ณ เมืองตงฉวน
เด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตงฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
หลังจากงานตีคลีประจำปีเสร็จสิ้น ฉีอันหลงก็เดินทางกลับเมืองหลวงทันที เขายังต้องกลับไปศึกษาต่อเพื่อเตรียมตัวสอบเคอจวี่ในปีหน้า แต่ก่อนที่เขาจะกลับบิดามารดาก็ได้ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าเขาสนใจบุตรีสกุลซ่งอย่างแท้จริง มิใช่เพียงเพราะเอ็นดูนางที่นางเป็นสหายที่สนิทสนมกับฉีอันหนิง เขาก็ได้ให้คำตอบอย่างหนักแน่นว่า เขามั่นใจว่าสตรีที่เขาอยากจะได้มาเป็นฮูหยินในภายภาคหน้ามีเพียงแค่นางเพียงผู้เดียว“หนิงเอ๋อร์…เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หรือลูก” เสียงหวานของฉีฮูหยินดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเมื่อเห็นว่าบุตรีกำลังมีจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งในมือ“ลูกกำลังอ่านตำราปรุงยาอยู่เจ้าค่ะ”“หืม… นี่เจ้าสนใจเรื่องการรักษาคนด้วยหรือลูก” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีของนางด้วยความสงสัย“เจ้าค่ะ… แต่ลูกมิได้อยากเป็นหมอหรอกนะเจ้าคะ ลูกแค่อยากมีความรู้ติดตัวเอาไว้เท่านั้น”เสียงใสของเด็กหญิงวัยสิบปีตอบมารดาก่อนที่จะหันไปสนใจตำราที่อยู่ในมือต่อ ฉีฮูหยินได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู บุตรสาวของนางใฝ่รู้ใฝ่ศึกษามาตั้งแต่เป็นเด็กๆ ฉีฮูหยินจึงปล่อยให
“ฮ่าๆๆ เด็กวัยกำลังโตเช่นเจ้าจะไปรู้เรื่องอันใด ที่ตลาดแห่งนี้มีพวกข้าดูแลอยู่มานานแล้ว หากมิเช่นนั้นพวกขุนนางคงได้มารีดไถพวกชาวเมืองไปมากกว่านี้”คำพูดของพวกนักเลงเหล่านี้น่าขันยิ่งนัก ฉีอันหนิงหัวเราะออกมาจนพวกมันรู้สึกงุนงงกับอาการที่เด็กหญิงตรงหน้าแสดงออกมา ราวกับว่านางมิได้เกรงกลัวพวกมันเลยสักนิด“ขุนนางน่ะหรือที่จะมารีดไถ ข้ามิเคยได้ยินว่าใต้เท้าฉี เจ้าเมืองตงหลางจะปล่อยให้พวกขุนนางได้กระทำเช่นดังที่เจ้าว่า นี่เป็นข้ออ้างของพวกสันดานไม่ดีอย่างพวกเจ้ามากกว่า”คำพูดของเด็กหญิงวัยสิบขวบทำเอาหัวหน้านักเลงรู้สึกเกรี้ยวโกรธ เขาตรงปรี่เข้ามาจะทำร้ายนาง แม้บ่าวรับใช้และสาวรับใช้ของคุณหนูสกุลฉีจะเข้ามาขัดขวาง แต่ก็มิอาจต้านพละกำลังของหัวหน้านักเลงได้ทั้งสองคนกระเด็นไปคนละทาง หัวหน้านักเลงมิได้หยุดฝีเท้าเขามุ่งตรงไปยังร่างเล็กกะจะใช้ฝ่ามือตบหน้านาง แต่ก่อนที่นักเลงร่างโตจะสัมผัสร่างเล็กของฉีอันหนิง เด็กหญิงก็ใช้ด้ามพัดที่นางถือไว้ตีเข้าไปตามจุดต่างๆ ของร่างกายหัวหน้านักเลงจนมันขยับมิได้“เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กได้เช่นไร รู้ถึงไหนอายไป
