งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม “คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่” นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ “วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา “ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้ “รำดาบ” คำตอบของคุณหนูสี่ทำให้เด็กสาวรับใช้ถึงกับชะงักมือ ดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ “ค่ะ…ค่ะ…คุณหนู ท่านถือดาบไหวหรือเจ้าคะ” คำถามของบ่าวรับใช้คนสนิททำให้ฉีอันหนิงหัวเราะออกมา “คิกๆๆๆ พี่ซุนซุน ข้าจะใช้ดาบจริงไปเพื่อเหตุใดกัน อาทิตย์ก่อนท่านพี่ใหญ่ได้ใช้ไม้ทำดาบให้กับข้า เพราะข้าบอกแก่เขาว่าข้าจะรำดาบให้ท่านแม่ชม” คำตอบของคุณหนูทำให้เด็กรับใช้คนสนิทค่อยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่คุณหนูสี่มิได้คิดจะใช้ดาบจริง “คุณหนูของบ่าวช่างมากความสามารถเสียจริงๆ เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชมฉีอันหนิงออกมาด้วยความภูมิใจ “ทุกอย่างมันเกิดจากการเรียนรู้นะพี่ซุนซุน การรำดาบข้าเคยได้เห็นรุ่นพี่ที่สำนักศึกษาเขารำกัน ข้าเลยแอบจดจำวิธีการมา เอาจริงๆ ข้าก็ยังมิเคยได้ลองหรอกนะ” “ถ้าเช่นนั้นจะดีหรือเจ้าคะ งานนี้มิได้มีแค่คนในตระกูลฉีนะเจ้าคะ ยังมีตระกูลขุนนางอีกหลายครอบครัวที่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานในวันนี้ด้วย” เด็กสาวรับใช้เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นกังวล กลัวว่าคุณหนูของนางจะขายหน้าถ้าเกิดว่านางจำท่าร่ายรำมิได้ขึ้นมา นางมิอยากเห็นคุณหนูสี่ของนางต้องเสียใจ “ดีสิพี่ซุนซุน มิมีสิ่งใดที่ข้าคิดจะลงมือทำแล้วทำมิได้หรอก ท่านอย่ากังวลแทนข้าไปเลย” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ ในเมื่อห้ามปรามคุณหนูสี่ของนางมิได้ ซุนซุน เด็กสาวรับใช้ข้างกายจึงได้แต่ภาวนาให้คุณหนูร่ายรำผ่านไปได้ด้วยดี จวนสกุลฉีวันนี้คึกคัก ใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินคอยต้อนรับแขกที่มาเยือน ซึ่งใต้เท้าฉีส่งเทียบเชิญไปเพียงตระกูลที่รู้จักและคุ้นเคยกันเท่านั้น ฉีอันหลงบุตรชายคนโตนั้นคอยช่วยเหลือบิดามารดาคอยดูแลความเรียบร้อยของงานวันนี้ด้วยตนเอง อีกสองปีหน้าเขาก็ต้องเข้าพิธีสวมหมวกและเข้าร่วมการสอบเค่อจวี่แล้ว “ขอให้ฮูหยินมีร่างกายที่แข็งแรง” ซ่งฮูหยินส่งกล่องของขวัญให้กับฉีฮูหยิน เมื่อพบหน้ากัน “ขอบใจน้องหญิงมากนะ" ซ่งฮูหยินนั้นอายุน้อยกว่าฉีฮูหยินไปถึงสามปี ทั้งสองจึงนับถือกันเป็นพี่น้อง “นี่ใช่บุตรชายคนโตของใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินใช่หรือไม่” ใต้เท้าฉีเอ่ยทักออกมาเมื่อได้เห็นเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรชายคนโตของตน “ใช่แล้วขอรับท่านใต้เท้า เฉินเอ๋อร์คารวะท่านเจ้าเมืองกับฮูหยินสิลูก” ใต้เท้าซ่งหันไปบอกบุตรชาย