“เจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ? ว่ากันตามหลักแล้วตอนนี้เป็นเวลามื้อเย็น แต่เมืองนี้กลับเงียบสงัด ข้าเกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของฉงชูโม่ก็จริงจังขึ้นทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ควรรีบเข้าเมืองไปดูว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย ฟาดแส้ ควบม้าลงเขาไปทันทีเมื่อเข้าไปในเมือง สภาพแวดล้อมยังคงเงียบสงบ ราวกับสุสานยามเที่ยงคืน เงียบงันไปทั่ว บรรยากาศแฝงด้วยความลึกลับแม้แต่บ้านเรือนโดยรอบก็ยังมืดมิดฉงชูโม่กลั้นหายใจมองไปรอบ ๆ บ้านเรือน แล้วกระซิบว่า “องค์รัชทายาท บ้านเรือนเหล่านี้จริง ๆ แล้วมีคนอยู่ แต่พวกเขากำลังหลบอะไรบางอย่าง หรือว่า...ที่นี่มีผีจริง ๆ?”“เจ้าบอกว่ามิเชื่อเรื่องผีสางมิใช่รึ?”“แต่... นี่มันแปลกเกินไป เมืองใหญ่เพียงนี้ มีบ้านเรือนมากมาย ทว่าประตูทุกบานปิดหมด แม้แต่ไฟสักดวงก็มิจุด...”“ตรงนั้นมีโรงเตี๊ยมอยู่ ลองไปถามดูสิ”ฉินซูดึงสายบังเหียน และม้าก็เดินไปที่โรงเตี๊ยมอย่างเร่งรีบ“กุบกับ กุบกับ...”เสียงกีบม้าที่คมชัดดังก้องในความมืดเมื่อมาถึงประตูโรงเตี๊ยม ฉินซูก็เคาะประตูอย่างแรงแล้วตะโกนเรียก “เถ้าแก่ เปิดปร
“กรรรจ์!!”เมื่อได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ทุกคนในโรงเตี๊ยมก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัว รีบเอามือกุมหัววิ่งหนีกันอุตลุดฉงชูโม่ขมวดคิ้ว กำกริชเขี้ยวมังกรโดยมิรู้ตัว และจ้องมองที่ประตูโรงเตี๊ยมอย่างหวาดระแวงฉินซูมีสีหน้าประหลาด หันไปมองรอบ ๆ จากนั้นก็แสยะยิ้มเจ้าของโรงเตี๊ยมเร่งเร้าด้วยเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือ “แม่นาง เป่าตะเกียงน้ำมันเร็ว มิเช่นนั้นเราทุกคนแย่แน่”ฉงชูโม่เพิกเฉยต่อเจ้าของโรงเตี๊ยมและมองออกไปนอกประตู ลังเลว่าจะออกไปดูดีหรือไม่ในขณะที่นางกำลังลังเล เสียงฝีเท้าด้านนอกก็ค่อย ๆ จางหายไปเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ ทุกคนในโรงเตี๊ยมก็ถอนหายใจพรืดยาวด้วยความโล่งอกเส้นประสาทที่ตึงเครียดของฉงชูโม่ก็ผ่อนคลายลง นางแอบถอนหายใจยาวฉินซูเปิดประตูโรงเตี๊ยม และเตรียมจะออกไปเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉงชูโม่ก็คว้าตัวเขาแล้วพูดว่า “องค์... อะแฮ่ม คุณชาย ท่านจะทำอะไร?”ฉินซูตอบคำถาม “เจ้าคิดว่าคนที่อยู่นอกประตูเมื่อครู่เป็นสัตว์ประหลาดจริงหรือ?”“เอ๋? มิใช่หรือ?”ฉงชูโม่สับสนเล็กน้อยเจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวอย่างเคร่งขรึม “คุณชาย นั่นเป็นเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดจริง ๆ ช่วงเวลานี้ของทุก
