หลังจากเดินชื่นชมและซื้อขนมกินได้สักพักฉีอันหนิงก็ชวนซุนซุนกลับจวน เพราะนางจะต้องกลับไปฝึกฟันดาบอีกเพื่อที่จะทำให้ร่างกายเคยชินกับการออกกำลังกายเช่นนั้น เมื่อเกิดการต่อสู้จริงนางจะได้ไม่ต้องปวดเมื่อยมาก แต่ผู้ใดจะคาดคิดเมื่อรถม้าของจวนสกุลฉีที่มุ่งหน้าจะกลับจวนต้องพบกับเรื่องผิดปกติ
“อามู่… เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจึงหยุดม้าเสียล่ะ” ซุนซุนตะโกนถามบ่าวที่เป็นผู้บังคับรถม้า“เอ่อ…ขออภัยขอรับคุณหนูสี่ มีชายผู้หนึ่งมาล้มตรงเส้นทางด้านหน้าน่ะขอรับ” คำตอบของอามู่ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ“มีกี่คน”“ผู้เดียวอ๊ะ!!! สะ…สามคนขอรับ”น้ำเสียงตกใจของบ่าวรับใช้ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ในทันทีว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย เส้นทางนี้ยามนี้มิมีผู้คนพลุกพล่าน นานๆ ทีถึงจะมีรถม้าผ่านมา พวกมัน…ช่างลงมือได้เหมาะเจาะยิ่งนัก“คุณหนู… ลงมาคุยกับพวกข้าก่อนเถิด คุณหนูไปกล่าววาจาน่าเกลียดจนทำให้มีคนรู้สึกระคายสายตา พวกข้าเลยต้องมาสั่งสอนคุณหนูให้คนพวกนั้นเสียหน่อย” หัวหน้านักเลงตะโกนพลเมื่อกลับถึงจวนสกุลฉี ฉีอันหนิงก็เร่งรีบตรงไปยังเรือนนอนของตน และสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำให้ชำระล้างร่างกายทันที นางรู้สึกขุ่นเคืองแต่หากจะให้ไปลงกับพวกที่ถูกจ้างมาคงจะมิมีประโยชน์อันใด หวังเพียงว่ารอยตบที่ฝากไปจะคืนสู่คนที่ว่าจ้างคนพวกนั้นมา“เห้อ….ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง เหตุใดชีวิตของข้าจักต้องมาเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วยนะ” เจ้าของร่างเล็กพึมพำออกมาขณะที่เดินกลับเรือนของตนไป“ว่าแต่คุณหนูทราบได้เช่นไรเจ้าคะ เรื่องที่แม่นางผู้นั้นจะส่งคนมาลอบทำร้าย ที่ผ่านมาคุณหนูฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุนี้หรือเจ้าคะ” ซุนซุนกระซิบถามคุณหนูเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน“ใช่สิ…ก็นางถูกข้าตอกหน้าไปเสียแบบนั้น เจ้าว่าคนนิสัยเช่นนางจะปล่อยข้าไปง่ายๆ โดยไม่สั่งสอนข้าสักหน่อยงั้นหรือ ฟังจากที่พี่สาวที่เข้ามาแนะนำตนเองว่าเป็นบุตรีของพ่อค้าเล่าให้ฟัง ข้าก็เลยเชื่อว่าคุณหนูสกุลหยวนนั่นต้องสั่งให้คนมาจัดการข้าแน่ๆ ข้าก็เพียงเตรียมตัวรับมือเพื่อจะตอบแทนในสิ่งที่นางมอบให้เช่นไรล่ะ แต่ไม่นึกมาก่อนว่าน
สามวันต่อมาสาวรับใช้ของหยวนปิงปิงได้ออกไปติดตามผลการทำงานของพวกนักเลงที่นางได้จ้างไปจัดการศัตรูของคุณหนูรอง เพราะพวกมันยังได้เงินค่าจ้างไปไม่ครบจึงต้องเดินทางไปพบพวกมันอีกครั้ง“เป็นเช่นไรบ้าง…งานที่ข้าสั่งให้ไปจัดการ เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”เพราะผ่านมาหลายวันรอยถูกตบบนใบหน้าจึงได้เลือนหายไป แต่ทว่าความขุ่นใจยังมิจางหาย