เมื่อได้ยินความหมายในคำพูดของเส้าหวยอัน กลายเป็นว่าตู๋กูโฉ่วเยวี่ยและองค์รัชทายาทร่วมมือกันจงใจใส่ร้ายเขา สิ่งนี้จะมิทำให้เขาโกรธได้อย่างไรเส้าหวยอันรีบแก้ต่าง “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงต้องการบอกว่า องค์รัชทายาทส่งคนมาตีหัวข้า พระองค์พาข้าไปที่หอบุปผาเมลัยแล้วก็แจ้งให้สำนักหอดูดาวหลวงของเจ้ารู้ เพื่อที่เจ้าจะได้จับข้าคาหนังคาเขา”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยดุด้วยความโกรธ “โกหก นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว ชูโม่ก็อยู่ที่นั่นด้วยในเวลานั้น หรือท่านจะบอกว่า ชูโม่ก็ร่วมกับองค์รัชทายาทใส่ร้ายท่านด้วยเล่า”เส้าหวยอันวิงวอนทั้งน้ำมูกน้ำตากับฉินอู๋ต้าว “ฝ่าบาท ข้าน้อยถูกกล่าวหาอย่างมิยุติธรรมจริง ๆ ในเวลานั้นมีเพียงองค์รัชทายาทและชายหนุ่มที่ค่อนข้างหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกลับบอกว่าชูโม่ก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาใส่ร้ายกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมมิสามารถโต้แย้งอะไรได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ"ฉินเหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อยและพูดอย่างมีความหมาย “เสด็จพ่อ สำนักหอดูดาวหลวงเป็นดาบที่เสด็จพ่อพึ่งพามากที่สุด แต่ตอนนี้ดาบเล่มนี้ดูเหมือนจะเข้าข้างองค์รัชทายาทแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า วิธีการขององค์รั
ทันทีที่ฉินซูพูดจบ เขาก็ป้ายลงไปที่ใต้จมูกของฉงชูโม่สองครั้งทันใดนั้นฉงชูโม่ก็ดูเหมือนจะไว้หนวดเคราขึ้นมาแล้ว!“องค์รัชทายาท ท่าน...”ฉงชูโม่กำลังจะโกรธ เมื่อเขาเห็นฉินซูวาดหนวดเคราบนหน้าตัวเองต่อหน้าธารกำนัลฉินซูรีบอธิบายว่า “มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่รองเสนาบดีเส้าจะจำเจ้าได้ แม่ทัพฉงอดทนหน่อยแล้วกัน”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉงชูโม่ก็มิอยากจะเช็ดหมึกออกจากใบหน้า ขณะเดียวกันก็ยังสงสัยว่า หมึกบนมือของฉินซูมาจากที่ใดเมื่อเส้าหวยอันเห็นฉงชูโม่ในเวลานี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่พอ ๆ กับถั่วหล่นลงมาบนหน้าผากของเขา ทำให้เขาตื่นตระหนกจนสิ้นท่าเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ หัวใจของฉินเหยี่ยนก็จมดิ่งลง และรู้สึกได้ถึงลางร้ายฉินซูถามด้วยรอยยิ้ม “รองเสนาบดีเส้า เหตุใดเจ้าจึงเหงื่อออกมากนัก? เจ้าร้อนมากเลยรึ?”“กระหม่อม… กระหม่อม… กระหม่อม…”เส้าหวยอันพูดมิออก ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น และเอาแต่เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขาไปเรื่อย ๆในเวลานี้ ฉินอู๋ต้าวก็รู้ว่าเส้าหวยอันกำลังทำตัวมีพิรุธเขาจึงถามฉงชูโม่ว่า “ชูโม่ เรื่องมันเป็นอย่างไร?”“ทูลฝ่าบาท ในเวลานั้น หม่อมฉันกำล
“หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ!”ฉงชูโม่ประสานมือโค้งคำนับ แล้วจากไปเช่นกันฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเองว่า “องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลด กลับพูดว่าจะทำดอกไม้ไฟ ฮึ ก็ดี ข้าจะรอดูว่าอย่างเจ้าจะทำอะไรออกมาได้”......นอกวังหลวงฉินเหยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “เสด็จพี่รัชทายาท บัญชีนี้ข้าจำไว้แล้ว เราคอยดูกันต่อไป!”หลังจากพูดทิ้งท้าย เขาก็เดินจากไปโดยมิหันกลับมามองฉินซูก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา เดินไปทางตำหนักบูรพาอย่างสบายอารมณ์ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็เดินตามไปติด ๆระหว่างทางกลับ ฉินซูถามอย่างเนียน ๆ ว่า “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย เขาว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองหลงเฉิง นี่มิใช่คำพูดเกินจริงใช่หรือไม่?”“แน่นอนว่ามิใช่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยความสามารถของเขา หากมองไปทั่วทั้งแคว้นต้าเหยียน เกรงว่าคงมีมิกี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าในฐานะศิษย์ของเขา เจ้ารู้หรือไม่ว่าวรยุทธที่เขาชำนาญที่สุดคืออะไร?”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวโดยมิต้องคิดเลย “แน่นอนว่าเป็นยุทธที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง วิชาจิตแห่งอนันต์ นี่เป็นวรยุทธทักษะการฝึกจิตให้แข็งแกร่งที่ลึกซึ้ง แม้แต่คนฉ
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยถามกลับด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย “เรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ไปรวบรวมหลักฐานความผิดของอ๋องจิ้นและอ๋องฉีให้ข้า! ตราบใดที่ตัวข้าโค่นพวกเขาได้ ตำแหน่งของข้าก็จะไม่มีใครทำให้สั่นคลอนได้ อย่างน้อยก็จนถึงวันชุนเฟินปีหน้า! ถึงตอนนั้น เจ้าก็จะมีเวลาได้อยู่กับฉงชูโม่มากขึ้น!”ฉินซูคิดว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยจะตอบตกลงโดยมิลังเลแต่กลับกลายเป็นว่าเขาส่ายหัวอย่างหนักแน่น และพูดว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมช่วยเรื่องนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้อแรก ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในพรรค นี่คือกฎเหล็กของสำนักหอดูดาวหลวงของเรา ข้อสอง หากอาจารย์เฒ่าของกระหม่อมรู้ว่า กระหม่อมยังคงช่วยเหลือท่าน เขาจะต้องหักขากระหม่อม แล้วขังข้าไว้สามถึงห้าปีเป็นแน่”“ไม่หรอกกระมัง? อย่างไรเจ้าก็เป็นศิษย์เขา เขาจะใจร้ายขนาดนี้เชียวหรือ?”“แม้แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังถูกเขาขังมาเป็นปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลย ท่านว่าเขาใจร้ายหรือไม่เล่า?”“หืม? เจ้ายังมีศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยรึ?” จุดนี้ทำให้ฉินซูรู้สึกประหลาดใจตู๋กูโฉ่วเยวี่ยถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “เฮ้อ พูดแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ช่างเ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เซี่ยหลานก็ถามด้วยความตกใจว่า “ชูโม่ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หลินชิงเหยาไม่มีที่ไป ดังนั้นจึงต้องไปที่ตำหนักบูรพา?”