หานไท่กล่าวอย่างจริงจังว่า “องค์รัชทายาททรงรับสั่งรุนแรงเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ในเขตแดนของแคว้นต้าเหยีนของเรากำลังประสบปัญหาน้ำท่วมทางใต้และภัยแล้งทางเหนือ ราชสำนักกำลังรอเงินจากพ่อค้าข้าวและชาวบ้านเพื่อซื้อข้าวไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“เนื่องจากเวลาเร่งด่วน เราจึงต้องใช้มาตรการพิเศษบางอย่าง”“กล่าวโดยสรุป นี่ก็เพื่อราชสำนัก ชาวบ้านในอำเภอหล่งเซียงในฐานะราษฎรของแคว้นต้าเหยียน การช่วยเหลือราชสำนักก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และเป็นเกียรติของพวกเขาด้วย”ฉินซูเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “ดีจริง ๆ เพื่อราชสำนัก ใต้เท้าหานช่างเก่งเรื่องเสียสละเพื่อคนอื่นจริง ๆ!”แววตาของหานไท่มีอาการลังเลเล็กน้อย ในใจก็คิดแผนการได้อย่างรวดเร็ว จึงกล่าวอย่างมิยอมอ่อนข้อว่า “องค์รัชทายาท สิ่งที่เกิดขึ้นในอำเภอหล่งเซียงช่วงนี้ ที่จริงแล้วสำนักขุนนางใหญ่ก็ทราบพ่ะย่ะค่ะ หากท่านต้องการสอบสวนเรื่องนี้ ก็สามารถกราบทูลองค์จักรพรรดิ ให้พระองค์ทรงตัดสินได้พ่ะย่ะค่ะ”แววตาของฉินซูเย็นชาขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หานไท่ เจ้ากำลังจะใช้องค์จักรพรรดิมากดดันข้ารึ?”เมื่อสัมผัสกับสายตาเย็นชาของฉินซู หานไท่ก็รู
ฉงชูโม่เหลือบมองด้วยความสงสัย คิ้วเรียวของนางยิ่งขมวดแน่นขึ้นนางมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จูเจิ้งเสียน ผู้ว่าการอำเภอผู้นี้ จะมิเคารพต่อกฎหมายเช่นนี้ เขามิเพียงแต่ส่งคนไปขโมยปศุสัตว์และสัตว์ปีกของชาวบ้านในอำเภอไปขายเท่านั้น แต่ยังหลอกลวงที่ดินทำกินของชาวบ้านไปขายให้ผู้เช่าในราคาสูงอีกด้วยเงินที่ได้มา เขาแบ่งเป็นหกส่วนกับสี่ส่วน โดยสี่ส่วนจะถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับราชสำนัก ส่วนอีกหกส่วนจะถูกแบ่งระหว่างที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการมณฑลกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อำเภอหล่งเซียงส่งเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงให้กับราชสำนัก เมื่อรวมกับส่วนที่พวกเขาแบ่งกันแล้ว เท่ากับว่าพวกเขาขูดรีดเงินไปทั้งหมดกว่าสามแสนตำลึงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะกำกริชเขี้ยวมังกรให้แน่นยิ่งขึ้นเดิมทีชีวิตของชาวบ้านก็ลำบากมากอยู่แล้ว เหล่าขุนนางชั่วช้าเหล่านี้อ้างว่าทำเพื่อราชสำนัก แต่กลับยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง!ฉินซูตบมือนางเบา ๆ เป็นสัญญาณให้นางใจเย็นลงจากนั้นฉินซูก็โยนสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ใต้เท้าหาน พวกเจ้าช่างกล้าจริง ๆ เงินที่ได้มา ราชสำนักกลับได้เพียงสี่ส่วน พวกเจ้ากลับแ
