“ทำดอกไม้ไฟ!” ฉินซูตอบแล้วเดินเข้ามา“ท่านทำดอกไม้ไฟได้ด้วยหรือ?”ทั้งฉงชูโม่และตู๋กูโฉ่วเยวี่ยดูประหลาดใจไปตาม ๆ กันฉินซูพูดอย่างคลุมเครือ “นั่นมิใช่ประเด็น ในเมื่อหาผงดินปืนได้ยาก เช่นนั้นพวกเจ้าไปซื้อดินประสิว กำมะถัน และถ่านไม้มาให้ข้าหน่อย”“กำมะถันและถ่านหาซื้อได้ทั่วไป ข้ามิเคยได้ยินเรื่องดินประสิวที่องค์รัชทายาทพูดถึงมาก่อน เจ้ารู้ไหมว่ามันคืออะไร ชูโม่?”“ข้ามิรู้ ในเมื่อองค์รัชทายาทบอกให้เจ้าไปหา เจ้าก็ไปลองหาดูสิ”“เอาเถอะ พวกท่านทั้งสองรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปลองถามคนดู”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหันหลังกลับ และหายลับเข้าไปในฝูงชน ฉงชูโม่มองไปรอบ ๆ และถามด้วยน้ำเสียงเบา “องค์รัชทายาท ท่านยังมิได้ตอบคำถามเมื่อคืนของหม่อมฉันเลยนะเพคะ?”“เรื่องที่ว่าเหตุใดเมื่อคืนนี้ข้าถึงเลือดกำเดาไหล ข้าก็ตอบคำถามของเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ?”“ฉินซู ท่านอย่าบีบให้หม่อมฉันลงมือต่อหน้าธารกํานัล อย่าลืมว่าหม่อมฉันได้รับอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ หากท่านกล้าต่อต้าน ก็ถือว่าท่านขัดต่อราชโองการ!”ฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากจะถามสิ่งใดเล่า? ข้าจะตอบตามจริงก็แล้วกัน”“ท่านอยู่ในระดับใดกั
เหล่าสตรีล้อมรอบฉงชูโม่ทันที ทั้งยังลูบไล้มือและใบหน้าของนางอีกด้วย“คุณชายหล่อเหลาจริง ๆ มาเลยเจ้าค่ะ วันนี้ตัวพี่หญิงอารมณ์ดี จะขอบริการท่านฟรีสักครั้ง”“ใช่ ใช่ ใช่ ค่าใช้จ่ายของท่านพวกเราจัดการเอง วันนี้เราจะผลัดกันดูแลท่าน รับรองว่าท่านจะติดใจจนลืมมิลง”หญิงสาวเหล่านั้นหัวเราะคิกคักไม่หยุด และลากฉงชูโม่เข้าไปยังหอบุปผาเมลัยฉงชูโม่อับอาย และตะโกนอย่างโกรธจัดว่า “ปล่อยข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“เอ๋ คุณชายอย่าอายไปเลย พวกเรามิทำรุนแรงหรอก”“ดูสิว่าท่านร้อนรนเพียงใด ยังบริสุทธิ์อยู่ใช่หรือไม่?”“ดูเหมือนจะใช่ ฮิฮิ ท่านผ่อนคลายเถิด เราจะมิทำให้ท่านเจ็บหรอกเจ้าค่ะ”พวกนางลากฉงชูโม่ขึ้นไปชั้นบนใบหน้าอันงดงามของฉงชูโม่เย็นชา เตรียมจะลงมือในเวลานี้ มีสตรีนางหนึ่งบังเอิญสัมผัสหน้าอกของนางและอุทานว่า “เจ้าเป็นสตรีรึ?!”“หือ? สตรี?”“ถุย ถุย ถุย เราก็นึกว่าเจ้าเป็นบุตรชายตระกูลเศรษฐี ที่ไหนได้กลับเป็นสตรี รีบไปให้พ้นเลย!”สตรีหลายคนถ่มน้ำลายด้วยสีหน้ามิพอใจฉงชูโม่จ้องมองพวกนาง แต่ก็มิอยากต่อปากต่อคำด้วย จึงหันหลังกลับแล้วลงไปชั้นล่างในเวลานี้เอง นางเงยหน้าขึ้นมองชั้นบนโดยมิไ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินซูก็เดินไปที่ห้องที่หนึ่งและเตะประตูให้เปิดออกแต่เพื่อมิให้ฉงชูโม่สงสัย เขาจึงมิได้ใช้กำลังมากนักเมื่อเห็นว่าเขามิแม้แต่จะเตะเปิดประตูได้ ฉงชูโม่ก็พูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “หลีกไป หม่อมฉันเอง”หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็เตะประตูให้เปิดออก ในห้องนั้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังกอดหญิงสาวที่ดูเย้ายวน และนอนอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่าเมื่อเห็นฉากนี้ ฉงชูโม่ก็หันหลังหนีทันที อยากจะควักลูกตาออกมาล้างให้สะอาดเสียเดี๋ยวนั้นในเวลานี้ คนทั้งสองบนเตียงก็สังเกตเห็นว่าประตูถูกเปิดออก พวกเขาก็ตกใจกลัวอย่างมากชายวัยกลางคนตะโกนด่า “พวกเจ้าเป็นใคร กล้ามารบกวนความสำราญของข้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่าข้าจะฆ่าพวกเจ้า รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”ฉินซูเหลือบมองบุคคลนี้ และจำเขาได้ทันทีเขาคือเส้าหวยอัน รองเสนาบดีกรมโยธาธิการ!“รองเสนาบดีเส้า เพลิดเพลินมิเบาเลยนะ กล้ามามั่วสุมที่หอบุปผาเมลัยกลางวันแสก ๆ ช่างทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาจริง ๆ!”หลังจากที่เส้าหวยอันจำฉินซูได้ในชุดลำลองได้ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวเขารีบหยิบกางเกงขึ้นมา กลิ้งตัวลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล
วิชานี้ลึกซึ้งยิ่งนัก จนแม้แต่เขาเองก็ยังมิอาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้และเขาก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่า หากฝึกฝนวิชานี้ได้ถึงขีดสุด จะต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน“มิคิดเลยว่า หลังจากเดินทางมายังโลกนี้แล้ว ฉันจะได้พบกับวิชาที่ลึกล้ำเช่นนี้ ดูเหมือนว่าตาแก่คนนี้จะมีอะไรดีจริง ๆ สินะ!”ฉินซูพึมพำด้วยความประหลาดใจต่อมาเขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง แล้วถามว่า “จี้หยกนี้มีชื่อเจ้าของสลักอยู่ เจ้ากล้าสวมมันบนร่างกายของเจ้าได้อย่างไร? คิดจะรนหาที่ตายหรือ?”“องค์รัชทายาท โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันมิรู้หนังสือ เมื่อมิกี่วันก่อน เมื่อหม่อมฉันบังเอิญเจอสิ่งนี้ตอนที่เข้าไปหลบฝนในวัดศาลหลักเมืองร้าง หม่อมฉันจึงหยิบติดมือมา หากหม่อมฉันรู้ว่านี่เป็นขององค์รัชทายาท หม่อมฉันคงมิกล้าเอามาเป็นของตัวเองแน่เพคะ”เมื่อเห็นความเข้าใจผิดของนาง ฉินซูจึงมิใส่ใจจะอธิบาย ดังนั้นเขาจึงหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกจากสาบเสื้อแล้วโยนให้อีกฝ่าย“หยกนี้ข้าจะเก็บไว้ เงินนี้เจ้าก็รับไป”สตรีคนนั้นรู้สึกปลื้มใจมาก จนมิรู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งตอนนั้นเอง ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็เดินขึ้นมาเมื่อเขาเห็นเส้าหวยอัน เขาก็พูดด้ว
ฉินซูเอามือไพล่หลังแล้วเย้ยหยัน “ข้าใส่ร้ายเจ้าหรือ?”“องค์รัชทายาทใส่ร้ายกระหม่อมหรือไม่ ท่านน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี?”