หัวหน้านักเลงไม่คิดจะกลับไปเล่นงานบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่มันคิดจะนำข้อความที่คุณหนูสกุลฉีฝากมาให้แก่คนที่จ้างมันต่างหาก“อือ…เอาเงินมาก่อน แล้วข้าจะรายงานท่านว่าพวกข้าได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง”มันต่อรอง และคิดว่าหากจัดการตามคำสั่งที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและได้รับเงินจากผู้ว่าจ้าง พวกมันก็จะพากันออกไปจากเมืองตงหลางทันที“มากเรื่องเสียจริงนะพวกเจ้า” สาวใช้ส่งถุงเงินไปให้แก่หัวหน้านักเลงพร้อมกับบ่นออกมา“ได้เงินไปแล้วก็รีบบอกมาเสียทีสิว่าพวกเจ้าได้สั่งสอนสิ่งใดแก่นางไปบ้าง”ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้านักเลงเยื้องย่างเข้าไปใกล้ร่างที่เล็กกว่าของสตรีตรงหน้าแล้วง้างมือตบไปที่ใบหน้าทั้งสอ
ยามนี้ซ่งมู่เฉินและหน่วยพยัคฆ์ดำต่างก็วุ่นวายอยู่กับการวางแผนเพื่อสืบหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการลักลอบค้าขายสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีในเมืองตงหลาง แม้จะทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นขุนนางขั้นสูงผู้หนึ่ง แต่ก็ยังมิสามารถหาหลักฐานมาเอาผิดอีกฝ่ายได้ แต่ถึงอย่างนั้นยิ่งทำให้งานนี้เกิดความท้าทายมากขึ้นสำหรับหน่วยพยัคฆ์ดำ“สายสืบของพวกเราได้เข้าไปปะปนกับพวกพ่อค้าต่างเมืองและพ่อค้าในเมืองตงหลางแล้วขอรับ” ลูกน้องในหน่วยพยัคฆ์ดำรายงานแก่หัวหน้าหน่วย“ดีมาก…ยามนี้ให้คอยจับตามองว่าพวกมันจะทำการแลกเปลี่ยนกันอีกคราใด แล้วอย่าลืมให้คนของเราแอบลอบถามว่าผู้ใดคือผู้ที่เปิดทางให้แก่พวกมัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องรับคำสั่งก่อนที่จะออกไป“ข้าน้อยก็คิดว่าเมืองตงหลางของพวกเรานั้นสงบสุข แต่มันมิได้เป็นดังเช่นที่พวกเราเห็นสินะขอรับคุณชาย”จูจงฉีกล่าวออกมาเมื่ออยู่กับซ่งมู่เฉินตามลำพัง เขาเองก็ไม่คิดว่าขุนนางที่เป็นคนของฮ่องเต้จะกระทำการที่เห็นแก่ตนเช่นนี้“เพราะอำนาจทำให้คนเรานึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ แต่คนผู้นั้นคงจะลืมนึกไปว่า
“คารวะท่านพี่มู่เฉินเจ้าค่ะ” เด็กสาวมิลืมที่จะคำนับพี่ชายของสหายสนิทที่อายุเท่ากับพี่ชายใหญ่ของนาง“ตามสบายเถิด…. เจ้าฝึกขี่ม้ามานานแล้วหรือ เหตุใดถึงได้ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก”ซ่งมู่เฉินก้มหน้าให้เด็กสาวก่อนที่จะเอ่ยถามออกมา ฉีอันหนิงยิ้มแล้วเดินเข้าไปจับมือซ่งเจียวซินให้เดินเข้าไปนั่งภายในศาลาพักผ่อน ซุนซุนหยิบผ้าชุบน้ำส่งให้แก่คุณหนูของนาง ก่อนที่จะรินน้ำชาให้กับคุณชายและคุณหนูทั้งสองอย่างรู้หน้าที่จากนั้นก็ถอยออกไปยืนอยู่ข้างหลังของคุณหนูสี่เพื่อคอยรับคำสั่ง“ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเจ้าค่ะ มิใช่แค่ขี่ม้านะเจ้าคะ ยิงธนูหรือศิลปะการต่อสู้ ข้าก็ฝึกฝนมาหมดแล้ว”คำตอบของฉีอันหนิงทำให้ซ่งมู่เฉินรู้สึกพอใจ ถูกแล้วที่ผู้คนภายนอกบอกว่านางเก่งเกินบุรุษ เพราะเป็นเช่นนี้นี่เอง นางสนใจในสิ่งที่สตรีทั้งหลายมิสนใจกระทำกัน“หืม…เจ้ายิงธนูเป็นด้วยหรือ พี่ก็นึกว่าเจ้าจะเก่งแค่โยนศรกับขี่ม้าตีคลีเสียอีก”ฝีมือของนางเขาเองก็ได้เห็นมาแล้วในวันนั้น วันที่นักเลงร่างโตสามคนขวางรถม้าของสกุลฉีที่มีนางนั่งมา คราแรกเขาก