ฉงชูโม่แปลกใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครเป็นห่วงท่านกัน หม่อมฉันแค่กังวลเรื่องชีวิตภายหน้าของตัวเองเท่านั้น โปรดจำไว้ว่าตอนนี้หม่อมฉันเป็นอาจารย์ตำหนักบูรพา หากท่านถูกปลดออกจากตำแหน่งก่อนวันชุนเฟินปีหน้า มันจะทำให้หม่อมฉันดูไร้ประโยชน์ หม่อมฉันก็ต้องรักษาหน้าตาเหมือนกันนะ”ฉินซูหัวเราะออกมา เขาส่ายหัวเบา ๆ แล้วพูดว่า “มิต้องห่วง เรื่องเสด็จพ่อข้ามีวิธีจัดการเอง นอกจากนี้ ตราบใดที่ยังมีเงินส่งไป สำนักขุนนางใหญ่ก็จะมิพูดอันใด”“แต่มิใช่ว่าท่านสั่งให้หานไท่พวกนั้นเอาเงินที่ยึดมาจากชาวบ้านในอำเภอหล่งเซียงคืนให้ชาวบ้านแล้วหรือ?”“แต่คนที่รวยในอำเภอหล่งเซียงมิใช่ชาวบ้าน”ฉงชูโม่มองฉินซูด้วยความมิเข้าใจ กำลังจะถามให้ชัดเจนฉินซูในเวลานี้กลับเงยหน้าถามสตรีจากหอนางโลมลี่ชุนว่า “พวกเจ้าเข้ามาสิ ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”สตรีหลายคนมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าฉินซูฉินซูถามอย่างแผ่วเบาว่า “ในอำเภอหล่งเซียงของพวกเจ้า ครอบครัวใดที่ร่ำรวยที่สุด?”“กราบทูลองค์รัชทายาท ในหล่งเซียงที่ร่ำรวยที่สุดต้องยกให้ตระกูลหลี่เพคะ”“ใช่แล้ว ยังมีตระกูลจา
“จะอธิบายอย่างไร? ก็ต้องทำตามที่เขาบอกก่อนสิ ส่วนเรื่องที่สำนักขุนนางใหญ่ถามขึ้นมา เราก็พูดความจริงไปเลย สารเลว ทำข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”หานไท่พูดอย่างโกรธจัด ทำให้แผลที่ข้างหูของเขาถูกกระทบกระเทือนจนต้องกัดฟันด้วยความเจ็บปวดเฉินควนเห็นด้วย “ใช่แล้ว ถึงแม้การกระทำขององค์รัชทายาทครั้งนี้จะทำให้พวกเราสูญเสียไปมิน้อย แต่เขาก็จะทำให้สำนักขุนนางใหญ่มิพอใจด้วย ด้วยเหตุนี้ วันที่เขาจะถูกปลดก็จะมาถึงเร็วขึ้นเป็นแน่!”หานไท่กลอกตาไปมา แล้วสั่งว่า “นายทะเบียนเฉิน รีบเขียนจดหมาย บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ แล้วให้คนส่งไปให้ท่านอ๋องฉี ถามว่าท่านอ๋องฉีมีแผนการอะไรหรือไม่”“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”ครึ่งชั่วยามต่อมาจูเจิ้งเสียนใช้ข้ออ้างที่ว่า ราชสำนักจะชดเชยความเสียหายให้กับราษฎร จึงได้นำเงินที่ยึดมาส่งคืนให้กับชาวเมืองการกระทำเช่นนี้ทำให้ชาวบ้านรู้สึกขอบคุณราชสำนักและยกย่องสรรเสริญมิขาดปากเพราะในสายตาของพวกเขา ปศุสัตว์ในบ้านของพวกเขาล้วนถูกสัตว์ประหลาดขนแดงจับไปกินจนหมดสิ้น บัดนี้ราชสำนักจ่ายเงินชดเชยให้พวกเขา แล้วจะมิให้พวกเขาดีใจจนเนื้อเต้นได้อย่างไรจูเจิ้งเสียนและคนอื
เมื่อเห็นพวกเขาร้องทุกข์กันระงม ฉินซูก็แค่นเสียงหึในลำคออย่างมิใส่ใจ พลางพูดว่า“ทุกท่าน ครั้งนี้หากข้ามิเข้ามาแทรกแซง พวกเจ้าจะโกงกินได้เท่าไหร่ ก็น่าจะรู้แก่ใจกันดีอยู่แล้ว” “พวกเจ้าเป็นขุนนางมานานหลายปี ทุจริตไปเท่าไหร่ล้วนรู้อยู่แก่ใจ ยามนี้ข้าแค่ให้พวกเจ้าออกเงินที่อำเภอหล่งเซียงควรจะส่งไปยังสำนักขุนนางใหญ่เท่านั้นเอง”“แน่นอน หากพวกเจ้ามิยอม ก็ง่ายนิดเดียว ข้าจะตรวจสอบพวกเจ้าให้ละเอียด หากสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่า พวกเจ้าเป็นขุนนางมือสะอาด ข้าจะขอโทษต่อหน้าชาวบ้านทั้งอำเภอ เป็นอย่างไร?”