“ลูกก็มิทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่หลังจากที่เขามาส่งลูก เขาก็น่าจะกลับหน่วยเลยนะเจ้าคะ คงกลับจวนเพื่อมาเอาสิ่งของอันใดสักอย่างกลับไปที่หน่วยก็เป็นได้”
“อ้าว…นี่พี่เขามาส่งเจ้าที่จวนด้วยหรือลูก ไม่ชวนเขาเข้ามาจิบชาก่อนกลับล่ะ” ฉีฮูหยินอุทานพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคุณชายสกุลส่งจะมาส่งบุตรีของนางถึงจวน“พี่เขาคงจะรีบเดินทางน่ะเจ้าค่ะ เห็นบอกว่ามีงานสำคัญรีบไปจัดการ”“อืม…ลงมือแล้วสินะ หน่วยพยัคฆ์ดำมิเคยปล่อยให้เรื่องพวกนี้ผ่านไป พ่อก็หวังเพียงให้เขาทำภารกิจลุล่วงโดยมิได้รับบาดเจ็บ”คนฟังถึงกับรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากบิดากล่าวเช่นนี้ภารกิจที่เขาจะไปทำมันต้องร้ายแรงเป็นแน่ นางก็คงทำได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ… ลูกขอตัวกลับเรือนนอนก่อนนะเจ้าคะ รู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำเต็มทีแล้วเจ้าค่ะ”เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่อาหารมื้อกลางวันเสร็จ กลับจวนมาก็ค่ำมืดแล้ว สองสามีภรรยามิได้รั้งบุตรีเอาไว้ ฉีอันหนิงจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่มแม้การปราบพวกทำกระทำผิดกฎหมายของค่ำคืนที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จโดยง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมิมีผู้ใดยอมกล่าวถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของการกระทำความผิดในครานี้เลย ซ่งมู่เฉินรู้สึกชินชากับการทำงานของทางการที่ทั้งล่าช้าและไม่โปร่งใส บางทีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองตงหลาง อาจจะเกี่ยวข้องกับขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของเมืองก็เป็นได้“ท่านหัวหน้า แบบนี้มิเท่ากับว่าที่พวกเราทำไปสูญเปล่าหรอกหรือขอรับ” หนึ่งในลูกน้องของหน่วยพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าครั้งนี้เรื่องก็เงียบอีกตามเคย“เรื่องนี้มันดูจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้ จงเตรียมตัวกันให้ดีเถิด”เสียงเย็นชาดังออกมาก่อนที่จะควบม้านำหน้าเหล่าลูกน้องในชุดชาวบ้านธรรมดาออกจากหน้าศาลเมืองตงหลางไป วันนี้เขาและลูกน้องมาดูคำตัดสินของกลุ่มคนค้าของเถื่อนที่จับส่งทางการเมื่อคืน แต่ผลที่ออกมากลับเป็นที่น่าคลางแคลงใจ เพราะนอกจากเสียค่าปรับแล้ว คนพวกนี้ก็มิได้ถูกจองจำอยู่ในคุกของศาลเมืองตงหลางอีกการปรากฏตัวในยามเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนั้นหน่วยพยัคฆ์ดำจะปิดบังใบหน
