ฉินซูยิ้มถามอย่างอารมณ์ดีว่า “ใต้เท้าจู ไฉนสีหน้าเจ้าดูแย่เช่นนั้นเล่า มิสบายหรือไร? หรือว่าจะให้ข้าไปที่จวนตระกูลหลี่ด้วยตัวเอง?”จูเจิ้งเสียนส่ายหัวรัวอย่างกับกลอง แล้วรีบพูดว่า “หามิได้ ๆ มิกล้ารบกวนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”เขามิกล้าให้ฉินซูไปด้วย มิเช่นนั้นตระกูลหลี่คงต้องเสียเงินเสียทองมากหลายเป็นแน่ฉินซูก็มิได้มีเจตนาจะทำให้ยากลำบาก เขาจึงพูดอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้น ก็อย่ารอช้า พวกเจ้ารีบไปรีบกลับเถอะ”หานไท่ก็สนับสนุนว่า “ใช่แล้ว ใต้เท้าจู พวกเราออกเดินทางกันเถอะ มิงั้นกลับมาช้าจะรบกวนเวลาพักผ่อนขององค์รัชทายาทแล้ว”จากนั้น จูเจิ้งเสียนก็จำใจพาหานไท่และเฉินควนไปที่จวนตระกูลหลี่อย่างมิเต็มใจนักหลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ฉงชูโม่ก็รู้สึกชื่นชมอย่างสุดซึ้งและกล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงมีวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เพคะ ด้วยวิธีนี้ จูเจิ้งเสียนและหานไท่จะต้องมีความขัดแย้งกันอย่างแน่นอน แม้ว่าในภายหน้าพวกเขาจะยังคงฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่พวกเขาก็จะเกลียดชังกันและกันเพราะการแบ่งผลประโยชน์ที่มิเท่าเทียมกัน หรือแม้กระทั่งแอบทำร้ายกัน ขุนนางภายใต้ท่านอ๋องฉีเมื่อเกิดความขัดแย้งภายใน เขาจะไม่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู สีหน้าของหานไท่ก็เผยความกังวลออกมาและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมมิทราบว่าท่านมีธุระสำคัญอันใดที่ต้องรีบไปยังหลงโย่ว แต่ยามนี้ก็ดึกแล้ว แม้จะมิพูดถึงเส้นทางที่ขรุขระ ยามกลางคืนถึงแม้จะไม่มีโจร ก็ยังมีสัตว์ร้ายอีกมากมาย หรือว่ารอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยออกเดินทางดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่แล้วองค์รัชทายาท หากท่านจะเดินทางยามกลางคืน หากเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็รับผิดชอบมิไหว”“ใต้เท้าเฉินพูดถูกแล้ว องค์รัชทายาทพักอีกคืนหนึ่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้ววันพรุ่งค่อยออกเดินทาง!”เฉินควนและจูเจิ้งเสียนก็รีบช่วยกันเกลี้ยกล่อมฉินซูลูบคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าอย่างลำบากใจ“เอาเถอะ งั้นวันพรุ่งค่อยออกเดินทาง พวกเจ้าก็ไปทำธุระของพวกเจ้าเถอะ ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อน”หลังจากพูดจบ ฉินซูก็พาฉงชูโม่กลับไปยังจวนด้านหลังที่ว่าการอำเภอหลังจากที่เขาจากไปแล้ว หานไท่จึงพึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทจะไปหลงโย่วหรือนี่!”“ใต้เท้าหาน เรื่องนี้เราควรจะแจ้งให้ท่านอ๋องฉีทรงทราบหรือไม่?”“ไร้สาระ แน่นอนว่าต้องแจ้ง! รีบส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ไปแจ้งท่านอ๋องฉีเดี๋ยวนี้!”“ข้าน้