ในเวลานั้นเอง สัตว์ประหลาดขนแดงได้งัดกุญแจร้านค้าออก และเดินเข้าไปอย่างอุกอาจ มินานนัก สัตว์ประหลาดขนแดงนั้นก็ออกมาพร้อมกับกระสอบผ้าสีดำ เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูก็หัวเราะเยาะ “เห็นหรือไม่ นี่มันตั้งใจมาปล้นชัด ๆ หากเป็นสัตว์ประหลาดกินเนื้อคนจริง ๆ ตอนนี้คงกินคนไปแล้ว” ฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ แววตาของนางเปลี่ยนเป็นคมกริบ! นางจับกริชไว้แน่น แล้วพุ่งเข้าใส่สัตว์ประหลาดขนแดงอย่างรวดเร็ว สัตว์ประหลาดขนแดงได้ยินเสียงแหวกอากาศ มันจึงหันกลับไปมองโดยมิรู้ตัว เมื่อเห็นฉงชูโม่พุ่งเข้ามา เขาก็อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว!ฉงชูโม่สังเกตเห็นสายตาตื่นตระหนกของอีกฝ่าย ทำให้นางเชื่อมั่นในคำพูดของฉินซูมากขึ้นนางแค่นเสียงเย็นชา “หึ แสร้งทำเป็นผี นอนลงซะ!”เมื่อสิ้นเสียง กริชเขี้ยวมังกรในมือของนางฟาดฟันอย่างรุนแรง!ปราณแห่งกระบี่ที่รวดเร็วพุ่งออกมา!“ฟึบ!”ลูกธนูเลือดพุ่งออกมาจากน่องของสัตว์ประหลาดขนแดง และร่างของมันก็เตี้ยลงโดยมิรู้ตัวในเวลานี้ฉงชูโม่ได้เข้ามาใกล้แล้ว และเตะไปที่หน้าอกของมัน!สัตว์ประหลาดขนแดงถูกเตะกระเด็นไปหลายจั้งในทันที และสุดท้ายก็ล้มลงกับพื้นหินสีเขี
ฉินซูมือไขว้หลังเดินมาช้า ๆ เขาเหลือบมองชายวัยกลางคนและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ถ้าข้าเดามิผิด เจ้าน่าจะเป็นคนจากที่ว่าการอำเภอ ใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉงชูโม่ก็มองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าตกใจชายวัยกลางคนก็ตกใจมิแพ้กัน ความตื่นตระหนกวาบผ่านแววตาของเขา!เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูก็ยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก!”“เจ้าเป็นคนจากที่ว่าการอำเภอจริงหรือ?!”ฉงชูโม่ใช้กริชในมือจ่อที่คอของอีกฝ่ายอีกครั้งชายวัยกลางคนตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบพยักหน้าและพูดว่า “ใช่… ใช่แล้ว”“หากเป็นเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอ ไฉนต้องปลอมตัวเป็นสัตว์ประหลาดเพื่อทำชั่วด้วย?” เสียงของฉงชูโม่เย็นชาขึ้นอีกเล็กน้อยชายวัยกลางคนมีสีหน้าขมขื่นและพูดว่า “นี่เป็นคำสั่งของท่านผู้ว่าการอำเภอ ข้ามิกล้าขัดขืน”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างนางหันหลังกลับและเปิดกระเป๋าผ้าสีดำที่ชายวัยกลางคนนำออกมาจากร้านค้าเมื่อเห็นว่าข้างในบรรจุผ้าไหมชั้นดี นางก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าหน้าที่ชั่วคนนี้ กล้าละเมิดกฎหมาย ลุกขึ้น นำทางไป!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายวัยกลางคนถามด้ว
ในห้องโถงใหญ่ชายวัยกลางคนชื่อเหล่าไฉเห็นจูเจิ้งเสียนก็ร้องขอความช่วยเหลือทันที“ท่านผู้ว่าการอำเภอ ช่วยด้วย ช่วยข้าน้อยด้วย...”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็เตะเข้าที่เข่าของเขา พร้อมกับสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “คุกเข่าลง!”ร่างของเหล่าไฉทรุดลงและคุกเข่าลงกับพื้นจูเจิ้งเสียนมองไปที่ฉงชูโม่และฉินซู แล้วดุว่า “พวกเจ้าช่างกล้าจริง ๆ กล้าที่จะแตะต้องคนของที่ว่าการอำเภอของเรา นี่มันมิเคารพกฎหมายเลย จับพวกเขาทั้งสองคนเข้าคุกแล้วรอการพิจารณาคดีเสีย!”