หนึ่งปีต่อมา
สนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
หลังจากงานตีคลีประจำปีเสร็จสิ้น ฉีอันหลงก็เดินทางกลับเมืองหลวงทันที เขายังต้องกลับไปศึกษาต่อเพื่อเตรียมตัวสอบเคอจวี่ในปีหน้า แต่ก่อนที่เขาจะกลับบิดามารดาก็ได้ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าเขาสนใจบุตรีสกุลซ่งอย่างแท้จริง มิใช่เพียงเพราะเอ็นดูนางที่นางเป็นสหายที่สนิทสนมกับฉีอันหนิง เขาก็ได้ให้คำตอบอย่างหนักแน่นว่า เขามั่นใจว่าสตรีที่เขาอยากจะได้มาเป็นฮูหยินในภายภาคหน้ามีเพียงแค่นางเพียงผู้เดียว“หนิงเอ๋อร์…เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หรือลูก” เสียงหวานของฉีฮูหยินดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเมื่อเห็นว่าบุตรีกำลังมีจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งในมือ“ลูกกำลังอ่านตำราปรุงยาอยู่เจ้าค่ะ”“หืม… นี่เจ้าสนใจเรื่องการรักษาคนด้วยหรือลูก” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีของนางด้วยความสงสัย“เจ้าค่ะ… แต่ลูกมิได้อยากเป็นหมอหรอกนะเจ้าคะ ลูกแค่อยากมีความรู้ติดตัวเอาไว้เท่านั้น”เสียงใสของเด็กหญิงวัยสิบปีตอบมารดาก่อนที่จะหันไปสนใจตำราที่อยู่ในมือต่อ ฉีฮูหยินได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู บุตรสาวของนางใฝ่รู้ใฝ่ศึกษามาตั้งแต่เป็นเด็กๆ ฉีฮูหยินจึงปล่อยให
“ฮ่าๆๆ เด็กวัยกำลังโตเช่นเจ้าจะไปรู้เรื่องอันใด ที่ตลาดแห่งนี้มีพวกข้าดูแลอยู่มานานแล้ว หากมิเช่นนั้นพวกขุนนางคงได้มารีดไถพวกชาวเมืองไปมากกว่านี้”คำพูดของพวกนักเลงเหล่านี้น่าขันยิ่งนัก ฉีอันหนิงหัวเราะออกมาจนพวกมันรู้สึกงุนงงกับอาการที่เด็กหญิงตรงหน้าแสดงออกมา ราวกับว่านางมิได้เกรงกลัวพวกมันเลยสักนิด“ขุนนางน่ะหรือที่จะมารีดไถ ข้ามิเคยได้ยินว่าใต้เท้าฉี เจ้าเมืองตงหลางจะปล่อยให้พวกขุนนางได้กระทำเช่นดังที่เจ้าว่า นี่เป็นข้ออ้างของพวกสันดานไม่ดีอย่างพวกเจ้ามากกว่า”คำพูดของเด็กหญิงวัยสิบขวบทำเอาหัวหน้านักเลงรู้สึกเกรี้ยวโกรธ เขาตรงปรี่เข้ามาจะทำร้ายนาง แม้บ่าวรับใช้และสาวรับใช้ของคุณหนูสกุลฉีจะเข้ามาขัดขวาง แต่ก็มิอาจต้านพละกำลังของหัวหน้านักเลงได้ทั้งสองคนกระเด็นไปคนละทาง หัวหน้านักเลงมิได้หยุดฝีเท้าเขามุ่งตรงไปยังร่างเล็กกะจะใช้ฝ่ามือตบหน้านาง แต่ก่อนที่นักเลงร่างโตจะสัมผัสร่างเล็กของฉีอันหนิง เด็กหญิงก็ใช้ด้ามพัดที่นางถือไว้ตีเข้าไปตามจุดต่างๆ ของร่างกายหัวหน้านักเลงจนมันขยับมิได้“เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กได้เช่นไร รู้ถึงไหนอายไป