ซ่งมู่เฉินทำตามที่บิดาบอก เขาคำนับผู้ใหญ่ทั้งสองและบุตรชายของอีกฝ่ายก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยินและฉีอันหลงก้มหน้าลงให้อีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยพลางฉีกยิ้มออกมา “ซินเอ๋อร์… เจ้ากำลังมองหาหนิงเอ๋อร์อยู่ใช่หรือไม่ วันนี้เห็นนางบอกป้าว่ามีการแสดงพิเศษมาแสดงให้ป้าชมด้วย คงจะอยู่ที่เรือนนอนของนางอยู่นั่นแหละ เจ้าจะไปตามนางก็ได้นะ” ฉีฮูหยินหันไปพูดกับบุตรีคนเล็กของซ่งฮูหยินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้าค่ะท่านป้า… ท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าขอตัวไปหาอันหนิงก่อนนะเจ้าคะ” ผู้ใหญ่ทั้งสองรวมไปถึงพี่ชายพยักหน้าซ่งเจียวซินจึงคำนับลาทุกคนก่อนที่จะเดินเลี่ยงไปยังเรือนนอนของฉีอันหนิง ฉีอันหลงมองตามเด็กหญิงไปก่อนที่จะหันกลับมาสนใจพี่ชายของนางแทน “ข้าได้ยินว่าเจ้าไปศึกษาอยู่ที่ต่างเมืองเช่นนั้นหรือ” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกมาก่อน “ใช่ขอรับ…” ซ่งมู่เฉินตอบเพียงสั้นๆ ใต้เท้าฉีกับฉีฮูหยินจึงเชิญครอบครัวสกุลซ่งเข้าไปภายในงาน ฉีอันหลงมองตามเขาไปจนสุดสายตา “เขาดูมิเหมือนเด็กธรรมดาเลยนะขอรับท่านพ่อท่านแม่” ฉีอันหลงบอกกับบิดามารดา “ดูเคร่งขรึมและน่าค้นหาใช่หรือไม่” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตออกมา “ใช่ขอรับ” “เขาไปฝึกอยู่หน่วยพิเศษน่ะ คล้ายๆ พวกองครักษ์แต่มิได้มีหน้าที่คอยปกป้องฮ่องเต้ พวกเขามีหน้าที่ปกป้องเหล่าขุนนางและดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง” ผู้เป็นบิดาไขข้อข้องใจของบุตรชาย “ช่างเป็นหน้าที่ที่น่าสนใจยิ่งนักขอรับ” “ใช่ลูก… แต่การจะได้ไปฝึกนั้นจะต้องได้รับคัดเลือกจากสายตาของฮ่องเต้เท่านั้น พอถูกส่งไปฝึกที่เมืองตงฉวนได้ประมาณสี่ห้าปีก็จะถูกส่งไปประจำการตามเมืองต่างๆ ตามผลงานที่พวกเขาทำ” ฉีอันหลงพยักหน้าขึ้นลงก่อนที่จะเลิกสนใจเด็กชายผู้นั้นแล้วหันกลับมาช่วยทั้งบิดาและมารดาต้อนรับผู้มาเยือนต่อไป ซ่งเจียวซินเดินตามบ่าวรับใช้ของจวนสกุลฉีมาจนถึงเรือนนอนของฉีอันหนิง จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปพบสหายคนสนิทด้วยตนเอง ฉีอันหนิงที่เพิ่งแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จก็กำลังเดินออกจากเรือนนอนของนางมาได้พบกับสหายคนสนิททันที “เจียวซิน เจ้ามาด้วยหรือ” คุณหนูซ่งพยักหน้าพลางสำรวจชุดของสหายตรงหน้า “อันหนิง…เจ้าแสดงอันใดกันหรือ เหตุใดจึงแต่งกายคล้ายบุรุษเช่นนี้ล่ะ” ซ่งเจียวซินเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ เพราะชุดของสหายตรงหน้ามองเช่นไรมันก็คล้ายกับชุดทหารของแคว้นแต่ขนาดเล็กกว่าที่พวกบุรุษร่างโตใส่กันก็เท่านั้น “รำดาบจ้ะ” มือเล็กยกขึ้นมาทางด้านข้าง พี่ซุนซุนส่งดาบไม้ที่คุณชายใหญ่ทำให้กับคุณหนูสี่ “ว้าว… เจ้านี่ชอบทำให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อย