หนึ่งปีต่อมา
ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีกำลังขี่ม้าแข่งขันกับร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสี่ปี เสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ที่ข้างสนามทำให้สองพี่น้องชะลอความเร็วของม้าลง และค่อยๆ ขี่ม้ากลับมายังข้างสนาม ที่ซึ่งมีลุงลู่ ซุนซุน และหวงเทายืนอยู่ บ่าวชายรับม้าก่อนที่จะพาไปยังคอกม้า ส่วนคุณชายใหญ่และคุณหนูสี่ก็เดินนำทั้งลุงลู่และบ่าวรับใช้ทั้งสองกลับไปยังเรือนใหญ่ “เป็นเช่นไรบ้างหลงเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ “ก้าวหน้ามากขึ้นแล้วขอรับท่านพ่อ อีกหกปีข้างหน้า ลูกว่าคงมิมีผู้ใดเอาชนะการตีคลีของสกุลฉีไปได้แล้วล่ะขอรับ” ฉีอันหลงตอบบิดาพลางมองหน้าน้องสาววัยแปดปี “ท่านพ่อ… ลูกยังอยากศึกษาวิชาการยิงธนูด้วยเจ้าค่ะ" คำขอที่ดังออกมาจากริมฝีปากเล็กของบุตรีทำเอาท่านเจ้าเมืองที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มถึงกับต้องชะงักมือ “เจ้าแน่ใจหรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรีของตนออกมาเพื่อความแน่ใจ “แน่ใจเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกเห็นท่านพี่ทั้งสามได้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู ลูกก็อยากจะฝึกบ้าง” เด็กหญิงวัยแปดปีกล่าวถึงเหตุผลออกมา “จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่ขี่ม้า ต่อบทกวี ดีดฉิน โยนศร หมากล้อม นางก็เก่งเกินบุรุษแล้วนะเจ้าคะ” ฉีฮูหยินอยากจะคัดค้าน เพราะเพียงเท่าที่นางเอ่ยมาก็มิมีบุรุษใดในใต้หล้าสามารถเรียนรู้ได้ทุกอย่างเพียงในเวลาไม่กี่ปีเช่นบุตรีของนางแล้ว “มิเป็นไรหรอกฮูหยิน ให้ลูกของเราได้มีวิชาความรู้ติดตัว เผื่อในอนาคตนางอาจจะได้ช่วยส่งเสริมสามีของนาง” ใต้เท้าฉีบอกภรรยายิ้มๆ “พ่อเห็นว่าเจ้าสอบได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา เช่นนั้นเรื่องวิชายิงธนูพ่อจะให้เจ้าได้เรียนรู้ไปพร้อมกับพวกพี่ๆ เขาด้วย” คำตอบของผู้เป็นบิดาทำเอาเด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างออกมา ส่วนมารดาและพี่ชายทั้งสามได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอ็นดู เพราะคงจะห้ามมิได้ ในเมื่อนางอยากเรียนก็ให้นางได้เรียนตามที่นางต้องการ สำนักศึกษาหลี่ชุน วันนี้มีการทดสอบการแสดงความคิดเห็นของบรรดาศิษย์ที่เป็นสตรี และฉีอันหนิงก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉีอันหนิงชื่นชอบการได้แสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก นางคิดว่ามิว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็มีความเท่าเทียมกัน มิควรแบ่งแยกเพียงเพราะการที่บุรุษแข็งแรงกว่าหรือตัวโตกว่า เมื่อก่อนอาจจะมีเพียงบุรุษที่สามารถศึกษาหาความรู้และเป็นขุนนางในวังหลวงได้ แต่ในยุคสมัยของนางนี้ ทั้งบุรุษและสตรีได้รับความเท่าเทียมกันมากกว่าแต่ก่อนแล้ว “วันนี้อาจารย์จะให้พวกเจ้าแสดงความคิดเห็นของพวกเจ้าออกมา ในหัวข้อที่อาจารย์กำหนด” อาจารย์หลี่เอ่ยออกมาที่หน้าห้องเรียน “เจ้าค่ะ” เหล่าบรรดาลูกศิษย์ตอบรับออกมาพร้อมกัน “สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ อาจารย์จะให้พวกเจ้าแสดงความคิดเห็นเรื่องสหาย จงบอกถึงสหายที่เจ้าอยากมีและสหายแบบไหนที่เจ้าอยากอยู่ให้ห่างไกล” อาจารย์หลี่กับอาจารย์ยี่หรุนมองไปรอบๆ ก็พบเห็นว่ามีเด็กหญิงหลายๆ คนหันไปมองหน้ากัน นั่นอาจจะเป็นเพราะมิตรสหายแบบคนข้างๆ ที่พวกนางอยากมี “อันหนิง ในฐานะที่เจ้าสอบได้ลำดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา ไหนลองบอกอาจารย์หน่อยได้หรือไม่ว่าสหายแบบไหนที่เจ้าอยากคบหาและสหายแบบไหนที่เจ้าอยากอยู่ให้ไกล” อาจารย์ยี่หรุนเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาก่อน ฉีอันหนิงยืนขึ้นก่อนที่จะเริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่อาจารย์เอ่ยถามออกมา “สำหรับศิษย์แล้ว สหายคือคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดแม้จะไม่ได้พบเจอกันอีกแต่ก็ยังคงมีความระลึกถึง มีความปรารถนาดี และมีความหวังดีต่อกันเสมอ มิตรภาพที่เกิดจากความจริงใจไม่หวังผลตอบแทนย่อมดีกว่าการคบหากันเพียงเพราะหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นการคบหาเพียงเช่นนั้น หากวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายหมดประโยชน์ คำว่ามิตรภาพก็หมดลงไปเช่นกันเจ้าค่ะ สำหรับศิษย์แล้วขอเลือกคบหากับสหายที่มีความจริงใจมอบให้มา มิได้เข้าหาศิษย์เพราะหวังผลประโยชน์ใดๆ ส่วนผู้ใดที่เข้าหาเพียงเพราะหวังผลประโยชน์ก็คงยากที่จะได้ใจของศิษย์กลับไปเช่นกัน” ฉีอันหนิงกล่าวออกมาตามที่ใจคิด นางมิได้หวังคบหากับเพื่อนที่เข้ามาเพียงเพราะเห็นว่านางมีประโยชน์ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว วันที่นางหมดประโยชน์ เพื่อนเหล่านั้นก็จะห่างหายออกไปจากชีวิต อาจารย์พยักหน้าอย่างถูกใจกับคำตอบ การคบหากันหากมิได้คบหาด้วยความจริงใจแต่ทว่ามีผลประโยชน์ใดแอบแฝง หากเป็นเช่นนั้น ในภายภาคหน้าหากอีกฝ่ายหมดประโยชน์ คำว่าเพื่อนก็คงถูกมองข้ามไปเช่นกัน เสียงปรบมือจากเพื่อนร่วมห้องของฉีอันหนิงดังขึ้น “เอาล่ะ เอาล่ะ” อาจารย์หลี่ยกมือขึ้นเพื่อให้เด็กๆ หยุดปรบมือและพูดคุยกัน “ที่อันหนิงกล่าวมาถูกต้องหรือไม่ หากสหายที่เข้ามาคบหากับพวกเจ้าเพียงเพราะมองเห็นประโยชน์จากตัวของพวกเจ้า พวกเจ้ายังจะคิดคบหากับอีกฝ่ายอยู่ไหม เพราะวันหนึ่งที่พวกเจ้าหมดประโยชน์สหายไม่แท้เหล่านั้นก็จะหายไปจากชีวิตของพวกเจ้า” เขาเอ่ยถามบรรดาลูกศิษย์ที่เหลือ “ถูกแล้วเจ้าค่ะ ไม่ขอคบด้วยเจ้าค่ะ” ศิษย์หญิงตอบออกมาพร้อมกัน และแล้วการทดสอบแสดงความคิดเห็นของวันนี้ก็ผ่านไป เพราะมิใช่ข้อสอบหากแต่เป็นเพียงการทดสอบสติปัญญาและจิตใจของบรรดาลูกศิษย์เท่านั้น