หนึ่งปีต่อมาหลังจากการได้พบเจอกันโดยเหตุบังเอิญในครานั้น ฉีอันหนิงกับหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ บุรุษหนุ่มที่มีดวงตาคมปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากก็มิได้พบกันอีกเลย จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่สำคัญของฉีอันหลง พี่ใหญ่ของฉีอันหนิง เพราะเขาต้องเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อไปสอบต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เป็นการคัดเลือกขุนนางในระดับจิ้นซื่อของแคว้นโจวหนานการสอบเคอจวี่ในระดับราชสำนักหรือระดับจิ้นซื่อที่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยก็มาถึง ฉีอันหลงได้เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ณ บัดนี้มีบัณฑิตทั่วทั้งแคว้นโจวหนานกำลังเข้าร่วมการสอบอย่างตื่นเต้น การสอบใช้เวลานานพอสมควรเพราะมีบัณฑิตที่สอบผ่านมา ณ รอบนี้มีมากเกือบสองร้อยคนจากทั่วแคว้น“อันหลง…ขอให้เจ้าโชคดีนะ แต่ปีนี้ข้าคงต้องขอตำแหน่งจอหงวนไปก่อนล่ะ” เด็กหนุ่มที่อายุห่างจากฉีอันหลงสองปีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ลำบากเจ้าแล้วล่ะซ่งอี้”เด็กหนุ่มมิได้หวาดหวั่นต่อคำพูดของสหายที่ไม่ได้สนิทกัน ปีนี้เขาพร้อมแล้ว และเขาเชื่อว่าเขาจะมิ
ความมั่นคงของพี่ชายทำให้ฉีอันหนิงรู้สึกชื่นชม นางเองก็แอบหวังจะได้พบกับบุรุษที่มีหัวใจรักมั่นต่อนางเช่นพี่ชายของนางที่มีหัวใจรักมั่นต่อสหายสนิทของนางเช่นกัน ฉีอันหนิงรับรู้เรื่องที่พี่ชายสนใจสหายสนิทเมื่อหกเดือนก่อน ยามนั้นบิดามารดาเข้าไปคุยกับบิดาและมารดาของเจียวซิน ทำให้เจียวซินมาเล่าให้แก่นางฟังการเลี้ยงฉลองที่ฉีอันหลงสอบเป็นขุนนางได้ลำดับจอหงวนผ่านพ้นไปแบบสกุลอื่นคว้าน้ำเหลวที่ตั้งใจมาร่วมเพื่ออยากจะเกี่ยวดองกับสกุลฉี แต่จอหงวนคนใหม่นั้นกลับมิได้สนใจที่จะสานสัมพันธ์กับสกุลใดเลย นั่นก็เป็นเพราะฉีอันหลงนั้นมีความตั้งใจจะแต่งภรรยาเอกเป็นบุตรีจากสกุลซ่งเท่านั้นขบวนเกียรติยศเคลื่อนจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองตงหลาง ซึ่งเป็นเมืองเกิดของจอหงวนคนใหม่ ตลอดทางมีชาวเมืองร่วมแสดงความยินดี สตรีหลายนางต่างมองไปที่บัณฑิตหนุ่มผู้โดดเด่นที่สอบจิ้นซื่อได้ลำดับจอหงวนแทบจะไม่ละสายตา แต่พวกนางก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะสายตาของบัณฑิตหนุ่มมิได้หวั่นไหวไปกับความงามใดเลย จนได้สบสายตากับเด็กหญิงคนหนึ่ง ความคุ้นเคยทำให้เขาฉีกยิ้มออกมา และได้รับรอยยิ้มจากใบหน้างามกลับมาเช่นกัน“ใต้เท
จวนสกุลฉียามนี้กำลังคึกคักไปด้วยเหล่าญาติพี่น้องและขุนนางทั่วทั้งเมืองตงหลางที่มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านเจ้าเมืองที่บุตรชายสอบจอหงวนสำเร็จ และจะกลับเข้าวังเพื่อรับตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการในอีกสองวันถัดไป อย่างเช่นเคยหลากหลายตระกูลมิว่าจะเป็นขุนนางหรือพ่อค้าต่างพาบุตรีและหลานสาวมาร่วมงานเลี้ยงฉลองให้จอหงวนคนใหม่ในวันนี้ด้วย แต่ทว่าฉีอันหลงก็มิได้สนใจผู้ใด เขายังคงรอคอยการมาของคู่หมั้นตัวเล็ก“ข้าดีใจกับท่านด้วย ข้าคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องทำได้” จูหรง คุณหนูสกุลอิ่นที่มีจวนติดกันมาร่วมแสดงความยินดีกับจอหงวนคนใหม่เช่นกัน“ขอบใจนะแม่นางอิ่น