แต่เมื่อนึกถึงประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างจากโลกที่เขาจากมา เขาจึงพยักหน้าอย่างมิเต็มใจ!ฉงชูโม่ถามต่ออีกว่า “แล้ว… บทกลอนนี้เรียกว่าอะไรหรือ?”ฉินซูตอบโดยมิต้องคิดเลยว่า “ก็เรียกว่า “แด่ชูโม่” แล้วกัน!”หัวใจของฉงชูโม่เต้นแรงขึ้นมาทันที ใบหน้าสวยของนางก็แดงระเรื่ออีกครั้งใบหน้าแดงก่ำของนาง ดูสวยงามและมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อนนางพูดอย่างขวยเขินว่า “หึ คนปากหวาน อย่าคิดว่าหม่อมฉันจะหลงกลท่าน หม่อมฉัน ฉงชูโม่ จะมิไปเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดหรอก”พูดจบ นางก็วิ่งกลับเข้าห้องไปโดยมิหันกลับมามองฉินซูรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย คืนนี้เป็นคืนที่ยาวนานอีกคืนหนึ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่เพียงลำพังตอนนี้เขาคิดถึงหลินชิงเหยาขึ้นมาจับใจในห้องนอนอีกห้องหนึ่งฉงชูโม่หาปากกากับกระดาษมา เขียนข้อความลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งว่า“องค์รัชทายาททรงห่วงใยราษฎร วางแผนเก่งกาจ และทรงพระปรีชาสามารถ แต่ก่อนดูเหมือนจะทรงใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ คล้ายกับเป็นการเสแสร้ง ตอนนี้ยังต้องตรวจสอบต่อไป”หลังจากที่หมึกแห้งแล้ว นางก็ม้วนกระดาษใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆจากนั้นก็มาที่หน้าต่าง มัดกระบอกไม้
ฉินซูยิ้มตาหยีแล้วกล่าวว่า “ผู้กล้า นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกเจ้ามิจำเป็นต้องตามมาขอบคุณหรอก”“ขอบคุณเหรอ! ถุย พวกข้าต้องมาอับอายขายหน้าเช่นนี้ ที่ข้ามิจัดการเจ้าในทันทีก็นับว่าเมตตาแล้ว เจ้ายังกล้าคิดว่าพวกข้าตามมาขอบคุณงั้นรึ?”ตงฟางไป๋โกรธจนแทบจะระเบิด ปอดแทบจะลุกเป็นไฟตงฟางโซ่วและพวกพ้องก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า พากันมองไปที่ฉินซูอย่างโกรธแค้น! หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ฉินซูคงตายไปเป็นร้อยรอบพันรอบแล้วฉินซูแกล้งทำหน้าประหลาดใจแล้วถามว่า “ข้าทำให้พวกเจ้าขายหน้าหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไร?”“หึ เจ้าแกล้งให้พวกข้ากินเนื้องูมีพิษ ทำให้พวกข้าเสียท่าจน… ทำเรื่องอย่างว่า.....” ตงฟางไป๋ยังพูดมิทันจบ ตงฟางโซ่วรีบขัดขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่ มิต้องพูดให้ชัดเจนขนาดนั้นหรอก อย่างไรเจ้าหนุ่มนี่ก็วางยาพวกเรา ฆ่ามันเสียเลยแล้วกัน”“ใช่แล้ว จะพูดมากไปทำไม ฆ่ามันแล้วโยนแม่น้ำไปให้เป็นอาหารปลาก็สิ้นเรื่อง”“ใช่ พี่ใหญ่ เราแล่เนื้อเถือหนังเจ้านี่เสีย แล้วหามสาวงามนางนี้กลับไปทำเมียดีกว่า!”“ดี ลงมือเลย!” ตงฟางไป๋ยกดาบใหญ่ขึ้นเตรียมฟาดฟัน ฉินซูยกมือขึ้นแล้วตะโกนว่า “ช้าก่อน!