เส้าหวยอันประสานมือโค้งคำนับไปทางฉินอู๋ต้าวอีกครั้งและกล่าวต่อด้วยท่าทางน่าเชื่อถือ “ฝ่าบาท ที่กระหม่อมใกล้ชิดกับอ๋องจิ้นล้วนมิใช่ความลับ องค์รัชทายาทจึงมิลังเลที่จะใส่ร้ายกระหม่อม คิดจะใช้กระหม่อมเป็นเครื่องมือปราบอ๋องจิ้น และสร้างอำนาจของตน หวังว่าฝ่าบาทจะทรงพิจารณาอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของฉินอู๋ต้าวก็หรี่ลงเล็กน้อยใบหน้าอันสง่างามของเขาเผยแววสงสัยออกมาอยู่บ้าง และมองไปที่ฉินซูอย่างสงบแม้ว่าเขาจะมิได้พูดอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรอคำอธิบายของฉินซูฉินซูยังคงยืนไพล่มือไปทางด้านหลัง มองเส้าหวยอันด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันเมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินอู๋ต้าวจึงถามว่า “รัชทายาท รองเสนาบดีเส้าบอกว่าเจ้าใส่ร้ายเขา เช่นนั้นเจ้าจะมิอธิบายหรือ?”“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าเดี๋ยวน้องหกก็จะมาที่นี่แล้ว หลังจากที่เขามา เขาจะขอให้ลูกแสดงหลักฐานอย่างแน่นอน ดังนั้นเรารอจนกว่าเขาจะมาถึงก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่ฉินซูพูดจบ เสียงของขันทีหนุ่มก็ดังมาจากด้านนอกประตู
เมื่อได้ยินความหมายในคำพูดของเส้าหวยอัน กลายเป็นว่าตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและองค์รัชทายาทร่วมมือกันจงใจใส่ร้ายเขา สิ่งนี้จะมิทำให้เขาโกรธได้อย่างไรเส้าหวยอันรีบแก้ต่าง “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงต้องการบอกว่า องค์รัชทายาทส่งคนมาตีหัวข้า พระองค์พาข้าไปที่หอบุปผาเมลัยแล้วก็แจ้งให้สำนักหอดูดาวหลวงของเจ้ารู้ เพื่อที่เจ้าจะได้จับข้าคาหนังคาเขา”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยดุด้วยความโกรธ “โกหก นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว ชูโม่ก็อยู่ที่นั่นด้วยในเวลานั้น หรือท่านจะบอกว่า ชูโม่ก็ร่วมกับองค์รัชทายาทใส่ร้ายท่านด้วยเล่า”เส้าหวยอันวิงวอนทั้งน้ำมูกน้ำตากับฉินอู๋ต้าว “ฝ่าบาท ข้าน้อยถูกกล่าวหาอย่างมิยุติธรรมจริง ๆ ในเวลานั้นมีเพียงองค์รัชทายาทและชายหนุ่มที่ค่อนข้างหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกลับบอกว่าชูโม่ก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาใส่ร้ายกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมมิสามารถโต้แย้งอะไรได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ"ฉินเหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อยและพูดอย่างมีความหมาย “เสด็จพ่อ สำนักหอดูดาวหลวงเป็นดาบที่เสด็จพ่อพึ่งพามากที่สุด แต่ตอนนี้ดาบเล่มนี้ดูเหมือนจะเข้าข้างองค์รัชทายาทแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า วิธีการขององค์รั
ทันทีที่ฉินซูพูดจบ เขาก็ป้ายลงไปที่ใต้จมูกของฉงชูโม่สองครั้งทันใดนั้นฉงชูโม่ก็ดูเหมือนจะไว้หนวดเคราขึ้นมาแล้ว!“องค์รัชทายาท ท่าน...”ฉงชูโม่กำลังจะโกรธ เมื่อเขาเห็นฉินซูวาดหนวดเคราบนหน้าตัวเองต่อหน้าธารกำนัลฉินซูรีบอธิบายว่า “มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่รองเสนาบดีเส้าจะจำเจ้าได้ แม่ทัพฉงอดทนหน่อยแล้วกัน”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็มิอยากจะเช็ดหมึกออกจากใบหน้า ขณะเดียวกันก็ยังสงสัยว่า หมึกบนมือของฉินซูมาจากที่ใดเมื่อเส้าหวยอันเห็นฉงชูโม่ในเวลานี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่พอ ๆ กับถั่วหล่นลงมาบนหน้าผากของเขา ทำให้เขาตื่นตระหนกจนสิ้นท่าเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ หัวใจของฉินเหยี่ยนก็จมดิ่งลง และรู้สึกได้ถึงลางร้ายฉินซูถามด้วยรอยยิ้ม “รองเสนาบดีเส้า เหตุใดเจ้าจึงเหงื่อออกมากนัก? เจ้าร้อนมากเลยรึ?”