อาจารย์หลี่และอาจารย์ยี่หรุนต่างพากันพอใจกับสติปัญญาและสภาพจิตใจของเด็กๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่งดงามในวันข้างหน้า พื้นฐานของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่พวกตนยกเรื่องมิตรสหายมาให้เด็กๆ ได้แสดงความคิดเห็นออกมาก็เพื่อที่จะเป็นการแนะนำแนวทางในการคบหากันให้เด็กๆ ได้เข้าใจ ว่าการคบกับผู้ใดนั้น หากเราหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ในวันที่เขาหมดประโยชน์ต่อตนแล้ว คำว่ามิตรภาพก็จะมลายหายไปเช่นกัน หลังเลิกเรียน ฉีอันหนิงก็ได้กลับไปเรียนยิงธนูเช่นเดียวกับพี่ๆ ในคราแรกนั้นนางยังทำออกมาได้ไม่ดี แต่ทว่านางกลับไม่ยอมแพ้ จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์เป็นหนึ่งเดือน เด็กหญิงไปฝึกฝนยิงธนูกับพวกพี่ๆ ทุกวันมิได้เกียจคร้าน จนวันหนึ่งอาจารย์ที่มาสอนให้ทายาทสกุลฉีให้เด็กๆ ทำการทดสอบ เพื่อดูว่าฝีมือก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว และผลที่ได้รับ ฉีอันหนิงทำการยิงธนูได้เข้าเป้ามากกว่าพี่รองของนางเสียอีก เพราะอีกฝ่ายนั้นถนัดบุ๊นมากกว่าบู๊ ชอบบทกวีและดนตรีมากกว่าการขี่ม้าหรือยิงธนู “ทำได้ดีมากอันหนิง อีกหน่อยเจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์หญิงคนแรกของข้าที่ยิงธนูแม่นกว่าสตรีใดในเมืองตงหลางนี้แล้วล่ะ” อาจารย์ชวนเอ่ยชมออกมาด้วยความพอใจเมื่อเห็นทักษะการยิงธนูที่ก้าวหน้าของลูกศิษย์ตัวน้อย อายุเพียงเท่านี้แต่นางกลับแม่นยำนัก อีกหน่อยเติบโตมาคงจะเก่งกาจเกินบุรุษอย่างแน่นอน “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ฝีมือของศิษย์ยังคงต้องฝึกฝนอีกเยอะ” นางถ่อมตนเสมอ มิว่าจะเป็นการเรียนรู้สิ่งใด นางมักจะไม่โอ้อวดตน อาจารย์ชวนพยักหน้าก่อนที่จะส่งยิ้มให้นางอย่างเอ็นดู ฉีอันหนิงจึงขึ้นหลังม้าตัวเล็กแล้วควบขี่ไปตามทางที่อาจารย์กำหนด ด้านหลังมีกระบอกใส่ลูกธนูที่นางสะพายเอาไว้ มือขวาถือคันธนูเมื่อไปถึงจุดที่อาจารย์กำหนดให้ยิงธนูได้แล้ว ฉีอันหนิงจึงยกคันธนูขึ้นมาก่อนที่จะใส่ลูกธนูแล้วง้างศรยิงสุดกำลัง ลูกธนูพุ่งเข้ากลางเป้าไปอย่างจังเรียกเสียงปรบมือจากทั้งอาจารย์ พี่ชายทั้งสามและบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาดูแลคุณชายและคุณหนูของตน “อายไหมน้องรอง เจ้าแพ้น้องสี่แล้วนะ” ฉีอันหลงหยอกล้อน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนทันทีที่เห็นน้องเล็กควบขี่ม้ายิงธนูเข้าเป้าทุกเป้า “ข้ามิอายหรอกขอรับท่านพี่ใหญ่ เพราะข้ามิถนัดเรื่องบู๊เท่าเรื่องบุ๊นเท่าใดนัก น้องหญิงสี่แม้นางยังเด็ก แต่นางกลับชอบศึกษาทุกอย่างที่นางสนใจ ข้านั้นภูมิใจในตัวนางเป็นอย่างยิ่งขอรับ” ฉีอันลิ่งตอบผู้เป็นพี่ชายด้วยใบหน้าที่แสดงออกมาถึงความภูมิใจยามเมื่อมองไปยังน้องเล็กที่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว “ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้พี่ก็ดีใจ ชอบสิ่งใดก็จงทำสิ่งนั้นให้ดีเถิด ท่านพ่อกับท่านแม่ของพวกเราท่านเป็นคนมีเหตุผลและสนับสนุนในสิ่งที่พวกเราชอบเสมอ” พี่ชายใหญ่วางมือเรียวลงบนไหล่เล็กของน้องชายวัยสิบสองปีก่อนที่จะมองไปยังลานขี่ม้าด้านหน้าที่มีน้องสามและน้องสี่กำลังขี่ม้ายิงธนูกันอยู่ ปีหน้าตัวของฉีอันหลงเองก็ต้องไปสอบเคอจวี่แล้ว เขาต้องเรียนรู้ให้หนักขึ้นเพื่อมิทำให้สกุลฉีผิดหวัง การสอบเคอจวี่ครั้งแรกของเขาจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี “ท่านพี่ น้องเก่งหรือไม่เจ้าคะ” ฉีอันหนิงบังคับม้ากลับมาหาบรรดาพี่ๆ หลังจากยิงธนูบนหลังม้าเสร็จ “เจ้าเก่งมากน้องหญิงสี่” พี่รองเอ่ยชมออกมาจากใจของเขาจริงๆ “ท่านพี่รองก็ทำได้ดีแล้วเจ้าค่ะ น้องรู้ดีว่าท่านพี่มิได้ชอบการขี่ม้ายิงธนู เช่นเดียวกับพี่สามก็มิได้ชอบเช่นกัน” แต่ที่พี่รองและพี่สามต้องเรียนรู้ไปด้วยเพราะท่านพ่อเป็นผู้สั่งการลงมาว่าให้บุตรชายทั้งสามมีวิชาขี่ม้ายิงธนูติดตัว ฉีอันหนิงจึงได้ผลประโยชน์ในครั้งนี้ไปด้วย “แต่เจ้าสามก็ยังฝีมือดีกว่าพี่ ขี่ม้าได้เก่งกว่าพี่เสียอีก เจ้าอย่าชมให้พี่ได้ใจไปเลยน้องหญิง เรื่องบู๊พี่ขอยอมแพ้ แต่ถ้าหากเป็นบุ๊นละก็พี่สู้ตาย” สามพี่น้องหัวเราะออกมา ฉีอันลู่ที่เพิ่งยิงธนูเสร็จหันกลับมามองก็นึกว่าพี่น้องหัวเราะใส่ตนที่ยิงธนูพลาดจึงควบม้ากลับมาหา “ข้าฝีมือห่วยเอง ถึงพวกท่านมิหัวเราะเยาะข้า ข้าก็รู้ตัวของข้าดี” เขาทำหน้าจ๋อยลงแต่เมื่อได้ยินประโยคที่ท่านพี่ใหญ่บอกเขาจึงยิ้มออกมาได้ “ใครบอกว่าพวกพี่หัวเราะเยาะฝีมือการยิงธนูของเจ้า พวกพี่หัวเราะเยาะพี่รองของเจ้าต่างหากที่บอกว่าเรื่องบู๊เขายอมแพ้ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุ๋นเขาสู้ตาย” “พี่สามเก่งแล้วเจ้าค่ะ ทำในสิ่งที่ท่านมิชอบได้ขนาดนี้” ฉีอันหนิงลงจากหลังม้าแล้วส่งเชือกให้กับบ่าวชายเพื่อนำม้ากลับไปยังคอก “พวกเจ้าเก่งทุกคนนั่นแหละ แต่ทว่าความเก่งของพวกเจ้าทั้งสี่นั้นแตกต่างกัน อย่าได้คิดมากไปเลย มิใช่ทุกคนที่จะเกิดมาแล้วจะเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ของพวกนี้มันอยู่ที่การฝึกฝนและความเอาใจใส่ รวมไปถึงความชอบ อาจารย์เข้าใจ ท่านเจ้าเมืองท่านพ่อของพวกเจ้าก็มิได้บังคับให้อาจารย์ทำให้พวกเจ้าชอบในสิ่งที่อาจารย์สอนไป เขาเพียงอยากให้พวกเจ้ามีวิชาความรู้ด้านนี้ติดตัวเอาไว้ เผื่อในอนาคตจะได้ป้องกันตนเองและคนที่พวกเจ้ารักได้” อาจารย์ชวนที่เพิ่งเดินมาหาเด็กๆ เอ่ยขึ้นมา ศิษย์ทั้งสี่ยกมือขึ้นมาคำนับเขาพร้อมๆ กัน “วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิด วันนี้ทำได้ดีแล้ว มิต้องกดดันตนเอง” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” ลูกศิษย์ทั้งสี่ขานรับออกมาพร้อมกัน เมื่ออาจารย์ชวนเดินจากไปสี่คนพี่น้องก็พากันนั่งพักอยู่ที่ศาลาพากันต่อบทกวีอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงพากันกลับจวนสำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