หนึ่งปีต่อมาหลังจากการได้พบเจอกันโดยเหตุบังเอิญในครานั้น ฉีอันหนิงกับหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ บุรุษหนุ่มที่มีดวงตาคมปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากก็มิได้พบกันอีกเลย จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่สำคัญของฉีอันหลง พี่ใหญ่ของฉีอันหนิง เพราะเขาต้องเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อไปสอบต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เป็นการคัดเลือกขุนนางในระดับจิ้นซื่อของแคว้นโจวหนานการสอบเคอจวี่ในระดับราชสำนักหรือระดับจิ้นซื่อที่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยก็มาถึง ฉีอันหลงได้เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ณ บัดนี้มีบัณฑิตทั่วทั้งแคว้นโจวหนานกำลังเข้าร่วมการสอบอย่างตื่นเต้น การสอบใช้เวลานานพอสมควรเพราะมีบัณฑิตที่สอบผ่านมา ณ รอบนี้มีมากเกือบสองร้อยคนจากทั่วแคว้น“อันหลง…ขอให้เจ้าโชคดีนะ แต่ปีนี้ข้าคงต้องขอตำแหน่งจอหงวนไปก่อนล่ะ” เด็กหนุ่มที่อายุห่างจากฉีอันหลงสองปีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ลำบากเจ้าแล้วล่ะซ่งอี้”เด็กหนุ่มมิได้หวาดหวั่นต่อคำพูดของสหายที่ไม่ได้สนิทกัน ปีนี้เขาพร้อมแล้ว และเขาเชื่อว่าเขาจะมิ
ความมั่นคงของพี่ชายทำให้ฉีอันหนิงรู้สึกชื่นชม นางเองก็แอบหวังจะได้พบกับบุรุษที่มีหัวใจรักมั่นต่อนางเช่นพี่ชายของนางที่มีหัวใจรักมั่นต่อสหายสนิทของนางเช่นกัน ฉีอันหนิงรับรู้เรื่องที่พี่ชายสนใจสหายสนิทเมื่อหกเดือนก่อน ยามนั้นบิดามารดาเข้าไปคุยกับบิดาและมารดาของเจียวซิน ทำให้เจียวซินมาเล่าให้แก่นางฟังการเลี้ยงฉลองที่ฉีอันหลงสอบเป็นขุนนางได้ลำดับจอหงวนผ่านพ้นไปแบบสกุลอื่นคว้าน้ำเหลวที่ตั้งใจมาร่วมเพื่ออยากจะเกี่ยวดองกับสกุลฉี แต่จอหงวนคนใหม่นั้นกลับมิได้สนใจที่จะสานสัมพันธ์กับสกุลใดเลย นั่นก็เป็นเพราะฉีอันหลงนั้นมีความตั้งใจจะแต่งภรรยาเอกเป็นบุตรีจากสกุลซ่งเท่านั้นขบวนเกียรติยศเคลื่อนจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองตงหลาง ซึ่งเป็นเมืองเกิดของจอหงวนคนใหม่ ตลอดทางมีชาวเมืองร่วมแสดงความยินดี สตรีหลายนางต่างมองไปที่บัณฑิตหนุ่มผู้โดดเด่นที่สอบจิ้นซื่อได้ลำดับจอหงวนแทบจะไม่ละสายตา แต่พวกนางก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะสายตาของบัณฑิตหนุ่มมิได้หวั่นไหวไปกับความงามใดเลย จนได้สบสายตากับเด็กหญิงคนหนึ่ง ความคุ้นเคยทำให้เขาฉีกยิ้มออกมา และได้รับรอยยิ้มจากใบหน้างามกลับมาเช่นกัน“ใต้เท
จวนสกุลฉียามนี้กำลังคึกคักไปด้วยเหล่าญาติพี่น้องและขุนนางทั่วทั้งเมืองตงหลางที่มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านเจ้าเมืองที่บุตรชายสอบจอหงวนสำเร็จ และจะกลับเข้าวังเพื่อรับตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการในอีกสองวันถัดไป อย่างเช่นเคยหลากหลายตระกูลมิว่าจะเป็นขุนนางหรือพ่อค้าต่างพาบุตรีและหลานสาวมาร่วมงานเลี้ยงฉลองให้จอหงวนคนใหม่ในวันนี้ด้วย แต่ทว่าฉีอันหลงก็มิได้สนใจผู้ใด เขายังคงรอคอยการมาของคู่หมั้นตัวเล็ก“ข้าดีใจกับท่านด้วย ข้าคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องทำได้” จูหรง คุณหนูสกุลอิ่นที่มีจวนติดกันมาร่วมแสดงความยินดีกับจอหงวนคนใหม่เช่นกัน“ขอบใจนะแม่นางอิ่น