แต่เมื่อนึกถึงประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างจากโลกที่เขาจากมา เขาจึงพยักหน้าอย่างมิเต็มใจ!ฉงชูโม่ถามต่ออีกว่า “แล้ว… บทกลอนนี้เรียกว่าอะไรหรือ?”ฉินซูตอบโดยมิต้องคิดเลยว่า “ก็เรียกว่า “แด่ชูโม่” แล้วกัน!”หัวใจของฉงชูโม่เต้นแรงขึ้นมาทันที ใบหน้าสวยของนางก็แดงระเรื่ออีกครั้งใบหน้าแดงก่ำของนาง ดูสวยงามและมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อนนางพูดอย่างขวยเขินว่า “หึ คนปากหวาน อย่าคิดว่าหม่อมฉันจะหลงกลท่าน หม่อมฉัน ฉงชูโม่ จะมิไปเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดหรอก”พูดจบ นางก็วิ่งกลับเข้าห้องไปโดยมิหันกลับมามองฉินซูรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย คืนนี้เป็นคืนที่ยาวนานอีกคืนหนึ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่เพียงลำพังตอนนี้เขาคิดถึงหลินชิงเหยาขึ้นมาจับใจในห้องนอนอีกห้องหนึ่งฉงชูโม่หาปากกากับกระดาษมา เขียนข้อความลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งว่า“องค์รัชทายาททรงห่วงใยราษฎร วางแผนเก่งกาจ และทรงพระปรีชาสามารถ แต่ก่อนดูเหมือนจะทรงใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ คล้ายกับเป็นการเสแสร้ง ตอนนี้ยังต้องตรวจสอบต่อไป”หลังจากที่หมึกแห้งแล้ว นางก็ม้วนกระดาษใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆจากนั้นก็มาที่หน้าต่าง มัดกระบอกไม้
ฉินซูยิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “ผู้กล้า นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกเจ้ามิจำเป็นต้องตามมาขอบคุณหรอก”“ขอบคุณเหรอ! ถุย พวกข้าต้องมาอับอายขายหน้าเช่นนี้ ที่ข้ามิจัดการเจ้าในทันทีก็นับว่าเมตตาแล้ว เจ้ายังกล้าคิดว่าพวกข้าตามมาขอบคุณงั้นรึ?”ตงฟางไป๋โกรธจนแทบจะระเบิด ปอดแทบจะลุกเป็นไฟตงฟางโซ่วและพวกพ้องก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า พากันมองไปที่ฉินซูอย่างโกรธแค้น! หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ฉินซูคงตายไปเป็นร้อยรอบพันรอบแล้วฉินซูแกล้งทำหน้าประหลาดใจแล้วถามว่า “ข้าทำให้พวกเจ้าขายหน้าหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไร?”“หึ เจ้าแกล้งให้พวกข้ากินเนื้องูมีพิษ ทำให้พวกข้าเสียท่าจน… ทำเรื่องอย่างว่า.....” ตงฟางไป๋ยังพูดมิทันจบ ตงฟางโซ่วรีบขัดขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่ มิต้องพูดให้ชัดเจนขนาดนั้นหรอก อย่างไรเจ้าหนุ่มนี่ก็วางยาพวกเรา ฆ่ามันเสียเลยแล้วกัน”“ใช่แล้ว จะพูดมากไปทำไม ฆ่ามันแล้วโยนแม่น้ำไปให้เป็นอาหารปลาก็สิ้นเรื่อง”“ใช่ พี่ใหญ่ เราแล่เนื้อเถือหนังเจ้านี่เสีย แล้วหามสาวงามนางนี้กลับไปทำเมียดีกว่า!”“ดี ลงมือเลย!” ตงฟางไป๋ยกดาบใหญ่ขึ้นเตรียมฟาดฟัน ฉินซูยกมือขึ้นแล้วตะโกนว่า “ช้าก่อน!