ใช่รำดาบแบบที่รุ่นพี่ทำก่อนจบการศึกษาที่สำนักศึกษาใช่หรือไม่” คุณหนูสกุลฉีพยักหน้าพลางฉีกยิ้มออกมา “แต่เจ้ามิเคยฝึกนี่ เจ้ารำเป็นหรืออันหนิง” คุณหนูสกุลซ่งเอ่ยถามสหายสนิทออกมาด้วยความกังวลใจแทน เพราะงานนี้มิได้มีเพียงคนจากสกุลฉีและสกุลซ่ง แต่ยังมีขุนนางอีกหลายสกุลมาร่วมงานด้วย “เจ้าต้องเชื่อในความสามารถของข้าเจียวซิน มิมีสิ่งใดที่ข้าอยากเรียนรู้แล้วข้าจะทำมันมิได้ เชื่อใจข้า งานนี้ข้ามิทำให้ท่านพ่อท่านแม่ หรือสกุลฉีของข้าขายหน้าอย่างแน่นอน” ฉีอันหนิงกุมมือสหายก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง คบหากันมาเกือบสองปีแล้ว มีหรือซ่งเจียวซินจะมิเชื่อว่าสหายของนางผู้นี้นั้นมีความสามารถ นางพยักหน้า เด็กทั้งสองจึงพากันเดินไปยังบริเวณงานเพื่อฉีอันหนิงจะได้เตรียมตัว ส่วนซ่งเจียวซินก็กลับไปสมทบกับครอบครัวของนาง “ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมอวยพรในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินของข้า จอกนี้ข้าขอยกเพื่อคารวะขุนนางและฮูหยินทุกท่าน” แก้วสุราถูกบ่าวรับใช้รินสุราจนเต็มจอกแล้วแขกผู้มาเยือนทุกคนก็หยิบแก้วขึ้นมา ทุกคนชูแก้วไปข้างหน้าก่อนที่จะกระดกสุราในแก้วลงคอไปจนหมดเช่นเดียวกับท่านเจ้าเมืองที่ดื่มหมดก่อนผู้ใด “วันนี้ลูกรองกับลูกหญิงสี่ของข้ามีการแสดงมาอวยพรให้กับฮูหยิน และเพื่อให้พวกท่านทุกคนได้ชื่นชมด้วยขอรับ” ท่านเจ้าเมืองประกาศออกมา เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงชื่นชมดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณงานซึ่งถูกจัดขึ้นในสวนของจวนสกุลฉีที่กว้างขวาง “ท่านพี่ลูกๆ ไปฝึกมายามใดกันหรือเจ้าคะ เหตุใดน้องถึงมิเคยทราบมาก่อน” ฉีฮูหยินเอ่ยถามสามีด้วยความงุนงง เขาหันมากระซิบบอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องหญิงก็รู้ว่าลูกๆ ของเรามีความสามารถ พวกเขามิจำเป็นต้องใช้เวลามากมายเพื่อฝึกฝนหรอกนะ เจ้าคอยชื่นชมลูกๆ เถิด” ใต้เท้าฉีฉีกยิ้มให้กับฮูหยินของตน เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงขึ้น มีฉีอันลิ่งคอยดีดฉิน ส่วนฉีอันลู่ก็ตีกลอง สองพี่น้องบรรเลงดนตรีออกมาเป็นจังหวะก่อนที่ร่างเล็กในชุดคล้ายทหารของแคว้นโจวหนานจะถือดาบสองอันเดินออกมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของใต้เท้าฉีและฉีฮูหยิน นางส่งยิ้มให้กับบิดามารดาซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มกลับมาเช่นกัน จากนั้นร่างเล็กจึงลุกขึ้นแล้วคำนับผู้มาเยือนไปรอบๆ มือเล็กถือดาบไม้ทั้งสองข้างก่อนที่จะเริ่มร่ายรำดาบในท่วงท่าต่างๆ มันดูงดงาม อ่อนช้อยและแข็งแกร่ง การรำดาบของฉีอันหนิงแทบจะสะกดทุกสายตาให้มองมาที่นาง แม้แต่ซ่งมู่เฉินเองก็มองนางตาแทบจะไม่กะพริบ เขารู้สึกทึ่งกับความสามารถของเด็กหญิงที่กล้าถกเถียงเขาอย่างไม่ยอมแพ้ที่ร้านขายเครื่องประดับในตลาด