“ขอรับ!”พวกเจ้าหน้าที่ตอบรับ และกำลังจะลงมือใบหน้าสวยของฉงชูโม่พลันเย็นชา และตะโกนอย่างดุเดือดว่า “องค์รัชทายาทอยู่ที่นี่ ดูสิว่าใครกล้าบังอาจ!”เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงและแข็งค้างอยู่กับที่!มุมปากของฉินซูก็กระตุกสองสามครั้ง รู้สึกพูดมิออกจากนั้นเขาก็เริ่มบ่นในใจ‘เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แค่เปิดเผยตัวตนของเจ้า ผู้ว่าการอำเภอตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ก็มิกล้าสร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว ไยต้องเอาชื่อข้ามาอ้างด้วยเล่า?’จูเจิ้งเสียนมองฉินซูด้วยความประหลาดใจสองสามครั้ง รู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายมิได้ จากนั้นเขาก็ถามฉงชูโม่ว่า “เจ้า… เจ้าพู
จูเจิ้งเสียนอธิบายว่า “ที่สำนักขุนนางใหญ่รวบรวมเงินจำนวนมากจากทั่วทุกแห่ง ก็เพื่อเติมเต็มคลังหลวง และก็มิใช่ว่าทุกเมืองจะต้องส่งเงินมา ในปีนี้ดินแดนทางใต้ของเราประสบภัยน้ำท่วม ทางเหนือประสบภัยแล้ง มีเพียงเมืองสุยโจว เฉินหลิว และอีกมิกี่เมืองที่รอดพ้น ดังนั้น เงินที่จำเป็นสำหรับการบรรเทาทุกข์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับพวกเรา”“หากพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าสำนักขุนนางใหญ่ปล้นคนรวยช่วยคนจนงั้นรึ?”“องค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้ก็มิผิดพ่ะย่ะค่ะ หากมิได้รับพระบัญชาจากองค์จักรพรรดิ สำนักขุนนางใหญ่ก็คงมิกล้าเดินหมากเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูขมวดคิ้วมิพูดอะไรเขามิคิดเลยว่า การบรรเทาทุกข์จะทำให้เมืองหล่งเซียงนี้หวาดกลัวกันขนาดนี้ฉงชูโม่ถามขึ้นทันทีว่า “สำนักขุนนางใหญ่และทางจังหวัดอนุญาตให้พวกเจ้าปล้นสะดม แต่มิได้อนุญาตให้ฆ่าคนใช่หรือไม่?”“นี่… นี่…”จูเจิ้งเสียนพูดตะกุกตะกัก มิรู้จะตอบว่าอย่างไรฉินซูแค่นเสียงเย็นชา แล้วตวาดว่า “พวกเจ้าฆ่าคนไปเท่าไรแล้ว รีบสารภาพมาตามความจริงเสีย!”จูเจิ้งเสียนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “องค์รัชทายาท เรื่องนี้กระหม่อมมิทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ บางครั้งลูกน้องลงมืออาจจะมิรู้จักป
เมื่อที่ปรึกษาหวังทราบว่าองค์รัชทายาทเสด็จมาถึงอำเภอหล่งเซียง ก็ตกใจจนตัวสั่นเขาถามด้วยความร้อนใจว่า “ใต้เท้าจู แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”“ใคร ๆ ก็บอกว่าองค์รัชทายาทนั้นสุรุ่ยสุร่าย แต่เมื่อครู่นี้ก็ดูมิออกเลย ตอนนี้เราคงทำได้แต่ส่งคนไปแจ้งทางจังหวัดดูว่าจะมีแผนรับมืออย่างไร”เมื่อกล่าวจบ จูเจิ้งเสียนก็สั่งทันทีว่า “เจ้าจงรีบเขียนหนังสือราชการแล้วส่งคนไปให้ถึงทางจังหวัดในคืนนี้ ห้ามมีข้อผิดพลาด!”“ขอรับ ใต้เท้าจู ข้าน้อยจะจัดการเดี๋ยวนี้!”