"เฮ้อ ข้าจะวางยาได้อย่างไรกัน เนื้องูพิษนั่นมันช่วยบำรุงปฐมปราณได้มากอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มพลังแล้วย่อมต้องมีผลกระตุ้นกำหนัดตามมาด้วย พวกเจ้าจิตใจโสมมควบคุมตัวเองมิได้ แล้วจะมาโทษข้าได้อย่างไรเล่า!" "เอาเถอะ ต่อให้ที่เจ้าพูดมีเหตุผล แล้วเรื่องกริชเขี้ยวมังกรเล่า?" ตงฟางโซ่วรีบพยักหน้าสนับสนุน "ใช่ ๆ เอากริชเขี้ยวมังกรคืนมาเสีย นั่นเป็นของพวกเรา!""กริชเขี้ยวมังกรมิได้อยู่ในมือข้า พวกเจ้าอยากได้คืน ก็ไปถามนางดูสิ!" ฉินซูชี้ไปทางฉงชูโม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆฉงชูโม่แสยะยิ้มเย้ยหยัน "ตอนนี้ของอยู่กับข้า หากพวกเจ้าอยากได้คืนก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ เพียงแค่ต้องรับมือข้าให้ได้สักหนึ่งกระบวนท่า แล้วข้าจะคืนกริชเขี้ยวมังกรให้พวกเจ้าด้วยมือทั้งสองข้างเลย""หนึ่งกระบวนท่า?!" ตงฟางไป๋นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง "ถุย! เจ้าดูถูกใครกัน อย่าว่าแต่หนึ่งกระบวนท่าเลย ต่อให้เป็นสิบเป็นร้อยกระบวนท่า ข้าก็รับมือได้!""นั่นสิ พี่ใหญ่ของพวกเราเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับซวน ห่างจากระดับปฐพีเพียงก้าวเดียว ในยุทธภพนี้ มีมิกี่คนหรอกที่จะสามารถเอาชนะพี่ใหญ่ของพวกเราได้เลย!""ใช่แล้ว
คิ้วของฉงชูโม่ขมวดมุ่น "เจ้าคิดจะทำอะไร?""ท่านจอมยุทธ์หญิง! ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์เถิด ข้าสัญญาว่าจะรับใช้อาจารย์อย่างเต็มที่ มิเกียจคร้านมิเกี่ยงเหนื่อยยาก มิ..." ตงฟางไป๋ยังพูดมิทันจบ ฉงชูโม่ก็ยกมือขึ้นหยุดเขา พลางปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า "ข้าไม่มีวันรับเจ้าเป็นศิษย์ เลิกหวังเสียเถอะ!""อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยท่านจอมยุทธ์หญิง ขอร้องเถิด รับข้าเป็นศิษย์สักคน ท่านอายุยังน้อย แต่กลับก้าวเข้าสู่ระดับปฐพีได้แล้ว มินานท่านคงได้กลายเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์แน่ ขอเพียงท่านรับข้าเป็นศิษย์ ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง!" ตงฟางโซ่วก็คุกเข่าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจพร้อมกล่าวว่า "ท่านจอมยุทธหญิง รับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด ข้าขยันฝึกฝนมาก มิกลัวความลำบาก ข้าจะรับใช้ท่านอย่างสุดกำลังในทุกเรื่อง..."คนอื่น ๆ อีกสามคนก็คุกเข่าลงตามกัน ต่างอ้อนวอนขอให้ฉงชูโม่รับพวกเขาเป็นศิษย์เช่นกัน จนทำให้ฉงชูโม่ถึงกับใบหน้ามืดครึ้มด้วยความหนักใจฉงชูโม่เหลือบมองพวกเขาด้วยความเบื่อหน่าย คิดจะเมินเฉยมิสนใจอีกต่อไป ทว่า ฉินซูกลับถามอย่างสนุกสนานว่า "อ้าว ตงฟางไป๋ ถ้าพวกเจ้ามาตามพวกเรา แล้วเขาวู่ซานของพวกเจ้า