หลังจากฟังฉินซูพูดจบ สีหน้าของหานไท่และคนอื่น ๆ ก็ดูแย่ยิ่งกว่ากินแมลงวันเข้าไปเสียอีกในใจพวกเขาก็รู้ดีว่า หากฉินซูจะตรวจสอบ พวกเขาก็คงหนีมิพ้นเมื่อถึงเวลานั้น หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมา มิเพียงแต่ตำแหน่งทางการจะมิแน่นอน แม้แต่การถูกริบทรัพย์สินก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้!ถึงตอนนั้น คงมิใช่แค่เงินมิกี่หมื่นตำลึงก็จะจบเรื่องได้เมื่อคิดถึงจุดนี้ หานไท่จึงรีบตบหน้าอกพลางพูดว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทตรัสมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็จะทำตามรับสั่งของท่าน เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่แล้ว ถือว่า
ฉินซูยิ้มถามอย่างอารมณ์ดีว่า “ใต้เท้าจู ไฉนสีหน้าเจ้าดูแย่เช่นนั้นเล่า มิสบายหรือไร? หรือว่าจะให้ข้าไปที่จวนตระกูลหลี่ด้วยตัวเอง?”จูเจิ้งเสียนส่ายหัวรัวอย่างกับกลอง แล้วรีบพูดว่า “หามิได้ ๆ มิกล้ารบกวนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”เขามิกล้าให้ฉินซูไปด้วย มิเช่นนั้นตระกูลหลี่คงต้องเสียเงินเสียทองมากหลายเป็นแน่ฉินซูก็มิได้มีเจตนาจะทำให้ยากลำบาก เขาจึงพูดอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้น ก็อย่ารอช้า พวกเจ้ารีบไปรีบกลับเถอะ”หานไท่ก็สนับสนุนว่า “ใช่แล้ว ใต้เท้าจู พวกเราออกเดินทางกันเถอะ มิงั้นกลับมาช้าจะรบกวนเวลาพักผ่อนขององค์รัชทายาทแล้ว”จากนั้น จูเจิ้งเสียนก็จำใจพาหานไท่และเฉินควนไปที่จวนตระกูลหลี่อย่างมิเต็มใจนักหลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ฉงชูโม่ก็รู้สึกชื่นชมอย่างสุดซึ้งและกล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงมีวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เพคะ ด้วยวิธีนี้ จูเจิ้งเสียนและหานไท่จะต้องมีความขัดแย้งกันอย่างแน่นอน แม้ว่าในภายหน้าพวกเขาจะยังคงฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่พวกเขาก็จะเกลียดชังกันและกันเพราะการแบ่งผลประโยชน์ที่มิเท่าเทียมกัน หรือแม้กระทั่งแอบทำร้ายกัน ขุนนางภายใต้ท่านอ๋องฉีเมื่อเกิดความขัดแย้งภายใน เขาจะไม่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู สีหน้าของหานไท่ก็เผยความกังวลออกมาและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมมิทราบว่าท่านมีธุระสำคัญอันใดที่ต้องรีบไปยังหลงโย่ว แต่ยามนี้ก็ดึกแล้ว แม้จะมิพูดถึงเส้นทางที่ขรุขระ ยามกลางคืนถึงแม้จะไม่มีโจร ก็ยังมีสัตว์ร้ายอีกมากมาย หรือว่ารอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยออกเดินทางดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่แล้วองค์รัชทายาท หากท่านจะเดินทางยามกลางคืน หากเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็รับผิดชอบมิไหว”“ใต้เท้าเฉินพูดถูกแล้ว องค์รัชทายาทพักอีกคืนหนึ่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้ววันพรุ่งค่อยออกเดินทาง!”