ฉินซูมือไขว้หลังเดินมาช้า ๆ เขาเหลือบมองชายวัยกลางคนและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ถ้าข้าเดามิผิด เจ้าน่าจะเป็นคนจากที่ว่าการอำเภอ ใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉงชูโม่ก็มองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าตกใจชายวัยกลางคนก็ตกใจมิแพ้กัน ความตื่นตระหนกวาบผ่านแววตาของเขา!เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูก็ยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก!”“เจ้าเป็นคนจากที่ว่าการอำเภอจริงหรือ?!”ฉงชูโม่ใช้กริชในมือจ่อที่คอของอีกฝ่ายอีกครั้งชายวัยกลางคนตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบพยักหน้าและพูดว่า “ใช่… ใช่แล้ว”“หากเป็นเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอ ไฉนต้องปลอมตัวเป็นสัตว์ประหลาดเพื่อทำชั่วด้วย?” เสียงของฉงชูโม่เย็นชาขึ้นอีกเล็กน้อยชายวัยกลางคนมีสีหน้าขมขื่นและพูดว่า “นี่เป็นคำสั่งของท่านผู้ว่าการอำเภอ ข้ามิกล้าขัดขืน”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างนางหันหลังกลับและเปิดกระเป๋าผ้าสีดำที่ชายวัยกลางคนนำออกมาจากร้านค้าเมื่อเห็นว่าข้างในบรรจุผ้าไหมชั้นดี นางก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าหน้าที่ชั่วคนนี้ กล้าละเมิดกฎหมาย ลุกขึ้น นำทางไป!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายวัยกลางคนถามด้ว
ในห้องโถงใหญ่ชายวัยกลางคนชื่อเหล่าไฉเห็นจูเจิ้งเสียนก็ร้องขอความช่วยเหลือทันที“ท่านผู้ว่าการอำเภอ ช่วยด้วย ช่วยข้าน้อยด้วย...”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็เตะเข้าที่เข่าของเขา พร้อมกับสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “คุกเข่าลง!”ร่างของเหล่าไฉทรุดลงและคุกเข่าลงกับพื้นจูเจิ้งเสียนมองไปที่ฉงชูโม่และฉินซู แล้วดุว่า “พวกเจ้าช่างกล้าจริง ๆ กล้าที่จะแตะต้องคนของที่ว่าการอำเภอของเรา นี่มันมิเคารพกฎหมายเลย จับพวกเขาทั้งสองคนเข้าคุกแล้วรอการพิจารณาคดีเสีย!”“ขอรับ!”พวกเจ้าหน้าที่ตอบรับ และกำลังจะลงมือใบหน้าสวยของฉงชูโม่พลันเย็นชา และตะโกนอย่างดุเดือดว่า “องค์รัชทายาทอยู่ที่นี่ ดูสิว่าใครกล้าบังอาจ!”เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงและแข็งค้างอยู่กับที่!มุมปากของฉินซูก็กระตุกสองสามครั้ง รู้สึกพูดมิออกจากนั้นเขาก็เริ่มบ่นในใจ‘เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แค่เปิดเผยตัวตนของเจ้า ผู้ว่าการอำเภอตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ก็มิกล้าสร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว ไยต้องเอาชื่อข้ามาอ้างด้วยเล่า?’จูเจิ้งเสียนมองฉินซูด้วยความประหลาดใจสองสามครั้ง รู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายมิได้ จากนั้นเขาก็ถามฉงชูโม่ว่า “เจ้า… เจ้าพู