“กระหม่อม… กระหม่อม… กระหม่อม…”เส้าหวยอันพูดมิออก ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น และเอาแต่เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขาไปเรื่อย ๆในเวลานี้ ฉินอู๋ต้าวก็รู้ว่าเส้าหวยอันกำลังทำตัวมีพิรุธเขาจึงถามฉงชูโม่ว่า “ชูโม่ เรื่องมันเป็นอย่างไร?”“ทูลฝ่าบาท ในเวลานั้น หม่อมฉันกำล
“หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ!”ฉงชูโม่ประสานมือโค้งคำนับ แล้วจากไปเช่นกันฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเองว่า “องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด กลับพูดว่าจะทำดอกไม้ไฟ ฮึ ก็ดี ข้าจะรอดูว่าอย่างเจ้าจะทำอะไรออกมาได้”......นอกวังหลวงฉินเหยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “เสด็จพี่รัชทายาท บัญชีนี้ข้าจำไว้แล้ว เราคอยดูกันต่อไป!”หลังจากพูดทิ้งท้าย เขาก็เดินจากไปโดยมิหันกลับมามองฉินซูก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา เดินไปทางตำหนักบูรพาอย่างสบายอารมณ์ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็เดินตามไปติด ๆระหว่างทางกลับ ฉินซูถามอย่างเนียน ๆ ว่า “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย เขาว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองหลงเฉิง นี่มิใช่คำพูดเกินจริงใช่หรือไม่?”“แน่นอนว่ามิใช่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยความสามารถของเขา หากมองไปทั่วทั้งแคว้นต้าเหยียน เกรงว่าคงมีมิกี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าในฐานะศิษย์ของเขา เจ้ารู้หรือไม่ว่าวรยุทธที่เขาชำนาญที่สุดคืออะไร?”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวโดยมิต้องคิดเลย “แน่นอนว่าเป็นยุทธที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง วิชาจิตแห่งอนันต์ นี่เป็นวรยุทธทักษะการฝึกจิตให้แข็งแกร่งที่ลึกซึ้ง แม้แต่คนฉ
ในเวลาเดียวกันณ ศาลาว่าการมณฑล ถานเหวยกับจี้ซิงเสียนและคนอื่น ๆ ยังคงจัดการดูแลงานปกครองขณะนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา “ใต้เท้าถาน มีจดหมายจากสำนักขุนนางใหญ่ขอรับ”พูดจบ เขาก็ยื่นจดหมายในมือมาให้ถานเหวยรับมาเปิดอ่าน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย จี้ซิงเสียนก็อดมิได้ที่จะถามว่า “ใต้เท้าถาน มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”“ไม่ ไม่มีอะไร แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น จี้ซิงเสียนกับซุนเยวี่ยและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งหากเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางสำนักขุนนางใหญ่จะอุตส่าห์ส่งจดหมายข้ามคืนมาเพื่ออะไร?