สกุลฉีสนับสนุนบุตรทุกคนให้ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาที่สำนักศึกษาหลี่ชุน ไม่เว้นแม้แต่สตรีก็มิได้รับการปิดกั้น แม้จะมีหลากหลายสกุลที่มิได้สนับสนุนให้บุตรีออกไปศึกษาก็ตาม เข้าศึกษาได้เพียงหนึ่งเดือน ฉีอันหนิงก็กลายเป็นที่รักและเอ็นดูของอาจารย์ทุกคนในสำนักศึกษา เพราะความเฉลียวฉลาด ช่างเจรจาของนาง ฉีอันหนิงมีมิตรสหายมากมายจากการได้มาศึกษาในสำนักศึกษาหลี่ชุนแห่งนี้
“อันหนิง… พรุ่งนี้สำนักศึกษาปิดข้าจะไปหาเจ้าที่จวนนะ” ซ่งเจียวซินสหายสนิทวัยเดียวกัน บุตรีจากจวนสกุลซ่ง เจ้ากรมการกลาโหมบอก “ดีสิ… มาเลย ข้าจะพาเจ้าไปตกปลาที่สระน้ำท้ายจวน” ฉีอันหนิงบอกสหายสนิทด้วยน้ำเสียงสดใส “ตกปลาเหรอ… เจ้าทำได้ด้วยเหรอ” ซ่งเจียวซินทำหน้าสงสัยก่อนที่จะเอ่ยถามออกมา “ได้สิ ข้าชอบไปตกปลากับพวกพี่ใหญ่ พี่รองและก็พี่สาม” ซ่งเจียวซินพยักหน้า นางมีพี่ชายหนึ่งคนแต่อีกฝ่ายนั้นมิได้สนิทสนมกับนาง เช่นเดียวกับพี่ชายของสหายสนิท “อือ… ถ้าเช่นนั้นสอนเราหน่อยนะ ท่านพี่ของเรามิเคยสอนเราเลย แถมยังชอบทำหน้าตาเคร่งขรึมไม่ชอบพูดจา” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนที่จะบ่นถึงพี่ชายหน้าเย็นชาออกมาให้กับเพื่อนสนิทฟัง “ท่านพี่เหรอ เจ้ามีพี่ชายด้วยเหรอ” เพราะนางมิได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายมากนัก “อือ… ตอนนี้ไปศึกษาอยู่ที่เมืองตงฉวน” “อ้าว… แล้วเหตุใดท่านพี่ของเจ้าถึงต้องไปศึกษาที่เมืองตงฉวนล่ะ” ฉีอันหนิงสงสัย เพราะเมืองตงหลางแห่งนี้ก็มีสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงอย่างเช่นสำนักศึกษาหลี่ชุนแห่งนี้ “ท่านพี่ของข้าถูกส่งไปศึกษาอยู่หน่วยพิเศษน่ะ” หน่วยพิเศษที่ฮ่องเต้ทรงให้คัดเลือกเข้าเป็นขุนนางทำหน้าที่คล้ายกับเหล่าองครักษ์ แต่ผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ในวัง พวกเขามีหน้าที่ดูแลเหล่าขุนนาง คอยดูแลความปลอดภัย และความสงบสุขของเมืองต่างๆ เท่านั้น “ว้าว…ฟังดูลึกลับดีจังเลย” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาพลางนึกสนุกตามประสาเด็กซน “อืม… ความจริงเรื่องนี้ข้ายังมิเคยบอกกล่าวแก่ผู้ใดมาก่อน เจ้าคือคนแรก” ซ่งเจียวซินบอกพร้อมกับยิ้มออกมา “น้องสี่… กลับจวนกันได้แล้ว” เสียงพี่ใหญ่ร้องเรียกน้องสาวดังมาจากรถม้าที่มาจอดรออยู่สักพักแล้ว “เจียวซิน พรุ่งนี้เจ้าต้องมาที่จวนข้าให้ได้นะ ข้าอยากแสดงให้เจ้าเห็น ว่าข้านั้นตกปลาเก่งขนาดไหน” เด็กหญิงรีบโอ้อวดตนต่อสหายสนิททันที คนฟังพยักหน้าทั้งฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะโบกมือลานาง จวนสกุลฉี ร่างเล็กวิ่งไปยังสวนดอกไม้หลังจวนพร้อมกับสหายจากสำนักศึกษาที่นัดหมายกันมาตกปลาด้วยกันในวันนี้ สาวรับใช้ของทั้งเด็กน้อยทั้งสองต่างพากันวิ่งตามคุณหนูของตน จนทั้งสี่ไปหยุดอยู่ที่บนสะพานข้ามสระน้ำที่ใสจนเห็นตัวปลา ซ่งเจียวซินมองลงไปข้างล่างด้วยความตื่นเต้น ที่จวนสกุลซ่งก็มีสระน้ำอยู่ในจวนเช่นกัน แต่มิได้มีน้ำที่ใสแจ๋วจนเห็นตัวปลาเช่นนี้ “ปลาเยอะจังเลย เจ้าเลี้ยงไว้เองใช่หรือเปล่า” คุณหนูรองสกุลซ่งเอ่ยถามสหายสนิทออกมา “ข้าไม่ได้เลี้ยง แต่พวกพี่ๆ เขาเอามาปล่อยไว้ตั้งแต่ตัวยังเล็กๆ ถ้าเจ้าตกได้ตัวเล็กให้ปล่อยไปนะ ถ้าตกได้ตัวใหญ่ค่อยเอามาย่างกินกัน” เสียงใสๆ ดังขึ้นมาจากเจ้าของริมฝีปากเล็ก ซ่งเจียวซินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองจะรับเบ็ดตกปลามาจากบ่าวรับใช้ คุณหนูตระกูลฉีสอนให้คุณหนูตระกูลซ่งตกปลา ซึ่งซ่งเจียวซินก็เรียนรู้มันได้เป็นอย่างดี เพราะความฉลาดที่มีไม่แพ้กันกับฉีอันหนิง