นางมิได้มีเพียงปัญญาเท่านั้น แต่นางดูน่าค้นหาอยู่ไม่น้อย “นั่นสหายสนิทของน้องเองเจ้าค่ะท่านพี่ นางเก่งใช่หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งเจียวซินรีบอวดพี่ชายทันทีเมื่อเห็นสหายสนิทกำลังแสดงความสามารถออกมา ท่าร่ายรำดาบนั้นแม้จะไม่เหมือนกับรุ่นพี่รำมากนักแต่ฉีอันหนิงก็ได้ร่ายรำในแบบของนาง ให้ความรู้สึกหลากหลาย มันทั้งอ่อนช้อย งดงามและแข็งแกร่ง “อืม… น่าสนใจ” เขาตอบพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ นัยน์ตาคมยังคงจดจ้องไปที่การร่ายรำดาบเบื้องหน้าด้วยความเพลิดเพลิน มิได้มีเพียงสกุลซ่งเท่านั้นที่สนใจต่อการแสดงตรงหน้า เพราะตระกูลขุนนางที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ต่างมองไปยังร่างเล็กที่กำลังร่ายรำอยู่ตรงกลางด้วยความเพลิดเพลิน และมีไม่น้อยที่ชื่นชมทายาทสกุลฉีที่ล้วนแล้วแต่มีความสามารถเฉพาะตน โดยเฉพาะบุตรีของใต้เท้าฉี ตระกูลที่มีบุตรชายนั้นให้ความสนใจนางเป็นพิเศษ “หากนางเติบโต จักต้องเป็นฮูหยินที่ดีได้อย่างแน่นอน” ใต้เท้าลู่เอ่ยชมเชยเด็กหญิงให้กับฮูหยินและบุตรชายคนโตของตนได้ฟัง แต่ลู่จงสวีกลับมิได้สนใจสตรีที่เก่งกาจเช่นนาง เพราะตัวของเขาเองยังมิสามารถสู้นางได้ ความสามารถและสติปัญญาของเด็กหญิงนั้นเขาตามนางมิทัน “แต่ข้ามิสนใจหรอกขอรับ ฮูหยินในภายภาคหน้าของข้านางจะต้องอ่อนหวานและมีจิตใจดี น้องอันหนิงนางเหมาะแก่การเป็นน้องสาวของข้ามากกว่า” เขารุ่นราวคราวเดียวกับพี่รองของฉีอันหนิง นับได้ว่าเป็นสหายกันก็ว่าได้ และเขาเองก็เคยได้พบกับเด็กหญิงมาบ้าง เขาเอ็นดูนางเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ใต้เท้าลู่รู้สึกไม่พอใจที่บุตรชายมิได้สนใจที่จะสานสัมพันธ์กับสกุลฉี มีขุนนางไม่น้อยในเมืองตงหลางที่อยากจะเกี่ยวดองกับสกุลฉี เพราะนอกจากจะได้ชื่อเสียงที่ดีต่อตระกูลแล้ว ยังได้ความเคารพนับถือจากชาวเมืองตงหลางอีกด้วย ผู้ใดบ้างจะไม่รู้กันเกี่ยวกับความตงฉินของใต้เท้าฉี เขาเป็นขุนนางที่ดี ซื่อตรงและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตนเสมอ “โง่เสียจริง หากเจ้ารองน้องชายของเจ้าแข็งแรง ข้าคงมิฝากความหวังของสกุลลู่ไว้กับคนไม่เอาไหนเช่นเจ้าหรอก” เขาบ่นออกมาเพียงเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจการแสดงตรงหน้าต่อโดยมิได้สนใจบุตรชายของตนอีก ลู่ฮูหยินรู้สึกสงสารบุตรชายแต่ก็มิกล้าต่อปากต่อคำกับผู้เป็นสามี ลู่จงสวีถึงกับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่บิดานั้นเห็นเขามีค่าเพียงเท่านั้น เด็กชายถอนหายใจออกมาก่อนที่จะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพร้อมกับกัดขนมเซาปิงแล้วเคี้ยวมันลงคอไปอย่างเอร็ดอร่อยโดยเลิกสนใจบิดาอีก ขนมหวานๆ สามารถทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นและเขายอมรับเลยว่า จวนสกุลฉีนั้นทำขนมอร่อยยิ่งนักงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