แต่เมื่อเห็นว่าถานเหวยมิยอมพูดให้ชัดเจน พวกเขาจึงมิกล้าถามอะไรไปมากกว่านี้เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่ถานเหวยได้รับจดหมาย กู้เสวี่ยเจี้ยนและเซี่ยหลานก็ได้รับจดหมายเช่นกันในห้องรับรองด้านหลังของที่ว่าการมณฑล เซี่ยหลานวางจดหมายไว้ตรงหน้าฉินซู“องค์รัชทายาทดูสิเพคะ ท่านปู่ของหม่อมฉันเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ ถึงได้ยังไปเข้าพวกกับอ๋องฉี ซ้ำยังถามเป็นนัย ๆ มาด้วยว่าระหว่างทางพวกเราเผชิญอันตรายใด ๆ หรือไม่เห็นได้ชัดว
เถ้าแก่ดีใจมากและฉีกยิ้มกว้างจนถึงหู“กรุณารอสักครู่ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเชิญแขกคนอื่น ๆ ที่มากินข้าวออกไปประเดี๋ยวนี้ขอรับ”ขณะนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็กล่าวว่า “มิจำเป็น แค่ไปนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นชื่อของที่นี่มาอย่างละชุดก็พอ”เถ้าแก่พยักหน้ารัว ๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมการหนานกงจื่อชินขมวดคิ้วเบา “จื่อเยียน ท่านมิชอบเสียงอึกทึกนี่ เหตุใดมิไล่พวกเขาออกไปเล่า?”“ท่านพี่จื่อชิน ฉินซูมาที่เมืองเหลียงโจวได้หลายวันแล้ว พวกเราแค่มาสอบถามพวกเขาเรื่องตำแหน่งที่อยู่ของฉินซูและคนอื่น ๆ เช่นนี้พวกเราจะได้มิเปลืองแรงเปลืองเวลามากนัก”“ท่านรอบคอบใช้ได้”หลังจากนั้นทั้งสองก็หาที่นั่งตอนนี้มีแขกหลายโต๊ะนั่งอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมขณะที่กำลังกินข้าวอยู่นั้น แขกเหล่านั้นก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นราวกับมิกลัวว่าจะมีใครได้ยิน“สหาย เมื่อครู่เจ้าพูดจริงหรือ องค์รัชทายาทผู้นั้นกำจัดกลุ่มขุนนางทุจริตของเฉินจางภายในคราวเดียวน่ะหรือ? ไฉนข้ามิอยากจะเชื่อเลย”“ข้าก็มิเชื่อ เฉินจางเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล องค์รัชทายาทเพิ่งมาที่เมืองเหลียงโจวได้มิกี่วันแต่กลับปราบปรามพวกเขาได้น่
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่าควรจะระมัดระวังเรื่องการแพร่ข่าวให้มากพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยเหอพูด ฉินหงก็สับสนยิ่งกว่าเดิม “มันก็เป็นแค่การเผยแพร่ข่าว จำเป็นต้องระมัดระวังปานนั้นเลยรึ? หากเจ้าสามรู้เข้า ต้องหัวเราะเยาะที่ข้าขี้ขลาดแน่”เซี่ยเหอพูดอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง ความมิประมาททำให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย การเตรียมพร้อมรับมือสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นย่อมดีเสมอ เพื่อเป็นการเผื่อไว้ก่อน พวกเราหาคนภายนอกสักสองสามคนมาจัดการเรื่องนี้ หลังจากเสร็จเรื่องก็ค่อย…”พูดจบ เซี่ยเหอก็ทำท่าทางเชือดคอตัวเองแสดงความชั่วร้ายออกมาหลินซีพูดเสริม “แผนการของท่านใต้เท้าเซี่ยช่างมั่นคงและรอบคอบนัก เรียกได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว ข้าขอชื่นชม! ด้วยวิธีนี้ แม้องค์จักรพรรดิจะทรงตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดในภายหลัง ก็คงจะสาวมามิถึงพวกเราอย่างแน่นอน”ฉินหงพยักหน้าเบา ๆ “พวกท่านก็รอบคอบใช้ได้”หลังจากนั้นเขาก็กำชับคนสนิทของตนในเรื่องนี้และสั่งให้เขาไปหาคนข้างนอกหลังจากทำตามคำแนะนำเรียบร้อยแล้ว ฉินหงก็พูดกับเซี่ยเหอ “ใต้เท้าเซี่ย ช่วงนี้เซี่ยหลานส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่?”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจู่ ๆ ท่