จูเจิ้งเสียนอธิบายว่า “ที่สำนักขุนนางใหญ่รวบรวมเงินจำนวนมากจากทั่วทุกแห่ง ก็เพื่อเติมเต็มคลังหลวง และก็มิใช่ว่าทุกเมืองจะต้องส่งเงินมา ในปีนี้ดินแดนทางใต้ของเราประสบภัยน้ำท่วม ทางเหนือประสบภัยแล้ง มีเพียงเมืองสุยโจว เฉินหลิว และอีกมิกี่เมืองที่รอดพ้น ดังนั้น เงินที่จำเป็นสำหรับการบรรเทาทุกข์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับพวกเรา”“หากพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าสำนักขุนนางใหญ่ปล้นคนรวยช่วยคนจนงั้นรึ?”“องค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้ก็มิผิดพ่ะย่ะค่ะ หากมิได้รับพระบัญชาจากองค์จักรพรรดิ สำนักขุนนางใหญ่ก็คงมิกล้าเดินหมากเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูขมวดคิ้วมิพูดอะไรเขามิคิดเลยว่า การบรรเทาทุกข์จะทำให้เมืองหล่งเซียงนี้หวาดกลัวกันขนาดนี้ฉงชูโม่ถามขึ้นทันทีว่า “สำนักขุนนางใหญ่และทางจังหวัดอนุญาตให้พวกเจ้าปล้นสะดม แต่มิได้อนุญาตให้ฆ่าคนใช่หรือไม่?”“นี่… นี่…”จูเจิ้งเสียนพูดตะกุกตะกัก มิรู้จะตอบว่าอย่างไรฉินซูแค่นเสียงเย็นชา แล้วตวาดว่า “พวกเจ้าฆ่าคนไปเท่าไรแล้ว รีบสารภาพมาตามความจริงเสีย!”จูเจิ้งเสียนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “องค์รัชทายาท เรื่องนี้กระหม่อมมิทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ บางครั้งลูกน้องลงมืออาจจะมิรู้จักป
เมื่อที่ปรึกษาหวังทราบว่าองค์รัชทายาทเสด็จมาถึงอำเภอหล่งเซียง ก็ตกใจจนตัวสั่นเขาถามด้วยความร้อนใจว่า “ใต้เท้าจู แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”“ใคร ๆ ก็บอกว่าองค์รัชทายาทนั้นสุรุ่ยสุร่าย แต่เมื่อครู่นี้ก็ดูมิออกเลย ตอนนี้เราคงทำได้แต่ส่งคนไปแจ้งทางจังหวัดดูว่าจะมีแผนรับมืออย่างไร”เมื่อกล่าวจบ จูเจิ้งเสียนก็สั่งทันทีว่า “เจ้าจงรีบเขียนหนังสือราชการแล้วส่งคนไปให้ถึงทางจังหวัดในคืนนี้ ห้ามมีข้อผิดพลาด!”“ขอรับ ใต้เท้าจู ข้าน้อยจะจัดการเดี๋ยวนี้!”……ยามค่ำคืนภายในจวนผู้ว่าการมณฑลสุยโจวผู้ว่าการมณฑลหานไท่กำลังหลับใหลอย่างสบายทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังมาจากข้างนอก พร้อมกับเสียงเรียกเบา ๆ ว่า “ใต้เท้าหาน ใต้เท้าหาน…”หานไท่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นทันที เขาตะโกนออกไปอย่างโมโหว่า “ดึกดื่นป่านนี้ ใครมาส่งเสียงดังโวยวายอยู่ข้างนอก? ถ้ายังกล้าส่งเสียงอีก ข้าจะสั่งประหารเจ้าซะ!”“ใต้เท้าหาน ข้าเอง มีเรื่องเกิดขึ้นที่อำเภอหล่งเซียงขอรับ”“นายทะเบียนเฉิน? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“ข้าน้อยเพิ่งได้รับเอกสารจากอำเภอหล่งเซียง บอกว่าองค์รัชทายาทเสด็จไปที่นั่นโดยกะทันหัน และยังจับพวกเขาได