เด็กหญิงทั้งสองตกปลาได้ปลาตัวใหญ่มาคนละหนึ่งตัว บ่าวรับใช้รู้ดีว่าคุณหนูสี่ต้องปิ้งปลาอย่างเช่นทุกคราจึงก่อไฟไว้รอ “เก่งมากเจียวซิน เจ้าตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลาตัวใหญ่เลย” ฉีอันหนิงเอ่ยชมสหายของนางออกมาหลังจากพากันไปนั่งตรงที่ศาลาริมน้ำ ส่วนปลา ฉีอันหนิงให้บ่าวในเรือนเป็นคนนำไปย่างให้นางกับซ่งเจียวซินได้กิน “พี่ชายของเจ้ามิได้อยู่ที่จวนกันหรอกหรือ” เด็กหญิงเอ่ยถามเพราะนางรู้ว่าฉีอันหนิงมีพี่ชายถึงสามคน และก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าฉีอันหนิงชอบมาตกปลากับพวกพี่ชาย แต่พอนางมาเยือนมิเห็นจะได้พบพี่ชายของสหายสนิทสักคน “อยู่… แต่พวกเขามิยอมมาแถวนี้หรอก เพราะว่ามีเจ้ากับข้าอยู่ คงจะพากันไปอยู่ที่สวนอีกฝั่งน่ะ” ฉีอันหนิงตอบก่อนที่จะมองไปยังปลาตัวโตที่กำลังถูกย่างอยู่ “เสร็จหรือยัง ข้าหิวแล้ว” พอบ่าวได้ยินเช่นนั้นจึงพลิกซ้ายพลิกขวาอีกทีก่อนที่จะนำมาให้คุณหนูสี่กับสหายสนิทของนางได้รับประทาน “มาเร็ว มาชิมปลาจวนของข้า เนื้อหวานอร่อยมิเหมือนที่ใดเลยล่ะ” ฉีอันหนิงโอ้อวดสหายสนิท อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนที่จะรับตะเกียบมาจากนาง “หืม… หวานจริงด้วย” พอได้ชิมเนื้อปลาปิ้งเข้าไปเด็กหญิงถึงกับพยักหน้าหงึกๆ “พี่ซุนซุน มาชิมสิ” ฉีอันหนิงเรียกเด็กรับใช้คนสนิทของนางเข้ามาชิม แม้คราแรกซุนซุนจะรู้สึกถ่อมตนเพราะนางกับคุณหนูสี่มิได้อยู่ตามลำพัง แต่พอได้รับอนุญาตจากสหายสนิทของคุณหนูด้วย นางเลยได้อ้าปากให้คุณหนูส่งเนื้อปลาอุ่นร้อนเข้าปากนาง ซึ่งสาวรับใช้ของซ่งเจียงซินก็ได้รับเนื้อปลาไปชิมเช่นกัน คุณหนูทั้งสองนอกจากจะมีรูปโฉมน่ารักน่าเอ็นดูมิต่างกัน ทั้งสองยังมีจิตใจดีมิแพ้กันด้วย “ข้ากลับก่อนนะอันหนิง วันพรุ่งนี้เจอกันที่สำนักศึกษา” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาก่อนที่จะขึ้นไปบนรถม้าของจวนสกุลซ่ง ทั้งสองโบกมือลากันก่อนที่รถม้าจะถูกขับเคลื่อนออกไป “กลับไปแล้วหรือ" เสียงของพี่ชายคนโตเอ่ยถามขึ้นจากทางด้านหลัง ก่อนที่ฉีอันหนิงจะหันไปมองก็พบว่าพี่ชายทั้งสามยืนเรียงกันอยู่ “เจ้าค่ะท่านพี่ใหญ่… เอ… ท่านพี่ทั้งสามไปไหนกันมาหรือเจ้าคะ ตอนสหายของน้องอยู่มิเห็นท่านพี่เลยสักคน” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าจะบ้าหรืออันหนิง พวกพี่เป็นบุรุษจะให้ออกมาพบสตรีได้เช่นไรกัน” คำตอบของพี่รองทำเอาน้องเล็กหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น “ฮ่าๆๆๆ ท่านพี่… ฮ่าๆๆๆ” พี่ชายทั้งสามถึงกับยืนงงกับอาการขำขันโดยไร้สาเหตุของผู้เป็นน้องสาว “บุรุษมิควรพบสตรีในเรือนของตนเองอย่างนั้นหรือเจ้าคะ แต่สตรีที่พวกท่านว่านั่นเพื่อนน้องนะเจ้าคะ อีกอย่างนางก็อายุเท่าน้อง นางมิมีทางคิดมากเช่นพวกท่านแน่นอนฮ่าๆๆๆ” ฉีอันหนิงพยายามหยุดหัวเราะก่อนที่จะเอ่ยออกมาแล้วหัวเราะอีกครั้งก่อนที่นางจะเดินกลับไปยังศาลาริมน้ำหลังจวน เหล่าพี่ชายของนางช่างมีความคิดราวกับสตรียิ่งนัก หากพวกเขาเป็นสตรี การที่มีบุรุษมาเยี่ยมเยือนที่บ้านมิควรออกมาเดินเพ่นพ่านนั่นถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้มาเยือนในครั้งนี้เป็นเด็กหญิงอายุเพียงเจ็ดปี แถมยังเป็นสหายของน้องสาวอีก พวกเขาช่างคิดมากเสียจริง สำนักศึกษาหลี่ชุน เหล่าศิษย์ทั้งชายหญิงทยอยกันเข้าไปในสำนักศึกษาในยามเฉิน รวมไปถึงบุตรชายและบุตรีจากสกุลฉีด้วย พี่ชายทั้งสามแยกตัวไปเข้าแถวตามห้องของตนเอง เช่นเดียวกับฉีอันหนิงที่เดินไปที่แถวของนาง ซ่งเจียวซินพอได้พบหน้าสหายสนิทที่พานางเล่นสนุกก็ฉีกยิ้มออกมา “อันหนิง…” “มาแต่เช้าเลยนะเจียวซิน” สองเด็กหญิงทักทายกันก่อนที่อาจารย์จะเดินมาที่หน้าแถวและกล่าวปรัชญาการเรียนรู้ของการเรียนในปีนี้ ฉีอันหนิงเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา นางเคารพและเชื่อฟังเหล่าอาจารย์ ตลอดชั่วยามที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่นั้นนางตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันที่ไม่มีสมาธิในการฟังอาจารย์ เพราะมัวแต่ฟังกันเอง “สำนักศึกษาของเราในปีนี้ก็ได้เปิดการสอนมาได้ครึ่งทางแล้ว สำหรับลูกศิษย์ที่เตรียมตัวไปสอบขุนนาง อาจารย์ก็ขอให้ตั้งใจ หากพวกเจ้าทุกคนตั้งใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าหวังไว้มันก็จะสำเร็จ” อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลี่ชุนกล่าวออกมา ก่อนที่ท่านจะปล่อยให้ศิษย์เลิกแถวแล้วแยกย้ายกันไปเรียนตามห้องของตน “อันหนิง เจ้าเตรียมบทกวีมาท่องให้ท่านอาจารย์ฟังหรือยัง” ฉางซูซู สหายร่วมห้องที่สนิทกับนางและซ่งเจียวซินเอ่ยถามขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในห้องเรียนแล้ว “อื้อ… เจ้าล่ะซูซู” ฉีอันหนิงละสายตาของนางขึ้นจากหนังสือตรงหน้าก่อนที่จะเงยหน้ามองและถามไถ่นางกลับ “ข้าเตรียมแล้ว แต่ท่องอย่างไรก็มิเข้าหัวสักที ข้าล่ะจนปัญญาแล้วล่ะ” ฉางซูซูเอ่ยออกมาพลางถอนหายใจ ก่อนที่จะเอ่ยถามสหายอีกคน “เจ้าล่ะเจียวซิน” “อือ…. เรียบร้อย ข้าท่องจนจำได้ขึ้นใจแล้ว” คุณหนูรองสกุลซ่งตอบออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “พวกเจ้าสองคนนี่น่าอิจฉาเสียจริง ฉลาดจนคนโง่อย่างข้าตามไม่ทัน” คุณหนูสกุลฉางเอ่ยขึ้นใบหน้าฉายแววแห่งความน้อยใจ “เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ซูซู เจ้ามิได้โง่หรอก เพียงแค่เจ้าต้องพยายามให้มากกว่าเดิม ความพยายามมิเคยทำให้ผู้ใดล้มเหลว เจ้าจำที่อาจารย์บอกได้หรือไม่” ฉีอันหนิงปลอบใจสหายอีกคน ฉางซูซูพยักหน้าก่อนที่จะยิ้มออกมา “บทกวี จิ้งเย่ซือ" เสียงเล็กเอ่ยชื่อบทกวีขึ้นมา ก่อนที่จะท่องเนื้อหาของบทกวีนั้นออกมา ‘หน้าเตียงนอน แสงจันทร์ส่องนวลใย ให้สงสัยน้ำค้างหล่นบนพื้นดิน ยกหัวมองจันทร์พลันถวิล ก้มหน้าอินคิดถึงถิ่นดินแดนเกิด’ "ความคิดถึงในคืนสงบ หลี่ไป๋” ลงท้ายด้วยชื่อบทกวีและนามของผู้แต่ง เหล่าอาจารย์พยักหน้าและพายิ้มออกมาด้วยความพอใจ ฉีอันหนิงท่องบทกวีจบก็ได้รับชมจากเหล่าอาจารย์ ก่อนที่สหายสนิทของนางจะได้ท่องบทกวีเป็นคนต่อไป และเด็กหญิงทั้งสองท่องบทกวีผ่านไปได้ด้วยดี คนที่กังวลอยู่ก่อนหน้าว่าจะท่องบทกวีมิได้ส่งยิ้มไปให้สหายทั้งสอง “ได้รู้จักกับพวกเจ้าช่างดีเสียจริง” ฉางซูซูเอ่ยออกมา สีหน้าของนางแสดงออกถึงความสบายใจ “ข้าบอกเจ้าแล้วซูซู มิมีเรื่องใดที่จะชนะความพยายามของเราได้หรอกนะ เจ้าน่ะชอบกังวล ชอบคิดมาก” ฉีอันหนิงยิ้มออกมาหลังจากที่เอ่ยจบ เด็กหญิงทั้งสามพากันไปยังโรงครัวของสำนักศึกษา ซึ่งมีโต๊ะเรียงรายเพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาได้นั่งรับประทานอาหารในช่วงพักกลางวัน ฉีอันหนิงไปที่ใดเด็กหญิงมักจะมีคนเข้ามาทักทายนางเสมอ เพราะผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้จักบุตรีคนเล็กของท่านเจ้าเมือง โดยเฉพาะตระกูลที่ต่ำศักดิ์กว่าที่ได้รับคำแนะนำจากทางผู้ใหญ่ให้เข้้ามาตีสนิทนางเอาไว้ ยกเว้นก็แต่ซ่งเจียวซินและฉางซูซูที่เข้ามาคบหากับนางด้วยความจริงใจ “อันหนิง วันนี้ที่จวนของข้าทำผัดผักใส่เนื้อมาให้กินมื้อกลางวัน เจ้าอยากกินไหม” คุณหนูสกุลซูเดินเข้ามาหาฉีอันหนิงที่โต๊ะก่อนที่จะชูจานที่มีผัดเนื้อใส่ผักให้นางดูพร้อมกับเอ่ยถามออกมา “ขอบใจนะฉินหรง แต่เราไม่กินเนื้อน่ะ เจียวซิน ซูซู พวกเจ้าชอบกินเนื้อไหม ฉินหรงนางเอามาแบ่งให้น่ะ” เด็กหญิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายมิได้เต็มใจที่จะนำอาหารจานนี้มาแบ่งให้นางเพราะความมีน้ำใจ แต่ทว่าเป็นการนำอาหารมาซื้อใจของตน สหายทั้งสองจึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อและผักจากจานของฉินหรงไปคนละนิด แต่คนที่นำมาแบ่งกลับทำหน้าไม่พอใจ นางได้รับคำสั่งจากบิดาให้มาตีสนิทกับฉีอันหนิง มิใช่สหายอีกสองคนของนาง เมื่อเห็นว่าใช้อาหารตีสนิทฉีอันหนิงไม่สำเร็จ คุณหนูสกุลซูจึงหยิบจานผัดเนื้อใส่ผักกลับไปยังโต๊ะที่นางนั่งกับสหายอยู่ก่อนหน้า “อันหนิง… ไม่กินจริงอะ” ซ่งเจียวซินคีบเนื้อขึ้นมาชูต่อหน้านาง “อาหารที่เอามาให้ด้วยความจริงใจเรากินหมดนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นอาหารที่เอามาซื้อใจข้า ข้ากินไม่ลง พวกเจ้ากินเหอะ” ฉีอันหนิงตอบออกมาก่อนที่จะคีบผักและเนื้อหมูปิ้งในจานของตนขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวจนแก้มป่อง ทั้งซ่งเจียวซินและฉางซูซูพากันส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา จากนั้นจึงกลับไปสนใจอาหารในจานของตนต่อ เด็กหญิงทั้งสามจัดการอาหารในจานจนหมดก่อนที่จะพากันออกจากบริเวณนั้นไปเทศกาลโคมไฟวันหยวนเซียว ใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินได้พาบุตรชายและบุตรีไปเที่ยวภายในงาน พี่ใหญ่มีหน้าที่คอยดูแลน้องๆ ช่วยบิดาและมารดา แต่ทว่าความชอบของเด็กๆ นั้นต่างกัน บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณชายทั้งสามและคุณหนูห้ามละสายตาพี่ใหญ่กับน้องเล็กอยากไปดูการละเล่นต่างๆ เช่นการโยนลูกศรให้ลงเป้าและการประลองหมากล้อมที่ใช้สติปัญญาในการเล่น ส่วนพี่รองกับพี่สามนั้นอยากไปชื่นชมการต่อบทกวี และฟังดนตรี ทั้งสี่คนจึงแยกเป็นสองกลุ่ม ฉีอันหนิงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการได้ออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟวันหยวนเซียวซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกของนาง“ท่านพี่ใหญ่เจ้าคะ เราไปดูหมากล้อมกันก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามดังขึ้นมาแข่งกับเสียงของดนตรีที่บรรเลงดังอยู่ไม่ไกล“ดีสิ ไปกันเถิดน้องสี่”พี่ใหญ่มิได้ขัดใจน้องสาวตัวน้อย เขาจูงมือเล็กของนางเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปที่วงหมากล้อมพร้อมกับบ่าวที่เดินตามหลังมาถึงสี่คนหมากล้อมวงนี้กำลังประลองสติปัญญาการเดินหมากกันอยู่อย่างสนุกสนาน ฉีอันหนิงมองการประลองตรงหน้าด้วยความสนใจ พลางคิดการวางหมากไปพร้อมๆ กับผู้ที่กำลังประลองอยู่ ฉีอันหลงที่ยืนอยู่เคียงข้างกับน้อง
การประลองโยนลูกศรลงกาปากสูงกลายเป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนในงาน เพราะในยามนี้ได้มีร่างเล็กของเด็กหญิงกำลังจะแสดงความสามารถของนางให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้ชม และผู้ที่นางเข้าไปท้าชิง มือเล็กถือลูกศรขึ้นมาทั้งสองอันก่อนที่จะโยนออกไปเบื้องหน้าที่มีกาปากสูงตั้งอยู่พร้อมกัน ผู้คนที่มองมาต่างลุ้นไปกับการโยนศรของเด็กหญิงที่มีหน้าตาน่ารักผู้นี้ ลูกศรไม้ไผ่ปลายแหลมคล้ายลูกธนูลอยละลิ่วลงไปในกาปากสูงทั้งสองอันอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงปรบมือดังกึกก้อง บุรุษหนุ่มที่ถูกเด็กหญิงท้าชิงถึงกับหน้าถอดสี“ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าเพิ่งกล่าวสิ่งใดออกมาก่อนที่จะได้เห็นจริงๆ” ฉีอันหลงเอ่ยออกมายิ้มๆ ก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวของตนด้วยแววตาที่ฉายแววภาคภูมิใจ“เยี่ยมๆๆ” เสียงของผู้ที่ชมการประลองอยู่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ เหลืออีกแปดดอกสำหรับลูกศรในมือ“เพิ่งลงแค่สองดอกอย่าเพิ่งดีใจไป ขนาดข้าเล่นทุกวันยังพลาดได้เลย”บุรุษหนุ่มผู้ที่ถูกเด็กหญิงท้าประลองเอ่ยออกมาด้วยท่าทางมั่นใจ มั่นใจว่าครั้งแรกที่เด็กน้อยผู้นี้ปาลงก็อาจจะเป็นเพราะความบังเอิญฉีอันหนิงมิได้มีท่าทีหวาดหวั่นแต่อย่างใด นางใช้สมาธิในการโยน น้ำหนักในการ