……ยามค่ำคืนภายในจวนผู้ว่าการมณฑลสุยโจวผู้ว่าการมณฑลหานไท่กำลังหลับใหลอย่างสบายทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังมาจากข้างนอก พร้อมกับเสียงเรียกเบา ๆ ว่า “ใต้เท้าหาน ใต้เท้าหาน…”หานไท่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นทันที เขาตะโกนออกไปอย่างโมโหว่า “ดึกดื่นป่านนี้ ใครมาส่งเสียงดังโวยวายอยู่ข้างนอก? ถ้ายังกล้าส่งเสียงอีก ข้าจะสั่งประหารเจ้าซะ!”“ใต้เท้าหาน ข้าเอง มีเรื่องเกิดขึ้นที่อำเภอหล่งเซียงขอรับ”“นายทะเบียนเฉิน? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“ข้าน้อยเพิ่งได้รับเอกสารจากอำเภอหล่งเซียง บอกว่าองค์รัชทายาทเสด็จไปที่นั่นโดยกะทันหัน และยังจับพวกเขาได
หานไท่ไขว้มือไว้ข้างหลัง ยิ้มอย่างดูถูกและพูดอย่างมิแยแสว่า “ถึงจะเป็นองค์รัชทายาท แต่เขาก็เป็นแค่คนไร้ค่าที่รู้จักแต่จะสนุกสนาน อีกมิกี่เดือนเขาก็จะถูกปลดแล้ว ข้าจะไปกลัวเขาหาปะไร! ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังข้าคือเสนาบดีกรมพระคลัง เสนาบดีหลินเป็นคนของท่านอ๋องฉี เมื่อมีท่านอ๋องฉีหนุนหลัง ข้าจะไปกลัวองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดด้วยเหตุใดเล่า?”จูเจิ้งเสียนตั้งใจจะเตือนอีกสักหน่อย แต่เฉินควนที่อยู่ข้าง ๆ หานไท่พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ใต้เท้าจู เลิกโอ้เอ้ได้แล้ว ไปกันเถิด ไปที่ว่าการอำเภอของท่านก่อนค่อยว่ากัน”“ขอรับ เชิญท่านทั้งสอง!”จูเจิ้งเสียนโค้งคำนับและเดินนำไปข้างหน้าอย่างนอบน้อมเมื่อผ่านร้านสุราที่ตกแต่งอย่างหรูหรา หานไท่เงยหน้าขึ้นมองป้ายโดยมิตั้งใจ จากนั้นก็พูดอย่างครุ่นคิดว่า “ใต้เท้าจู ข้าจำได้ว่าสาวงามในหอนางโลมลี่ชุนดูเหมือนจะมิเลว ท่านไปเลือกสองสามคนมาด้วยกัน อ้อ ใช่แล้ว อย่าลืมนำสุราลืมโศกมาด้วย”“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”ประมาณสองเค่อต่อมาจูเจิ้งเสียนก็พาสตรีแต่งหน้าจัดจ้านหลายคนและไหเหล้ากลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ“ใต้เท้าหาน สตรีเหล่านี้เป็นสาวงามที่
ฉินซูดีดนิ้วปล่อยพลังใส่ค้างคาวเหล่านั้นร่วงลงไปที่พื้นเขาพูดอย่างมิสบอารมณ์ “แค่ค้างคาวเท่านั้นเอง กลัวปานนั้นเลยรึ?”มู่หรงจื่อเยียนมองเขาอย่างขุ่นเคือง “เป็นสตรีก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แถมที่นี่ก็ยังมืดและน่ากลัว หม่อมฉันขนลุกไปหมดแล้ว”“เจ้าขี้กลัวเช่นนี้แต่ก็ยังมากับหนานกงจื่อชินเพื่อสกัดกั้นและสังหารข้าน่ะรึ?”“ท่านเข้าใจผิดแล้ว จริง ๆ แล้วข้า… ข้าคิดจะเกลี้ยกล่อมเขามิให้ลงมือทำร้ายท่านต่างหากเล่า”ฉินซูยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจและถามหยอกเย้า “ที่หนานกงจื่อชินบอกว่าเจ้าชอบข้านั่นคงมิใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง?”