หากฉินซูมีตำแหน่งมั่นคงในตำหนักบูรพา ต่อจากนี้องค์ชายคนอื่น ๆ ที่เหลือก็จะใช้ชีวิตลำบาก!เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินหงก็ถามว่า “เสด็จพี่สาม ที่ท่านรีบร้อนมาที่นี่คาดว่าคงมีแผนตอบโต้ในใจแล้ว บอกทีว่าท่านคิดจะทำอย่างไร ขอเพียงตัดอนาคตขององค์รัชทายาทได้ ข้าก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”“ข้าได้ยินมาว่า ฉินซูจัดสรรเงินหกแสนตำลึงและเสบียงแปดพันต้านลงไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติทางใต้โดยมิได้รับอนุญาต พวกเราอาจลองใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ดูได้”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินซีก็รู้ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด “เงินหกแสนตำลึง เสบียงแปดพันต้าน ช่างเป็นจำนวนที่น่าตกใจนัก องค์รัชทายาททำนอกเหนืออำนาจที่ได้รับ การประชุมหารือในราชสำนักในเช้าวันพรุ่ง พวกเราต้องกล่าวโทษเขาให้หนัก!”“ถูกต้อง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ครั้งนี้องค์รัชทายาทจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน!”ฉินหยางเหลือบมองหลินซีและเซี่ยเหอพลางยิ้มเยาะ “แม้การกระทำขององค์รัชทายาทจะค่อนข้างมิเหมาะสม แต่จุดเริ่มต้นก็คือเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและดูแลราษฎรผู้ประสบภัย ถึงพวกเจ้าจะกล่าวโทษก็มิเป็นผล เพราะเสด็จพ่อคงจะมิทรงลงโทษเขาเพราะเรื่องนี้หรอก”หลินซีมิเข้าใจ “เหตุใด
ภายในจวนอ๋องฉี ฉินหงกำลังอยู่กับหลินซี เซี่ยเหอ และคนอื่น ๆ ในห้องประชุมเพื่อถกกันเรื่องกิจราชการทันใดนั้น บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งด่วน “ท่านอ๋อง อ๋องซิ่นเสด็จมาแล้วบอกว่ามีเรื่องด่วน…” เขาพูดยังมิทันจบ ก็พลันเห็นฉินหยางสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉินหงและคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นต้อนรับ เมื่อสังเกตเห็นฉินหยางหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉินหงจึงซักถามว่า “เสด็จพี่สาม เหตุใดจึงดูเป็นกังวลมากเช่นนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?” “เมื่อครู่มีข่าวมาจากในวังว่ารัชทายาทได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ในมณฑลเหลียงโจว ขนาดที่ขุนนางอาวุโสเว่ยและเหลยเจิ้นยังชื่นชม น้องสี่และคนของเจ้ายังมิรู้เรื่องนี้งั้นหรือ?” “ว่ากระไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?!” ใบหน้าของฉินหงเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลินซีถามอย่างสับสน “ท่านอ๋องซิ่น องค์รัชทายาทเดินทางไปมณฑลเหลียงโจวเพียงเพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติเท่านั้น อย่างมากก็แค่ทำเป็นพิธี เขาจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?” เซี่ยเหอเสริมว่า “นั่นสิ เขาเสกข้าวและอาหารในอากาศมิได้หรอกกระมัง?” ฉินหยางแค่นเสียงเย็นชา “หึ เจ้าก็พูดถูกนั่นแหละ แต่รัชทายา