ตงฟางไป๋ยังคงมิเชื่อเต็มร้อยนักฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า "เหตุใดเล่า ข้าดูมิเหมือนองค์รัชทายาทรึ?""เอ่อ… หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น ข้าน้อยเพียงรู้สึกยากที่จะเชื่อเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ""นั่นน่ะสิ หากท่านเป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ เหตุใดข้างกายถึงมีเพียงท่านจอมยุทธ์หญิงผู้นี้เท่านั้น แล้วบรรดาทหารองครักษ์ของท่านเล่า?""พวกเจ้าเชื่อหรือไม่นั้นมิสำคัญ ข้าจะถามพวกเจ้าเพียงเรื่องเดียว พวกเจ้ายินดีที่จะติดตามนางเป็นลูกน้องหรือไม่?" ฉินซูชี้ไปที่ฉงชูโม่ตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วพยักหน้าโดยมิลังเลฉินซูจึงตัดสินใจ "ดี ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย รู้จักสำนักเบญจพิษหรือไม่?""รู้จักสิ สำนักเบญจพิษเป็นสำนักในแถบแม่น้ำซื่อสุ่ย มีจ้าวสำนักนามว่า ฉีกว้านอวี้ เป็นจอมยุทธ์ขั้นกลางระดับปฐพี แต่วิชาพิษของเขาช่ำชอง ถึงขั้นที่แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสูงระดับปฐพีก็ยังต้องระวัง""แม่น้ำซื่อสุ่ยอยู่ห่างจากที่นี่มิไกลใช่หรือไม่?""มิไกล ขี่ม้าก็ราว ๆ หนึ่งวันกว่าก็ถึงแล้ว""งั้นก็ดี ข้ามีภารกิจให้พวกเจ้าทั้งสอง ไปที่สำนักเบญจพิษแล้วบอกกับฉีกว้านอวี้ว่า องค์รัชทายาทกำลังจะเดินทางลงใต้ไปห
หนึ่งวันผ่านไป ฉินซูและฉงชูโม่ในที่สุดก็มาถึงบริเวณนอกเมืองหลงโย่วทางตอนเหนือเมืองหลงโย่วเชื่อมต่อกับเมืองหลงเฉิง ทิศใต้เชื่อมต่อกับหลิ่งหนาน ขณะที่สองด้านอื่น ๆ ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ เมืองหลงโย่วจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญสำหรับการเดินทางเดินทางขึ้นเหนือและลงใต้ด้านหลังภูเขาทางทิศตะวันตกของเมืองหลงโย่วเป็นที่ตั้งของชนเผ่าหรงตะวันตก ชาวหรงตะวันตกขึ้นชื่อเรื่องนิสัยดิบเถื่อน แม้ว่าจะเป็นแคว้นบริวารของราชวงศ์ต้าเหยียน แต่พวกเขาก็ชอบก่อเรื่องลับหลังอยู่บ่อยครั้งด้วยเหตุนี้ เมืองหลงโย่วจึงกลายเป็นด่านที่มีทหารป้องกันอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้ชนเผ่าหรงตะวันตกบุกโจมตี มิเช่นนั้น หากชาวหรงตะวันตกสามารถทะลวงผ่านเมืองหลงโย่วได้ พวกเขาจะบุกเข้ามายังหลงเฉิงได้โดยตรง!ฉินซูสอดส่องการป้องกันเมือง ก่อนจะควบม้าเดินทางไปยังประตูเมือง เมื่อถึงหน้าประตูเมือง กลุ่มทหารยามกลับมาสกัดเขาเอาไว้"หยุด! เจ้าจะไปที่ใด? มีหนังสือเดินทางหรือไม่?"ในตอนนั้นเอง ฉงชูโม่ที่อยู่ข้าง ๆ หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนให้ทหารยาม พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า "ไปเรียกห