เฉินควนและจูเจิ้งเสียนก็รีบช่วยกันเกลี้ยกล่อมฉินซูลูบคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าอย่างลำบากใจ“เอาเถอะ งั้นวันพรุ่งค่อยออกเดินทาง พวกเจ้าก็ไปทำธุระของพวกเจ้าเถอะ ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อน”หลังจากพูดจบ ฉินซูก็พาฉงชูโม่กลับไปยังจวนด้านหลังที่ว่าการอำเภอหลังจากที่เขาจากไปแล้ว หานไท่จึงพึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทจะไปหลงโย่วหรือนี่!”“ใต้เท้าหาน เรื่องนี้เราควรจะแจ้งให้ท่านอ๋องฉีทรงทราบหรือไม่?”“ไร้สาระ แน่นอนว่าต้องแจ้ง! รีบส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ไปแจ้งท่านอ๋องฉีเดี๋ยวนี้!”“ข้าน้
แต่เมื่อนึกถึงประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างจากโลกที่เขาจากมา เขาจึงพยักหน้าอย่างมิเต็มใจ!ฉงชูโม่ถามต่ออีกว่า “แล้ว… บทกลอนนี้เรียกว่าอะไรหรือ?”ฉินซูตอบโดยมิต้องคิดเลยว่า “ก็เรียกว่า “แด่ชูโม่” แล้วกัน!”หัวใจของฉงชูโม่เต้นแรงขึ้นมาทันที ใบหน้าสวยของนางก็แดงระเรื่ออีกครั้งใบหน้าแดงก่ำของนาง ดูสวยงามและมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อนนางพูดอย่างขวยเขินว่า “หึ คนปากหวาน อย่าคิดว่าหม่อมฉันจะหลงกลท่าน หม่อมฉัน ฉงชูโม่ จะมิไปเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดหรอก”พูดจบ นางก็วิ่งกลับเข้าห้องไปโดยมิหันกลับมามองฉินซูรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย คืนนี้เป็นคืนที่ยาวนานอีกคืนหนึ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่เพียงลำพังตอนนี้เขาคิดถึงหลินชิงเหยาขึ้นมาจับใจในห้องนอนอีกห้องหนึ่งฉงชูโม่หาปากกากับกระดาษมา เขียนข้อความลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งว่า“องค์รัชทายาททรงห่วงใยราษฎร วางแผนเก่งกาจ และทรงพระปรีชาสามารถ แต่ก่อนดูเหมือนจะทรงใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ คล้ายกับเป็นการเสแสร้ง ตอนนี้ยังต้องตรวจสอบต่อไป”หลังจากที่หมึกแห้งแล้ว นางก็ม้วนกระดาษใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆจากนั้นก็มาที่หน้าต่าง มัดกระบอกไม้
ฉินซูดีดนิ้วปล่อยพลังใส่ค้างคาวเหล่านั้นร่วงลงไปที่พื้นเขาพูดอย่างมิสบอารมณ์ “แค่ค้างคาวเท่านั้นเอง กลัวปานนั้นเลยรึ?”มู่หรงจื่อเยียนมองเขาอย่างขุ่นเคือง “เป็นสตรีก็ต้องกลัวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แถมที่นี่ก็ยังมืดและน่ากลัว หม่อมฉันขนลุกไปหมดแล้ว”“เจ้าขี้กลัวเช่นนี้แต่ก็ยังมากับหนานกงจื่อชินเพื่อสกัดกั้นและสังหารข้าน่ะรึ?”“ท่านเข้าใจผิดแล้ว จริง ๆ แล้วข้า… ข้าคิดจะเกลี้ยกล่อมเขามิให้ลงมือทำร้ายท่านต่างหากเล่า”ฉินซูยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจและถามหยอกเย้า “ที่หนานกงจื่อชินบอกว่าเจ้าชอบข้านั่นคงมิใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง?”