ใบหน้าที่งดงามของมู่หรงจื่อเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง พลางหลบเลี่ยงมิกล้าจ้องตาของฉินซูตรง ๆนางก้มหน้าขยำชายเสื้อแน่นและมิพูดอะไรเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ฉินซูก็มองความคิดของนางออกแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีอารมณ์จะมาพูดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จึงเปลี่ยนเรื่อง “ไปเถิด หาทางออกก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”จากนั้นเขาก็หยิบพับไฟพกพามาจากอ้อมอกพลางจุดไฟแล้วมองไปรอบ ๆ“ท่านรอหม่อมฉันด้วย!”มู่หรงจื่อเยียนตามไปด้วยสีหน้าเขินอาย จากนั้นก็กอดแขนของฉินซูอย่างแน่นหนาโดยมิเอ่ยคำอธิบา
“ยังน่ะสิ เขาสั่งให้พวกข้ามากันก่อน ทั้งยังบอกอีกว่ามียอดฝีมือคอยคุ้มกันเขาอยู่ จะมิเป็นอะไรแน่นอน...”“แย่แล้ว!!”ใบหน้าที่งดงามของกู้เสวี่ยเจี้ยนซีดลง นางทะยานขึ้นหลังม้าและควบไปทางหน้าผาที่พังทลายเมื่อเห็นสถานการณ์ เซี่ยหลานก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และคิดจะควบม้าตามไปถายเหวยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นจึงรีบห้าม “ท่านใต้เท้าเซี่ยอย่าเพิ่งวู่วาม ยอดฝีมือท่านนั้นที่อยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทมีวรยุทธ์แก่กล้า มีเขาคอยคุ้มกันอยู่ องค์รัชทายาทจะมิทรงเป็นอะไรแน่นอนขอรับ”“แต่ดูกู้เสวี่ยเจี้ยนมีท่าทางรีบร้อนเช่นนั้น ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์รัชทายาทแน่ ข้ามิอาจวางใจได้”“คนดีเช่นองค์รัชทายาทสวรรค์ย่อมคุ้มครอง กว่าพวกเราจะหนีพ้นมาได้นั้นมิใช่เรื่องง่าย หากท่านกลับไปอย่างเร่งรีบในตอนนี้ แล้วตกไปอยู่ในมือของปีศาจภูเขาเหล่านั้นอีกครั้ง จะมิเป็นการสร้างปัญหาให้องค์รัชทายาทหรอกหรือขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลานก็ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามไป นางสวดภาวนาในใจอย่างเงียบ ๆ และหวังว่าฉินซูจะกลับมาอย่างปลอดภัยเมื่อกู้เสวี่ยเจี้ยนกลับมาที่หน้าผา นางก็ตะโกนเสียงดัง“องค์รัชทายา
หนี!ฉินซูตัดสินใจในใจทันที เขารีบทะยานออกจากป่าโดยอุ้มมู่หรงจื่อเยียนไว้ในอ้อมแขนจนเงาร่างของเขาได้กลายเป็นภาพค้างอยู่กับที่พลังยุทธ์ของสัตว์ร่างใหญ่นี้ยังมิเป็นที่ชัดเจน เขาจึงมิแน่ใจว่าจะสามารถโค่นคู่ต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้นหากต่อสู้อย่างหุนหันพลันแล่น ยังมิต้องพูดถึงว่าตนจะเสียเปรียบหรือไม่แต่กู้เสวี่ยเจี้ยนจะต้องสังเกตเห็นพลังวรยุทธ์ของเขาแน่นอนใครจะไปรู้ว่า กู้เสวี่ยเจี้ยนจะนำเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้าโหรหลวงหรือไม่ และเขาก็มิสามารถฆ่ากู้เสวี่ยเจี้ยนได้เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรการเป็นสามีภรรยาเพียงแค่คืนเดียว แต่ก็มีความสัมพันธ์และความรักที่ยาวนานเหมือนร้อยคืนคิดไปคิดมา การหนีถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดทันทีที่ออกมาจากป่า เขาก็ตะโกนเสียงดัง “กู้เสวี่ยเจี้ยน หากสลัดพ้นแล้วจงไปเจอกันที่เชิงเขาลั่วเยี่ยน ถานเหวยและคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ที่นั่น”เขาตะโกนเสียงดังเพื่อมิให้ปีศาจภูเขายักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขาโจมตีกู้เสวี่ยเจี้ยน จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมาปล่อยกระแสพลังฝ่ามือสองสายใส่คู่ต่อสู้“โฮก โฮก!!”ปีศาจภูเขายักษ์คำรามสองครั้งและทำให้กระแสพลังฝ่ามือของฉินซูสลายไปได้อย่างง่ายดาย