หลังจากที่บิดารับปากว่าจะให้ฉีอันหนิงฝึกขี่ม้าแล้ว เขาก็ทำตามที่รับปากนางเอาไว้โดยให้บ่าวรับใช้คนสนิทของตน เป็นผู้ช่วยฝึกให้นาง ฉีอันหนิงหัวเร็ว เด็กหญิงสามารถขี่ม้าได้แบบไม่หวาดกลัว ต่างจากพี่รองที่มิเอาดีในด้านนี้เลยสักนิด พี่ใหญ่มองน้องสาวด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ เขาขี่ม้าเป็นก่อนน้องๆ เพราะเขาเองก็ฝึกขี่ม้าในวัยเดียวกับผู้เป็นน้องสาวเช่นกัน“เก่งมากหนิงเอ๋อร์ อีกหน่อยเจ้าก็ขี่ม้าแข่งกับพี่ได้แล้ว” ฉีอันหลงเอ่ยชมน้องสาวออกมา“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องว่าน้องยังต้องฝึกให้บ่อยกว่านี้” ฉีอันหนิงถ่อมตน“รอเจ้าโตกว่านี้ก็แข่งตีคลีได้แล้ว ถึงยามนั้นสกุลฉีของเราคงมิมีผู้ใดสามารถเอาชนะได้แล้วล่ะ” เด็กหญิงส่งยิ้มให้กับผู้เป็นพี่ชาย ก่อนที่ทั้งคู่จะขี่ม้าเคียงคู่กันไป ซุนซุนมองตามคุณหนูสี่ไปด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้ามิต้องห่วงคุณหนูสี่หรอกซุนซุน คุณหนูสี่ของเจ้าเก่งเกินวัย นางเป็นเด็กที่มีความสามารถ”ลุงลู่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากใต้เท้าฉีให้เป็นผู้ฝึกสอนคุณหนูสี่ขี่ม้าเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มลูกศิษย์เช่นนางมิมีผู้ใดที่มิอยากสั่งสอน เพราะคุณหนูสี่ความจำดี เรียนรู้เร็ว และอ่อนน้อมถ่อมตน นาง
หนึ่งปีต่อมาร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดปีกำลังขี่ม้าแข่งขันกับร่างสูงของเด็กชายวัยสิบสี่ปี เสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ที่ข้างสนามทำให้สองพี่น้องชะลอความเร็วของม้าลง และค่อยๆ ขี่ม้ากลับมายังข้างสนาม ที่ซึ่งมีลุงลู่ ซุนซุน และหวงเทายืนอยู่ บ่าวชายรับม้าก่อนที่จะพาไปยังคอกม้า ส่วนคุณชายใหญ่และคุณหนูสี่ก็เดินนำทั้งลุงลู่และบ่าวรับใช้ทั้งสองกลับไปยังเรือนใหญ่“เป็นเช่นไรบ้างหลงเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรชายคนโตหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ“ก้าวหน้ามากขึ้นแล้วขอรับท่านพ่อ อีกหกปีข้างหน้า ลูกว่าคงมิมีผู้ใดเอาชนะการตีคลีของสกุลฉีไปได้แล้วล่ะขอรับ” ฉีอันหลงตอบบิดาพลางมองหน้าน้องสาววัยแปดปี“ท่านพ่อ… ลูกยังอยากศึกษาวิชาการยิงธนูด้วยเจ้าค่ะ" คำขอที่ดังออกมาจากริมฝีปากเล็กของบุตรีทำเอาท่านเจ้าเมืองที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มถึงกับต้องชะงักมือ“เจ้าแน่ใจหรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีเอ่ยถามบุตรีของตนออกมาเพื่อความแน่ใจ“แน่ใจเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกเห็นท่านพี่ทั้งสามได้เรียนวิชาขี่ม้ายิงธนู ลูกก็อยากจะฝึกบ้าง” เด็กหญิงวัยแปดปีกล่าวถึงเหตุผลออกมา“จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่ขี่ม้า
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