สามวันต่อมาสาวรับใช้ของหยวนปิงปิงได้ออกไปติดตามผลการทำงานของพวกนักเลงที่นางได้จ้างไปจัดการศัตรูของคุณหนูรอง เพราะพวกมันยังได้เงินค่าจ้างไปไม่ครบจึงต้องเดินทางไปพบพวกมันอีกครั้ง“เป็นเช่นไรบ้าง…งานที่ข้าสั่งให้ไปจัดการ เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”เพราะผ่านมาหลายวันรอยถูกตบบนใบหน้าจึงได้เลือนหายไป แต่ทว่าความขุ่นใจยังมิจางหาย หัวหน้านักเลงไม่คิดจะกลับไปเล่นงานบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่มันคิดจะนำข้อความที่คุณหนูสกุลฉีฝากมาให้แก่คนที่จ้างมันต่างหาก“อือ…เอาเงินมาก่อน แล้วข้าจะรายงานท่านว่าพวกข้าได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง”มันต่อรอง และคิดว่าหากจัดการตามคำสั่งที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและได้รับเงินจากผู้ว่าจ้าง พวกมันก็จะพากันออกไปจากเมืองตงหลางทันที“มากเรื่องเสียจริงนะพวกเจ้า” สาวใช้ส่งถุงเงินไปให้แก่หัวหน้านักเลงพร้อมกับบ่นออกมา“ได้เงินไปแล้วก็รีบบอกมาเสียทีสิว่าพวกเจ้าได้สั่งสอนสิ่งใดแก่นางไปบ้าง”ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้านักเลงเยื้องย่างเข้าไปใกล้ร่างที่เล็กกว่าของสตรีตรงหน้าแล้วง้างมือตบไปที่ใบหน้าทั้งสอ
เมื่อกลับถึงจวนสกุลฉี ฉีอันหนิงก็เร่งรีบตรงไปยังเรือนนอนของตน และสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำให้ชำระล้างร่างกายทันที นางรู้สึกขุ่นเคืองแต่หากจะให้ไปลงกับพวกที่ถูกจ้างมาคงจะมิมีประโยชน์อันใด หวังเพียงว่ารอยตบที่ฝากไปจะคืนสู่คนที่ว่าจ้างคนพวกนั้นมา“เห้อ….ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง เหตุใดชีวิตของข้าจักต้องมาเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วยนะ” เจ้าของร่างเล็กพึมพำออกมาขณะที่เดินกลับเรือนของตนไป“ว่าแต่คุณหนูทราบได้เช่นไรเจ้าคะ เรื่องที่แม่นางผู้นั้นจะส่งคนมาลอบทำร้าย ที่ผ่านมาคุณหนูฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุนี้หรือเจ้าคะ” ซุนซุนกระซิบถามคุณหนูเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน“ใช่สิ…ก็นางถูกข้าตอกหน้าไปเสียแบบนั้น เจ้าว่าคนนิสัยเช่นนางจะปล่อยข้าไปง่ายๆ โดยไม่สั่งสอนข้าสักหน่อยงั้นหรือ ฟังจากที่พี่สาวที่เข้ามาแนะนำตนเองว่าเป็นบุตรีของพ่อค้าเล่าให้ฟัง ข้าก็เลยเชื่อว่าคุณหนูสกุลหยวนนั่นต้องสั่งให้คนมาจัดการข้าแน่ๆ ข้าก็เพียงเตรียมตัวรับมือเพื่อจะตอบแทนในสิ่งที่นางมอบให้เช่นไรล่ะ แต่ไม่นึกมาก่อนว่าน
