วันต่อมาฉีอันหลงก็ชวนฉีอันหนิงไปเยือนจวนสกุลซ่ง เพราะเขาอยากจะมีภาพของซ่งเจียวซิน คู่หมั้นตัวน้อยติดกายไปเมืองหลวง และเขาก็อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางในทุกๆ ปี จึงได้ฝากฝังเรื่องนี้ให้แก่ผู้เป็นน้องสาว คอยส่งรูปภาพของคู่หมั้นให้แก่เขาทุกปี
“ข้าน้อยคารวะท่านน้า”สองพี่น้องคำนับผู้ใหญ่ของสกุลซ่ง ซึ่งยามนี้มีเพียงซ่งฮูหยินเท่านั้นที่อยู่จวน ส่วนใต้เท้าซ่งนั้นเข้าไปทำงานที่กรมการกลาโหมตั้งแต่ยามเชิน“ตามสบายเถิดหลงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ เดี๋ยวน้าให้บ่าวไปตามซินเอ๋อร์มาพบพวกเจ้านะ” ซ่งฮูหยินยิ้มแย้มให้กับผู้มาเยือนทั้งสองก่อนที่จะหันไปสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปตามบุตรีมาพบคู่หมั้นกับสหายสนิท“แล้วท่านน้าซ่งกับมู่เฉินมิอยู่จวนหรือขอรับ” ฉีอันหลงเอ่ยถามถึงเจ้ากรมการกลาโหมและพี่ชายของคู่หมั้น“ท่านใต้เท้าไปทำงานที่กรมน่ะ ส่วนเฉินเอ๋อร์ก็กลับเข้าหน่วยไปแล้วเช่นกัน” ซ่งฮูหยินตอบว่าที่ลูกเขยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มพลางมองไปยังใบหน้างามของเด็กหญิงที่มีวัยเดียวกันกับบุตรีของนาง“แล้วเจ้าจะเข้าเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้วใช่หร"ข้าวาดภาพได้น่ะเจียวซินคิกๆ”“เจ้านี่มีเรื่องทำให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อย ถึงว่าเจ้าถึงทำให้ท่านพี่ของข้าสนใจเจ้าได้” ประโยคแรกที่สหายสนิทกล่าวออกมานั้นพอจะเข้าใจ แต่ประโยคหลังทำให้ฉีอันหนิงแปลกใจ“ท่ะ…ท่านพี่ของเจ้า สะ…สนใจข้างั้นหรือ” หัวใจเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดเต้นแรง“อื้อ… ท่านพี่ของข้ามิเคยแลตามองสตรีใด หรือแม้แต่จะพูดคุย แต่กับเจ้าเขามักจะเข้าไปหาเจ้าก่อนทุกครั้งใช่หรือไม่” ฉีอันหนิงคิดตามก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นลง“นั่นแหละ… แสดงว่าเจ้าอยู่ในสายตาของเขาแล้วล่ะหนิงเอ๋อร์”“เอ่อ…. มา…ข้าวาดภาพให้เจ้าดีกว่าจะได้กลับจวน ป่านนี้ท่านพ่อท่านแม่พี่รองกับพี่สามคงรอท่านพี่ใหญ่กับข้าแล้วล่ะ”ฉีอันหนิงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ซ่งเจียวซินยิ้มออกมาก่อนที่จะสั่งให้บ่าวรับใช้ไปนำกระดาษ หมึกและพู่กันมาให้สหายสนิทของนางวาดภาพให้“แต่พี่ว่ามู่เฉินเองก็ไม่เลวนะหนิงเอ๋อร์…หึๆ” ฉีอันหลงเอ่ยออกมาพลางสังเกตสีหน้าของน้องสาว“ท่านหยุดพูดไปเลยท