ใบหน้าที่งดงามของมู่หรงจื่อเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง พลางหลบเลี่ยงมิกล้าจ้องตาของฉินซูตรง ๆนางก้มหน้าขยำชายเสื้อแน่นและมิพูดอะไรเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ฉินซูก็มองความคิดของนางออกแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีอารมณ์จะมาพูดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จึงเปลี่ยนเรื่อง “ไปเถิด หาทางออกก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”จากนั้นเขาก็หยิบพับไฟพกพามาจากอ้อมอกพลางจุดไฟแล้วมองไปรอบ ๆ“ท่านรอหม่อมฉันด้วย!”มู่หรงจื่อเยียนตามไปด้วยสีหน้าเขินอาย จากนั้นก็กอดแขนของฉินซูอย่างแน่นหนาโดยมิเอ่ยคำอธิบา
“ยังน่ะสิ เขาสั่งให้พวกข้ามากันก่อน ทั้งยังบอกอีกว่ามียอดฝีมือคอยคุ้มกันเขาอยู่ จะมิเป็นอะไรแน่นอน...”“แย่แล้ว!!”ใบหน้าที่งดงามของกู้เสวี่ยเจี้ยนซีดลง นางทะยานขึ้นหลังม้าและควบไปทางหน้าผาที่พังทลายเมื่อเห็นสถานการณ์ เซี่ยหลานก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และคิดจะควบม้าตามไปถายเหวยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นจึงรีบห้าม “ท่านใต้เท้าเซี่ยอย่าเพิ่งวู่วาม ยอดฝีมือท่านนั้นที่อยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทมีวรยุทธ์แก่กล้า มีเขาคอยคุ้มกันอยู่ องค์รัชทายาทจะมิทรงเป็นอะไรแน่นอนขอรับ”“แต่ดูกู้เสวี่ยเจี้ยนมีท่าทางรีบร้อนเช่นนั้น ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์รัชทายาทแน่ ข้ามิอาจวางใจได้”“คนดีเช่นองค์รัชทายาทสวรรค์ย่อมคุ้มครอง กว่าพวกเราจะหนีพ้นมาได้นั้นมิใช่เรื่องง่าย หากท่านกลับไปอย่างเร่งรีบในตอนนี้ แล้วตกไปอยู่ในมือของปีศาจภูเขาเหล่านั้นอีกครั้ง จะมิเป็นการสร้างปัญหาให้องค์รัชทายาทหรอกหรือขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลานก็ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามไป นางสวดภาวนาในใจอย่างเงียบ ๆ และหวังว่าฉินซูจะกลับมาอย่างปลอดภัยเมื่อกู้เสวี่ยเจี้ยนกลับมาที่หน้าผา นางก็ตะโกนเสียงดัง“องค์รัชทายา
หนี!ฉินซูตัดสินใจในใจทันที เขารีบทะยานออกจากป่าโดยอุ้มมู่หรงจื่อเยียนไว้ในอ้อมแขนจนเงาร่างของเขาได้กลายเป็นภาพค้างอยู่กับที่พลังยุทธ์ของสัตว์ร่างใหญ่นี้ยังมิเป็นที่ชัดเจน เขาจึงมิแน่ใจว่าจะสามารถโค่นคู่ต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้นหากต่อสู้อย่างหุนหันพลันแล่น ยังมิต้องพูดถึงว่าตนจะเสียเปรียบหรือไม่แต่กู้เสวี่ยเจี้ยนจะต้องสังเกตเห็นพลังวรยุทธ์ของเขาแน่นอนใครจะไปรู้ว่า กู้เสวี่ยเจี้ยนจะนำเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้าโหรหลวงหรือไม่ และเขาก็มิสามารถฆ่ากู้เสวี่ยเจี้ยนได้เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรการเป็นสามีภรรยาเพียงแค่คืนเดียว แต่ก็มีความสัมพันธ์และความรักที่ยาวนานเหมือนร้อยคืนคิดไปคิดมา การหนีถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดทันทีที่ออกมาจากป่า เขาก็ตะโกนเสียงดัง “กู้เสวี่ยเจี้ยน หากสลัดพ้นแล้วจงไปเจอกันที่เชิงเขาลั่วเยี่ยน ถานเหวยและคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ที่นั่น”เขาตะโกนเสียงดังเพื่อมิให้ปีศาจภูเขายักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขาโจมตีกู้เสวี่ยเจี้ยน จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมาปล่อยกระแสพลังฝ่ามือสองสายใส่คู่ต่อสู้“โฮก โฮก!!”ปีศาจภูเขายักษ์คำรามสองครั้งและทำให้กระแสพลังฝ่ามือของฉินซูสลายไปได้อย่างง่ายดาย