แล้วท่านลุงกับท่านป้ามาด้วยหรือไม่” สองตระกูลค่อนข้างจะสนิทกัน และนางก็ยังเป็นว่าที่น้องสะใภ้รองของเขาอีกด้วย เพราะนางคือคู่หมายของฉีอันลิ่ง มีกำหนดการจะแต่งงานกันภายในสามปีข้างหน้า“อือ… มาสิ อยู่ทางด้านโน้น” นางผายมือไปทางครอบครัวของตน ฉีอันหลงจึงหันไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“เช่นนั้นข้าขอตัวไปนั่งกับท่านพ่อท่านแม่ก่อนนะ” จอหงวนหนุ่มพยักหน้า ร่างระหงของคุณหนูสกุลอิ่นจึงเดินไป
สามวันต่อมาสาวรับใช้ของหยวนปิงปิงได้ออกไปติดตามผลการทำงานของพวกนักเลงที่นางได้จ้างไปจัดการศัตรูของคุณหนูรอง เพราะพวกมันยังได้เงินค่าจ้างไปไม่ครบจึงต้องเดินทางไปพบพวกมันอีกครั้ง“เป็นเช่นไรบ้าง…งานที่ข้าสั่งให้ไปจัดการ เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”เพราะผ่านมาหลายวันรอยถูกตบบนใบหน้าจึงได้เลือนหายไป แต่ทว่าความขุ่นใจยังมิจางหาย หัวหน้านักเลงไม่คิดจะกลับไปเล่นงานบุตรีของท่านเจ้าเมือง แต่มันคิดจะนำข้อความที่คุณหนูสกุลฉีฝากมาให้แก่คนที่จ้างมันต่างหาก“อือ…เอาเงินมาก่อน แล้วข้าจะรายงานท่านว่าพวกข้าได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง”มันต่อรอง และคิดว่าหากจัดการตามคำสั่งที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและได้รับเงินจากผู้ว่าจ้าง พวกมันก็จะพากันออกไปจากเมืองตงหลางทันที“มากเรื่องเสียจริงนะพวกเจ้า” สาวใช้ส่งถุงเงินไปให้แก่หัวหน้านักเลงพร้อมกับบ่นออกมา“ได้เงินไปแล้วก็รีบบอกมาเสียทีสิว่าพวกเจ้าได้สั่งสอนสิ่งใดแก่นางไปบ้าง”ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้านักเลงเยื้องย่างเข้าไปใกล้ร่างที่เล็กกว่าของสตรีตรงหน้าแล้วง้างมือตบไปที่ใบหน้าทั้งสอ
เมื่อกลับถึงจวนสกุลฉี ฉีอันหนิงก็เร่งรีบตรงไปยังเรือนนอนของตน และสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำให้ชำระล้างร่างกายทันที นางรู้สึกขุ่นเคืองแต่หากจะให้ไปลงกับพวกที่ถูกจ้างมาคงจะมิมีประโยชน์อันใด หวังเพียงว่ารอยตบที่ฝากไปจะคืนสู่คนที่ว่าจ้างคนพวกนั้นมา“เห้อ….ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง เหตุใดชีวิตของข้าจักต้องมาเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วยนะ” เจ้าของร่างเล็กพึมพำออกมาขณะที่เดินกลับเรือนของตนไป“ว่าแต่คุณหนูทราบได้เช่นไรเจ้าคะ เรื่องที่แม่นางผู้นั้นจะส่งคนมาลอบทำร้าย ที่ผ่านมาคุณหนูฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุนี้หรือเจ้าคะ” ซุนซุนกระซิบถามคุณหนูเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน“ใช่สิ…ก็นางถูกข้าตอกหน้าไปเสียแบบนั้น เจ้าว่าคนนิสัยเช่นนางจะปล่อยข้าไปง่ายๆ โดยไม่สั่งสอนข้าสักหน่อยงั้นหรือ ฟังจากที่พี่สาวที่เข้ามาแนะนำตนเองว่าเป็นบุตรีของพ่อค้าเล่าให้ฟัง ข้าก็เลยเชื่อว่าคุณหนูสกุลหยวนนั่นต้องสั่งให้คนมาจัดการข้าแน่ๆ ข้าก็เพียงเตรียมตัวรับมือเพื่อจะตอบแทนในสิ่งที่นางมอบให้เช่นไรล่ะ แต่ไม่นึกมาก่อนว่าน