หลังจากเดินชื่นชมและซื้อขนมกินได้สักพักฉีอันหนิงก็ชวนซุนซุนกลับจวน เพราะนางจะต้องกลับไปฝึกฟันดาบอีกเพื่อที่จะทำให้ร่างกายเคยชินกับการออกกำลังกายเช่นนั้น เมื่อเกิดการต่อสู้จริงนางจะได้ไม่ต้องปวดเมื่อยมาก แต่ผู้ใดจะคาดคิดเมื่อรถม้าของจวนสกุลฉีที่มุ่งหน้าจะกลับจวนต้องพบกับเรื่องผิดปกติ“อามู่… เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจึงหยุดม้าเสียล่ะ” ซุนซุนตะโกนถามบ่าวที่เป็นผู้บังคับรถม้า“เอ่อ…ขออภัยขอรับคุณหนูสี่ มีชายผู้หนึ่งมาล้มตรงเส้นทางด้านหน้าน่ะขอรับ” คำตอบของอามู่ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ“มีกี่คน”“ผู้เดียวอ๊ะ!!! สะ…สามคนขอรับ”น้ำเสียงตกใจของบ่าวรับใช้ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ในทันทีว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย เส้นทางนี้ยามนี้มิมีผู้คนพลุกพล่าน นานๆ ทีถึงจะมีรถม้าผ่านมา พวกมัน…ช่างลงมือได้เหมาะเจาะยิ่งนัก“คุณหนู… ลงมาคุยกับพวกข้าก่อนเถิด คุณหนูไปกล่าววาจาน่าเกลียดจนทำให้มีคนรู้สึกระคายสายตา พวกข้าเลยต้องมาสั่งสอนคุณหนูให้คนพวกนั้นเสียหน่อย” หัวหน้านักเลงตะโกนพล
ลานฝึกซ้อมเพลงดาบของสกุลฉีในยามนี้ปรากฏร่างเล็กของฉีอันหนิงที่กำลังถือดาบฟาดฟันกับบุรุษวัยกลางคนที่ออกคำสั่งให้นางเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ ฉีอันหนิงเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เท้าเล็กขยับหลบหลีกอย่างว่องไวทำให้อาจารย์จำเป็นถึงกับยิ้มที่มุมปาก จนในที่สุดคุณหนูผู้เก่งกาจก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการระบายอารมณ์ขุ่นเคืองไปกับการฟันดาบกับคู่ซ้อมจำเป็นอย่างลุงลู่ ผู้ที่เคยฝึกนางให้ขี่ม้าในวัยเด็ก“คุณหนูสี่ขอรับ หากคุณหนูฝึกบ่อยๆ ข้าว่ามีหวังจะเก่งกว่าบุรุษเป็นแน่ขอรับ” ลุงลู่กล่าวชมออกมา“ว่าแต่นี่คุณหนูสี่ไปขุ่นเคืองผู้ใดมากันล่ะขอรับ” ก่อนที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย“ลุงลู่รู้ได้เช่นไรจ๊ะว่าข้ากำลังขุ่นเคืองอยู่” ฉีอันหนิงเดินไปรับผ้าผืนเล็กจากซุนซุนมาเช็ดใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ ก่อนที่จะถามลุงลู่กลับด้วยความประหลาดใจ“ก็น้ำหนักของดาบที่ปะทะมากับจิตใจของคุณหนูที่ไม่มั่นคงอย่างไรล่ะขอรับ” สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์ ลุงลู่นั้นเคยออกรบในวัยหนุ่มจนได้มารับใช้ใต้เท้าฉีจึงทำให้เก่งบู๊ ไม่ว่าจะเป็นยิงธนู การต่อสู้และเพลงดาบ“
รถม้าเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่หน้าปากทางเข้าตลาดที่เดิม ฉีอันหนิงลงจากรถม้าแล้วเยื้องย่างไปยังร้านผ้าแพรทันที สิ่งที่นางต้องการยามนี้คือผ้าแพรผืนใหม่สำหรับใช้ปักถุงหอมใบใหม่“สีนี้งามดีนะเจ้าคะคุณหนู”“อือ…ข้าเห็นด้วย อ๊ะ!!!!” ฉีอันหนิงตอบก่อนที่จะอุทานออกมาเมื่อถูกใครบางคนเดินชนเข้าทางด้านข้างของนางอย่างแรง“โอ๊ย!!! นังเด็กนี่!!! ทำไมไม่หัดมองผู้อื่นบ้าง คิดว่าร้านนี้เป็นของเจ้าผู้เดียวหรืออย่างไรกันห๊า!!!”