“บุตรแห่งนักปราชญ์หนานกง เจ้ารู้หรือไม่ว่าในใต้หล้าใบนี้ใครสามารถเก็บความลับได้นานที่สุด?” ฉินซูถามกลับด้วยท่างสบาย ๆหนานกงจื่อชินโพล่งถามออกมา “ใครกัน?”คำพูดของฉินซูสั้นแต่ได้ใจความ “คนตาย!”ม่านตาของหนานกงจื่อชินหดตัวลงอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาสั่นสะท้านขึ้นมากะทันหัน และบนใบหน้าฉายแววตื่นตระหนกเขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากพลางถอยหลังไปหลายก้าวโดยมิรู้ตัว“อย่า อย่าฆ่าข้านะ”ฉินซูค่อย ๆ เหยียดฝ่ามือออกพลางพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ต้องขออภัยด้วย เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว!”สิ้นคำพูด ลมรุนแรงที่แสนบ้าคลั่งก็พัดออกมาจากฝ่ามือของเขา!หนานกงจื่อชินหวาดกลัวมากจนหันหลังวิ่งหนีไปอย่างมิลังเลเขาได้เปิดใช้งานปราณบริสุทธิ์ในร่างกายจนถึงขีดสุด และยังใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงสุดอีกด้วย!แต่เขายังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากระแสพลังฝ่ามืออันบ้าคลั่งที่อยู่ข้างหลังเขานั้นเหมือนกับเคียวของยมทูตที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ“ไม่!!”เสียงที่สิ้นหวังของหนานกงจื่อชินที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังหยุดลงทันที ‘พรึ่บ’ ร่างกายของเขาถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใด บุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์รุ่นหนึ่งได้สลายหา
ขณะที่หนานกงจื่อชินกำลังพูด เขาก็ทะยานตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่ามู่หรงจื่อเยียนกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจและไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนางก็รีบพูดโน้มน้าว “พี่จื่อชิน อย่าเลย!”หนานกงจื่อชินหันไปจ้องนางแล้วถามว่า “จื่อเยียน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“ข้า… ข้าก็แค่…”มู่หรงจื่อเยียนอึกอักและอธิบายเหตุผลมิได้เมื่อเห็นเช่นนั้น หนานกงจื่อชินก็โกรธและพูดพาลใส่ “ดูเหมือนว่าข้าจะเดามิผิด ท่านชอบเจ้าสวะฉินซูนั่น หนานกงจื่อชินด้อยกว่าเขาตรงไหน ท่านถึงได้เลือกเขาแทนที่จะเป็นข้า?”“ข้า… ข้ามิรู้”คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนได้ยืนยันสิ่งที่หนานกงจื่อชินคาดเดาไว้อย่างมิต้องสงสัยเขาโกรธมากจนกำหมัดแน่นและกัดฟันดังกรอดฉินซูสับสนงุนงง เขามองไปที่มู่หรงจื่อเยียนด้วยสีหน้าตกตะลึง และในใจของเขาก็มีความประหลาดใจขึ้นมาตัวเขามีเสน่ห์ถึงเพียงนี้เลยหรือ? แม้แต่มู่หรงจื่อเยียนที่เป็นท่านหญิงจากต่างแคว้นผู้นี้ก็ยังหลงใหลในตัวเขาอย่างนั้นหรือ?ขณะนั้น หนานกงจื่อชินระงับความโกรธและพูดว่า “จื่อเยียน ท่านไปรอข้าที่ด้านนอก ขอเพียงท่านออกไปตอนนี้ ข้าก็จะทำเหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่มิเคยเกิดขึ้น มิเช่นนั้นเมื่อก