หานไท่ไขว้มือไว้ข้างหลัง ยิ้มอย่างดูถูกและพูดอย่างมิแยแสว่า “ถึงจะเป็นองค์รัชทายาท แต่เขาก็เป็นแค่คนไร้ค่าที่รู้จักแต่จะสนุกสนาน อีกมิกี่เดือนเขาก็จะถูกปลดแล้ว ข้าจะไปกลัวเขาหาปะไร! ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังข้าคือเสนาบดีกรมพระคลัง เสนาบดีหลินเป็นคนของท่านอ๋องฉี เมื่อมีท่านอ๋องฉีหนุนหลัง ข้าจะไปกลัวองค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดด้วยเหตุใดเล่า?”จูเจิ้งเสียนตั้งใจจะเตือนอีกสักหน่อย แต่เฉินควนที่อยู่ข้าง ๆ หานไท่พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ใต้เท้าจู เลิกโอ้เอ้ได้แล้ว ไปกันเถิด ไปที่ว่าการอำเภอของท่านก่อนค่อยว่ากัน”“ขอรับ เชิญท่านทั้งสอง!”จูเจิ้งเสียนโค้งคำนับและเดินนำไปข้างหน้าอย่างนอบน้อมเมื่อผ่านร้านสุราที่ตกแต่งอย่างหรูหรา หานไท่เงยหน้าขึ้นมองป้ายโดยมิตั้งใจ จากนั้นก็พูดอย่างครุ่นคิดว่า “ใต้เท้าจู ข้าจำได้ว่าสาวงามในหอนางโลมลี่ชุนดูเหมือนจะมิเลว ท่านไปเลือกสองสามคนมาด้วยกัน อ้อ ใช่แล้ว อย่าลืมนำสุราลืมโศกมาด้วย”“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”ประมาณสองเค่อต่อมาจูเจิ้งเสียนก็พาสตรีแต่งหน้าจัดจ้านหลายคนและไหเหล้ากลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ“ใต้เท้าหาน สตรีเหล่านี้เป็นสาวงามที่
“เอ่อ นี่…”จูเจิ้งเสียนมิรู้จะตอบอย่างไร จึงหันไปมองหานไท่เพื่อขอความช่วยเหลืออีกฝ่ายหัวเราะแห้งแล้วกล่าวขอโทษว่า “องค์รัชทายาททรงเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยมาก กระหม่อมจึงถือวิสาสะหาสาวงามมาปรนนิบัติพัดวี พร้อมกับนำสุราลืมโศกมาด้วยหลายไห นี่เป็นสุราขึ้นชื่อของอำเภอหล่งเซียงของเรา องค์รัชทายาท…”เขายังพูดมิทันจบ ฉินซูก็โบกมือแล้วถามอย่างมิใส่ใจว่า “หานไท่ เจ้าคิดจะเอาสุรานารีมาเอาใจข้ารึ?”เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินซู หานไท่ก็มิรู้จะตอบอย่างไรในทันทีเฉินควนที่อยู่ข้าง ๆ รีบอธิบายว่า “องค์รัชทายาทโปรดอย่าเข้าใจผิดำพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าหานเพียงเป็นห่วงว่า องค์ชายจะทรงเหน็ดเหนื่อย จึงหาคนมาปรนนิบัติ หาได้มีเจตนาอื่นใดไม่พ่ะย่ะค่ะ”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท สตรีเหล่านี้มีความสามารถร้องรำทำเพลง กระหม่อมจะให้พวกนางร่ายรำให้องค์รัชทายาทได้ชมสักหน่อย”หลังจากที่หานไท่พูดจบ เขาก็ส่งสายตาไปยังหญิงงามเหล่านั้นหญิงสาวเหล่านั้นมองหน้ากัน และกำลังจะทำอะไรบางอย่างในตอนนั้น ฉงชูโม่ผู้ที่มิพูดอะไรเลย พลันได้พูดขึ้นมา!เสียงของนางเย็นชาและเยาะเย้ยว่า “ใต้เท้าหาน เหตุผลที่องค์รัชทายาทหยุดพักที่หล่งเซี
หานไท่กล่าวอย่างจริงจังว่า “องค์รัชทายาททรงรับสั่งรุนแรงเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ในเขตแดนของแคว้นต้าเหยีนของเรากำลังประสบปัญหาน้ำท่วมทางใต้และภัยแล้งทางเหนือ ราชสำนักกำลังรอเงินจากพ่อค้าข้าวและชาวบ้านเพื่อซื้อข้าวไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“เนื่องจากเวลาเร่งด่วน เราจึงต้องใช้มาตรการพิเศษบางอย่าง”“กล่าวโดยสรุป นี่ก็เพื่อราชสำนัก ชาวบ้านในอำเภอหล่งเซียงในฐานะราษฎรของแคว้นต้าเหยียน การช่วยเหลือราชสำนักก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และเป็นเกียรติของพวกเขาด้วย”ฉินซูเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “ดีจริง ๆ เพื่อราชสำนัก ใต้เท้าหานช่างเก่งเรื่องเสียสละเพื่อคนอื่นจริง ๆ!”