“มิต้องมากพิธีลุกขึ้นเถอะ” อย่างไรก็ตามไม่มีใครยืนขึ้นแม้แต่คนเดียวฉินซูขมวดคิ้วและถามว่า “พวกเจ้ามีความคับข้องใจอันใดหรือไม่? หากมี พูดได้เต็มที่ ข้าจะจัดการให้พวกเจ้าเอง” “องค์รัชทายาท ท่านทรงช่วยพวกเรากำจัดเฉินจาง โจวเซินและขุนนางทุจริตอีกหลายคนและยังทรงชดเชยส่วนต่างราคาข้าวที่พวกขุนนางเหล่านั้นบังคับซื้อคืนมาให้พวกเรา พวกเราจะมีความทุกข์อะไรได้อีกพ่ะย่ะค่ะ” “ใช่แล้วองค์รัชทายาท ท่านทรงทำให้เหลียงโจวของพวกเราสงบสุขอีกครั้ง นับว่าเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ ท่านคือมีผู้พระคุณของพวกเราชาวเหลียงโจวพ่ะย่ะค่ะ!” “องค์รัชทายาทโปรดรับการคำนับจากพวกเราด้วย!” จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ก้มหัวคำนับอย่างพร้อมเพรียง ฉินซูรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก หลังจากที่เดินทางข้ามเวลามานานถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความรักและการยกย่องจากผู้คน เขาโบกมือเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย นี่คือสิ่งที่ตัวข้าควรทำแล้ว พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถิด” ขณะที่เขาพูด เขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและช่วยประคองชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นชายชราที่ได้รับความรักอันคาดมิถึงก็รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้าครั้นแล้วชายช
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว“ตอนนี้ยังต้องคุ้มกันขบวนขนเสบียงไปยังอำเภอที่ประสบภัย เราไม่มีคนเหลือพอ เงินเหล่านี้ฝากไว้ในคลังของที่ว่าการมณฑลก่อน รอจนข้าตรวจพื้นที่ภัยพิบัติเสร็จแล้วค่อยนำกลับไปพร้อมกัน” ถานเหวยคิดแล้วก็เห็นด้วยเช่นกัน จึงทำการตรวจสอบเงินและเก็บเข้าคลังทันที เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็รีบเขียนรายงานมิหยุดแล้วส่งคนให้นำไปส่งที่วังในชั่วข้ามคืน ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภายใต้คำสั่งของฉินซู ตงฟางไป๋ ตงฟางโซ่ว รวมทั้งสวีเซี่ยงเฉียน พวกเขาทั้งสามก็นำคณะของตนเร่งคุ้มกันส่งเสบียงไปยังสามอำเภอได้แก่ อำเภอเหรากู่ ฉงซานและเป่ยเซียงในชั่วข้ามคืน ยามค่ำ ภายในห้องประชุมของที่ว่าการมณฑล ในเวลานี้เซี่ยหลานกำลังเขียนบันทึกอย่างขะมักเขม้น โดยจดบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเหลียงโจวตลอดสองวันที่ผ่านมา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว นางหันไปถามฉินซูว่า “องค์รัชทายาทเพคะ ท่านช่วยดูหน่อยว่าหม่อมฉันเขียนเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?” ฉินซูอ่านแล้วขมวดคิ้วทันที เห็นดังนั้น เซี่ยหลานจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านขมวดคิ้ว หรือว่าที่หม่อมฉันเขียนมีปัญหางั้นหรือเพคะ?” “ตอนต้นหาได้ปัญ