สตรีที่ดูมีอายุมากกว่าฉีอันหนิงถึงสามปีโวยวายออกมา พลางจ้องหน้าฉีอันหนิงอย่างไม่ชอบใจ คนถูกต่อว่าแสดงสีหน้างุนงงออกมาทันทีทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่สำควรจะได้รับคำขออภัยแท้ๆ กลับกลายมาเป็นนางผิดเสียอย่างนั้น“นี่แม่นาง… เดินมาชนผู้อื่นเขาแล้วมากล่าวโทษว่าเขาชนตัวเองนั้นไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือเจ้าคะ” ซุนซุนเดินไปขวางหน้าคุณหนูของนางเอาไว้ทันที ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นโตกว่าแท้ๆ แต่กลับไร้มารยาทสิ้นดี“นังบ่าวน่ารังเกียจ เจ้าน่ะสิน่ารังเกียจ มีสิทธิ์อันใดว่าดูถูกข้าที่เป็นถึงบุตรีเจ้ากรมการยุติธ
ในขณะที่ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มที่มีต่อสหายสนิทของผู้เป็นน้องสาวกำลังเปลี่ยนไป ภาระทางบ้านเมืองที่เขารับผิดชอบก็เริ่มหนักอึ้งเช่นเดียวกัน การลักลอบซื้อขายของผิดกฎหมายตามแถบชายแดนเริ่มมีมากขึ้น จนบางครั้งก็รอดพ้นสายตาของหน่วยพยัคฆ์ดำไปได้ วันนี้ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องนี้จึงได้มาร่วมปรึกษาหารือกัน ซึ่งมีใต้เท้าซ่ง เจ้ากรมการกลาโหม บิดาของซ่งมู่เฉินและท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าฉี บิดาของฉีอันหนิงมาร่วมด้วย“เช่นนี้มันชักจะเหิมเกริมกันมากเกินไปแล้วนะขอรับ” เจ้ากรมการกลาโหมกล่าวออกมาอย่างโมโห เขาได้ยินมาจากบุตรชายว่าคนพวกนั้นมักจะถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ โดยมิต้องรับผิดอันใดเขายิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน“ก็เพราะพวกมันมีคนคอยให้ท้ายน่ะสิ หากมิเช่นนั้นจะอาจหาญทำเรื่องเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้เช่นไร” ใต้เท้าฉีแสดงความคิดเห็นของตนออกมา“นั่นสินะ…สงสัยว่าการทำงานของเจ้ากรมการยุติธรรมจะมีปัญหาเสียแล้วล่ะ พวกท่านคิดเช่นเดียวกับที่ข้าคิดหรือไม่” ใต้เท้าซ่งเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา ทุกฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“เราคง
“หึๆ ออกไปได้ก็ดี…พูดมากอยู่ได้ แล้วก็… เจ้า…นักปราชญ์อะไรนั่นหยุดพล่ามแล้วออกไปได้แล้ว ไปหาสตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาร้องรำยังจะน่าชื่นชมกว่า”คนเมาได้ใจที่เห็นคนที่ต่อต้านก่อนหน้าล่าถอย เขายังคงวางตัวกร่างและใช้กำลังของลูกน้องไปข่มขู่นักปราชญ์ที่กำลังเล่าเรื่องให้โต๊ะอื่นฟังอย่างเพลิดเพลินกันอยู่นัยน์ตากลมของฉีอันหนิงเหลือบไปมองโต๊ะของขี้เมาคนนั้นด้วยความไม่พอใจ วันนี้นางอยากจะมาผ่อนคลายด้วยการฟังเรื่องเล่าจากนักปราชญ์ท่านนี้ให้เพลิดเพลินเท่านั้น แต่กลับต้องมาฟังคนเมาพูดพล่ามและโอ้อวดอำนาจของตน“นี่ท่าน!!! เมาแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด อย่ามัวมาสร้างความรำคาญใจให้ผู้อื่นเช่นนี้เลย อ้อ…แล้วหากท่านอยากชื่นชมสตรีที่มีรูปร่างงดงามร้องเพลงหรือร่ายรำขอเชิญท่านไปหออวิ๋นโหรวนะเจ้าคะ มิใช่โรงเตี๊ยมที่มีไว้เพื่อกินข้าว ฟังบทกลอนและฟังเรื่องเล่าเช่นนี้”เสียงเล็กของสตรีที่ดังขึ้นอย่างมิเกรงกลัวทำให้พวกมันกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียง รวมไปถึงลูกค้าจากโต๊ะอื่นด้วยที่มองมาที่โต๊ะของฉีอันหนิงเป็นจุดเดียวกันด้วยแววตาชื่นชม นางเป็นเพี
