หลังจากที่บิดารับปากว่าจะให้ฉีอันหนิงฝึกขี่ม้าแล้ว เขาก็ทำตามที่รับปากนางเอาไว้โดยให้บ่าวรับใช้คนสนิทของตน เป็นผู้ช่วยฝึกให้นาง ฉีอันหนิงหัวเร็ว เด็กหญิงสามารถขี่ม้าได้แบบไม่หวาดกลัว ต่างจากพี่รองที่มิเอาดีในด้านนี้เลยสักนิด พี่ใหญ่มองน้องสาวด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ เขาขี่ม้าเป็นก่อนน้องๆ เพราะเขาเองก็ฝึกขี่ม้าในวัยเดียวกับผู้เป็นน้องสาวเช่นกัน
“เก่งมากหนิงเอ๋อร์ อีกหน่อยเจ้าก็ขี่ม้าแข่งกับพี่ได้แล้ว” ฉีอันหลงเอ่ยชมน้องสาวออกมา “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องว่าน้องยังต้องฝึกให้บ่อยกว่านี้” ฉีอันหนิงถ่อมตน “รอเจ้าโตกว่านี้ก็แข่งตีคลีได้แล้ว ถึงยามนั้นสกุลฉีของเราคงมิมีผู้ใดสามารถเอาชนะได้แล้วล่ะ” เด็กหญิงส่งยิ้มให้กับผู้เป็นพี่ชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้าเคียงคู่กันไป ซุนซุนมองตามคุณหนูสี่ไปด้วยสายตาเป็นห่วง “เจ้ามิต้องห่วงคุณหนูสี่หรอกซุนซุน คุณหนูสี่ของเจ้าเก่งเกินวัย นางเป็นเด็กที่มีความสามารถ” ลุงลู่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากใต้เท้าฉีให้เป็นผู้ฝึกสอนคุณหนูสี่ขี่ม้าเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ลูกศิษย์เช่นนางมิมีผู้ใดที่มิอยากสั่งสอน เพราะคุณหนูสี่ความจำดี เรียนรู้เร็ว และอ่อนน้อมถ่อมตน นางมิได้แบ่งชนชั้นว่านางคือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากนางเป็นศิษย์ นางก็ถือตนว่านางเป็นศิษย์ “แต่… ข้ากังวลว่า คุณหนูสี่ของข้าจะเก่งเกินสตรี” “อ้าว… มิดีหรอกหรือซุนซุน เจ้าจะได้มิต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมากลั่นแกล้งรังแกคุณหนูสี่ได้อย่างไรล่ะ” ซุนซุนในวัยสิบสองปีพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วย นางเป็นเพียงสาวใช้คงมิอาจปกป้องคุณหนูสี่ได้เต็มที่ หากคุณหนูของนางจะมีวิชาความรู้เยี่ยงบุรุษก็เป็นผลดีต่อตัวของคุณหนูเองในภายภาคหน้า หลังจากฝึกซ้อมขี่ม้าเสร็จ คุณชายใหญ่และคุณหนูสี่สกุลฉีก็พากันกลับจวนเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน แม้จะรู้สึกว่าตนเองฝึกขี่ม้าได้ดีพอแล้ว แต่ฉีอันหนิงก็ยังมิวายชวนพี่ชายออกไปฝึกกับนางอีกหลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ “หนิงเอ๋อร์ ลูกชอบขี่ม้าหรือไม่” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีของนางหลังจากรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเสร็จ ยามนี้ใต้เท้าฉีมิได้อยู่ที่จวน จึงมีเพียงนางและลูกๆ อีกสามคนที่รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน “ชอบเจ้าค่ะ ขี่ม้าสนุกดี” ฉีอันหนิงตอบมารดา ฉีฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาพลางลูบไปที่ศีรษะของบุตรีก่อนที่นางจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกจากโต๊ะอาหารไป เด็กๆ ทั้งสามคำนับลามารดาก่อนที่จะหันมาพูดคุยกัน “เจ้าเป็นสตรีจะออกไปขี่ม้าทำไมกัน สู้อยู่ต่อบทกวีเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า” พี่รองอย่างฉีอันลิ่งเอ่ยขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าพักหลังมานี้น้องสาวนั้นชอบออกไปฝึกขี่ม้ากับพี่ใหญ่จนเขามิได้ฝึกต่อบทกวีกับพี่ชายใหญ่เลยสักครั้ง “บทกวีมิยากหรอกนะเจ้าคะท่านพี่รอง และน้องจำได้หมดแล้ว