“ใช่แล้วล่ะ… ตั้งแต่เริ่มได้ปฏิบัติหน้าที่จริงจังเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ขี้เล่นเช่นเมื่อก่อน ติดเคร่งขรึมและเย็นชา สงสัยจะติดมาจากหน้าที่การงาน อืม…ตอนนี้ท่านพี่ใหญ่ของเราได้เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วนะ”เพียงปีกว่าเท่านั้น ซ่งมู่เฉินได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเพราะสร้างผลงานเอาไว้มากมาย มิได้มีเพียงแค่กำลังที่เขาใช้ไป แต่เขายังใช้สติปัญญาคิดกลอุบายจนหลอกล่อให้เหล่าทหารและขุนนางที่โกงกินบ้านเมือง หวังรวยแบบมิถูกต้อง รับสินบนพวกกระทำผิดให้ติดกับและจับกุมกวาดล้างไปได้หลายราย“ท่านพี่ของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ”“เอาไว้ค่อยคุยกันนะอันหนิง ข้าขอตัวไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน ท่านพี่ทั้งสามน้องขอลาก่อนเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงพยักหน้าเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสามของนาง ซ่งเจียวซินเดินจากไป ฉีอันหลงก้มมองปิ่นในมือพลางยิ้มน้อยๆ ออกมา“น้องเจียวซินโตขึ้นก็งามเหมือนกันนะขอรับ มิรู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคดีได้ใจนางไปครอบครอง” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาตามประสาคนที่สนใจเรื่องชาวบ้าน“สตรีนางใดก็มิงามและเก่งกาจเท่ากั
หนึ่งปีต่อมาสนามตีคลีกว้างขวางที่มีทั้งบุรุษและสตรีกำลังควบขี่ม้าแข่งขันตีคลีกันอยู่อย่างสนุกสนาน วันนี้ครอบครัวของใต้เท้าฉีได้พากันเดินทางมาร่วมงานตีคลีประจำปีของเมืองตงหลาง ฉีอันหลงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานเพื่อลงแข่งขันคู่กับน้องสาวของตน หลากหลายสกุลพาบุตรชายและบุตรีมาร่วมงานเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางที่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลที่สามารถพึ่งพากันได้ในภายภาคหน้า“ใต้เท้าฉีนั่นบุตรีของท่านหรือขอรับ” ใต้เท้าหลงเอ่ยถามใต้เท้าฉีขณะที่กำลังนั่งชมการแข่งขันตีคลีรอบต่อไป“ใช่แล้วขอรับ นั่นหนิงเอ๋อร์ ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือบุตรชายคนโตของข้าเอง นามว่าอันหลง” ใต้เท้าหลงมองไปยังร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีใบหน้าฉายแววแห่งความงดงามออกมา“นางมีผู้ใดจับจองหรือยัง”“ฮ่าๆ ยังมิมีหรอกขอรับ นางยังเด็กนัก ยังมิทันได้เข้าพิธีปักปิ่นเลย” ใต้เท้าฉีรีบเอ่ยออกมา“เรื่องคู่ครองข้าคงจะมิบังคับนาง หากนางมีใจให้แก่ผู้ใด ข้าก็คงจะคล้อยตาม”เพราะฉีอันหนิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเข
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูเก็บเกี่ยวเวียนมาถึง ชาวเมืองอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านเจ้าเมืองมีความยุติธรรม ดูแลชาวเมืองประดุจดังลูกหลาน แต่ที่ไหนมีคนดีก็ย่อมจะมีคนชั่วปะปนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โจรภูเขากลุ่มหนึ่งตัดสินใจลงเขามายังเมืองตงหลางเพื่อที่จะปล้นของมีค่าและเสบียงกลับไปยังชุมโจร“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่เมืองแห่งนี้ชาวเมืองมีอยู่มีกิน” หัวหน้าโจรเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งลงมาสอดแนม“ขอรับนายท่าน ข้าลงมาสอบถามและสังเกตอยู่นานเกือบสัปดาห์ เป็นเช่นที่ข้ารายงานท่านไปจริงๆ ขอรับ” ลูกน้องโจรตอบออกมา“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราจะลงไปปล้นเสบียงที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตัวเมืองตงหลาง จะได้หาทางหนีทีไล่ทัน” หัวหน้าโจรที่มีหนวดเครารกรุงรังเอ่ยออกมา“ขอรับท่านหัวหน้า” ลูกน้องขานรับออกมาพร้อมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมอาวุธค่ำคืนที่เงียบสงัดภายในบ้านเมืองที่สุขสงบ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าค่ำคืนนี้มีตระกูลพ่อค้าที่โชคร้ายเดินทางมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้และได้แวะพักที่โรงเตี๊ยมเป้าหมายของกลุ่มโจรเข้าพอดี กลุ่มโจรบุกเข้ามาในยามวิกาลและใช้กำลังข่มขู