“บุตรแห่งนักปราชญ์หนานกง เจ้ารู้หรือไม่ว่าในใต้หล้าใบนี้ใครสามารถเก็บความลับได้นานที่สุด?” ฉินซูถามกลับด้วยท่างสบาย ๆหนานกงจื่อชินโพล่งถามออกมา “ใครกัน?”คำพูดของฉินซูสั้นแต่ได้ใจความ “คนตาย!”ม่านตาของหนานกงจื่อชินหดตัวลงอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาสั่นสะท้านขึ้นมากะทันหัน และบนใบหน้าฉายแววตื่นตระหนกเขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากพลางถอยหลังไปหลายก้าวโดยมิรู้ตัว“อย่า อย่าฆ่าข้านะ”ฉินซูค่อย ๆ เหยียดฝ่ามือออกพลางพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ต้องขออภัยด้วย เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว!”สิ้นคำพูด ลมรุนแรงที่แสนบ้าคลั่งก็พัดออกมาจากฝ่ามือของเขา!หนานกงจื่อชินหวาดกลัวมากจนหันหลังวิ่งหนีไปอย่างมิลังเลเขาได้เปิดใช้งานปราณบริสุทธิ์ในร่างกายจนถึงขีดสุด และยังใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงสุดอีกด้วย!แต่เขายังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากระแสพลังฝ่ามืออันบ้าคลั่งที่อยู่ข้างหลังเขานั้นเหมือนกับเคียวของยมทูตที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ“ไม่!!”เสียงที่สิ้นหวังของหนานกงจื่อชินที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังหยุดลงทันที ‘พรึ่บ’ ร่างกายของเขาถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใด บุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์รุ่นหนึ่งได้สลายหา
ขณะที่หนานกงจื่อชินกำลังพูด เขาก็ทะยานตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่ามู่หรงจื่อเยียนกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจและไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนางก็รีบพูดโน้มน้าว “พี่จื่อชิน อย่าเลย!”หนานกงจื่อชินหันไปจ้องนางแล้วถามว่า “จื่อเยียน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“ข้า… ข้าก็แค่…”มู่หรงจื่อเยียนอึกอักและอธิบายเหตุผลมิได้เมื่อเห็นเช่นนั้น หนานกงจื่อชินก็โกรธและพูดพาลใส่ “ดูเหมือนว่าข้าจะเดามิผิด ท่านชอบเจ้าสวะฉินซูนั่น หนานกงจื่อชินด้อยกว่าเขาตรงไหน ท่านถึงได้เลือกเขาแทนที่จะเป็นข้า?”“ข้า… ข้ามิรู้”คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนได้ยืนยันสิ่งที่หนานกงจื่อชินคาดเดาไว้อย่างมิต้องสงสัยเขาโกรธมากจนกำหมัดแน่นและกัดฟันดังกรอดฉินซูสับสนงุนงง เขามองไปที่มู่หรงจื่อเยียนด้วยสีหน้าตกตะลึง และในใจของเขาก็มีความประหลาดใจขึ้นมาตัวเขามีเสน่ห์ถึงเพียงนี้เลยหรือ? แม้แต่มู่หรงจื่อเยียนที่เป็นท่านหญิงจากต่างแคว้นผู้นี้ก็ยังหลงใหลในตัวเขาอย่างนั้นหรือ?ขณะนั้น หนานกงจื่อชินระงับความโกรธและพูดว่า “จื่อเยียน ท่านไปรอข้าที่ด้านนอก ขอเพียงท่านออกไปตอนนี้ ข้าก็จะทำเหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่มิเคยเกิดขึ้น มิเช่นนั้นเมื่อก