จากนั้นตงฟางไป๋ก็ให้คนนำตัวพ่อค้าข้าวเหล่านั้นออกไป สองชั่วยามต่อมา ภายใต้การนำของสวีหลาย กลุ่มของสำนักสักการะระบี่ก็ขนข้าวแปดพันต้านรวมถึงเงินหกแสนตำลึงขึ้นเรือล่องแม่น้ำไปทางใต้ เมื่อมองเรือสินค้าที่เต็มไปด้วยเสบียงข้าวและเงินบรรเทาภัยพิบัติแล่นจากไป ถานเหวยก็ถอนหายใจและเอ่ยว่า “หวังว่าพวกเขาจะไปถึงหลิงหนานโดยเร็วที่สุด ผู้คนจะได้อดตายน้อยลง” ฉินซูเหลือบมองถานเหวยอย่างลึกซึ้งพร้อมกับพยักหน้าในใจ ถานเหวยเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและมิเข้าร่วมความขัดแย้งทางการเมืองใด ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายในราชสำนักตอนนี้ นับว่าเป็นแหล่งน้ำอันบริสุทธิ์ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถามอย่างใจเย็นว่า “ใต้เท้าถาน เจ้าในฐานะรองเสนาบดีกรมพระคลัง เจ้าน่าจะรู้เรื่องงานในกรมพระคลังเป็นอย่างดีใช่หรือไม่?” “ถือว่าใช่พ่ะย่ะค่ะ ระยะนี้ท่านเสนาบดีหลินมิค่อยได้ดูแลกิจการงานกรมพระคลัง ภาระทั้งหมดนี้จึงตกมาที่ตัวข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ” “หลินซีครองตำแหน่งแต่กลับมิทำงาน เจ้ามิเคยพร่ำบ่นเลยหรือ?” ถานเหวยส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวอย่างรู้สึกปลงว่า “ใต้เท้าหลินเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าน้อย การช่วยแบ่งเบาภาร
เหล่าพ่อค้าข้าวคุกเข่าลงบนพื้นอย่างสั่นสะท้าน ตัวสั่นไปทั้งตัวราวกับถูกเขย่า เมื่อเห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋ก็เตะพวกเขาล้มลงบนพื้นอีกครั้ง! “เจ้าพวกสารเลว องค์องค์รัชทายาทกำลังตรัสถามพวกเจ้าอยู่ เป็นใบ้กันหมดแล้วหรือไร?” ถูกตงฟางไป๋ตะคอกเช่นนี้ ความกล้าหาญของพวกเขาก็เกือบพังทลายด้วยความกลัว ชายแซ่เฝิงผู้นั้นถามด้วยเสียงสั่นเทาว่า “องค์องค์รัชทายาท พวกเราก็ขายข้าวสามตำลึงหนึ่งต้านแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ขอบังอาจทูลถามว่า พวกเรามีความผิดอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ใช่แล้วองค์รัชทายาท พวกเราทุกคนล้วนเป็นพ่อค้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งเมื่อคืนนี้ที่จวนใต้เท้าเฉิน ท่านยังทรงชมเชยว่าพวกเราเป็นผู้จิตใจดีงามอยู่เลย” “องค์รัชทายาท เหล่าผู้น้อยเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์โปรดทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คนอื่น ๆ ที่เหลือพากันแก้ตัว ฉินซูพ่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “หึ ๆ ยังมิยอมรับอีกสินะ? ข้าจะบอกความจริงกับพวกเจ้า เรื่องชั่วร้ายที่พวกเจ้าสมคบคิดทำกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าขุนนางชั่วเฉินจางสารภาพจนหมดแล้ว ข้าไต่สวนพวกเจ้าในวันนี้ ก็เพียงเพื่อให้โอกาสพวกเจ้าสารภาพผิดและลดโทษให้เท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าม