“หากเป็นเช่นนั้น เรื่องก็ง่ายขึ้นแล้ว กลัวก็แต่ว่านางจะไปที่นั่นพร้อมกับภารกิจ เช่นนั้นสถานการณ์ของนางก็ลำบากแล้ว”เซี่ยหลานมีสีหน้ามิเข้าใจ “ถึงนางจะไปที่นั่นพร้อมกับภารกิจ แล้วมันจะลำบากอะไร? องค์รัชทายาทก็ประกาศต่อหน้าทุกคนแล้วว่านางเป็นสตรีของพระองค์มิใช่หรือ?”ฉงชูโม่อธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หลังจากที่ข้าลองสังเกตและทำความเข้าใจในช่วงสองวันที่ผ่านมา องค์รัชทายาทมิได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก แม้กระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังมีอาจมองพระองค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”“หา? องค์รัชทายาทก็แค่สุรุ่ยสุร่าย หมกมุ่นอยู่แต่กับสุราและนารีทั้งวันวี่มิใช่หรือ? พระองค์จะมิเรียบง่ายตรงไหนกัน?”“หากเจ้าคิดเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าก็ประเมินพระองค์ต่ำไปแล้ว เอาเถอะ ข้าจะมิพูดอะไรมากไปกว่านี้ แค่จำไว้ว่าอย่าไปยุ่งกับองค์รัชทายาทมากนัก ข้ารู้สึกว่า องค์รัชทายาทมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่”เซี่ยหลานเบ้ปากอย่างมิเห็นด้วย “ชูโม่ ข้าว่าเจ้าโดนเขาหลอกแล้วกระมัง ใคร ๆ ทั้งในและ
เห็นเพียงฉงชูโม่เดินไปมิไกล ก็หายตัวไปหลังกำแพงในพริบตาเดียวครู่ต่อมา ชายชุดเขียวถือกระบี่ยาวก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณใกล้ ๆหลังจากที่เขาเข้ามา เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจในเวลานี้ มีเสียงเบา ๆ มาจากด้านหลังกำแพง!สีหน้าของชายชุดเขียวเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มือใหญ่จับด้ามกระบี่เตรียมจะชักออกมาในขณะนั้นเอง ร่างของฉงชูโม่ก็โผล่ออกมาต่อหน้าเขาอย่างน่าสะพรึงกลัวราวกับผี นางถือปิ่นปักผมอยู่ในมือแน่นปลายแหลมของปิ่นปักผมจ่ออยู่ที่คอของชายหนุ่มชุดสีเขียวชายชุดเขียวตกใจมาก รีบพูดด้วยความเคารพ “แม่ทัพใหญ่ฉง สมกับเป็นอันดับที่สองรองจากเหลยเจิ้น ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าน้อยขอคารวะ!”ฉงชูโม่มองเขา และถามด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นใคร?”“ข้าน้อยคือไช่โย่ว เข้าเป็นทหารจวนอ๋องหนิงขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉงชูโม่ก็เย็นชาลง นางเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “ท่านอ๋องหนิงให้เจ้ามาสะกดรอยตามข้างั้นรึ?”ไช่โย่วรีบอธิบายว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ฉงเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมิได้มาสะกดรอยตามท่าน แต่มาเพื่อแจ้งข่าว ท่านอ๋องหนิงได้ล่วงเกินท่านแม่ทัพใหญ่ฉงจึงกลับเข้าเมืองไปแล้ว และได้สั่งให้ข้าน้อยมาเชิญท่า