แววตาของหานไท่มีอาการลังเลเล็กน้อย ในใจก็คิดแผนการได้อย่างรวดเร็ว จึงกล่าวอย่างมิยอมอ่อนข้อว่า “องค์รัชทายาท สิ่งที่เกิดขึ้นในอำเภอหล่งเซียงช่วงนี้ ที่จริงแล้วสำนักขุนนางใหญ่ก็ทราบพ่ะย่ะค่ะ หากท่านต้องการสอบสวนเรื่องนี้ ก็สามารถกราบทูลองค์จักรพรรดิ ให้พระองค์ทรงตัดสินได้พ่ะย่ะค่ะ”แววตาของฉินซูเย็นชาขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หานไท่ เจ้ากำลังจะใช้องค์จักรพรรดิมากดดันข้ารึ?”เมื่อสัมผัสกับสายตาเย็นชาของฉินซู หานไท่ก็รู
ฉงชูโม่เหลือบมองด้วยความสงสัย คิ้วเรียวของนางยิ่งขมวดแน่นขึ้นนางมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จูเจิ้งเสียน ผู้ว่าการอำเภอผู้นี้ จะมิเคารพต่อกฎหมายเช่นนี้ เขามิเพียงแต่ส่งคนไปขโมยปศุสัตว์และสัตว์ปีกของชาวบ้านในอำเภอไปขายเท่านั้น แต่ยังหลอกลวงที่ดินทำกินของชาวบ้านไปขายให้ผู้เช่าในราคาสูงอีกด้วยเงินที่ได้มา เขาแบ่งเป็นหกส่วนกับสี่ส่วน โดยสี่ส่วนจะถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับราชสำนัก ส่วนอีกหกส่วนจะถูกแบ่งระหว่างที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการมณฑลกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อำเภอหล่งเซียงส่งเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงให้กับราชสำนัก เมื่อรวมกับส่วนที่พวกเขาแบ่งกันแล้ว เท่ากับว่าพวกเขาขูดรีดเงินไปทั้งหมดกว่าสามแสนตำลึงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะกำกริชเขี้ยวมังกรให้แน่นยิ่งขึ้นเดิมทีชีวิตของชาวบ้านก็ลำบากมากอยู่แล้ว เหล่าขุนนางชั่วช้าเหล่านี้อ้างว่าทำเพื่อราชสำนัก แต่กลับยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง!ฉินซูตบมือนางเบา ๆ เป็นสัญญาณให้นางใจเย็นลงจากนั้นฉินซูก็โยนสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ใต้เท้าหาน พวกเจ้าช่างกล้าจริง ๆ เงินที่ได้มา ราชสำนักกลับได้เพียงสี่ส่วน พวกเจ้ากลับแ
"ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชา"ฉินอู๋ต้าวหันไปทางเหวินเยวี่ยนซานอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “จงให้กองทหารรักษาการณ์ที่เขาเสียซานเดินทางไปยังเจียวโจวเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่น รอข่าวดีจากรัชทายาทและกรมโยธาธิการ”เหวินเยวี่ยนซานรับคำด้วยความเคารพสุดท้ายฉินอู๋ต้าวจึงออกไปจากพระตำหนักจินหลวนท่ามกลางสายตาเคารพนบน้อมหวังฉือหันไปกระซิบกับฉินซูว่า “องค์รัชทายาท ที่พระองค์ตรัสถึงเมื่อครู่นั้น มีจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“แน่นอน และตัวข้าเคยใช้มันมาแล้ว”“ธนูชนิดนั้น มีพลังถึงสองหิน แต่คนธรรมดาสามารถดึงได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูกล่าวเจือรอยยิ้มคลุมเครือ “ใต้เท้าหวังสนใจเพียงนี้ เหตุใดมิไปเยือนกรมโยธาธิการกับตัวข้าเล่า?”หวังฉือดีใจยิ่ง “เช่นนั้น ข้าน้อยก็ขอน้อมรับพระบัญชาด้วยความเต็มใจพ่ะย่ะค่ะ!”