หลังจากที่กลับจวนสกุลฉี ซ่งเจียวซินก็เอาแต่คาดคั้นถามความรู้สึกของพี่ชายว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถึงได้ขอติดตามนางไปเยี่ยมเยือนสหายสนิทจนได้ไปแพ้การประลองยิงธนูให้แก่สหายของนางอย่างน่ากังขา แท้จริงแล้วซ่งเจียวซินไม่อยากจะเชื่อที่พี่ชายของนางจะยิงธนูพลาดเป้าในดอกสุดท้าย นางคิดว่าเขาตั้งใจอ่อนข้อให้ฉีอันหนิงมากกว่า“อย่าซักไซ้ให้มากความ พี่ก็แค่เบื่อที่จะต้องอยู่เฉยๆ ที่จวน อีกอย่างน้องสาวของพี่โตเป็นสาวแล้วจะปล่อยให้ออกไปลำพังได้เช่นไรกัน” เขาตอบพลางหยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ“ถ้าสนใจนาง ท่านพี่ก็อย่ามัวแต่ลังเลนะเจ้าคะ บุรุษที่รอคอยให้นางเปิดใจมีทั่วทั้งเมืองตงหลาง”ซ่งเจียวซินรีบแนะนำพี่ชายออกมาทันที หากพี่ชายสนใจสหายสนิทของนางจริงๆ นางก็สนับสนุนเขาอย่างแน่นอน เพราะฉีอันหนิงนั้นเหมาะสมกับพี่ชายของนางที่สุด ไม่ว่าจะความฉลาด ความสามารถ หน้าตาหรือตระกูล“เอ…พี่ได้ยินว่าคู่หมั้นของเจ้าจะกลับมาเยี่ยมบ้านอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าเช่นนั้นหรือ” ซ่งมู่เฉินรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเมื่อถูกน้องสาวรู้ทัน ซ่งเจียวซินได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาให้กับควา
เพราะเช่นนั้นยามเมื่อศึกษาที่สำนักศึกษาแห่งนี้ใหม่ๆ บิดาของนางจึงให้นางพยายามเข้าหาและทำความสนิทสนมกับบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองนางออก ว่านางมิได้ยินดีและเต็มใจที่จะคบหาด้วยฉีอันหนิงกับซ่งเจียวซินที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากสหายไม่สนิททั้งสองนางนั้นมิได้สนใจเลย ว่าทั้งสองกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องใดเพราะทั้งสองคนกำลังอ่านตำราที่ท่านอาจารย์จะทำการทดสอบในวันพรุ่งนี้แม้จะมั่นใจว่าทำได้ แต่ทั้งคู่ก็มิเคยประมาทหรืออวดฉลาดให้ผู้ใดได้หมั่นไส้ การมาศึกษาที่นี่คือการมาเพิ่มพูนความรู้มิใช่มาหามิตรที่ชอบพากันพูดจาโอ้อวดหรือดูถูกดูแคลนผู้อื่น“ว่าแต่…เจียวซิน ข้าได้ยินว่าอีกสามปีเจ้าจะแต่งงานกับพี่ชายของอันหนิงจริงน่ะหรือ” แม้จะทำตัวไม่สนใจอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็พยายามมาสนใจพวกนางอยู่ดี ฉีอันหนิงละสายตาจากตำราในมือก่อนที่จะมองไปที่ใบหน้าของคนที่ถาม“จริง… อีกสามปีเจียวซินจะกลายมาเป็นพี่สะใภ้ของข้า” นางเป็นฝ่ายตอบออกมาแทนสหายสนิท“คราแรกข้าก็รู้สึกสนใจพี่ชายใหญ่ของเจ้าอยู่หรอกหนา แต่มิรู้ว่าเป็