"เฮ้อ ข้าจะวางยาได้อย่างไรกัน เนื้องูพิษนั่นมันช่วยบำรุงปฐมปราณได้มากอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มพลังแล้วย่อมต้องมีผลกระตุ้นกำหนัดตามมาด้วย พวกเจ้าจิตใจโสมมควบคุมตัวเองมิได้ แล้วจะมาโทษข้าได้อย่างไรเล่า!" "เอาเถอะ ต่อให้ที่เจ้าพูดมีเหตุผล แล้วเรื่องกริชเขี้ยวมังกรเล่า?" ตงฟางโซ่วรีบพยักหน้าสนับสนุน "ใช่ ๆ เอากริชเขี้ยวมังกรคืนมาเสีย นั่นเป็นของพวกเรา!""กริชเขี้ยวมังกรมิได้อยู่ในมือข้า พวกเจ้าอยากได้คืน ก็ไปถามนางดูสิ!" ฉินซูชี้ไปทางฉงชูโม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆฉงชูโม่แสยะยิ้มเย้ยหยัน "ตอนนี้ของอยู่กับข้า หากพวกเจ้าอยากได้คืนก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ เพียงแค่ต้องรับมือข้าให้ได้สักหนึ่งกระบวนท่า แล้วข้าจะคืนกริชเขี้ยวมังกรให้พวกเจ้าด้วยมือทั้งสองข้างเลย""หนึ่งกระบวนท่า?!" ตงฟางไป๋นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง "ถุย! เจ้าดูถูกใครกัน อย่าว่าแต่หนึ่งกระบวนท่าเลย ต่อให้เป็นสิบเป็นร้อยกระบวนท่า ข้าก็รับมือได้!""นั่นสิ พี่ใหญ่ของพวกเราเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับซวน ห่างจากระดับปฐพีเพียงก้าวเดียว ในยุทธภพนี้ มีมิกี่คนหรอกที่จะสามารถเอาชนะพี่ใหญ่ของพวกเราได้เลย!""ใช่แล้ว
คิ้วของฉงชูโม่ขมวดมุ่น "เจ้าคิดจะทำอะไร?""ท่านจอมยุทธ์หญิง! ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์เถิด ข้าสัญญาว่าจะรับใช้อาจารย์อย่างเต็มที่ มิเกียจคร้านมิเกี่ยงเหนื่อยยาก มิ..." ตงฟางไป๋ยังพูดมิทันจบ ฉงชูโม่ก็ยกมือขึ้นหยุดเขา พลางปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า "ข้าไม่มีวันรับเจ้าเป็นศิษย์ เลิกหวังเสียเถอะ!""อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยท่านจอมยุทธ์หญิง ขอร้องเถิด รับข้าเป็นศิษย์สักคน ท่านอายุยังน้อย แต่กลับก้าวเข้าสู่ระดับปฐพีได้แล้ว มินานท่านคงได้กลายเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์แน่ ขอเพียงท่านรับข้าเป็นศิษย์ ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง!" ตงฟางโซ่วก็คุกเข่าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจพร้อมกล่าวว่า "ท่านจอมยุทธหญิง รับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด ข้าขยันฝึกฝนมาก มิกลัวความลำบาก ข้าจะรับใช้ท่านอย่างสุดกำลังในทุกเรื่อง..."คนอื่น ๆ อีกสามคนก็คุกเข่าลงตามกัน ต่างอ้อนวอนขอให้ฉงชูโม่รับพวกเขาเป็นศิษย์เช่นกัน จนทำให้ฉงชูโม่ถึงกับใบหน้ามืดครึ้มด้วยความหนักใจฉงชูโม่เหลือบมองพวกเขาด้วยความเบื่อหน่าย คิดจะเมินเฉยมิสนใจอีกต่อไป ทว่า ฉินซูกลับถามอย่างสนุกสนานว่า "อ้าว ตงฟางไป๋ ถ้าพวกเจ้ามาตามพวกเรา แล้วเขาวู่ซานของพวกเจ้า