หลังจากเดินชื่นชมและซื้อขนมกินได้สักพักฉีอันหนิงก็ชวนซุนซุนกลับจวน เพราะนางจะต้องกลับไปฝึกฟันดาบอีกเพื่อที่จะทำให้ร่างกายเคยชินกับการออกกำลังกายเช่นนั้น เมื่อเกิดการต่อสู้จริงนางจะได้ไม่ต้องปวดเมื่อยมาก แต่ผู้ใดจะคาดคิดเมื่อรถม้าของจวนสกุลฉีที่มุ่งหน้าจะกลับจวนต้องพบกับเรื่องผิดปกติ“อามู่… เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจึงหยุดม้าเสียล่ะ” ซุนซุนตะโกนถามบ่าวที่เป็นผู้บังคับรถม้า“เอ่อ…ขออภัยขอรับคุณหนูสี่ มีชายผู้หนึ่งมาล้มตรงเส้นทางด้านหน้าน่ะขอรับ” คำตอบของอามู่ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ“มีกี่คน”“ผู้เดียวอ๊ะ!!! สะ…สามคนขอรับ”น้ำเสียงตกใจของบ่าวรับใช้ทำให้ฉีอันหนิงรับรู้ได้ในทันทีว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย เส้นทางนี้ยามนี้มิมีผู้คนพลุกพล่าน นานๆ ทีถึงจะมีรถม้าผ่านมา พวกมัน…ช่างลงมือได้เหมาะเจาะยิ่งนัก“คุณหนู… ลงมาคุยกับพวกข้าก่อนเถิด คุณหนูไปกล่าววาจาน่าเกลียดจนทำให้มีคนรู้สึกระคายสายตา พวกข้าเลยต้องมาสั่งสอนคุณหนูให้คนพวกนั้นเสียหน่อย” หัวหน้านักเลงตะโกนพล
ลานฝึกซ้อมเพลงดาบของสกุลฉีในยามนี้ปรากฏร่างเล็กของฉีอันหนิงที่กำลังถือดาบฟาดฟันกับบุรุษวัยกลางคนที่ออกคำสั่งให้นางเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ ฉีอันหนิงเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เท้าเล็กขยับหลบหลีกอย่างว่องไวทำให้อาจารย์จำเป็นถึงกับยิ้มที่มุมปาก จนในที่สุดคุณหนูผู้เก่งกาจก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการระบายอารมณ์ขุ่นเคืองไปกับการฟันดาบกับคู่ซ้อมจำเป็นอย่างลุงลู่ ผู้ที่เคยฝึกนางให้ขี่ม้าในวัยเด็ก“คุณหนูสี่ขอรับ หากคุณหนูฝึกบ่อยๆ ข้าว่ามีหวังจะเก่งกว่าบุรุษเป็นแน่ขอรับ” ลุงลู่กล่าวชมออกมา“ว่าแต่นี่คุณหนูสี่ไปขุ่นเคืองผู้ใดมากันล่ะขอรับ” ก่อนที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย“ลุงลู่รู้ได้เช่นไรจ๊ะว่าข้ากำลังขุ่นเคืองอยู่” ฉีอันหนิงเดินไปรับผ้าผืนเล็กจากซุนซุนมาเช็ดใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ ก่อนที่จะถามลุงลู่กลับด้วยความประหลาดใจ“ก็น้ำหนักของดาบที่ปะทะมากับจิตใจของคุณหนูที่ไม่มั่นคงอย่างไรล่ะขอรับ” สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์ ลุงลู่นั้นเคยออกรบในวัยหนุ่มจนได้มารับใช้ใต้เท้าฉีจึงทำให้เก่งบู๊ ไม่ว่าจะเป็นยิงธนู การต่อสู้และเพลงดาบ“
รถม้าเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่หน้าปากทางเข้าตลาดที่เดิม ฉีอันหนิงลงจากรถม้าแล้วเยื้องย่างไปยังร้านผ้าแพรทันที สิ่งที่นางต้องการยามนี้คือผ้าแพรผืนใหม่สำหรับใช้ปักถุงหอมใบใหม่“สีนี้งามดีนะเจ้าคะคุณหนู”“อือ…ข้าเห็นด้วย อ๊ะ!!!!” ฉีอันหนิงตอบก่อนที่จะอุทานออกมาเมื่อถูกใครบางคนเดินชนเข้าทางด้านข้างของนางอย่างแรง“โอ๊ย!!! นังเด็กนี่!!! ทำไมไม่หัดมองผู้อื่นบ้าง คิดว่าร้านนี้เป็นของเจ้าผู้เดียวหรืออย่างไรกันห๊า!!!”