แต่การขี่ม้ามิใช่ว่าขี่เป็นแล้วจะมิฝึกก็ได้ หากละเลยที่จะฝึกไป ม้าก็จะมิคุ้นเคยกับน้องหรอกนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงอธิบายให้พี่รองฟัง เหตุใดนางจะมิทราบว่าพี่รองนั้นอยากจะรั้งตัวพี่ชายใหญ่เอาไว้เพื่อฝึกต่อบทกวีกับเขา พี่ชายใหญ่ได้แต่ฉีกยิ้มออกมากับการฟังน้องรองและน้องเล็กพูดคุยกันด้วยเหตุและผล เขาจึงตัดปัญหาด้วยการสอนน้องเล็กขี่ม้าวันละหนึ่งชั่วยาม และต่อบทกวีกับน้องรองวันละครึ่งชั่วยาม “แล้วนี่เจ้าสามไปที่ใดกัน วันนี้ใยพี่มิได้พบเจอเขาเลย” ฉีอันหลงเอ่ยถามน้องๆ ออกมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้หลังจากมื้อเช้าเขามิได้พบหน้าน้องสามเลย แม้แต่ตอนรับประทานอาหารกลางวัน ฉีอันลู่ก็มิได้ออกมาร่วมโต๊ะพร้อมหน้า “พี่สามอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังจวนเจ้าค่ะ วันนี้เห็นท่านพี่สามบอกน้องว่าจะไปตกปลา แล้วจะปิ้งปลากินที่นั่นมิกลับมากินมื้อกลางวันด้วยเจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มิได้ว่ากล่าวอันใด” ฉีอันหนิงที่นึกขึ้นได้บอกกับพี่ชายออกมา “ถ้าเช่นนั้นยามนี้เรามาต่อบทกวีกันก่อนดีหรือไม่ท่านพี่น้องหญิงสี่ แดดยามนี้ช่างร้อนนัก คงมิดีหากพี่ใหญ่จะออกไปขี่ม้ากันยามนี้” ฉีอันลิ่งรีบชักชวนพี่ใหญ่และน้องสาวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าแสงสุริยันในยามนี้นั้นสามารถทำให้ผิวกายไหม้เกรียมได้โดยไม่ยาก “พี่เห็นด้วยกับน้องรองนะหนิงเอ๋อร์ เอาไว้ยามเชินเราค่อยออกไปฝึกขี่ม้ากันอีกคราก็ได้ ยามนี้แสงแดดช่างเจิดจ้ายิ่งนัก” เขาก็มิอยากจะให้ผิวกายอันขาวเนียนละเอียดของผู้เป็นน้องสาวต้องมากระดำกระด่างเพราะแสงแดดเช่นกัน หากภายภาคหน้าน้องสาวอยากออกเรือนคงจะยาก ยามนี้นางยังมิบ่นให้เขา แต่ถ้าหากนางเติบโตเป็นสตรีที่งดงามขึ้นมาแต่ทว่าผิวกายมิได้งดงามเช่นเดียวกัน ยามนั้นนางคงจะต้องกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเขาเป็นแน่ ที่มิได้ห้ามปรามนาง “เจ้าค่ะท่านพี่ ถ้าเช่นนั้นเราไปที่ศาลาริมน้ำดีไหมเจ้าคะ น้องจะให้พี่ซุนซุนนำฉินไปให้น้องบรรเลงให้พวกท่านพี่ได้ฟังด้วย” พี่รองได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับดีใจ เขาชื่นชอบทั้งบทกวีและดนตรี แต่ทว่าความสามารถในการเล่นฉินของเขายังคงมิได้เรื่อง ต่างจากน้องหญิงสี่อย่างสิ้นเชิง สามพี่น้องพากันไปที่ศาลาริมน้ำหลังจวน ที่ซึ่งมีฉีอันลู่นอนกลางวันอยู่หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ บ่าวรับใช้ของคุณชายสามเมื่อเห็นว่าคุณชายและคุณหนูทั้งสามมาเยือนจึงรีบปลุกคุณชายสามให้ตื่นจากการหลับใหล “อื้อ….. พี่หลงฮ่าว ข้าบอกว่าให้ปลุกข้ายามเว่ยอย่างไรล่ะ เหตุใดจึงรีบปลุกข้าเร็วนัก ยังง่วงนอนอยู่เลย” ผู้ที่ถูกปลุกเอ่ยออกมาพลางบิดกายไปมา “กินแล้วนอนระวังเป็นหมูนะเจ้าคะท่านพี่สาม” เสียงเล็กของฉีอันหนิงเรียกสติให้ฉีอันลู่ เขาขยี้ตาก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวก็พบว่าพี่ชายทั้งสองก็มาพร้อมกันกับนางเช่นกัน “ข้าเพิ่งจะเก้าขวบ ยังเด็กนัก มิมีทางอ้วนเป็นหมูหรอกน้องสี่” เขาบ่นออกมาก่อนที่จะคำนับพี่ชายใหญ่และพี่ชายรอง “ตามสบาย พวกพี่คงมิได้มารบกวนเวลานอนของเจ้าหรอกใช่ไหมลู่เอ๋อร์” ฉีอันหลงผู้เป็นพี่ชายใหญ่วัยสิบสามปีเอ่ยถามออกมายิ้มๆ “หามิได้ขอรับท่านพี่ ข้าตื่นพอดี” เขาตอบพี่ชายใหญ่ยิ้มๆ ก่อนที่จะเหล่ตาไปมองน้องเล็กที่ส่งยิ้มน่ารักมาให้ “พวกพี่จะมาต่อบทกวีกัน เจ้าสนใจหรือไม่” ฉีอันลิ่งเอ่ยถามน้องสามของตน และคำตอบที่ได้คือฉีอันลู่พยักหน้าให้เขา เพราะน้องสามของเขาก็ชื่นชอบการต่อบทกวีเช่นกัน รวมไปถึงการเล่นดนตรีด้วย “แล้วฉินนั่น ผู้ใดจะเล่นกันหรือขอรับ” ฉีอันลู่เอ่ยถามออกมาอีกครา “น้องเองเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้พี่สามอีกครั้งก่อนที่สี่คนพี่น้องจะเริ่มต่อบทกวีกันในศาลาริมน้ำที่มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ เสียงฉินที่ถูกบรรเลงโดยฉีอันหนิงทำให้พี่ชายทั้งสาม รวมไปถึงสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ของพวกตนต่างพากันเคลิบเคลิ้มไปกับความไพเราะของท่วงทำนอง การต่อบทกวีและเล่นดนตรีของสี่คนพี่น้องยาวนานเกือบหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่ฉีอันหลงและฉีอันหนิงจะพากันไปยังสนามตีคลีเพื่อฝึกขี่ม้าต่อ ทั้งสองเอ่ยชวนฉีอันลิ่งและฉีอันลู่ให้ไปด้วยกันแล้ว แต่ทว่าเด็กชายทั้งสองนั้นรู้สึกเกียจคร้าน อยากจะนอนพักผ่อนมากกว่า ฉีอันหลงจึงพาน้องเล็กอย่างฉีอันหนิงไปฝึกขี่ม้าต่อตามที่ได้สัญญากับนางเอาไว้ ร่างเล็กของเด็กหญิงที่กำลังควบขี่ม้าตัวขนาดกลาง ชุดฮั่นฝูสีฟ้าปลิวไสวไปตามแรงลมที่ปะทะกับร่างเล็กของนาง ถึงแม้ว่าฉีอันหนิงจะสามารถขี่ม้าด้วยตนเองแล้ว แต่ทว่าความปลอดภัยของนางก็สำคัญ ลุงลู่คอยสอดส่องดูแลคุณชายและคุณหนูสกุลฉีอยู่มิห่าง เขามองไปคุณหนูสี่ด้วยสายตาชื่นชม นางอายุยังน้อยแต่ทว่ากลับมีความสามารถมากมาย แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะนางเหมือนกับฉีฮูหยิน เป็นสตรีที่มีดีมิแพ้บุรุษ “วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิดนะขอรับคุณชายใหญ่ คุณหนูสี่” ลุงลู่ตะโกนบอกคุณชายและคุณหนูที่ดูจะสนุกกับการขี่ม้าจนลืมเวลา ยามนี้ท่านเจ้าเมืองคงจะกลับมาจากการออกไปทำงานแล้ว “กลับเรืิอนกันเถิดหนิงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก พรุ่งนี้กลับมาจากสำนักศึกษาเราค่อยมาฝึกฝนกันใหม่” ฉีอันหลงเอ่ยชวนน้องสาว ฉีอันหนิงพยักหน้าก่อนที่สองพี่น้องจะขี่ม้ากลับไปหาลุงลู่ บ่าวรับใช้ชายรอรับม้าและพามากลับไปยังคอก ส่วนฉีอันหลงและฉีอันหนิง พร้อมด้วยบ่าวรับใช้ชายหญิงก็พากันกลับเรือนเพื่ออาบน้ำและรอรับประทานมื้อเย็นพร้อมกับบิดามารดาและพี่น้องของตน ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน และเด็กๆ ทั้งสี่นั่งล้อมวงร่วมรับประทานมื้อเย็นร่วมกันเช่นเดียวกับในทุกๆ วัน อาหารหลากหลายอย่างเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะอาหาร ทุกคนตั้งอกตั้งใจรับประทานโดยที่มิมีผู้ใดกล่าวอันใดออกมา แต่ทว่าเมื่อมื้ออาหารผ่านพ้นไป ใต้เท้าฉีก็มักจะใช้เวลาเหล่านั้นคอยถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของบุตรชายและบุตรีทุกคนเพื่อมิให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและลูกๆ ห่างเหินกันไป โดยเฉพาะบุตรชายคนโตที่อีกไม่นานเขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ “หลงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำการอันใดบ้าง” เขาเริ่มต้นเอ่ยถามบุตรชายคนโตก่อนเป็นลำดับแรก “วันนี้ลูกไปขี่ม้าเป็นเพื่อนน้องหญิงสี่ หลังมื้อกลางวันลูกกับน้องๆ ก็พากันต่อบทกวีและฟังน้องหญิงสี่ดีดฉินที่ศาลาริมน้ำขอรับ” ฉีอันหลงรายงานผู้เป็นบิดา “อืม… เจ้าล่ะลิ่งเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำการอันใดบ้าง” บุตรชายคนรองคือคนถัดมาที่ใต้เท้าฉีเอ่ยถาม “วันนี้ลูกอ่านบทกวีและหลังมื้อกลางวันลูกก็ได้ต่อบทกวีกับท่านพี่ใหญ่ พร้อมทั้งฟังน้องหญิงสี่ดีดฉินขอรับ” ฉีอันลิ่งรายงานผู้เป็นบิดา ใต้เท้าฉีพยักหน้าก่อนที่จะหันไปถามบุตรชายคนที่สาม “วันนี้ลูกตกปลาและก็ปิ้งปลากินอยู่ที่ศาลาริมน้ำกับต้าถง หลังจากนั้นลูกก็นอนพักสายตาอยู่หนึ่งก้านธูป ไม่นานพี่ใหญ่ พี่รองและน้องหญิงสี่ก็พากันมาชวนข้าต่อบทกวีกับดีดฉีนขอรับ” เขาตอบกลับมาตามความจริง “เจ้าก็คงมิต่างจากพวกพี่ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่หนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีถามบุตรีคนเล็กของตนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ วันนี้ลูกฝึกขี่ม้ากับลุงลู่และพี่ใหญ่ สนุกมากๆ เลยนะเจ้าคะ และช่วงหลังมื้อกลางวัน ลูกก็ดีดฉินให้พวกพี่ๆ ฟังด้วยเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงรายงานสิ่งที่ตนได้กระทำวันนี้ให้กับบิดาได้ฟัง ฉีฮูหยินอมยิ้มน้อยๆ ให้กับความใฝ่รู้ของบุตรี แม้จะกังวลว่าภายภาคหน้านางจะหาสามียาก แต่ในยามนี้เพียงแค่ได้เห็นว่าฉีอันหนิงได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว “พ่อได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ พวกเจ้าแยกย้ายกันกลับห้องไปพักผ่อนเถิด” ใต้เท้าฉีส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้กับบุตรชายและบุตรีทั้งสี่พร้อมทั้งเอ่ยออกมา เด็กๆ ทั้งสี่จึงคำนับลาเขาและภรรยา ก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะเดินนำน้องๆ ออกจากห้องนี้ แล้วเด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปยังห้องนอนของตนโดยมีบ่าวรับใช้คนสนิทของแต่ละคนคอยติดตามไปดูแลหนึ่งปีต่อมาร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีกำลังขี่ม้าแข่งขันกับร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสี่ปี เสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ที่ข้างสนามทำให้สองพี่น้องชะลอความเร็วของม้าลง และค่อยๆ ขี่ม้ากลับมายังข้างสนาม ที่ซึ่งมีลุงลู่ ซุนซุน และหวงเทายืนอยู่ บ่าวชายรับม้าก่อนที่จะพาไปยังคอกม้า ส่วนคุณชายใหญ่และคุณหนูสี่ก็เดินนำทั้งลุงลู่และบ่าวรับใช้ทั้งสองกลับไปยังเรือนใหญ่“เป็นเช่นไรบ้างหลงเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ“ก้าวหน้ามากขึ้นแล้วขอรับท่านพ่อ อีกหกปีข้างหน้า ลูกว่าคงมิมีผู้ใดเอาชนะการตีคลีของสกุลฉีไปได้แล้วล่ะขอรับ” ฉีอันหลงตอบบิดาพลางมองหน้าน้องสาววัยแปดปี“ท่านพ่อ… ลูกยังอยากศึกษาวิชาการยิงธนูด้วยเจ้าค่ะ" คำขอที่ดังออกมาจากริมฝีปากเล็กของบุตรีทำเอาท่านเจ้าเมืองที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มถึงกับต้องชะงักมือ“เจ้าแน่ใจหรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรีของตนออกมาเพื่อความแน่ใจ“แน่ใจเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกเห็นท่านพี่ทั้งสามได้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู ลูกก็อยากจะฝึกบ้าง” เด็กหญิงวัยแปดปีกล่าวถึงเหตุผลออกมา“จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่ขี่ม้า
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า