บนหน้าผากของมันมีรูแผลขนาดเท่านิ้วมือที่มิรู้ว่าปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรและเลือดสีแดงในหัวของมันก็พุ่งออกมาจากรูแผลนั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ถานเหวยก็ตกตะลึงและมิรู้ว่าใครช่วยชีวิตเขาเอาไว้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้“ถานเหวย จะยืนตะลึงอะไรอยู่อีก รีบบังคับรถม้าพาเซี่ยหลานไปที่เนินเขาลั่วเยี่ยนทางนั้นสิ!”เมื่อได้ยินเสียงเร่งเร้าของฉินซู ถานเหวยก็ได้สติเขาพยักหน้ารัว ๆ “องค์รัชทายาทรีบขึ้นรถม้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ เร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“เจ้าพาเซี่ยหลานไปก่อน ข้ามียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่ มิเป็นอะไรหรอก เจ้ารีบไปเร็วเข้า”“ข้าน้อย… เอ่อ..."ถานเหวยลังเลเมื่อฉินซูเห็นสถานการณ์ เขาก็สบถในใจ พลางเตะถานเหวยลอยเข้าไปในรถม้าแล้วฟาดแส้ที่ก้นม้า!ม้าควบออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเซี่ยหลานที่อยู่บนรถม้าเห็นเช่นนั้นก็เป็นกังวลมากจนเกือบจะร้องไห้ “องค์รัชทายาท ท่านรีบหนีเถิดเพคะ”“ไปรอข้าอยู่ในที่ปลอดภัย เดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็คว้าหอกยาวจากมือทหารแล้วเหวี่ยงไปข้างหน้าเป็นครึ่งวงกลม ปราณวายุที่รุนแรงดุดันบีบบังคับให้ปีศาจภูเขาหลายตัวเหล่านั้นถอยหลังทหารเหล่านั้นถึงกับอึ้ง!องค
ก้อนหินไหลลงมาตามเชิงเขาเงาดำสูงใหญ่เดินขวักไขว่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ในป่าเนื่องจากเงาดำเหล่านี้สูงใหญ่มาก ต้นไม้จำนวนมากจึงถูกทับและล้มลงส่งผลให้ในป่าเต็มไปด้วยความสับสนอลเวง“ปีศาจภูเขา! นั่นมันปีศาจภูเขา!!”เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการอำเภอฉงซานคนหนึ่งที่อยู่ในกองกำลังขนส่งเสบียงอุทานขึ้นเมื่อเงาร่างสูงใหญ่สีดำเหล่านั้นเข้ามาใกล้ ฉินซูก็สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกมันได้อย่างชัดเจน!ปีศาจภูเขาเหล่านี้มีเบ้าตาสีเข้ม คิ้วสีดำสลับขาว สันจมูกสีแดง และมีหนวดยาวที่บริเวณจมูกทั้งสองข้าง!แก้มทั้งสองข้างขาวราวหิมะ มองแวบแรกดูเหมือนใบหน้าของผีร้ายทั้งตัวของพวกมันยังถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำยาว แขนสองข้างหนากว่าถังน้ำ และยาวกว่าหัวเข่า รูปร่างของมันสูงใหญ่และแข็งแกร่งกว่าชิมแปนซีมากโดยเฉพาะเขี้ยวทั้งสองคู่ที่มุมปากนั้นแลดูน่าหวาดกลัวเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดขนยาวที่สูงกว่าคนสองคนยืนต่อตัวกัน ทันใดนั้น ฉินซูก็มีสีหน้ามิพอใจ!นี่พวกเจ้าเรียกเจ้ายักษ์ใหญ่พวกนี้ว่าปีศาจภูเขารึ?!เขาไม่มีเวลาพอที่จะพูดบ่น และตะโกนใส่ทหารที่กำลังหวาดกลัวเสียงดัง “ยังจะยืนตะลึงกันอยู่อีก รีบหนีไปสิ!”“คุ้ม