“หึๆ ออกไปได้ก็ดี…พูดมากอยู่ได้ แล้วก็… เจ้า…นักปราชญ์อะไรนั่นหยุดพล่ามแล้วออกไปได้แล้ว ไปหาสตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาร้องรำยังจะน่าชื่นชมกว่า”คนเมาได้ใจที่เห็นคนที่ต่อต้านก่อนหน้าล่าถอย เขายังคงวางตัวกร่างและใช้กำลังของลูกน้องไปข่มขู่นักปราชญ์ที่กำลังเล่าเรื่องให้โต๊ะอื่นฟังอย่างเพลิดเพลินกันอยู่นัยน์ตากลมของฉีอันหนิงเหลือบไปมองโต๊ะของขี้เมาคนนั้นด้วยความไม่พอใจ วันนี้นางอยากจะมาผ่อนคลายด้วยการฟังเรื่องเล่าจากนักปราชญ์ท่านนี้ให้เพลิดเพลินเท่านั้น แต่กลับต้องมาฟังคนเมาพูดพล่ามและโอ้อวดอำนาจของตน“นี่ท่าน!!! เมาแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด อย่ามัวมาสร้างความรำคาญใจให้ผู้อื่นเช่นนี้เลย อ้อ…แล้วหากท่านอยากชื่นชมสตรีที่มีรูปร่างงดงามร้องเพลงหรือร่ายรำขอเชิญท่านไปหออวิ๋นโหรวนะเจ้าคะ มิใช่โรงเตี๊ยมที่มีไว้เพื่อกินข้าว ฟังบทกลอนและฟังเรื่องเล่าเช่นนี้”เสียงเล็กของสตรีที่ดังขึ้นอย่างมิเกรงกลัวทำให้พวกมันกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียง รวมไปถึงลูกค้าจากโต๊ะอื่นด้วยที่มองมาที่โต๊ะของฉีอันหนิงเป็นจุดเดียวกันด้วยแววตาชื่นชม นางเป็นเพี
ในขณะที่ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มที่มีต่อสหายสนิทของผู้เป็นน้องสาวกำลังเปลี่ยนไป ภาระทางบ้านเมืองที่เขารับผิดชอบก็เริ่มหนักอึ้งเช่นเดียวกัน การลักลอบซื้อขายของผิดกฎหมายตามแถบชายแดนเริ่มมีมากขึ้น จนบางครั้งก็รอดพ้นสายตาของหน่วยพยัคฆ์ดำไปได้ วันนี้ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องนี้จึงได้มาร่วมปรึกษาหารือกัน ซึ่งมีใต้เท้าซ่ง เจ้ากรมการกลาโหม บิดาของซ่งมู่เฉินและท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าฉี บิดาของฉีอันหนิงมาร่วมด้วย“เช่นนี้มันชักจะเหิมเกริมกันมากเกินไปแล้วนะขอรับ” เจ้ากรมการกลาโหมกล่าวออกมาอย่างโมโห เขาได้ยินมาจากบุตรชายว่าคนพวกนั้นมักจะถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ โดยมิต้องรับผิดอันใดเขายิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน“ก็เพราะพวกมันมีคนคอยให้ท้ายน่ะสิ หากมิเช่นนั้นจะอาจหาญทำเรื่องเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้เช่นไร” ใต้เท้าฉีแสดงความคิดเห็นของตนออกมา“นั่นสินะ…สงสัยว่าการทำงานของเจ้ากรมการยุติธรรมจะมีปัญหาเสียแล้วล่ะ พวกท่านคิดเช่นเดียวกับที่ข้าคิดหรือไม่” ใต้เท้าซ่งเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา ทุกฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“เราคง
รถม้าเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่หน้าปากทางเข้าตลาดที่เดิม ฉีอันหนิงลงจากรถม้าแล้วเยื้องย่างไปยังร้านผ้าแพรทันที สิ่งที่นางต้องการยามนี้คือผ้าแพรผืนใหม่สำหรับใช้ปักถุงหอมใบใหม่“สีนี้งามดีนะเจ้าคะคุณหนู”“อือ…ข้าเห็นด้วย อ๊ะ!!!!” ฉีอันหนิงตอบก่อนที่จะอุทานออกมาเมื่อถูกใครบางคนเดินชนเข้าทางด้านข้างของนางอย่างแรง“โอ๊ย!!! นังเด็กนี่!!! ทำไมไม่หัดมองผู้อื่นบ้าง คิดว่าร้านนี้เป็นของเจ้าผู้เดียวหรืออย่างไรกันห๊า!!!”