หนึ่งปีต่อมาหลังจากที่ฉีอันหลงเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับรูปวาดของคู่หมั้น ผ่านไปอีกปีเขาก็ได้รับรูปวาดของนางจากฝีมือการวาดของผู้เป็นน้องสาว ฉีอันหนิงทำหน้าที่จิตรกรจำเป็นให้พี่ชายตามที่ได้รับปากเอาไว้ ปีนี้นางและสหายสนิทก็เข้าสู่วัยสิบสองปีแล้วเมื่อเริ่มเติบโตความงดงามของแต่ละคนก็เปิดเผยออกมาให้ผู้คนได้เห็น ฉีอันหนิงกลายเป็นเด็กที่มีหลายสกุลหมายตา อยากจะได้นางมาเป็นสะใภ้เอกให้แก่บุตรชาย อีกเพียงสามสี่ปีนางก็จะสามารถออกเรือนได้แล้ว และนั่นเป็นเหตุให้มีสกุลต่างๆ ส่งเทียบมาทาบทามนางเอาไว้เพื่อมิให้เสียโอกาส“นี่ก็สกุลที่ห้าแล้วนะเจ้าคะท่านพี่”ฉีฮูหยินบอกสามีพลางถอนหายใจออกมา นางยังมองว่าฉีอันหนิงยังเด็กแม้จะสามารถหมั้นหมายกับสกุลที่เหมาะสมเอาไว้ก่อนได้ แต่นางก็ยังอยากให้บุตรสาวได้ใช้ชีวิตในวัยสาวให้นานกว่าการที่พอหลังจากวัยปักปิ่นก็ต้องออกเรือนไป“พี่ตามใจลูก พี่มิได้บังคับนางหรอกหนา”ใต้เท้าฉีเอ่ยออกมา ปีนี้ฉีอันหลงทำงานรับใช้แผ่นดินอยู่ในเมืองหลวง ส่วนฉีอันลิ่งในวัยสิบหกปีก็ออกเดินทางไปกับเหล่านักปราชญ์เพื่อศึกษาบท
ร่างกำยำเปลือยเปล่ากำลังนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ในอ่างน้ำที่จูจงฉีลูกน้องคนสนิทเตรียมเอาไว้ให้ ณ ค่ายหน่วยพยัคฆ์ดำแห่งนี้ไร้สตรีพำนักอยู่เพราะทุกอย่างภายในนี้คือความลับ เพราะอย่างนั้นแล้วมิว่าจะเป็นอาหารการกิน การซักเสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่ จึงเป็นหน้าที่ของเหล่าลูกน้องคนสนิท“นางเก่งเกินที่พวกเจ้าจะคาดเดาได้ สตรีเช่นนางพวกเจ้ามิคู่ควรหรอกหึๆ” เขาเอ่ยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำนอนแช่น้ำอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นไปแต่งกายด้วยชุดดำ หน้ากากชิ้นประจำถูกหยิบขึ้นมาปกปิดใบหน้าที่แท้จริงอีกครา คืนนี้พวกเขามีภารกิจที่สำคัญ จากข่าวที่สายสืบส่งมาคือมีขุนนางแอบเรียกเก็บส่วยพวกพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขาย ณ เมืองตงหลาง เป็นส่วยที่นอกเหนือจากพระประสงค์ของฮ่องเต้ซ่งมู่เฉินให้ลูกน้องตามสืบเรื่องนี้มาตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วย แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังสืบสาวไปไม่ถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเสียที บ้านเมืองที่ภายนอกดูสงบสุข แท้จริงแล้วมันมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ และหน่วยพยัคฆ์ดำก็จัดการอย่างเงียบๆ ตลอดมาฉีอันหนิงได้ศึกษาเรี
เวลาแต่ละช่วงวัยของฉีอันหนิงผ่านไปอย่างรวดเร็ว พี่ชายทั้งสามต่างแยกย้ายกันไปทำในสิ่งที่ตนชอบและถนัด ฉีอันหนิงเองที่อยู่จวนสกุลฉีกับบิดามารดาก็มิได้ทำตนให้ว่าง นางศึกษาศาสตร์และศิลป์ต่างๆ จนชำนาญ ด้วยวัยสิบสามปีความงดงามเริ่มเฉิดฉายออกมา แม้หลายสกุลจะล่าถอยเลิกส่งเทียบขอหมั้นหมายไปแล้วบ้าง แต่ก็ยังคงมีเจรจากับใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินอยู่มิได้ขาด แต่ทั้งสองสามีภรรยาก็ยังคงยืนยันคำเดิม ว่าให้บุตรีเป็นคนตัดสินใจเลือกคู่ครองเอง“คุณหนูสี่เจ้าคะ… คุณหนูสกุลซ่งมาหาเจ้าค่ะ”วันนี้นางนัดหมายกับส่งเจียวซินสหายสนิทที่มีอีกสถานะคือว่าที่พี่สะใภ้คนโตของนางมาอ่านตำรากันเพื่อเตรียมทดสอบที่สำนักศึกษา