ณ เมืองตงฉวนเด็กหนุ่มรูปร่างสูงแต่ทว่ามีร่างกายกำยำกำลังทดสอบความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนูให้เข้าเป้า และการใช้ดาบในการต่อสู้ การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะส่งผู้ที่ทำผลงานดีและผ่านการทดสอบไปประจำการตามเมืองต่างๆ ในแคว้นโจวหนาน“มู่เฉิน เจ้าสอบผ่านมาสองด่านแล้วใช่หรือไม่” สหายผู้หนึ่งของซ่งมู่เฉินเอ่ยถามเขาออกมาหลังจากที่อีกฝ่ายทดสอบด่านสุดท้ายเสร็จสิ้น“ใช่แล้วล่ะ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เห็นว่าด่านสุดท้ายเจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเลยนี่”“ขอบใจมาก อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เอาไว้มาดื่มกันก่อนที่จะกลับไปประจำการนะ” ต้าจงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“อืม…ได้สิ ถึงทีข้าละ ขอตัวก่อนนะต้าจง”อีกฝ่ายพยักหน้า ซ่งมู่เฉินจึงเดินไปยังด่านทดสอบสุดท้ายของปีนี้ นั่นก็คือการประลองดาบกับเหล่าศิษย์พี่ที่ได้กลับไปประจำการที่เมืองต่างๆ แล้วกลับมาคัดรุ่นน้องเพื่อติดตามตนกลับไปร่างสูงกำยำไปด้วยมัดกล้ามเดินถือดาบออกมารอรุ่นน้องที่เขาหมายตา ฟางต้าซู หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำการอยู่เมืองตง
หนึ่งปีต่อมาณ ลานประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น หลายครอบครัวต่างพากันมายืนรอตรวจสอบรายชื่อของลูกหลานที่ได้เข้าสอบในปีนี้ และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่สกุลฉีมีบุตรชายคนโตในวัยสิบห้าปีเข้ารับการสอบคัดเลือกขุนนางระดับซิ่วไฉ*เป็นปีแรก หนึ่งปีที่่ผ่านมาเขาตั้งใจศึกษาหาความรู้มิได้ขาด ใต้เท้าฉีนั้นมิได้คาดหวังว่าบุตรชายจะสอบผ่านในปีแรก แต่ฉีอันหลงกลับทำได้ดีกว่าที่คิดเขาสอบผ่านในลำดับอั้นโฉ่ว (ลำดับที่หนึ่ง) ซึ่งเป็นลำดับสูงที่สุดของการสอบซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบในระดับเซียงซื่อ*ต่อไปในปีหน้า โดยมิต้องรอไปอีกสามปีเช่นผู้อื่น ตระกูลที่มารอจับจองบุตรเขยต่างพากันสนใจเด็กหนุ่มที่มีความสามารถผ่านการสอบเค่อจวี่ในระดับซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าฉีฮูหยินกลับดับความฝันของตระกูลเหล่านั้นเพราะนางเห็นว่าบุตรชายยังคงมิพร้อมที่จะมีภรรยาในยามนี้ นางและใต้เท้าฉีมิได้รีบแต่งภรรยาเข้าเรือนให้กับบุตรชาย รออีกสักห้าหกปีก็ยังมิสาย“น้องดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่" ฉีอันหนิงวัยเก้าปีเอ่ยออกมา“ข้าก็ดีใจกับท่านพี่ด้วยขอรับ”“ข้าก็ด้วย” ฉีอันลิ่งใ
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินท่านเจ้าเมืองผ่านไปท่ามกลางเสียงเล่าลือถึงความสามารถของบุตรชายและบุตรีของสกุลฉี โดยเฉพาะฉีอันหนิงที่ได้รับคำชื่นชมมากกว่าพี่ๆ นางแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนางก็มีความสามารถที่มากล้น “เฉินเอ๋อร์ ลูกว่าเป็นเช่นไรบ้าง” ซ่งฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายในเช้าวันต่อมา “เรื่องอันใดหรือขอรับท่านแม่” เขาไม่เข้าใจที่มารดาเอ่ยถามออกมา “บุตรีสกุลฉีอย่างไรล่ะ” ซ่งฮูหยินตอบออกมายิ้มๆ “นางเป็นเด็กที่น่าสนใจและมีความสามารถเกินสตรีขอรับ” เขาตอบก่อนที่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก่อนที่เจ้าจะกลับเมืองตงฉวน