สตรีที่ดูมีอายุมากกว่าฉีอันหนิงถึงสามปีโวยวายออกมา พลางจ้องหน้าฉีอันหนิงอย่างไม่ชอบใจ คนถูกต่อว่าแสดงสีหน้างุนงงออกมาทันทีทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่สำควรจะได้รับคำขออภัยแท้ๆ กลับกลายมาเป็นนางผิดเสียอย่างนั้น“นี่แม่นาง… เดินมาชนผู้อื่นเขาแล้วมากล่าวโทษว่าเขาชนตัวเองนั้นไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือเจ้าคะ” ซุนซุนเดินไปขวางหน้าคุณหนูของนางเอาไว้ทันที ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นโตกว่าแท้ๆ แต่กลับไร้มารยาทสิ้นดี“นังบ่าวน่ารังเกียจ เจ้าน่ะสิน่ารังเกียจ มีสิทธิ์อันใดว่าดูถูกข้าที่เป็นถึงบุตรีเจ้ากรมการยุติธ
ลานฝึกซ้อมเพลงดาบของสกุลฉีในยามนี้ปรากฏร่างเล็กของฉีอันหนิงที่กำลังถือดาบฟาดฟันกับบุรุษวัยกลางคนที่ออกคำสั่งให้นางเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ ฉีอันหนิงเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เท้าเล็กขยับหลบหลีกอย่างว่องไวทำให้อาจารย์จำเป็นถึงกับยิ้มที่มุมปาก จนในที่สุดคุณหนูผู้เก่งกาจก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการระบายอารมณ์ขุ่นเคืองไปกับการฟันดาบกับคู่ซ้อมจำเป็นอย่างลุงลู่ ผู้ที่เคยฝึกนางให้ขี่ม้าในวัยเด็ก“คุณหนูสี่ขอรับ หากคุณหนูฝึกบ่อยๆ ข้าว่ามีหวังจะเก่งกว่าบุรุษเป็นแน่ขอรับ” ลุงลู่กล่าวชมออกมา“ว่าแต่นี่คุณหนูสี่ไปขุ่นเคืองผู้ใดมากันล่ะขอรับ” ก่อนที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย“ลุงลู่รู้ได้เช่นไรจ๊ะว่าข้ากำลังขุ่นเคืองอยู่” ฉีอันหนิงเดินไปรับผ้าผืนเล็กจากซุนซุนมาเช็ดใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ ก่อนที่จะถามลุงลู่กลับด้วยความประหลาดใจ“ก็น้ำหนักของดาบที่ปะทะมากับจิตใจของคุณหนูที่ไม่มั่นคงอย่างไรล่ะขอรับ” สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์ ลุงลู่นั้นเคยออกรบในวัยหนุ่มจนได้มารับใช้ใต้เท้าฉีจึงทำให้เก่งบู๊ ไม่ว่าจะเป็นยิงธนู การต่อสู้และเพลงดาบ“
หลังจากเดินชื่นชมและซื้อขนมกินได้สักพักฉีอันหนิงก็ชวนซุนซุนกลับจวน เพราะนางจะต้องกลับไปฝึกฟันดาบอีกเพื่อที่จะทำให้ร่างกายเคยชินกับการออกกำลังกายเช่นนั้น เมื่อเกิดการต่อสู้จริงนางจะได้ไม่ต้องปวดเมื่อยมาก แต่ผู้ใดจะคาดคิดเมื่อรถม้าของจวนสกุลฉีที่มุ่งหน้าจะกลับจวนต้องพบกับเรื่องผิดปกติ“อามู่… เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจึงหยุดม้าเสียล่ะ” ซุนซุนตะโกนถามบ่าวที่เป็นผู้บังคับรถม้า“เอ่อ…ขออภัยขอรับคุณหนูสี่ มีชายผู้หนึ่งมาล้มตรงเส้นทางด้านหน้าน่ะขอรับ” คำตอบของอามู่ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ“มีกี่คน”“ผู้เดียวอ๊ะ!!! สะ…สามคนขอรับ”น้ำเสียงตกใจของบ่าวรับใช้ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ในทันทีว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย เส้นทางนี้ยามนี้มิมีผู้คนพลุกพล่าน นานๆ ทีถึงจะมีรถม้าผ่านมา พวกมัน…ช่างลงมือได้เหมาะเจาะยิ่งนัก“คุณหนู… ลงมาคุยกับพวกข้าก่อนเถิด คุณหนูไปกล่าววาจาน่าเกลียดจนทำให้มีคนรู้สึกระคายสายตา พวกข้าเลยต้องมาสั่งสอนคุณหนูให้คนพวกนั้นเสียหน่อย” หัวหน้านักเลงตะโกนพล