ฉงชูโม่พยักหน้าเล็กน้อย “เชิญท่านอ๋องเพคะ”เมื่อทั้งสองมาถึงห้องรับแขก ก็ได้นั่งลงตามตำแหน่งของเจ้าบ้านและแขกฉินเซียวจิบชาอุ่น ๆ ไปหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ชูโม่ ข้าได้ยินมาว่า เสด็จพ่อทรงจัดให้เจ้าไปเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพา นี่มันเรื่องอันใดกัน?”“ฝ่าบาททรงกังวลว่า องค์รัชทายาทจะก่อเรื่อง จึงส่งหม่อมฉันไปดูแล ท่านอ๋อง ท่านยังมิได้ตอบคำถามของหม่อมฉันเมื่อครู่นี้เลย ท่านมีข่าวของเขาจริง ๆ หรือ?”“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง นับตั้งแต่เขาถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน ข้าก็แอบส่งคนออกไปสืบหาที่อยู่ของเขาตลอดสามปีที่ผ่านมา โชคดีที่ฟ้ายังมิทอดทิ้งคนที่มีความตั้งใจ คนที่ถูกส่งไปก่อนหน้านี้มิกี่วันก็ส่งข่าวกลับมา บอกว่าพบร่องรอยของเขาในแถบหลงโย่ว”ฉงชูโม่ลุกขึ้นยืน พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เช่นนั้นก็เยี่ยมเลยเพคะ ขอท่านทรงบอกหม่อมฉันเร็วเถิดเพคะ ตำแหน่งที่แน่นอนของเขาตอนนี้คือที่ใด หม่อมฉันจะไปหาเขา!”“ชูโม่ เจ้าใจเย็นก่อน คนของข้าเพิ่งพบร่องรอยของเขาในแถบหลงโย่ว ยังมิรู้ตำแหน่งที่แน่นอน และดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะหลีกเลี่ยงคนของข้าอีกด้วย...”ได้ยินดังนั้น ความต
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพยักหน้าอย่างจริงจังฉงชูโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตัวเองว่า “เหตุใดข้างในจึงเงียบเช่นนี้เล่า?”นางรู้สึกสงสัย จึงยื่นมือไปเคาะประตูแต่ทันทีที่มือแตะประตู ประตูห้องตำราก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ปรากฏว่ามิได้ล็อกเห็นฉินซูในตอนนี้หันหลังให้ประตูห้องตำรา นั่งอยู่หน้าโต๊ะด้วยความตั้งใจจดจ่อ มิรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่เมื่อเห็นดังนั้น ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น อดมิได้ที่จะถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านกำลังทำ…”นางยังพูดมิทันจบ ฉินซูที่กำลังยุ่งอยู่ก็มือสั่น จากนั้นก็มีเสียง “ตู้ม” ดังขึ้น!ควันหนาทึบพวยพุ่งขึ้นตรงหน้าฉินซู กลิ่นฉุนดินปืนฟุ้งกระจายไปทั่วห้องตำราในทันทีทั้งฉงชูโม่และตู๋กูโฉ่วเยวี่ยต่างตกตะลึง อ้าปากค้างจ้องมองฉินซูฉินซูหันกลับมา บ่นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า “ฉงชูโม่ ตัวข้าไปทำอะไรให้เจ้าแค้นหรือไร? ถึงได้ร้องโวยวายอย่างนั้น!”ตอนนี้เขาดูมอมแมม มิหล่อเหลาเหมือนอย่างเคยที่น่าขันยิ่งกว่านั้นคือ ตอนที่เขาพูด ยังมีควันพวยพุ่งออกมาจากปากเขาอีกด้วย“พรวด... ฮ่าฮ่าฮ่า!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกลั้นหัวเราะไว้ได้ครู่หนึ่ง ก็ทนมิไหว ต้องเอามือกุมท้องหัวเราะออกมาเสียงดังฉง
หวังฉือกล่าวด้วยความจริงจัง "ข้ากังวลว่า หลังจากที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับมา องค์จักรพรรดิจะทรงกดดันพระองค์หนักขึ้น!"เนี่ยหงโบกมือ "พูดตอนนี้ยังเร็วเกินไป บางทีช่วงนี้องค์รัชทายาทอาจจะสร้างความดีความชอบมากมาย จนองค์จักรพรรดิทรงพอพระทัยแล้วก็เป็นได้!""ที่พูดก็มีเหตุผล เอาเถิด คอยดูว่าองค์จักรพรรดิจะทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับมา"......ในขณะเดียวกันภายในจวนอ๋องหนิงฉินเซียวถามองครักษ์ข้างกาย "อวี๋เฟิงไปไหน เหตุใดยังมิกลับมา?"