สตรีที่ดูมีอายุมากกว่าฉีอันหนิงถึงสามปีโวยวายออกมา พลางจ้องหน้าฉีอันหนิงอย่างไม่ชอบใจ คนถูกต่อว่าแสดงสีหน้างุนงงออกมาทันทีทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่สำควรจะได้รับคำขออภัยแท้ๆ กลับกลายมาเป็นนางผิดเสียอย่างนั้น“นี่แม่นาง… เดินมาชนผู้อื่นเขาแล้วมากล่าวโทษว่าเขาชนตัวเองนั้นไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือเจ้าคะ” ซุนซุนเดินไปขวางหน้าคุณหนูของนางเอาไว้ทันที ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นโตกว่าแท้ๆ แต่กลับไร้มารยาทสิ้นดี“นังบ่าวน่ารังเกียจ เจ้าน่ะสิน่ารังเกียจ มีสิทธิ์อันใดว่าดูถูกข้าที่เป็นถึงบุตรีเจ้ากรมการยุติธ
ในขณะที่ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มที่มีต่อสหายสนิทของผู้เป็นน้องสาวกำลังเปลี่ยนไป ภาระทางบ้านเมืองที่เขารับผิดชอบก็เริ่มหนักอึ้งเช่นเดียวกัน การลักลอบซื้อขายของผิดกฎหมายตามแถบชายแดนเริ่มมีมากขึ้น จนบางครั้งก็รอดพ้นสายตาของหน่วยพยัคฆ์ดำไปได้ วันนี้ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องนี้จึงได้มาร่วมปรึกษาหารือกัน ซึ่งมีใต้เท้าซ่ง เจ้ากรมการกลาโหม บิดาของซ่งมู่เฉินและท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าฉี บิดาของฉีอันหนิงมาร่วมด้วย“เช่นนี้มันชักจะเหิมเกริมกันมากเกินไปแล้วนะขอรับ” เจ้ากรมการกลาโหมกล่าวออกมาอย่างโมโห เขาได้ยินมาจากบุตรชายว่าคนพวกนั้นมักจะถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ โดยมิต้องรับผิดอันใดเขายิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน“ก็เพราะพวกมันมีคนคอยให้ท้ายน่ะสิ หากมิเช่นนั้นจะอาจหาญทำเรื่องเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้เช่นไร” ใต้เท้าฉีแสดงความคิดเห็นของตนออกมา“นั่นสินะ…สงสัยว่าการทำงานของเจ้ากรมการยุติธรรมจะมีปัญหาเสียแล้วล่ะ พวกท่านคิดเช่นเดียวกับที่ข้าคิดหรือไม่” ใต้เท้าซ่งเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา ทุกฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“เราคง
“หึๆ ออกไปได้ก็ดี…พูดมากอยู่ได้ แล้วก็… เจ้า…นักปราชญ์อะไรนั่นหยุดพล่ามแล้วออกไปได้แล้ว ไปหาสตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาร้องรำยังจะน่าชื่นชมกว่า”คนเมาได้ใจที่เห็นคนที่ต่อต้านก่อนหน้าล่าถอย เขายังคงวางตัวกร่างและใช้กำลังของลูกน้องไปข่มขู่นักปราชญ์ที่กำลังเล่าเรื่องให้โต๊ะอื่นฟังอย่างเพลิดเพลินกันอยู่นัยน์ตากลมของฉีอันหนิงเหลือบไปมองโต๊ะของขี้เมาคนนั้นด้วยความไม่พอใจ วันนี้นางอยากจะมาผ่อนคลายด้วยการฟังเรื่องเล่าจากนักปราชญ์ท่านนี้ให้เพลิดเพลินเท่านั้น แต่กลับต้องมาฟังคนเมาพูดพล่ามและโอ้อวดอำนาจของตน“นี่ท่าน!!! เมาแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด อย่ามัวมาสร้างความรำคาญใจให้ผู้อื่นเช่นนี้เลย อ้อ…แล้วหากท่านอยากชื่นชมสตรีที่มีรูปร่างงดงามร้องเพลงหรือร่ายรำขอเชิญท่านไปหออวิ๋นโหรวนะเจ้าคะ มิใช่โรงเตี๊ยมที่มีไว้เพื่อกินข้าว ฟังบทกลอนและฟังเรื่องเล่าเช่นนี้”เสียงเล็กของสตรีที่ดังขึ้นอย่างมิเกรงกลัวทำให้พวกมันกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียง รวมไปถึงลูกค้าจากโต๊ะอื่นด้วยที่มองมาที่โต๊ะของฉีอันหนิงเป็นจุดเดียวกันด้วยแววตาชื่นชม นางเป็นเพี