เมื่อกลับถึงจวนสกุลฉี ฉีอันหนิงก็เร่งรีบตรงไปยังเรือนนอนของตน และสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำให้ชำระล้างร่างกายทันที นางรู้สึกขุ่นเคืองแต่หากจะให้ไปลงกับพวกที่ถูกจ้างมาคงจะมิมีประโยชน์อันใด หวังเพียงว่ารอยตบที่ฝากไปจะคืนสู่คนที่ว่าจ้างคนพวกนั้นมา“เห้อ….ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง เหตุใดชีวิตของข้าจักต้องมาเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วยนะ” เจ้าของร่างเล็กพึมพำออกมาขณะที่เดินกลับเรือนของตนไป“ว่าแต่คุณหนูทราบได้เช่นไรเจ้าคะ เรื่องที่แม่นางผู้นั้นจะส่งคนมาลอบทำร้าย ที่ผ่านมาคุณหนูฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุนี้หรือเจ้าคะ” ซุนซุนกระซิบถามคุณหนูเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน“ใช่สิ…ก็นางถูกข้าตอกหน้าไปเสียแบบนั้น เจ้าว่าคนนิสัยเช่นนางจะปล่อยข้าไปง่ายๆ โดยไม่สั่งสอนข้าสักหน่อยงั้นหรือ ฟังจากที่พี่สาวที่เข้ามาแนะนำตนเองว่าเป็นบุตรีของพ่อค้าเล่าให้ฟัง ข้าก็เลยเชื่อว่าคุณหนูสกุลหยวนนั่นต้องสั่งให้คนมาจัดการข้าแน่ๆ ข้าก็เพียงเตรียมตัวรับมือเพื่อจะตอบแทนในสิ่งที่นางมอบให้เช่นไรล่ะ แต่ไม่นึกมาก่อนว่าน
สามวันต่อมาสาวรับใช้ของหยวนปิงปิงได้ออกไปติดตามผลการทำงานของพวกนักเลงที่นางได้จ้างไปจัดการศัตรูของคุณหนูรอง เพราะพวกมันยังได้เงินค่าจ้างไปไม่ครบจึงต้องเดินทางไปพบพวกมันอีกครั้ง“เป็นเช่นไรบ้าง…งานที่ข้าสั่งให้ไปจัดการ เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”เพราะผ่านมาหลายวันรอยถูกตบบนใบหน้าจึงได้เลือนหายไป แต่ทว่าความขุ่นใจยังมิจางหาย หัวหน้านักเลงไม่คิดจะกลับไปเล่นงานบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่มันคิดจะนำข้อความที่คุณหนูสกุลฉีฝากมาให้แก่คนที่จ้างมันต่างหาก“อือ…เอาเงินมาก่อน แล้วข้าจะรายงานท่านว่าพวกข้าได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง”มันต่อรอง และคิดว่าหากจัดการตามคำสั่งที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและได้รับเงินจากผู้ว่าจ้าง พวกมันก็จะพากันออกไปจากเมืองตงหลางทันที“มากเรื่องเสียจริงนะพวกเจ้า” สาวใช้ส่งถุงเงินไปให้แก่หัวหน้านักเลงพร้อมกับบ่นออกมา“ได้เงินไปแล้วก็รีบบอกมาเสียทีสิว่าพวกเจ้าได้สั่งสอนสิ่งใดแก่นางไปบ้าง”ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้านักเลงเยื้องย่างเข้าไปใกล้ร่างที่เล็กกว่าของสตรีตรงหน้าแล้วง้างมือตบไปที่ใบหน้าทั้งสอ
ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า