“แล้วหากเขามิพอใจเล่า?”“เช่นนั้นก็ต้องลงมืออย่างเด็ดขาดแล้ว อย่างไรก็ต้องพูดคำเดิม พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็เงียบไปพวกเขามิใช่โจรชั่วและพวกเขาก็มิเคยทำเรื่องที่ทำลายจิตสำนึกของตัวเองแต่วันนี้กลับมีคนหน้ามิอายบางคนใช้สตรี เด็กและคนชราในค่ายป้องกันมาบีบบังคับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนแต่โดยดีเมื่อหยางอวิ๋นโบกมือเป็นสัญญาณ ทุกคนก็รีบซุ่มอยู่บนเนินเขาทันทีขณะเดียวกันในป่าที่อยู่มิไกล มู่หรงจื่อเยียนกำลังรออย่างกระวนกระวายทันใดนั้น เงาร่างสีขาวก็ตกลงมาจากท้องฟ้า!นางรีบไปรับเขาแล้วถามว่า “ท่านพี่จื่อชิน เป็นอย่างไรบ้าง?”หนานกงจื่อชินยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “มิต้องกังวล ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม จากนี้ไป พวกเราแค่ต้อง.ใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่งและรอโอกาสลงมือ”มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเบา ๆ พลางมองออกไปนอกป่าด้วยความมิสบายใจไกลออกไปฉินซูที่นำอยู่ด้านหน้าขบวนก็หยุดม้ากะทันหันเมื่อเห็นสถานการณ์ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เลิกคิ้วแล้วถามว่า “หยุดด้วยเหตุใดหรือเพคะ?”ฉินซูจ้องมองทางข้างหน้าและพูดเสียงเรียบ “ทางข้างหน้าด้านหนึ่งเป็นป่าและอ
เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดขาวขู่ว่าจะล้างบางค่ายป้องกันไป๋หยาง ชายอารมณ์ร้อนคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นทันที“ลูกพี่ พวกเราสู้กับเขาเถอะ!”“นั่นสิ พวกเรามีกันตั้งหลายร้อยคน ยังจะต้องกลัวเขาอีกรึ!”“มาช่วยกันสับมันให้สิ้นเสีย!”ทุกคนต่างออกความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้นชายหนุ่มชุดขาวมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ขณะนั้นก็มีจิตสังหารพุ่งออกมาจากตัวเขา!เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า หยางอวิ๋นก็รีบตะโกน “พวกเจ้าทุกคนหุบปากเดี๋ยวนี้!”เขาแอบวิตกกังวลอยู่ในใจ ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับปฐพีอย่างแท้จริง หากเขาทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมา ค่ายป้องกันไป๋หยางคงจะถูกล้างบางจนนองเลือดจริง ๆคนที่ถูกเขาตวาดใส่ก็รีบปิดปากอย่างเชื่อฟังหยางอวิ๋นยกมือคำนับไปทางชายหนุ่มและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านจอมยุทธ ข้าขอบังอาจถามว่าในเมื่อท่านมิได้คิดจะปล้นเสบียง เหตุใดท่านจึงประสงค์ให้พวกเราทำการสังหารหมู่กองกำลังขนส่งเสบียง ท่านมีความแค้นกับพวกเขาหรือ?”“เจ้านี่พูดมากนัก!”ชายหนุ่มชุดขาวชักกระบี่ออกมาอย่างเหลืออดปราณแห่งกระบี่อันเฉียบคมรุนแรงพุ่งผ่านอากาศช่วงเวลาต่อมา ก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องในหูของหยางอวิ๋นเมื่อทุ