บนหน้าผากของมันมีรูแผลขนาดเท่านิ้วมือที่มิรู้ว่าปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรและเลือดสีแดงในหัวของมันก็พุ่งออกมาจากรูแผลนั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ถานเหวยก็ตกตะลึงและมิรู้ว่าใครช่วยชีวิตเขาเอาไว้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้“ถานเหวย จะยืนตะลึงอะไรอยู่อีก รีบบังคับรถม้าพาเซี่ยหลานไปที่เนินเขาลั่วเยี่ยนทางนั้นสิ!”เมื่อได้ยินเสียงเร่งเร้าของฉินซู ถานเหวยก็ได้สติเขาพยักหน้ารัว ๆ “องค์รัชทายาทรีบขึ้นรถม้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ เร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“เจ้าพาเซี่ยหลานไปก่อน ข้ามียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่ มิเป็นอะไรหรอก เจ้ารีบไปเร็วเข้า”“ข้าน้อย… เอ่อ..."ถานเหวยลังเลเมื่อฉินซูเห็นสถานการณ์ เขาก็สบถในใจ พลางเตะถานเหวยลอยเข้าไปในรถม้าแล้วฟาดแส้ที่ก้นม้า!ม้าควบออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเซี่ยหลานที่อยู่บนรถม้าเห็นเช่นนั้นก็เป็นกังวลมากจนเกือบจะร้องไห้ “องค์รัชทายาท ท่านรีบหนีเถิดเพคะ”“ไปรอข้าอยู่ในที่ปลอดภัย เดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็คว้าหอกยาวจากมือทหารแล้วเหวี่ยงไปข้างหน้าเป็นครึ่งวงกลม ปราณวายุที่รุนแรงดุดันบีบบังคับให้ปีศาจภูเขาหลายตัวเหล่านั้นถอยหลังทหารเหล่านั้นถึงกับอึ้ง!องค
ก้อนหินไหลลงมาตามเชิงเขาเงาดำสูงใหญ่เดินขวักไขว่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ในป่าเนื่องจากเงาดำเหล่านี้สูงใหญ่มาก ต้นไม้จำนวนมากจึงถูกทับและล้มลงส่งผลให้ในป่าเต็มไปด้วยความสับสนอลเวง“ปีศาจภูเขา! นั่นมันปีศาจภูเขา!!”เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอฉงซานคนหนึ่งที่อยู่ในกองกำลังขนส่งเสบียงอุทานขึ้นเมื่อเงาร่างสูงใหญ่สีดำเหล่านั้นเข้ามาใกล้ ฉินซูก็สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกมันได้อย่างชัดเจน!ปีศาจภูเขาเหล่านี้มีเบ้าตาสีเข้ม คิ้วสีดำสลับขาว สันจมูกสีแดง และมีหนวดยาวที่บริเวณจมูกทั้งสองข้าง!แก้มทั้งสองข้างขาวราวหิมะ มองแวบแรกดูเหมือนใบหน้าของผีร้ายทั้งตัวของพวกมันยังถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำยาว แขนสองข้างหนากว่าถังน้ำ และยาวกว่าหัวเข่า รูปร่างของมันสูงใหญ่และแข็งแกร่งกว่าชิมแปนซีมากโดยเฉพาะเขี้ยวทั้งสองคู่ที่มุมปากนั้นแลดูน่าหวาดกลัวเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดขนยาวที่สูงกว่าคนสองคนยืนต่อตัวกัน ทันใดนั้น ฉินซูก็มีสีหน้ามิพอใจ!นี่พวกเจ้าเรียกเจ้ายักษ์ใหญ่พวกนี้ว่าปีศาจภูเขารึ?!เขาไม่มีเวลาพอที่จะพูดบ่น และตะโกนใส่ทหารที่กำลังหวาดกลัวเสียงดัง “ยังจะยืนตะลึงกันอยู่อีก รีบหนีไปสิ!”“คุ้ม