เนี่ยหงเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วย “องค์รัชทายาท ข้าน้อยก็สนใจธนูชนิดนี้ด้วยเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ!”เหวินเยวี่ยนซานซึ่งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมเองก็อดกล่าวขึ้นมามิได้ “องค์รัชทายาท ข้าน้อยเองก็อยากทราบเช่นกัน มิทราบว่าจะ...”“ในเมื่อทุกท่านสนใจเช่นนี้ ก็ไปด้วยกันหมดเถิด”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากนั้น ฉินซ
“ทูลเสด็จพ่อ ที่จวนของใต้เท้าหลิวมีทหารรักษาจวนถึงสามสิบนาย อีกทั้งการลักพาตัวสมาชิกครอบครัวของขุนนางขุนนางระดับสาม ถือเป็นความผิดร้ายแรงโทษถึงประหาร ทว่าโจรกลับบุกเข้ามาอย่างอาจหาญ หากมิใช่เพราะความเสน่หา ก็ต้องเป็นการหมายปองร่างหยินบริสุทธิ์ที่มีดวงชะตาหยินสุดขั้วเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินคำว่า 'ร่างหยินบริสุทธิ์' ออกมาจากปากของฉินซู ความประหลาดใจพลันปรากฏลึกในแววตาของฉินอู๋ต้าวและฉินซูก็เห็นฉากนี้อย่างขัดเจนหัวใจฉินซูสั่นสะท้าน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิจริง ๆ ด้วย!เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาจึงวิเคราะห์ต่อไปว่า “กู้ตงเฟิงฝึกฝนวิชาชั่วร้าย บางทีพลังวิญญาณและเลือดของร่างหยินบริสุทธิ์อาจเป็นยาบำรุงร่างกายที่ดีที่สุดสำหรับเขาทว่าจู่ ๆ กู้ตงเฟิงกลับสิ้นใจกะทันหัน ดังนั้นลูกจึงคาดเดาว่า ผู้ที่ลักพาตัวบุตรสาวของใต้เท้าหลิวมิใช่กู้ตงเฟิง หากแต่เป็นคนอื่น!คนผู้นั้นใช้ร่างหยินบริสุทธิ์ทำข้อตกลงบางอย่างกับกู้ตงเฟิง และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็จัดการสังหารกู้ตงเฟิงเพื่อปิดปากและสิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวของกู้ตงเฟิงก็คือ วิชาชั่วร้ายที่เขาภาคภูมิใจ!สรุปได้ว่า มีใครบางคน
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู ทุกคนก็ชะงักไป และมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปเล็กน้อยสวี่จิ้นกล่าวด้วยความสงสัยว่า "องค์รัชทายาท พระองค์เข้าพระทัยผิดเกี่ยวกับธนูสองหินแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ? ธนูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้แต่ทหารป้อมปราการที่กรำศึกมาอย่างโชกโชนก็แทบจะไม่มีใครดึงได้ นับประสากระไรกับคนธรรมดา"เหวินเยวี่ยนซานกล่าวสำทับ "ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ธนูสองหินต้องใช้กำลังแขนสองร้อยชั่งจึงจะดึงได้ ทหารป้อมปราการที่มีกำลังแขนแข็งแรงบางคนอาจจะทำได้ ทว่าหากใช้มันยิงศัตรู ยิงได้มิกี่ดอกก็หมดแรงเสียแล้ว ยากที่จะใช้ต่อเนื่องได้พ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูโบกมือ "ใต้เท้าทั้งสอง ธนูของข้ามิเหมือนกับธนูทั่วไป นอกจากจะมีอานุภาพดุจธนูสองหินแล้ว ยังรับประกันได้ว่าคนธรรมดาก็ดึงได้ เพียงแต่มิรู้ว่ากรมโยธาธิการต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะสร้างออกมาได้"เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงต่างก็มองหน้ากันด้วยความสับสนธนูสองหินที่คนธรรมดาก็ดึงได้?เป็นไปได้อย่างไร!ฉินอู๋ต้าวบนบัลลังก์มังกรใบหน้าฉายแววประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจธนูที่ฉินซูพูดมากสวี่จิ้นกล่าวอย่างมั่นใจว่า "องค์รัชทายาท ตราบใดที่มีแบบจำลอง กรมโยธาธิการข