องครักษ์กล่าวอย่างนอบน้อม "ทูลท่านอ๋องหนิง อวี๋เฟิงลาพักผ่อนสองสามวัน บอกว่ามีธุระกลับบ้านเกิด ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เกรงว่าเขาจะกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นหรือ แล้วตอนนี้ข้างนอกมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง?""ทูลท่านอ๋องหนิง บ่ายวันนี้ ถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูงแพร่กระจายไปทั่วโรงเหล้า โรงน้ำชา บัดนี้ทุกที่ที่ผู้คนพลุกพล่านในหลงเฉิง ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ"ฉินเซียวเผยรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย "ดีมาก กลยุทธ์ของหมู่เฟยนั้นช่างเยี่ยมยอด ทำเช่นนี้ จดหมายขององค์รัชทายาทก็เป็นเพียงเศษกระดาษ มิอาจเป็นภัยต่อข้าได้อีก!"พูดจบก็สั่งองครักษ์ "เจ้าจงไ
หวังฉือเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ กำลังจะกลับไปที่ห้องตำราในขณะนั้นคนรับใช้ก็มารายงานว่า "ใต้เท้าหวัง ท่านเสนาธิการหลิวมาขอพบ บอกว่ามีเรื่องด่วนขอรับ""หลิวเว่ยมาหรือ? เชิญเขาเข้ามาเร็ว""ขอรับ!"ครู่ต่อมา หลิวเว่ยก็เดินพรวดพราดเข้ามา "ใต้เท้าหวัง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เมื่อครู่ศาลต้าหลี่ของเราได้รับจดหมายนิรนาม เนื้อความดูหมิ่นเบื้องสูง ข้าน้อยมิกล้าตัดสินใจเอง จึงต้องมาปรึกษาท่าน"เขาพูดพลางยื่นจดหมายให้หวังฉือกวาดตาอ่านพร้อมด้วยสีหน้าตกตะลึง!"เหลวไหล เมืองหลวงอยู่ใต้พระบาทองค์จักรพรรดิ ยังมีคนกล้าพูดจาบจ้วงเช่นนี้ คนส่งจดหมายเป็นใครกัน?""มิเห็นตัวคน เพียงแต่ถ้อยความหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้ หากมิระวังอาจจะถูกบั่นคอได้ ใต้เท้าหวัง ท่านคิดว่าใครเป็นคนทำ?"หวังฉือหรี่ตาลง กล่าวว่า "ช่วงนี้ในราชสำนัก องค์รัชทายาทกำลังตกเป็นจุดสนใจ เกรงว่าจะมีคนใช้เรื่องนี้ใส่ร้ายพระองค์ มิได้การ ข้าต้องไปหาเนี่ยหงที่สำนักผู้ตรวจการ"พูดจบเขาก็รีบร้อนออกจากประตูไปแต่เมื่อถึงหน้าประตูจวน ก็เห็นเนี่ยหงเดินมาอย่างรีบร้อน"ใต้เท้าเนี่ย ข้ากำลังจะไปหาท่านพอดี ท่านมาได้อย่างไร?"เนี่ยหงกล่าวด้วยสีหน้าเค
อาจารย์สอนหนังสือทั้งสามคนตกใจจนแทบสิ้นสติ ขาอ่อนทรุดลงกับพื้น!เห็นดาบกำลังจะฟันลงบนร่างพวกเขาแต่ในขณะนั้นเอง เสียงแหวกอากาศแหลมคมก็ดังขึ้น'ฟิ้ว!'ลูกธนูแหวกอากาศอย่างรวดเร็ว ปักเข้าที่หน้าอกของอวี๋เฟิงอย่างแม่นยำ!ร่างของอวี๋เฟิงไหวเอน หันกลับไปมองอย่างยากลำบากเห็นเพียงข้างหลังมิไกล อ้ายเถียนง้างธนูยิงออกมาอีกดอก!หลังจากอวี๋เฟิงถูกยิงอีกดอก ก็ล้มลงกับพื้น พลันสิ้นใจทันใด!เมื่อเห็นดังนั้น อาจารย์สอนหนังสือทั้งสามก็คุกเข่าลงกับพื้น ขอบคุณฉินเหยี่ยนและพรรคพวก"ขอบพระคุณท่านวีรบุรุษที่ช่วยชีวิต ขอบพระคุณท่านวีรบุรุษที่ช่วยชีวิต!"ฉินเหยี่ยนโบกมือ ถามเสียงเรียบ "บอกมา เหตุใดอ๋องหนิงจึงส่งคนมาสังหารพวกเจ้า?""เอ่อ..."อาจารย์สอนหนังสือทั้งสามมองหน้ากัน มีความกังวลฉินเหยี่ยนคำราม "ตัวข้าช่วยพวกเจ้าได้ ก็ฆ่าพวกเจ้าได้ บอกความจริงมา!"เมื่อเห็นฉินเหยี่ยนเรียกแทนตัวว่า 'ตัวข้า’ ทั้งสามก็เข้าใจในทันใดว่า คนตรงหน้าคือองค์ชาย!จึงรีบเล่าเรื่องการเลียนแบบลายมือ คัดลอกจดหมายให้แก่อ๋องหนิงจนหมดเปลือกเมื่อรู้ว่าจดหมายที่คัดลอกเป็นถ้อยความหมิ่นเบื้องสูง ฉินเหยี่ยนก็มีสีหน้าเคร่ง