ตงฟางไป๋ยังคงมิเชื่อเต็มร้อยนักฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า "เหตุใดเล่า ข้าดูมิเหมือนองค์รัชทายาทรึ?""เอ่อ… หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น ข้าน้อยเพียงรู้สึกยากที่จะเชื่อเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ""นั่นน่ะสิ หากท่านเป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ เหตุใดข้างกายถึงมีเพียงท่านจอมยุทธ์หญิงผู้นี้เท่านั้น แล้วบรรดาทหารองครักษ์ของท่านเล่า?""พวกเจ้าเชื่อหรือไม่นั้นมิสำคัญ ข้าจะถามพวกเจ้าเพียงเรื่องเดียว พวกเจ้ายินดีที่จะติดตามนางเป็นลูกน้องหรือไม่?" ฉินซูชี้ไปที่ฉงชูโม่ตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วพยักหน้าโดยมิลังเลฉินซูจึงตัดสินใจ "ดี ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย รู้จักสำนักเบญจพิษหรือไม่?""รู้จักสิ สำนักเบญจพิษเป็นสำนักในแถบแม่น้ำซื่อสุ่ย มีจ้าวสำนักนามว่า ฉีกว้านอวี้ เป็นจอมยุทธ์ขั้นกลางระดับปฐพี แต่วิชาพิษของเขาช่ำชอง ถึงขั้นที่แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสูงระดับปฐพีก็ยังต้องระวัง""แม่น้ำซื่อสุ่ยอยู่ห่างจากที่นี่มิไกลใช่หรือไม่?""มิไกล ขี่ม้าก็ราว ๆ หนึ่งวันกว่าก็ถึงแล้ว""งั้นก็ดี ข้ามีภารกิจให้พวกเจ้าทั้งสอง ไปที่สำนักเบญจพิษแล้วบอกกับฉีกว้านอวี้ว่า องค์รัชทายาทกำลังจะเดินทางลงใต้ไปห
หนึ่งวันผ่านไป ฉินซูและฉงชูโม่ในที่สุดก็มาถึงบริเวณนอกเมืองหลงโย่วทางตอนเหนือเมืองหลงโย่วเชื่อมต่อกับเมืองหลงเฉิง ทิศใต้เชื่อมต่อกับหลิ่งหนาน ขณะที่สองด้านอื่น ๆ ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ เมืองหลงโย่วจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญสำหรับการเดินทางเดินทางขึ้นเหนือและลงใต้ด้านหลังภูเขาทางทิศตะวันตกของเมืองหลงโย่วเป็นที่ตั้งของชนเผ่าหรงตะวันตก ชาวหรงตะวันตกขึ้นชื่อเรื่องนิสัยดิบเถื่อน แม้ว่าจะเป็นแคว้นบริวารของราชวงศ์ต้าเหยียน แต่พวกเขาก็ชอบก่อเรื่องลับหลังอยู่บ่อยครั้งด้วยเหตุนี้ เมืองหลงโย่วจึงกลายเป็นด่านที่มีทหารป้องกันอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้ชนเผ่าหรงตะวันตกบุกโจมตี มิเช่นนั้น หากชาวหรงตะวันตกสามารถทะลวงผ่านเมืองหลงโย่วได้ พวกเขาจะบุกเข้ามายังหลงเฉิงได้โดยตรง!ฉินซูสอดส่องการป้องกันเมือง ก่อนจะควบม้าเดินทางไปยังประตูเมือง เมื่อถึงหน้าประตูเมือง กลุ่มทหารยามกลับมาสกัดเขาเอาไว้"หยุด! เจ้าจะไปที่ใด? มีหนังสือเดินทางหรือไม่?"ในตอนนั้นเอง ฉงชูโม่ที่อยู่ข้าง ๆ หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนให้ทหารยาม พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า "ไปเรียกห