แม้การปราบพวกทำกระทำผิดกฎหมายของค่ำคืนที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จโดยง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมิมีผู้ใดยอมกล่าวถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของการกระทำความผิดในครานี้เลย ซ่งมู่เฉินรู้สึกชินชากับการทำงานของทางการที่ทั้งล่าช้าและไม่โปร่งใส บางทีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองตงหลาง อาจจะเกี่ยวข้องกับขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของเมืองก็เป็นได้“ท่านหัวหน้า แบบนี้มิเท่ากับว่าที่พวกเราทำไปสูญเปล่าหรอกหรือขอรับ” หนึ่งในลูกน้องของหน่วยพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าครั้งนี้เรื่องก็เงียบอีกตามเคย“เรื่องนี้มันดูจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้ จงเตรียมตัวกันให้ดีเถิด”เสียงเย็นชาดังออกมาก่อนที่จะควบม้านำหน้าเหล่าลูกน้องในชุดชาวบ้านธรรมดาออกจากหน้าศาลเมืองตงหลางไป วันนี้เขาและลูกน้องมาดูคำตัดสินของกลุ่มคนค้าของเถื่อนที่จับส่งทางการเมื่อคืน แต่ผลที่ออกมากลับเป็นที่น่าคลางแคลงใจ เพราะนอกจากเสียค่าปรับแล้ว คนพวกนี้ก็มิได้ถูกจองจำอยู่ในคุกของศาลเมืองตงหลางอีกการปรากฏตัวในยามเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนั้นหน่วยพยัคฆ์ดำจะปิดบังใบหน
“ลูกก็มิทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่หลังจากที่เขามาส่งลูก เขาก็น่าจะกลับหน่วยเลยนะเจ้าคะ คงกลับจวนเพื่อมาเอาสิ่งของอันใดสักอย่างกลับไปที่หน่วยก็เป็นได้”“อ้าว…นี่พี่เขามาส่งเจ้าที่จวนด้วยหรือลูก ไม่ชวนเขาเข้ามาจิบชาก่อนกลับล่ะ” ฉีฮูหยินอุทานพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคุณชายสกุลส่งจะมาส่งบุตรีของนางถึงจวน“พี่เขาคงจะรีบเดินทางน่ะเจ้าค่ะ เห็นบอกว่ามีงานสำคัญรีบไปจัดการ”“อืม…ลงมือแล้วสินะ หน่วยพยัคฆ์ดำมิเคยปล่อยให้เรื่องพวกนี้ผ่านไป พ่อก็หวังเพียงให้เขาทำภารกิจลุล่วงโดยมิได้รับบาดเจ็บ”คนฟังถึงกับรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากบิดากล่าวเช่นนี้ภารกิจที่เขาจะไปทำมันต้องร้ายแรงเป็นแน่ นางก็คงทำได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ… ลูกขอตัวกลับเรือนนอนก่อนนะเจ้าคะ รู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำเต็มทีแล้วเจ้าค่ะ”เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่อาหารมื้อกลางวันเสร็จ กลับจวนมาก็ค่ำมืดแล้ว สองสามีภรรยามิได้รั้งบุตรีเอาไว้ ฉีอันหนิงจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ม