แม่อยากให้เจ้าลองไปทำความรู้จักน้องเอาไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริงอีกสองปีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ถึงยามนั้นเจ้าจะเปลี่ยนใจแม่ก็จะไม่ตำหนิเจ้า” ซ่งฮูหยินมิอยากให้บุตรชายพลาดเด็กหญิงที่ในอนาคตจะเติบโตไปเป็นสตรีที่เก่งและชาญฉลาดเช่นบุตรีของท่านเจ้าเมืองไป นางมิได้นึกแปลกใจหากเด็กหญิงจะเก่งเกินบุรุษ เพราะนางเชื่อว่าบุตรชายของนางผู้นี้สมควรที่จะมีสตรีเช่นนั้นคอยอยู่เคียงข้าง “เอ่อ… จะดีหรือขอรับ” เด็กชายลังเลใจ เขาเองเพิ่งจะอายุสิบสี
งานเลี้ยงวันเกิดของฉีฮูหยินถูกจัดขึ้นภายในจวนสกุลฉี ขุนนางและครอบครัวทั่วเมืองตงหลางเดินทางมาร่วมอวยพรแก่ฉีฮูหยินด้วย และแน่นอนว่าสกุลซ่งก็ได้รับเทียบเชิญในครานี้เช่นกัน ใต้เท้าซ่ง ซ่งฮูหยิน ซ่งมู่เฉินและซ่งเจียวซินก็ได้เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“วันนี้ข้าจะมีการแสดงให้ท่านแม่ได้ชม” ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาขณะที่กำลังนั่งนิ่งๆ ให้ซุนซุนหวีผม“คุณหนูสี่ไปฝึกฝนยามใดเจ้าคะ บ่าวมิเคยเห็นเลยนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“หึๆ ของพวกนี้มันอยู่ในความคิดของข้านี่”นางยกมือเล็กชี้นิ้วมายังศีรษะของนาง ซุนซุนถึงกับชะงักมือแล้วส่ายใบหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ใครจะว่านางโอ้อวดคุณหนูสี่ของนางก็ช่าง แต่คุณหนูสี่นั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มิว่านางคิดจะทำการสิ่งใดล้วนแล้วแต่สำเร็จ“วันนี้เจียวซินบอกว่าจะมาด้วยนะ” คุณหนูตัวน้อยที่ถูกมัดผมอยู่กล่าวออกมา“ตระกูลซ่งแน่นอนว่าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ… ว่าแต่คุณหนูสี่มีการแสดงอันใดจะแสดงให้นายหญิงได้ชมเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยถามออกมาด
ซ่งมู่เฉินกับจูจงฉีใช้เวลาเดินทางกลับมาจากเมืองตงฉวนเพียงหนึ่งวัน ระหว่างทางเขาได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงได้รับรู้ว่าแคว้นโจวหนานนั้นมิได้สงบสุขอย่างที่คิด เพราะวันนี้ระหว่างที่เขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็บังเอิญได้พบกับพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งกำลังรีดไถเงินจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้“ใต้เท้า… ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของข้าน้อยมิค่อยได้ต้อนรับแขกเท่าใดนักจึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายส่วยให้กับพวกท่าน ได้โปรดละเว้นโรงเตี๊ยมของข้าน้อยไปสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาลำบากเพราะคนเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว เขามิอาจรู้ได้ว่าบุรุษร่างโตเหล่านี้เป็นขุนนางหรือเป็นเพียงนักเลงรีดไถ แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการก็มิเห็นจะมาจัดการปราบปรามให้เสียที แม้จะแจ้งไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม“ได้ยังไงกันวะ!! ชาวบ้านแถวนี้เขาจ่ายกันหมด เอ็งเป็นถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมจะมิมีจ่ายได้เช่นไร และนั่นก็มีลูกค้านี่ อย่ามาโอ้เอ้ เอาเงินมา!! พวกข้าจักได้ไปเก็บเงินที่อื่นต่อ”หัวหน้านักเลงไม่ยอมแพ้ มีดดาบในมือของมันถูกจ่อไปที่ลำคอของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม นัย
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนานเด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเ