจะมุ่งหน้ากลับเมืองตงหลาง เมืองซึ่งอยู่ห่างจากเมืองตงฉวนอยู่หลายร้อยลี้ จวนสกุลซ่ง วันนี้ฉีอันหนิงได้มาเยือนจวนสกุลซ่งเพราะคำเชิญของซ่งเจียวซิน คุณหนูรองของที่นี่ ใต้เท้าซ่งและฮูหยินซ่งต่างพากันต้อนรับบุตรีคนเดียวของท่านเจ้าเมืองด้วยความยินดี สองสามีภรรยารู้สึกเอ็นดูในความช่างเจรจาของเด็กหญิงอยู่ไม่น้อย เพราะนางดูมีทั้งไหวพริบและสติปัญญา อีกทั้งยามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่นางก็ดูสำรวมมิเหมือนกับเด็กหญิงสกุลอื่นที่แยกแยะมิได้ว่ายามไหนควรกระทำแบบไหน “คุณหนูฉี น้าได้ข่าวว่าเจ้าขี่ม้าเก่งจริงหรือไม่" ซ่งฮูหยินเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้แต่บุตรีของนางยิ่งขี่ม้ามิได้ “จริงเจ้าค่ะท่านน้า หลานเรียนไปพร้อมๆ กับเหล่าพี่ชายของหลานเองเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงวางขนมกุ้ยฮวาลงก่อนที่จะตอบมารดาของสหายคนสนิท “ท่านเจ้าเมืองเลี้ยงลูกได้ดียิ่งนัก นี่เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้ายิงธนูเป็นด้วย” ใต้เท้าซ่งชมท่านเจ้าเมืองออกมาอย่างมิปิดบัง ก่อนที่จะเอ่ยถามเด็กหญิงกลับไปด้วยความสนใจ “เจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงยิ้มก่อนที่จะตอบออกมา สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มจางๆ ออกมา ในเมืองตงหลางนี้คงมิมีผู้ใดเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ตระกูลซ่งเท่ากับนางอีกแล้ว “ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” ใต้เท้าซ่งเอ่ยออกมาก่อนที่จะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เขายอมรับว่าใต้เท้าฉีนั้นเลี้ยงดูลูกๆ ได้ดี และมีหลากหลายตระกูลไม่น้อยในเมืองตงหลางที่อยากจะเกี่ยวดองกับสกุลฉี “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ลูกขอพาอันหนิงไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในจวนนะเจ้าคะ” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่านั่งพูดคุยกับบิดาและมารดาของตนมาสักพักแล้ว อีกอย่างนางเองก็คิดว่าฉีอันหนิงก็คงจะมิอยากนั่งนิ่งอยู่เช่นนี้แล้วเป็นแน่ “อ้อ… ได้สิ ไปกันเถอะลูก หนิงเอ๋อร์ เดี๋ยวเจ้าอยู่รับประทานมื้อกลางวันที่บ้านของน้าก่อนหนา แล้วค่อยกลับจวน” ใต้เท้าซ่งตอบบุตรสาวก่อนที่จะหันไปบอกกับเด็กหญิง “เจ้าค่ะ...ท่านน้า” เด็กหญิงทั้งสองคำนับลาผู้ใหญ่ก่อนที่จะพากันเดินออกจากบริเวณเรือนรับรองไปยังสวนดอกไม้ในจวนโดยมีซุนซุนและซูฉี สาวรับใช้ของคุณหนูทั้งสองเดินตามนางทั้งสองไปไม่ห่าง สวนดอกไม้จวนสกุลซ่งมีดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง ร่างเล็กของเด็กหญิงทั้งสองจับมือกันเดินเคียงข้างกันเข้าไปในสวนที่มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวลมาจากทั้งสองข้างทาง ซ่งเจียวซินพาฉีอันหนิงหยุดนิ่งก่อนที่นางจะเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาส่งให้กับเพื่อนสนิทได้ดม “หอมจัง…” เสียงเล็กดังออกมาจากริมฝีปากสีชมพู “ใช่… นี่เป็นดอกไม้ที่ท่านพี่ของเราชอบมากเลยนะ” ซ่งเจียวซินบอกกับเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายของตน “ท่านพี่ของเจ้าจะกลับมาเยี่ยมท่านน้าอีกเมื่อใดกัน” ฉีอันหนิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสนใจ เพราะนางยังมิเคยได้มีโอกาสพบหน้าพี่ชายของเพื่อนสนิทเลยสักครั้ง “ข้าก็มิอาจรู้ได้ แต่เห็นท่านพ่อบอกว่าเมื่อวันก่อนท่านพี่ส่งสารมาบอกว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้เพราะท่านพี่ของข้าผ่านการทดสอบได้ลำดับที่หนึ่ง” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นยามเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นพี่ชายที่ไม่ได้พบเจอกันมานานเกือบสองปี “ท่านพี่ของเจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ฉีอันหนิงเอ่ยชมพี่ชายของเพื่อนออกมาจากใจ “ท่านพี่ของเจ้าก็เก่งอันหนิง” คุณหนูรองสกุลซ่งเอ่ยชมพี่ชายอีกฝ่ายกลับเช่นเดียวกัน “อีกสองปีท่านพี่ใหญ่ของข้าก็จะไปสอบเค่อจวี่แล้ว ข้าก็หวังให้เขาสอบผ่านได้เป็นขุนนางเช่นเดียวกับท่านพ่อของข้า” ซ่งเจียวซินพยักหน้า นางเชื่อว่าพี่ชายใหญ่ของฉีอันหนิงนั้นจะต้องสอบผ่านและได้เป็นขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างแน่นอน ก็อยู่ที่สำนักศึกษาเขามีผลการเรียนโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใด เรียกว่าได้ลำดับที่หนึ่งในหมู่ศิษย์ที่เป็นชายเลยก็ว่าได้ เด็กหญิงทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนที่จะพากันเดินต่อไปจนหยุดอยู่ที่ศาลาริมน้ำ สระบัวของจวนสกุลซ่งทำให้ฉีอันหนิงรู้สึกผ่อนคลาย ดอกบัวสีชมพูมีทั้งดอกตูมและดอกบาน ภู่ภมรก็บินตอมราวกับกำลังหาน้ำหวานจากบัวเหล่านั้น ซูฉีรินน้ำชาให้กับคุณหนูทั้งสอง ก่อนที่สาวรับใช้ในจวนจะนำของว่างมาให้กับคุณหนูรองและสหายของนางได้รับประทานระหว่างที่นั่งพูดคุยกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