ฉินซูเหลือบมองหวังฉือโดยมิรู้ตัวหวังฉือเองก็มองมาที่เขาด้วยท่าทีครุ่นคิดในเวลาเดียวกันทั้งสองสบตากัน ก็เข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายหลังจากที่ฉินซูส่งซุยหลีไปแล้ว เขาก็กระซิบกับหวังฉือว่า "ซุยหลีเพิ่งทูลกับเสด็จพ่อว่า บุตรสาวของใต้เท้าหลิวมีดวงชะตาหยินสุดขั้ว ตกกลางคืนบุตรสาวของใต้เท้าหลิวก็ถูกลักพาตัวไปทันที หากบอกว่าทั้งสองเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกัน ท่านเชื่อหรือไม่?""ข้าน้อยมิเชื่อ แต่ประเด็นคือ ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม คงนำเรื่องนี้ไปตั้งคำถามกับฝ่าบาทมิได้ถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?""แน่นอนว่ามิได้ แต่ตัวข้ากับท่านจำต้องรู้ว่าเสด็จพ่อทรงซ่อนความลับที่หาได้มีใครล่วงรู้ไม่เท่านั้น ส่วนร่างหยินบริสุทธิ์มีประโยชน์อย่างไร ข้าจะหาโอกาสถามหัวหน้าโหรหลวงในภายหลัง""ข้าน้อยเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ แต่หัวหน้าโหรหลวงขอลาพักกับฝ่าบาท ช่วงนี้คงจะมิมาเข้าเฝ้า"ฉินซูชะงักไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม "เพราะเหตุใด?""เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็มิทราบ เดาว่าเพราะท่านหัวหน้าโหรหลวงจะไปกักตนบำเพ็ญเพียรกระมังพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาฉินซูก็ฉายประกายเล็กน้อย และมิได้พูดอะไรอีกครู่ต่อมาในพระต
หวังฉือขมวดคิ้ว กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงว่า "องค์รัชทายาท ข้าน้อยยังมิเข้าใจว่าใครเป็นคนสังหารกู้ตงเฟิงกันแน่?""วรยุทธ์ของเจ้าปีศาจเฒ่าผู้นี้หาได้อ่อนด้อยไม่ หลังจากพักฟื้นหลายวัน อาการบาดเจ็บของเขาคงจะหายดีเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว คนที่สังหารเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ระดับปฐพีขั้นกลางขึ้นไป มองไปทั่วเมืองหลงเฉิง เห็นจะมีจอมยุทธ์ระดับนี้อยู่เพียงหยิบมือ!""มีมิมากจริงดังท่านว่า ช่วงนี้ไม่มียอดฝีมือจากยุทธภพเข้ามาในเมือง นอกจากศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวงสำนักหอดูดาวหลวงแล้ว คนที่มีฝีมือระดับนี้ก็มีแต่ยอดฝีมือในวังหลวงเท่านั้น..."พูดถึงตรงนี้ หวังฉือก็เบาเสียงลงเนื่องจากเพิ่งรู้ตัว "องค์รัชทายาท หรือนี่จะเป็นฝีมือของราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ?""หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชองครักษ์ เรื่องนี้คงหนีมิพ้นเสด็จพ่อ ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานใด ๆ ท่านอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด""วางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท คำพูดเหล่านี้ข้าน้อยกล้าพูดกับพระองค์เท่านั้น""เช่นนั้นก็ดีแล้ว ให้พวกเขาค้นหาเบาะแสต่อไป ดูว่าจะพบบุตรสาวของใต้เท้าหลิวหรือไม่""รับพระบัญชา!"หวังฉือประสานมือคารวะแล้ว
"ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย"หลิวเว่ยโบกมือให้ผู้ใต้บังคับบัญชายกร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงไปสองเค่อต่อมาในห้องเก็บศพของศาลต้าหลี่ร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงนอนอยู่บนแท่นหินเย็นเยียบหวังฉือมองดูอีกฝ่ายหลายครั้ง แต่ก็ยังมิอยากเชื่อสายตาตนเองเขาถามตงฟางไป๋ว่า "ใต้เท้าตงฟาง เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือกู้ตงเฟิง?"ตงฟางไป๋พยักหน้าหนักแน่น "แน่ใจขอรับ เมื่อก่อนตอนที่พวกข้าท่องยุทธภพ เคยเจอเจ้าโจรเฒ่าผู้นี้หลายครา ข้าไม่มีทางจำหน้าตาของเขาผิดเป็นแน่"ในขณะนั้นเอง ฉินซูก็มาถึงทุกคนคารวะต่อเขาฉินซูโบกมือแล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงบนแท่นหิน เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจกู้ตงเฟิงตายแล้วจริง ๆ กระนั้นหรือ?!หากมิใช่เพราะรูปร่างหน้าตาน่าขนลุกของกู้ตงเฟิงตราตรึงจิตใจผู้พบเห็นเกินไป และแขนซ้ายที่ถูกทำลายไป ฉินซูคงอดสงสัยมิได้ว่าเขาจำผิดคนหรือไม่ฉินซูเลิกคิ้วถาม "พบศพของกู้ตงเฟิงที่ใด?""ทูลองค์รัชทายาท พบที่ตรอกผิงอี่ในตลาดหย่งเล่อพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยสำรวจบริเวณใกล้เคียงแล้ว มิพบเบาะแสอื่นใดเลยพ่ะย่ะค่ะ""แล้วพวกเจ้าพบศพของเขาได้อย่างไร?"ตงฟางไป๋จึงเล
เมื่อครู่ที่อยู่ในพระที่นั่งหย่างซิน ฉินซูมิเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ จากฉินอู๋ต้าวเขาอดคิดมิได้ว่า หรือเขาคิดมากไปเองจริง ๆ ?เขาหันกลับไปมองพระที่นั่งหย่างซิน ก่อนจะเดินจากไปหลังจากที่ฉินซูจากไปได้มินาน ชายคนหนึ่งก็เข้ามาในพระที่นั่งหย่างซินฉินอู๋ต้าวสั่งกับเขาว่า “ทำตามแผนที่วางไว้ จำไว้ให้ขึ้นใจว่า ห้ามทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เป็นอันขาด!”“รับพระบัญชา!”หวงเฉาขานรับด้วยความเคารพ!หลังจากออกจากพระที่นั่งหย่างซิน หวงเฉาก็มาถึงนอกพระราชวังอย่างรวดเร็วเขาเหลือบมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น เขาก็หันหลังเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งมินานนัก เขาก็เดินออกมาจากข้างในตอนนี้เขาอยู่ในชุดท่องราตรีสีดำ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำ บนบ่าของเขามีกระสอบป่านใบหนึ่งพาดอยู่หลังจากออกจากร้านค้า เขาก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวไปทางศาลต้าหลี่ในเวลาเดียวกันตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ กำลังสำรวจตรอกแห่งหนึ่งในขณะนั้นเอง หางตาของตงฟางไป๋กระตุกเล็กน้อย เขาเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งพลิกตัวข้ามกำแพงมิไกลออกไปเขาพูดเสียงต่ำ “อยู่ตรงนั้น ตามไปเร็ว!”เหล่าทหารรักษาตำหนักได้ยินดังนั้นก็รีบติดตามไปอย่างรวดเร็วคนก