แม้การปราบพวกทำกระทำผิดกฎหมายของค่ำคืนที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จโดยง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับมิมีผู้ใดยอมกล่าวถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของการกระทำความผิดในครานี้เลย ซ่งมู่เฉินรู้สึกชินชากับการทำงานของทางการที่ทั้งล่าช้าและไม่โปร่งใส บางทีผู้ที่อยู่เบื้องหลังของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองตงหลาง อาจจะเกี่ยวข้องกับขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของเมืองก็เป็นได้“ท่านหัวหน้า แบบนี้มิเท่ากับว่าที่พวกเราทำไปสูญเปล่าหรอกหรือขอรับ” หนึ่งในลูกน้องของหน่วยพยัคฆ์ดำเอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าครั้งนี้เรื่องก็เงียบอีกตามเคย“เรื่องนี้มันดูจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้ จงเตรียมตัวกันให้ดีเถิด”เสียงเย็นชาดังออกมาก่อนที่จะควบม้านำหน้าเหล่าลูกน้องในชุดชาวบ้านธรรมดาออกจากหน้าศาลเมืองตงหลางไป วันนี้เขาและลูกน้องมาดูคำตัดสินของกลุ่มคนค้าของเถื่อนที่จับส่งทางการเมื่อคืน แต่ผลที่ออกมากลับเป็นที่น่าคลางแคลงใจ เพราะนอกจากเสียค่าปรับแล้ว คนพวกนี้ก็มิได้ถูกจองจำอยู่ในคุกของศาลเมืองตงหลางอีกการปรากฏตัวในยามเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนั้นหน่วยพยัคฆ์ดำจะปิดบังใบหน
“ลูกก็มิทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่หลังจากที่เขามาส่งลูก เขาก็น่าจะกลับหน่วยเลยนะเจ้าคะ คงกลับจวนเพื่อมาเอาสิ่งของอันใดสักอย่างกลับไปที่หน่วยก็เป็นได้”“อ้าว…นี่พี่เขามาส่งเจ้าที่จวนด้วยหรือลูก ไม่ชวนเขาเข้ามาจิบชาก่อนกลับล่ะ” ฉีฮูหยินอุทานพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคุณชายสกุลส่งจะมาส่งบุตรีของนางถึงจวน“พี่เขาคงจะรีบเดินทางน่ะเจ้าค่ะ เห็นบอกว่ามีงานสำคัญรีบไปจัดการ”“อืม…ลงมือแล้วสินะ หน่วยพยัคฆ์ดำมิเคยปล่อยให้เรื่องพวกนี้ผ่านไป พ่อก็หวังเพียงให้เขาทำภารกิจลุล่วงโดยมิได้รับบาดเจ็บ”คนฟังถึงกับรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากบิดากล่าวเช่นนี้ภารกิจที่เขาจะไปทำมันต้องร้ายแรงเป็นแน่ นางก็คงทำได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ… ลูกขอตัวกลับเรือนนอนก่อนนะเจ้าคะ รู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำเต็มทีแล้วเจ้าค่ะ”เพราะออกจากจวนไปตั้งแต่อาหารมื้อกลางวันเสร็จ กลับจวนมาก็ค่ำมืดแล้ว สองสามีภรรยามิได้รั้งบุตรีเอาไว้ ฉีอันหนิงจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ม