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์กับการปะทะฝีปากกับสหายร่วมห้อง ฉีอันหนิงและซ่งเจียวซินเลือกที่จะมองผ่านเพราะทั้งฝ่ายนางและฝ่ายนั้นก็ไม่ได้สนิทสนมอันใดกันอยู่แล้ว จึงทำให้ห่างเหินกัน อีกเพียงสองปีก็จะจบการศึกษาจากสำนักศึกษาแห่งนี้แล้วและคงจะมิจำเป็นต้องผูกมิตรกับพวกนางอีก เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็มิผิดนัก“นี่พวกเจ้ากับพวกนั้นยังมิยอมพูดคุยกันอีกหรือ”ฉางซูซูกระซิบถามสหายทั้งสอง วันนั้นนางมิได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึงมิได้รับรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวและฉีอันหนิงกับซ่งเจียวซินก็เล่าให้นางฟังแค่เพียงแต่ว่า อีกฝ่ายเป็นสหายที่ไม่น่าคบหา และในภายภาคหน้าอาจจะนำพาชีวิตไปสู่หนทางที่ไม่ดี“ไม่จำเป็นเลยซูซู เจ้าก็เลิกถามเรื่องที่มันผ่านมาแล้วเถิดหนา หากเจ้าเชื่อว่าอันหนิงและข้าเป็นฝ่ายถูกแล้วล่ะก็ ช่วยลืมเรื่องที่พวกข้าจะผูกมิตรกับนางทั้งสองไปได้เลย เพราะไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอนหากว่านางทั้งสองยังคงเป็นเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ นิสัยที่ผู้คนอยากหลีกหนีให้ไกลคือนิสัยอย่างไร”ซ่งเจียวซินเป็นผู้ตอบก่อนที่จะถามสหายกลับ ฉางซูซูส่ายหน้าไปมา นางมองโลกในแง่ดีและไม่ค่อยพบปะผู้ใด
หลังจากแวะไปส่งสหายสนิทที่จวนสกุลซ่ง ฉีอันหนิงก็กลับจวนสกุลฉีทันทีโดยมิได้เข้าไปทักทายบิดามารดาของสหายสนิท เพราะยามนี้ก็เย็นย่ำแล้ว บิดามารดาของนางคงจะเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ไม่นานรถม้าก็ขับเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่หน้าจวนสกุลฉี ร่างเล็กลงมาหลังจากที่สาวรับใช้ลงไปก่อนหน้า“อ้าว…ท่านพี่รองกลับจวนหรือ” ฉีอันหนิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะม้าที่ถูกล่ามเอาไว้ด้านหน้าจวนนั้นเป็นของพี่ชายคนรองที่ออกไปศึกษาหาความรู้รอบแคว้นต้าตง“ใช่แล้วขอรับ นายท่านสั่งเอาไว้หากคุณหนูสี่กลับมาให้แวะหาที่เรือนใหญ่เลยขอรับ” บ่าวชายตอบพร้อมกับรายงานถึงสิ่งที่นายท่านสั่งเอาไว้คุณหนูสี่พยักหน้าให้ผู้เป็นบ่าว แล้วจึงสาวเท้าเดินไปยังเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแทนการกลับเรือนนอน พี่ชายคนรองของนางกลับมาจากหาประสบการณ์ คงจะมีความรู้จนสามารถมาสอนนางเพิ่มอยู่ไม่น้อย ความคาดหวังของฉีอันหนิงที่จะได้พบกับฉีอันลิ่งก็คือได้ฟังเขาเล่าเรื่องราวที่พบพานตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาร่างเล็กเยื้องย่างเข้าไปภายในห้องที่มีบิดามารดาและพี่ชายรองนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารก่อนแล้
ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า