แต่จากตัวอักษรที่ปรากฏ มองออกมิยากว่านี่คือวิชายุทธขั้นสุดยอดชายชุดคลุมดำพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก มิเสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ลำบากช่วยเจ้า”กู้ตงเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้มีพระคุณ เมื่อไรข้าน้อยจะออกไปจากที่นี่ได้หรือขอรับ?”ชายชุดคลุมดำมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กระไรกัน? อยู่ที่นี่กับข้ามันทำให้เจ้าอึดอัดหรือ?”“หามิได้ ๆ ขอรับ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่กังวลว่าศัตรูจะมาพบเข้า แล้วจะทำให้ท่านผู้มีพระคุณพลอยเดือดร้อนไปด้วยขอรับ”“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า เจ้าแค่ตั้งใจกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ รอจนกว่าเรื่องซาลง ข้าจะปล่อยเจ้าไปเอง”ได้ยินดังนั้น กู้ตงเฟิงก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิดในใจกลับคิดว่า สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะอยู่ในพระราชวังจริง ๆ เช่นนั้นแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าเขา… หรือว่าจะเป็น...เขามิกล้าคิดต่อไป เพราะมิว่าเขาจะเดาถูกหรือไม่ก็ตาม ล้วนแต่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขา......“องค์รัชทายาท ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดพระองค์ถึงเสด็จมาที่นี่พ่ะ
"องค์รัชทายาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"หวังฉือมาถึงตำหนักบูรพา ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดฉินซูพอจะคาดเดาได้จากสีหน้าวิตกกังวลของเขา "หรือว่ามีเด็กสาวถูกลักพาตัวไปอีกแล้ว?""ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คราวนี้เป็นบุตรสาวของหลิวเหวินซิน เสนาบดีกรมกลาโหมพ่ะย่ะค่ะ!""ท่านว่ากระไรนะ? บุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหมรึ?!""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ข้าน้อยจะมาที่นี่ หลิวเหวินซินได้ไปแจ้งความต่อศาลต้าหลี่ด้วยตนเอง ตอนนี้ผู้ตรวจการศาลต้าหลี่และทหารรักษาจวนของเขากำลังออกค้นหากันอยู่ แต่มิแน่ใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ..."พูดถึงตรงนี้ หวังฉือก็หยุดพูด พร้อมกับชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือศีรษะฉินซูเข้าใจความหมายของเขาในทันที หากเป็นฝีมือขอองค์จักรพรรดิ บุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหมต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงเป็นแน่เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "เช่นนั้นตัวข้าจะใช้ข้ออ้างนี้ไปขอเข้าเฝ้าเพื่อหยั่งเชิงเสด็จพ่อดูสักหน่อย""มิได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทจริง ๆ และฝ่าบาททรงล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ฝ่าบาทอาจกระทำการบางอย่างก็เป็นได้"ที่หวังฉือมาถึงที่นี่ นอกจากกังวลว่าฉินซูจะรีบไ