ฉงชูโม่ยกคิ้วขึ้นถามว่า "องค์รัชทายาทกำลังหมายความว่า หม่อมฉันเป็นนางล่มเมืองหรือเพคะ?""ฮ่าฮ่า เจ้านี่ช่างรู้ตัวดีจริง ๆ ที่นี่คงมิเหมาะกับเราแล้ว ไปชั้นสองกันเถอะ" ฉินซูหัวเราะแล้วหันไปส่งสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อร์[footnoteRef:0]ในโรงเตี๊ยม [0: เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึง พนักงาน บริกร] เสี่ยวเอ้อร์โค้งคำนับอย่างนอบน้อม "คุณชาย คุณหนู ที่ชั้นสองมีห้องส่วนตัวเหลืออยู่ แต่ราคาจะค่อนข้างสูงหน่อยขอรับ"ฉินซูหรี่ตามองแล้วกล่าว "เจ้าคิดว่าเราดูเหมือนคนขัดสนเรื่องเงินหรือ?""หามิได้ขอรับ เชิญคุณชาย คุณหนูตามข้ามาได้เลยขอรับ" เสี่ยวเอ้อร์รีบพาทั้งสองขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นสองชั้นสองบรรยากาศดีกว่าชั้นล่างอย่างเห็นได้ชัด นอกจากโต๊ะที่อยู่ใกล้หน้าต่างตรงปากทางเดินแล้ว ที่เหลือก็เป็นห้องส่วนตัวทั้งหมด"ท่านทั้งสองมาได้จังหวะพอดี นี่เป็นห้องส่วนตัวห้องสุดท้ายแล้ว เชิญเลือกอาหารตามใจชอบเถิดขอรับ""จัดอาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมมาทุกอย่างอย่างละหนึ่ง แล้วก็สุราชั้นดีอีกหนึ่งไห" ฉินซูสั่ง"ขอรับ ข้าจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้" เสี่ยวเอ้อร์รีบออกไปหลังจากชงชาเสร็จฉงชูโม่เริ่มเงี่ยหูฟังการสนท
"ฉัวะ!" ตะเกียบเสียบทะลุข้อมือของชายร่างกำยำ เลือดสีแดงข้นหยดไหลตามตะเกียบลงพื้น ทันใดนั้น ชายร่างกำยำก็กุมข้อมือตัวเองด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเหยเกพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนชายอีกคนเห็นดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาชักดาบออกมาทันที และขณะที่กำลังจะฟันใส่ฉงชูโม่ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากนอกห้อง"หวังอู่! หยุดเดี๋ยวนี้!"เมื่อได้ยินเสียงนั้น หวังอู่หันไปถามอย่างแปลกใจว่า "คุณชาย พวกมันมิเพียงมิยอมไสหัวออกไป แต่ยังทำลายมือของเอ้อร์หู่อีก ท่านจะปล่อยไปง่าย ๆ หรือ?""หุบปาก! เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นพวกเจ้าที่รังแกผู้อื่นก่อน รีบไสหัวไปให้พ้น!!" ชายหนุ่มตะโกนดุอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามา เขายิ้มบาง ๆ แล้วค้อมตัวทำความเคารพฉงชูโม่เล็กน้อย"แม่นาง ข้าต้องขออภัยจริง ๆ คนของข้ามิรู้จักกาลเทศะ หากล่วงเกินประการใด ขอเจ้าโปรดยกโทษให้ด้วย"แต่ขณะพูด สายตาของชายหนุ่มก็จ้องมองฉงชูโม่อย่างมิลดละ ลึก ๆ ในดวงตาของเขาฉายแววโลภและกระหายอย่างปิดมิมิดฉงชูโม่สังเกตเห็นท่าทีไร้มารยาทของเขา คิ้วเรียวขมวดแน่น พูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจออกมาชัดเจน "พาคนของท่านถอยออกไปเสีย อย่ามากวนพวกข้าตอนกำลังกิ