อีกทั้งวันนี้ก็เป็นวันที่นางจะต้องวาดภาพซ่งเจียวซินในวัยสิบสามปีส่งไปให้พี่ชายที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวง พี่ชายใหญ่ของนางได้กลับมาเยือนเมืองตงหลางเพียงปีละหนเท่านั้น ภาพวาดของคู่หมั้นจึงเป็นสิ่งที่เขาร้องขอยามห่างไกลกันและเขาเองก็ส่งภาพวาดของตนกลับมาให้นางเช่นกัน“อ่อ… ไปเชิญนางมาศาลาริมน้ำท้ายจวนนะ ข้าขอไปเตรียมตัวก่อน”ฉีอันหนิงหันไปบอกสาวรับใช้ก่
“หนิงเอ๋อร์… ซินเอ๋อร์กลับไปแล้วหรือลูก” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีที่กำลังเดินผ่านศาลาดอกไม้ข้างเรือนใหญ่“เจ้าค่ะท่านแม่… นางเห็นลูกง่วงนอนเลยมิอยากทรมานลูก พรุ่งนี้เราจะไปอ่านตำราด้วยกันอีกเจ้าค่ะ”“ไปจวนสกุลซ่งน่ะหรือลูก” คนฟังพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างๆ มารดาที่กำลังเย็บปักชุดผ้าไหมสีแดงอยู่“ท่านแม่กำลังทำอันใดอยู่หรือเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเอ่ยถามมารดา“ปักลายมังกรลงบนชุดแต่งงานให้ท่านพี่ใหญ่ของเจ้าน่ะ”ฉีฮูหยินตอบบุตรีออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข ความสุขของพ่อแม่นอกเหนือจากการเห็นลูกเติบโตก็คงจะเป็นวันที่ลูกได้แต่งงานกับคนดีๆสักคนเท่านั้นแหละ“อีกตั้งสองปีกว่านะเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่รีบร้อนนัก” ฉีอันหนิงถึงกับแอบขำในใจที่มารดาดูจะตื่นเต้นมากกว่าว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเสียอีก“ดูสิพี่ใหญ่ของเจ้ากำลังจะแต่งสะใภ้เข้าจวนแล้ว พี่รองของเจ้ายังออกเดินทางไปกับเหล่านักปราชญ์ไปทั่วอยู่เลย เมื่อใดจะมีภรรยากับเขาล่ะ”“ท่านแม่ก็… ท่านพี่รองอายุแค่เพ
หลังจากซ่งมู่เฉินเดินจากไปพร้อมกับลูกน้องคนสนิทของเขา ฉีอันหนิงก็ได้แต่คิดใคร่ครวญว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงได้พบเจอกับพี่ชายของสหายสนิทแทบจะทุกช่วงวัย ก่อนหน้านั้นนางมิได้มีหัวใจที่หวั่นไหวเช่นในครานี้ สายตาที่เขามองมาราวกับมีความนัยบางอย่างที่อยากจะบอก ซึ่งนางก็มิอาจคาดเดาได้ว่ามันคือเรื่องใด“ความจริงวันนี้พี่ชายของเจ้ามีกำหนดกลับมาที่จวนด้วยหรือ” คนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่เอ่ยถามสหายสนิทของนางออกมา“มิใช่หรอกจ้ะ…วันนี้ท่านพี่มิได้บอกก่อนว่าจะกลับมาที่จวน” ซ่งเจียวซินตอบยิ้มๆ“อ้อ…อืม…นี่ก็ยามโหย่วแล้วสินะ เห็นทีข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะเจียวซิน” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยื่นตำราให้พี่ซุนซุนสาวรับใช้ของนาง“อื้อ… ไว้มาอ่านตำราด้วยกันใหม่นะอันหนิง”“ได้สิ…อืม… เจียวซินพาข้าไปลาท่านน้าทั้งสองสักหน่อยสิ”ฉีอันหนิิงเอ่ยชวน หากนางจะกลับไปเฉยๆ เลยคงจะไม่ดีแน่เพราะผู้ใหญ่ยังอยู่ในเรือน ยามมานางก็มิได้แวะทักทายบิดามารดาของซ่งเจียวซิน ย