ณ เมืองตงหลาง แห่งแคว้นโจวหนานเหมันตฤดูเวียนมา เหล่าหมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องอยู่บนท้องนภาในยามอิ๋น ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดปีขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน ผ้าม่านที่ทอด้วยไหมปลิวไสวไปตามสายลมหนาว ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมกายอยู่ถูกเท้าเล็กถีบออกจนสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ต้องดึงขึ้นมาปกคลุมร่างเล็กของคุณหนูสี่เอาไว้เพื่อมิให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น“ข้าร้อน” เสียงเล็กเปล่งออกมาจากคนที่นอนปิดเปลือกตาอยู่“แต่คุณหนูสี่เจ้าคะ… คุณหนูต้องห่มผ้าเอาไว้นะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูป่วย… บ่าวโดนตีหลังลายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”ซุนซุนบอกคุณหนูสี่ด้วยเหตุและผล เด็กจิตใจดีอย่างฉีอันหนิง หรือคุณหนูสี่ บุตรีคนเล็กของใต้เท้า ฉีอันจวิ้น กับฉีฮูหยินย่อมได้ฟังแล้วต้องเห็นอกเห็นใจใต้เท้าฉีเป็นเจ้าเมืองตงหลางเขาได้แต่งงานกับฉีฮูหยินมาเกือบสิบห้าปีแล้ว ทั้งสองมีบุตรชายทั้งหมดสามคนคือฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง ฉีอันลู่และมีฉีอันหนิงที่เป็นบุตรีคนเล็กของตระกูลฉี บุตรีที่บิดาและมารดาหวงราวกับเป็นไข่ในหิน“ข้าห่มแล้ว ข้าไม่อยากให้ซุนซุนถูกตี”เสียงเล็กเอ่ยออกมา ถึงจะวัยเพียงเจ็ดปี แต่ทว่าเด็กหญิงกลับเฉลียวฉลาด นางขี่ม้าได้ อ่านหนังสือ
สกุลฉีสนับสนุนบุตรทุกคนให้ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาที่สำนักศึกษาหลี่ชุน ไม่เว้นแม้แต่สตรีก็มิได้รับการปิดกั้น แม้จะมีหลากหลายสกุลที่มิได้สนับสนุนให้บุตรีออกไปศึกษาก็ตาม เข้าศึกษาได้เพียงหนึ่งเดือน ฉีอันหนิงก็กลายเป็นที่รักและเอ็นดูของอาจารย์ทุกคนในสำนักศึกษา เพราะความเฉลียวฉลาด ช่างเจรจาของนาง ฉีอันหนิงมีมิตรสหายมากมายจากการได้มาศึกษาในสำนักศึกษาหลี่ชุนแห่งนี้“อันหนิง… พรุ่งนี้สำนักศึกษาปิดข้าจะไปหาเจ้าที่จวนนะ” ซ่งเจียวซินสหายสนิทวัยเดียวกัน บุตรีจากจวนสกุลซ่ง เจ้ากรมการกลาโหมบอก“ดีสิ… มาเลย ข้าจะพาเจ้าไปตกปลาที่สระน้ำท้ายจวน” ฉีอันหนิงบอกสหายสนิทด้วยน้ำเสียงสดใส“ตกปลาเหรอ… เจ้าทำได้ด้วยเหรอ” ซ่งเจียวซินทำหน้าสงสัยก่อนที่จะเอ่ยถามออกมา“ได้สิ ข้าชอบไปตกปลากับพวกพี่ใหญ่ พี่รองและก็พี่สาม” ซ่งเจียวซินพยักหน้า นางมีพี่ชายหนึ่งคนแต่อีกฝ่ายนั้นมิได้สนิทสนมกับนาง เช่นเดียวกับพี่ชายของสหายสนิท“อือ… ถ้าเช่นนั้นสอนเราหน่อยนะ ท่านพี่ของเรามิเคยสอนเราเลย แถมยังชอบทำหน้าตาเคร่งขรึมไม่ชอบพูดจา” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนที่จะบ่นถึงพี่ชายหน้าเย็นชาออกมาให้กับเพื่อนสนิทฟัง“ท่านพี่เหรอ เ
“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