แล้วท่านลุงกับท่านป้ามาด้วยหรือไม่” สองตระกูลค่อนข้างจะสนิทกัน และนางก็ยังเป็นว่าที่น้องสะใภ้รองของเขาอีกด้วย เพราะนางคือคู่หมายของฉีอันลิ่ง มีกำหนดการจะแต่งงานกันภายในสามปีข้างหน้า“อือ… มาสิ อยู่ทางด้านโน้น” นางผายมือไปทางครอบครัวของตน ฉีอันหลงจึงหันไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“เช่นนั้นข้าขอตัวไปนั่งกับท่านพ่อท่านแม่ก่อนนะ” จอหงวนหนุ่มพยักหน้า ร่างระหงของคุณหนูสกุลอิ่นจึงเดินไป
วันต่อมาฉีอันหลงก็ชวนฉีอันหนิงไปเยือนจวนสกุลซ่ง เพราะเขาอยากจะมีภาพของซ่งเจียวซิน คู่หมั้นตัวน้อยติดกายไปเมืองหลวง และเขาก็อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางในทุกๆ ปี จึงได้ฝากฝังเรื่องนี้ให้แก่ผู้เป็นน้องสาว คอยส่งรูปภาพของคู่หมั้นให้แก่เขาทุกปี“ข้าน้อยคารวะท่านน้า”สองพี่น้องคำนับผู้ใหญ่ของสกุลซ่ง ซึ่งยามนี้มีเพียงซ่งฮูหยินเท่านั้นที่อยู่จวน ส่วนใต้เท้าซ่งนั้นเข้าไปทำงานที่กรมการกลาโหมตั้งแต่ยามเชิน“ตามสบายเถิดหลงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ เดี๋ยวน้าให้บ่าวไปตามซินเอ๋อร์มาพบพวกเจ้านะ” ซ่งฮูหยินยิ้มแย้มให้กับผู้มาเยือนทั้งสองก่อนที่จะหันไปสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปตามบุตรีมาพบคู่หมั้นกับสหายสนิท“แล้วท่านน้าซ่งกับมู่เฉินมิอยู่จวนหรือขอรับ” ฉีอันหลงเอ่ยถามถึงเจ้ากรมการกลาโหมและพี่ชายของคู่หมั้น“ท่านใต้เท้าไปทำงานที่กรมน่ะ ส่วนเฉินเอ๋อร์ก็กลับเข้าหน่วยไปแล้วเช่นกัน” ซ่งฮูหยินตอบว่าที่ลูกเขยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มพลางมองไปยังใบหน้างามของเด็กหญิงที่มีวัยเดียวกันกับบุตรีของนาง“แล้วเจ้าจะเข้าเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้วใช่หร
"ข้าวาดภาพได้น่ะเจียวซินคิกๆ”“เจ้านี่มีเรื่องทำให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อย ถึงว่าเจ้าถึงทำให้ท่านพี่ของข้าสนใจเจ้าได้” ประโยคแรกที่สหายสนิทกล่าวออกมานั้นพอจะเข้าใจ แต่ประโยคหลังทำให้ฉีอันหนิงแปลกใจ“ท่ะ…ท่านพี่ของเจ้า สะ…สนใจข้างั้นหรือ” หัวใจเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดเต้นแรง“อื้อ… ท่านพี่ของข้ามิเคยแลตามองสตรีใด หรือแม้แต่จะพูดคุย แต่กับเจ้าเขามักจะเข้าไปหาเจ้าก่อนทุกครั้งใช่หรือไม่” ฉีอันหนิงคิดตามก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นลง“นั่นแหละ… แสดงว่าเจ้าอยู่ในสายตาของเขาแล้วล่ะหนิงเอ๋อร์”“เอ่อ…. มา…ข้าวาดภาพให้เจ้าดีกว่าจะได้กลับจวน ป่านนี้ท่านพ่อท่านแม่พี่รองกับพี่สามคงรอท่านพี่ใหญ่กับข้าแล้วล่ะ”ฉีอันหนิงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ซ่งเจียวซินยิ้มออกมาก่อนที่จะสั่งให้บ่าวรับใช้ไปนำกระดาษ หมึกและพู่กันมาให้สหายสนิทของนางวาดภาพให้“แต่พี่ว่ามู่เฉินเองก็ไม่เลวนะหนิงเอ๋อร์…หึๆ” ฉีอันหลงเอ่ยออกมาพลางสังเกตสีหน้าของน้องสาว“ท่านหยุดพูดไปเลยท
ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า