“ลูกก็มิทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่หลังจากที่เขามาส่งลูก เขาก็น่าจะกลับหน่วยเลยนะเจ้าคะ คงกลับจวนเพื่อมาเอาสิ่งของอันใดสักอย่างกลับไปที่หน่วยก็เป็นได้”“อ้าว…นี่พี่เขามาส่งเจ้าที่จวนด้วยหรือลูก ไม่ชวนเขาเข้ามาจิบชาก่อนกลับล่ะ” ฉีฮูหยินอุทานพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคุณชายสกุลส่งจะมาส่งบุตรีของนางถึงจวน“พี่เขาคงจะรีบเดินทางน่ะเจ้าค่ะ เห็นบอกว่ามีงานสำคัญรีบไปจัดการ”“อืม…ลงมือแล้วสินะ หน่วยพยัคฆ์ดำมิเคยปล่อยให้เรื่องพวกนี้ผ่านไป พ่อก็หวังเพียงให้เขาทำภารกิจลุล่วงโดยมิได้รับบาดเจ็บ”คนฟังถึงกับรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากบิดากล่าวเช่นนี้ภารกิจที่เขาจะไปทำมันต้องร้ายแรงเป็นแน่ นางก็คงทำได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ… ลูกขอตัวกลับเรือนนอนก่อนนะเจ้าคะ รู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำเต็มทีแล้วเจ้าค่ะ”เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่อาหารมื้อกลางวันเสร็จ กลับจวนมาก็ค่ำมืดแล้ว สองสามีภรรยามิได้รั้งบุตรีเอาไว้ ฉีอันหนิงจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ม
แม้การปราบพวกทำกระทำผิดกฎหมายของค่ำคืนที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จโดยง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมิมีผู้ใดยอมกล่าวถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของการกระทำความผิดในครานี้เลย ซ่งมู่เฉินรู้สึกชินชากับการทำงานของทางการที่ทั้งล่าช้าและไม่โปร่งใส บางทีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองตงหลาง อาจจะเกี่ยวข้องกับขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของเมืองก็เป็นได้“ท่านหัวหน้า แบบนี้มิเท่ากับว่าที่พวกเราทำไปสูญเปล่าหรอกหรือขอรับ” หนึ่งในลูกน้องของหน่วยพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าครั้งนี้เรื่องก็เงียบอีกตามเคย“เรื่องนี้มันดูจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้ จงเตรียมตัวกันให้ดีเถิด”เสียงเย็นชาดังออกมาก่อนที่จะควบม้านำหน้าเหล่าลูกน้องในชุดชาวบ้านธรรมดาออกจากหน้าศาลเมืองตงหลางไป วันนี้เขาและลูกน้องมาดูคำตัดสินของกลุ่มคนค้าของเถื่อนที่จับส่งทางการเมื่อคืน แต่ผลที่ออกมากลับเป็นที่น่าคลางแคลงใจ เพราะนอกจากเสียค่าปรับแล้ว คนพวกนี้ก็มิได้ถูกจองจำอยู่ในคุกของศาลเมืองตงหลางอีกการปรากฏตัวในยามเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนั้นหน่วยพยัคฆ์ดำจะปิดบังใบหน
สามวันต่อมาสาวรับใช้ของหยวนปิงปิงได้ออกไปติดตามผลการทำงานของพวกนักเลงที่นางได้จ้างไปจัดการศัตรูของคุณหนูรอง เพราะพวกมันยังได้เงินค่าจ้างไปไม่ครบจึงต้องเดินทางไปพบพวกมันอีกครั้ง“เป็นเช่นไรบ้าง…งานที่ข้าสั่งให้ไปจัดการ เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”เพราะผ่านมาหลายวันรอยถูกตบบนใบหน้าจึงได้เลือนหายไป แต่ทว่าความขุ่นใจยังมิจางหาย หัวหน้านักเลงไม่คิดจะกลับไปเล่นงานบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่มันคิดจะนำข้อความที่คุณหนูสกุลฉีฝากมาให้แก่คนที่จ้างมันต่างหาก“อือ…เอาเงินมาก่อน แล้วข้าจะรายงานท่านว่าพวกข้าได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง”มันต่อรอง และคิดว่าหากจัดการตามคำสั่งที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและได้รับเงินจากผู้ว่าจ้าง พวกมันก็จะพากันออกไปจากเมืองตงหลางทันที“มากเรื่องเสียจริงนะพวกเจ้า” สาวใช้ส่งถุงเงินไปให้แก่หัวหน้านักเลงพร้อมกับบ่นออกมา“ได้เงินไปแล้วก็รีบบอกมาเสียทีสิว่าพวกเจ้าได้สั่งสอนสิ่งใดแก่นางไปบ้าง”ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้านักเลงเยื้องย่างเข้าไปใกล้ร่างที่เล็กกว่าของสตรีตรงหน้าแล้วง้างมือตบไปที่ใบหน้าทั้งสอ
เมื่อกลับถึงจวนสกุลฉี ฉีอันหนิงก็เร่งรีบตรงไปยังเรือนนอนของตน และสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำให้ชำระล้างร่างกายทันที นางรู้สึกขุ่นเคืองแต่หากจะให้ไปลงกับพวกที่ถูกจ้างมาคงจะมิมีประโยชน์อันใด หวังเพียงว่ารอยตบที่ฝากไปจะคืนสู่คนที่ว่าจ้างคนพวกนั้นมา“เห้อ….ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง เหตุใดชีวิตของข้าจักต้องมาเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วยนะ” เจ้าของร่างเล็กพึมพำออกมาขณะที่เดินกลับเรือนของตนไป“ว่าแต่คุณหนูทราบได้เช่นไรเจ้าคะ เรื่องที่แม่นางผู้นั้นจะส่งคนมาลอบทำร้าย ที่ผ่านมาคุณหนูฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุนี้หรือเจ้าคะ” ซุนซุนกระซิบถามคุณหนูเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน“ใช่สิ…ก็นางถูกข้าตอกหน้าไปเสียแบบนั้น เจ้าว่าคนนิสัยเช่นนางจะปล่อยข้าไปง่ายๆ โดยไม่สั่งสอนข้าสักหน่อยงั้นหรือ ฟังจากที่พี่สาวที่เข้ามาแนะนำตนเองว่าเป็นบุตรีของพ่อค้าเล่าให้ฟัง ข้าก็เลยเชื่อว่าคุณหนูสกุลหยวนนั่นต้องสั่งให้คนมาจัดการข้าแน่ๆ ข้าก็เพียงเตรียมตัวรับมือเพื่อจะตอบแทนในสิ่งที่นางมอบให้เช่นไรล่ะ แต่ไม่นึกมาก่อนว่าน
หลังจากเดินชื่นชมและซื้อขนมกินได้สักพักฉีอันหนิงก็ชวนซุนซุนกลับจวน เพราะนางจะต้องกลับไปฝึกฟันดาบอีกเพื่อที่จะทำให้ร่างกายเคยชินกับการออกกำลังกายเช่นนั้น เมื่อเกิดการต่อสู้จริงนางจะได้ไม่ต้องปวดเมื่อยมาก แต่ผู้ใดจะคาดคิดเมื่อรถม้าของจวนสกุลฉีที่มุ่งหน้าจะกลับจวนต้องพบกับเรื่องผิดปกติ“อามู่… เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจึงหยุดม้าเสียล่ะ” ซุนซุนตะโกนถามบ่าวที่เป็นผู้บังคับรถม้า“เอ่อ…ขออภัยขอรับคุณหนูสี่ มีชายผู้หนึ่งมาล้มตรงเส้นทางด้านหน้าน่ะขอรับ” คำตอบของอามู่ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ“มีกี่คน”“ผู้เดียวอ๊ะ!!! สะ…สามคนขอรับ”น้ำเสียงตกใจของบ่าวรับใช้ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ในทันทีว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย เส้นทางนี้ยามนี้มิมีผู้คนพลุกพล่าน นานๆ ทีถึงจะมีรถม้าผ่านมา พวกมัน…ช่างลงมือได้เหมาะเจาะยิ่งนัก“คุณหนู… ลงมาคุยกับพวกข้าก่อนเถิด คุณหนูไปกล่าววาจาน่าเกลียดจนทำให้มีคนรู้สึกระคายสายตา พวกข้าเลยต้องมาสั่งสอนคุณหนูให้คนพวกนั้นเสียหน่อย” หัวหน้านักเลงตะโกนพล
ลานฝึกซ้อมเพลงดาบของสกุลฉีในยามนี้ปรากฏร่างเล็กของฉีอันหนิงที่กำลังถือดาบฟาดฟันกับบุรุษวัยกลางคนที่ออกคำสั่งให้นางเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ ฉีอันหนิงเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เท้าเล็กขยับหลบหลีกอย่างว่องไวทำให้อาจารย์จำเป็นถึงกับยิ้มที่มุมปาก จนในที่สุดคุณหนูผู้เก่งกาจก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการระบายอารมณ์ขุ่นเคืองไปกับการฟันดาบกับคู่ซ้อมจำเป็นอย่างลุงลู่ ผู้ที่เคยฝึกนางให้ขี่ม้าในวัยเด็ก“คุณหนูสี่ขอรับ หากคุณหนูฝึกบ่อยๆ ข้าว่ามีหวังจะเก่งกว่าบุรุษเป็นแน่ขอรับ” ลุงลู่กล่าวชมออกมา“ว่าแต่นี่คุณหนูสี่ไปขุ่นเคืองผู้ใดมากันล่ะขอรับ” ก่อนที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย“ลุงลู่รู้ได้เช่นไรจ๊ะว่าข้ากำลังขุ่นเคืองอยู่” ฉีอันหนิงเดินไปรับผ้าผืนเล็กจากซุนซุนมาเช็ดใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ ก่อนที่จะถามลุงลู่กลับด้วยความประหลาดใจ“ก็น้ำหนักของดาบที่ปะทะมากับจิตใจของคุณหนูที่ไม่มั่นคงอย่างไรล่ะขอรับ” สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์ ลุงลู่นั้นเคยออกรบในวัยหนุ่มจนได้มารับใช้ใต้เท้าฉีจึงทำให้เก่งบู๊ ไม่ว่าจะเป็นยิงธนู การต่อสู้และเพลงดาบ“
รถม้าเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่หน้าปากทางเข้าตลาดที่เดิม ฉีอันหนิงลงจากรถม้าแล้วเยื้องย่างไปยังร้านผ้าแพรทันที สิ่งที่นางต้องการยามนี้คือผ้าแพรผืนใหม่สำหรับใช้ปักถุงหอมใบใหม่“สีนี้งามดีนะเจ้าคะคุณหนู”“อือ…ข้าเห็นด้วย อ๊ะ!!!!” ฉีอันหนิงตอบก่อนที่จะอุทานออกมาเมื่อถูกใครบางคนเดินชนเข้าทางด้านข้างของนางอย่างแรง“โอ๊ย!!! นังเด็กนี่!!! ทำไมไม่หัดมองผู้อื่นบ้าง คิดว่าร้านนี้เป็นของเจ้าผู้เดียวหรืออย่างไรกันห๊า!!!”