“แล้วหากเขามิพอใจเล่า?”“เช่นนั้นก็ต้องลงมืออย่างเด็ดขาดแล้ว อย่างไรก็ต้องพูดคำเดิม พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็เงียบไปพวกเขามิใช่โจรชั่วและพวกเขาก็มิเคยทำเรื่องที่ทำลายจิตสำนึกของตัวเองแต่วันนี้กลับมีคนหน้ามิอายบางคนใช้สตรี เด็กและคนชราในค่ายป้องกันมาบีบบังคับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนแต่โดยดีเมื่อหยางอวิ๋นโบกมือเป็นสัญญาณ ทุกคนก็รีบซุ่มอยู่บนเนินเขาทันทีขณะเดียวกันในป่าที่อยู่มิไกล มู่หรงจื่อเยียนกำลังรออย่างกระวนกระวายทันใดนั้น เงาร่างสีขาวก็ตกลงมาจากท้องฟ้า!นางรีบไปรับเขาแล้วถามว่า “ท่านพี่จื่อชิน เป็นอย่างไรบ้าง?”หนานกงจื่อชินยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “มิต้องกังวล ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม จากนี้ไป พวกเราแค่ต้อง.ใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่งและรอโอกาสลงมือ”มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเบา ๆ พลางมองออกไปนอกป่าด้วยความมิสบายใจไกลออกไปฉินซูที่นำอยู่ด้านหน้าขบวนก็หยุดม้ากะทันหันเมื่อเห็นสถานการณ์ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เลิกคิ้วแล้วถามว่า “หยุดด้วยเหตุใดหรือเพคะ?”ฉินซูจ้องมองทางข้างหน้าและพูดเสียงเรียบ “ทางข้างหน้าด้านหนึ่งเป็นป่าและอ
เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดขาวขู่ว่าจะล้างบางค่ายป้องกันไป๋หยาง ชายอารมณ์ร้อนคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นทันที“ลูกพี่ พวกเราสู้กับเขาเถอะ!”“นั่นสิ พวกเรามีกันตั้งหลายร้อยคน ยังจะต้องกลัวเขาอีกรึ!”“มาช่วยกันสับมันให้สิ้นเสีย!”ทุกคนต่างออกความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้นชายหนุ่มชุดขาวมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ขณะนั้นก็มีจิตสังหารพุ่งออกมาจากตัวเขา!เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า หยางอวิ๋นก็รีบตะโกน “พวกเจ้าทุกคนหุบปากเดี๋ยวนี้!”เขาแอบวิตกกังวลอยู่ในใจ ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับปฐพีอย่างแท้จริง หากเขาทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมา ค่ายป้องกันไป๋หยางคงจะถูกล้างบางจนนองเลือดจริง ๆคนที่ถูกเขาตวาดใส่ก็รีบปิดปากอย่างเชื่อฟังหยางอวิ๋นยกมือคำนับไปทางชายหนุ่มและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านจอมยุทธ ข้าขอบังอาจถามว่าในเมื่อท่านมิได้คิดจะปล้นเสบียง เหตุใดท่านจึงประสงค์ให้พวกเราทำการสังหารหมู่กองกำลังขนส่งเสบียง ท่านมีความแค้นกับพวกเขาหรือ?”“เจ้านี่พูดมากนัก!”ชายหนุ่มชุดขาวชักกระบี่ออกมาอย่างเหลืออดปราณแห่งกระบี่อันเฉียบคมรุนแรงพุ่งผ่านอากาศช่วงเวลาต่อมา ก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องในหูของหยางอวิ๋นเมื่อทุ