สตรีที่ดูมีอายุมากกว่าฉีอันหนิงถึงสามปีโวยวายออกมา พลางจ้องหน้าฉีอันหนิงอย่างไม่ชอบใจ คนถูกต่อว่าแสดงสีหน้างุนงงออกมาทันทีทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่สำควรจะได้รับคำขออภัยแท้ๆ กลับกลายมาเป็นนางผิดเสียอย่างนั้น“นี่แม่นาง… เดินมาชนผู้อื่นเขาแล้วมากล่าวโทษว่าเขาชนตัวเองนั้นไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือเจ้าคะ” ซุนซุนเดินไปขวางหน้าคุณหนูของนางเอาไว้ทันที ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นโตกว่าแท้ๆ แต่กลับไร้มารยาทสิ้นดี“นังบ่าวน่ารังเกียจ เจ้าน่ะสิน่ารังเกียจ มีสิทธิ์อันใดว่าดูถูกข้าที่เป็นถึงบุตรีเจ้ากรมการยุติธ
ในขณะที่ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มที่มีต่อสหายสนิทของผู้เป็นน้องสาวกำลังเปลี่ยนไป ภาระทางบ้านเมืองที่เขารับผิดชอบก็เริ่มหนักอึ้งเช่นเดียวกัน การลักลอบซื้อขายของผิดกฎหมายตามแถบชายแดนเริ่มมีมากขึ้น จนบางครั้งก็รอดพ้นสายตาของหน่วยพยัคฆ์ดำไปได้ วันนี้ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องนี้จึงได้มาร่วมปรึกษาหารือกัน ซึ่งมีใต้เท้าซ่ง เจ้ากรมการกลาโหม บิดาของซ่งมู่เฉินและท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าฉี บิดาของฉีอันหนิงมาร่วมด้วย“เช่นนี้มันชักจะเหิมเกริมกันมากเกินไปแล้วนะขอรับ” เจ้ากรมการกลาโหมกล่าวออกมาอย่างโมโห เขาได้ยินมาจากบุตรชายว่าคนพวกนั้นมักจะถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ โดยมิต้องรับผิดอันใดเขายิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน“ก็เพราะพวกมันมีคนคอยให้ท้ายน่ะสิ หากมิเช่นนั้นจะอาจหาญทำเรื่องเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้เช่นไร” ใต้เท้าฉีแสดงความคิดเห็นของตนออกมา“นั่นสินะ…สงสัยว่าการทำงานของเจ้ากรมการยุติธรรมจะมีปัญหาเสียแล้วล่ะ พวกท่านคิดเช่นเดียวกับที่ข้าคิดหรือไม่” ใต้เท้าซ่งเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา ทุกฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“เราคง
“หึๆ ออกไปได้ก็ดี…พูดมากอยู่ได้ แล้วก็… เจ้า…นักปราชญ์อะไรนั่นหยุดพล่ามแล้วออกไปได้แล้ว ไปหาสตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาร้องรำยังจะน่าชื่นชมกว่า”คนเมาได้ใจที่เห็นคนที่ต่อต้านก่อนหน้าล่าถอย เขายังคงวางตัวกร่างและใช้กำลังของลูกน้องไปข่มขู่นักปราชญ์ที่กำลังเล่าเรื่องให้โต๊ะอื่นฟังอย่างเพลิดเพลินกันอยู่นัยน์ตากลมของฉีอันหนิงเหลือบไปมองโต๊ะของขี้เมาคนนั้นด้วยความไม่พอใจ วันนี้นางอยากจะมาผ่อนคลายด้วยการฟังเรื่องเล่าจากนักปราชญ์ท่านนี้ให้เพลิดเพลินเท่านั้น แต่กลับต้องมาฟังคนเมาพูดพล่ามและโอ้อวดอำนาจของตน“นี่ท่าน!!! เมาแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด อย่ามัวมาสร้างความรำคาญใจให้ผู้อื่นเช่นนี้เลย อ้อ…แล้วหากท่านอยากชื่นชมสตรีที่มีรูปร่างงดงามร้องเพลงหรือร่ายรำขอเชิญท่านไปหออวิ๋นโหรวนะเจ้าคะ มิใช่โรงเตี๊ยมที่มีไว้เพื่อกินข้าว ฟังบทกลอนและฟังเรื่องเล่าเช่นนี้”เสียงเล็กของสตรีที่ดังขึ้นอย่างมิเกรงกลัวทำให้พวกมันกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียง รวมไปถึงลูกค้าจากโต๊ะอื่นด้วยที่มองมาที่โต๊ะของฉีอันหนิงเป็นจุดเดียวกันด้วยแววตาชื่นชม นางเป็นเพี
แม้การปราบพวกทำกระทำผิดกฎหมายของค่ำคืนที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จโดยง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมิมีผู้ใดยอมกล่าวถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของการกระทำความผิดในครานี้เลย ซ่งมู่เฉินรู้สึกชินชากับการทำงานของทางการที่ทั้งล่าช้าและไม่โปร่งใส บางทีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองตงหลาง อาจจะเกี่ยวข้องกับขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของเมืองก็เป็นได้“ท่านหัวหน้า แบบนี้มิเท่ากับว่าที่พวกเราทำไปสูญเปล่าหรอกหรือขอรับ” หนึ่งในลูกน้องของหน่วยพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าครั้งนี้เรื่องก็เงียบอีกตามเคย“เรื่องนี้มันดูจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้ จงเตรียมตัวกันให้ดีเถิด”เสียงเย็นชาดังออกมาก่อนที่จะควบม้านำหน้าเหล่าลูกน้องในชุดชาวบ้านธรรมดาออกจากหน้าศาลเมืองตงหลางไป วันนี้เขาและลูกน้องมาดูคำตัดสินของกลุ่มคนค้าของเถื่อนที่จับส่งทางการเมื่อคืน แต่ผลที่ออกมากลับเป็นที่น่าคลางแคลงใจ เพราะนอกจากเสียค่าปรับแล้ว คนพวกนี้ก็มิได้ถูกจองจำอยู่ในคุกของศาลเมืองตงหลางอีกการปรากฏตัวในยามเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนั้นหน่วยพยัคฆ์ดำจะปิดบังใบหน
“ลูกก็มิทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่หลังจากที่เขามาส่งลูก เขาก็น่าจะกลับหน่วยเลยนะเจ้าคะ คงกลับจวนเพื่อมาเอาสิ่งของอันใดสักอย่างกลับไปที่หน่วยก็เป็นได้”“อ้าว…นี่พี่เขามาส่งเจ้าที่จวนด้วยหรือลูก ไม่ชวนเขาเข้ามาจิบชาก่อนกลับล่ะ” ฉีฮูหยินอุทานพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคุณชายสกุลส่งจะมาส่งบุตรีของนางถึงจวน“พี่เขาคงจะรีบเดินทางน่ะเจ้าค่ะ เห็นบอกว่ามีงานสำคัญรีบไปจัดการ”“อืม…ลงมือแล้วสินะ หน่วยพยัคฆ์ดำมิเคยปล่อยให้เรื่องพวกนี้ผ่านไป พ่อก็หวังเพียงให้เขาทำภารกิจลุล่วงโดยมิได้รับบาดเจ็บ”คนฟังถึงกับรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากบิดากล่าวเช่นนี้ภารกิจที่เขาจะไปทำมันต้องร้ายแรงเป็นแน่ นางก็คงทำได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ… ลูกขอตัวกลับเรือนนอนก่อนนะเจ้าคะ รู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำเต็มทีแล้วเจ้าค่ะ”เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่อาหารมื้อกลางวันเสร็จ กลับจวนมาก็ค่ำมืดแล้ว สองสามีภรรยามิได้รั้งบุตรีเอาไว้ ฉีอันหนิงจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ม