"แต่ท่านอ๋อง..."ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินเซียวก็กล่าวแทรกขึ้นมาก่อน "มิคัดลอกก็ตาย พวกเจ้าเลือกเอาเอง!"เมื่อฉินเซียวพูดจบ องครักษ์หน้าประตูก็ชักดาบรบออกมาเมื่อได้ยินเสียงดาบแหลมคม นักปราชญ์ทั้งสามก็หน้าซีด ตัวอ่อนปวกเปียกทรุดลงกับพื้นฉินเซียวพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง "ข้าเพียงต้องการให้พวกเจ้าเลียนแบบลายมือบนนั้นแล้วคัดลอกเท่านั้น อีกอย่างเรื่องนี้ก็มีแค่พวกเราที่รู้ ข้าจะมิแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป พวกเจ้าจะกลัวหาปะไร!""ที่สำคัญ ตราบใดที่พวกเจ้าทำตามที่ข้าบอก ทองเหล่านี้ก็จะเป็นของพวกเจ้า เมื่อมีเงินเหล่านี้ก็พอที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสบาย หรือแม้แต่รับอนุภรรยาอีกสักสองสามคนก็ยังเหลือเฟือ พวกเจ้าจะลังเลกระไรเล่า?"เมื่อได้ยินฉินเซียวพูดเช่นนี้ พวกเขาทั้งสามก็มองหน้ากันแล้วพยักหน้า"พ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะทำตามที่ท่านอ๋องบัญชา!""ดีมาก ใครก็ได้ จัดเตรียมพู่กันและหมึกให้ที!"จากนั้นอาจารย์สอนเขียนอักษรทั้งสามคนก็เลียนแบบลายมือบนจดหมายหลังจากผ่านไปครึ่งวัน พวกเขาก็เลียนแบบลายมือบนนั้นได้สำเร็จ คัดลอกออกมาคนละชุดฉินเซียวมองดูแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ "ดีมาก ลำบากพวกเจ้าแล้ว ทอง
เกาส่วงมิเข้าใจความหมายของฉินซู แต่ตอนนี้เขามิกล้าโกหกอีก จึงทำได้เพียงพยักหน้า"ตอนที่ข้าน้อยอยู่จวนอ๋องหนิง ข้าน้อยเป็นผู้ดูแลจวน ดังนั้นลายมือของอ๋องหนิง ข้าน้อยรู้จักดีพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็นำจดหมายที่ได้มาจากทั่วป๋าเฮ่าออกมา จากนั้นเขาก็แสดงให้ดูเพียงบางส่วน แล้วถามว่า "นี่ใช่ลายมือของฉินเซียวหรือไม่?"เกาส่วงมองดูแล้วตอบ "ใช่แน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ""ดีมาก!"ฉินซูพยักหน้าอย่างพอใจแล้วพูดกับสวีเซี่ยงเฉียนว่า "ดูแลพวกเขาให้ดี หากพวกเขาตาย เจ้าก็เอาหัวมาประเคนข้าได้เลย!"สวีเซี่ยงเฉียนจิตใจกระตุกวูบ รีบกล่าว "องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย รับรองว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!"เมื่อพูดจบ เขาก็เรียกให้ลูกน้องมัดเกาส่วงและคนอื่น ๆ เอาไว้ตงฟางไป๋สอบถาม "องค์รัชทายาท จะจัดการกับโจรป่าเหล่านี้อย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?"ฉินซูตั้งใจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด แต่เมื่อใคร่ครวญแล้วก็กล่าวว่า "เจ้านำคนไปส่งยังที่ว่าการอำเภอเหยียนอัน ให้ผู้ว่าการอำเภอเอาตัวพวกมันไปตัดหัวประจานกลางตลาดเสีย"ถานเหวยกล่าวสรรเสริญ "องค์รัชทายาททรงพระปรีชาสามารถ ด้วยวิธีนี้ ยังทำให้พวกคนต่ำช้าที่มีใจคิดคดหวาด
ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานเสียยิ่งกว่าความตายเพียงครู่เดียว คนชุดดำก็ถูกทรมานจนหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ไหลลงมาตามแก้มมิหยุดและสิ่งที่ทำให้เขาทนมิได้มากที่สุดคือ บัดนี้เขาขยับร่างกายมิได้แม้แต่น้อย อยากจะเอื้อมมือไปเกาก็ทำมิได้เขาทนมิไหวอีกต่อไป รีบพูด "หยุด... ขอร้องหยุดเถิด ข้าน้อยจะพูด ข้าน้อยจะพูดทุกอย่าง รีบหยุดเถิด..."ฉินซูโบกมือ!เข็มเงินที่ปักอยู่ที่จุดเจียนอวี๋บนไหล่ของเขาก็บินกลับมาที่มือของตนหลังจากเข็มเงินหลุดออก คนชุดดำก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และหายใจหอบหนัก"พูดมา หากเจ้ากล้าปดแม้แต่ครึ่งคำ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองบทลงโทษที่โหดร้ายกว่านี้"เมื่อได้ยินฉินซูพูดเช่นนี้ คนชุดดำก็อกสั่นขวัญแขวน!เมื่อครู่เขายังรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นแล้ว เขามิกล้าลิ้มลองบทลงโทษที่โหดร้ายกว่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รีบพูด "ข้าน้อย... ข้าน้อยเป็นหนึ่งในขันทีผู้ดูแลสำนักขันทีฝ่ายพิธีการ นามว่าเกาส่วง ได้รับคำสั่งจากพระสนมเสียนเฟยให้มาลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"เกาส่วงกลัวว่าฉินซูจะทรมานเขาต่อไป จึงพูดหมดเปลือกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อย เลิกคิ้วถาม "สำน
'ฉึก!'เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เข่าซ้ายของคนชุดดำถูกปราณดัชนีของฉินซูเจาะทะลุเลือดสีแดงสดพุ่งออกมา!และคนชุดดำก็เสียหลักทรุดลงไปสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ตะลึงจนพูดมิออก!หลังจากตั้งสติได้ เขาก็กระแทกฝ่ามือลงบนพื้น ร่างก็พุ่งออกไป!เขางอนิ้วทั้งสิบ มือทั้งสองราวกับกรงเล็บอินทรี จิกเข้าที่คอของฉินซูอย่างแรงด้วยปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่ง นิ้วทั้งสิบของเขามีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเหล็กกล้า!"แมลงหวังโค่นต้นไม้ใหญ่ มิเจียมตัว!"ฉินซูหัวเราะเยาะ ยื่นมือออกไป จับข้อมือของคนชุดดำไว้ได้อย่างรวดเร็วจากนั้นก็ออกแรงอย่างรุนแรง!'กร๊อบ กร๊อบ!'หลังจากเสียงดังกรอบแกรบสองครั้ง กระดูกข้อมือของคนชุดดำก็แตก!กระดูกแหลมคมแทงทะลุเนื้อออกมา น่าขนลุกขนพอง"อ๊าก! มือข้า!!"คนชุดดำร้องโหยหวน หลังจากตั้งสติได้ เขาก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือ "ท่าน ท่านเป็นผู้มีพลังระดับสวรรค์จริง ๆ!"เหตุผลที่เขาพูดเช่นนี้เป็นเพราะเขาเองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปฐพีขั้นสูงสุดพลังระดับนี้ แต่กลับไร้แรงต่อต้านเมื่อเผชิญหน้ากับฉินซู นี่แสดงให้เห็นว่า พลังของฉินซูแข็งแกร่งกว่าระดับปฐพี นั่นก็คือระดับสวรรค์
ในขณะนั้นเสียงของฉินซูก็ดังมาจากป่าข้าง ๆ"ไว้ชีวิต!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดาบที่พวกตงฟางโซ่วสองคนฟันลงมาครึ่งทางก็หยุดชะงักคนชุดดำทั้งสองก็ตกใจจนเหงื่อเย็นเยียบไหลรินออกมา ราวกับได้เดินผ่านประตูนรกสวีเซี่ยงเฉียนพูดกับตงฟางโซ่ว "เจ้าเฝ้าพวกมันไว้ ข้าจะไปช่วยองค์รัชทายาท!""มิต้อง องค์รัชทายาทมียอดฝีมือช่วยเหลืออยู่ วรยุทธ์ของเราเข้าไปก็มีแต่จะสร้างความวุ่นวายเปล่า ๆ คอยคุ้มครองพวกใต้เท้าเซี่ยเถิด""ก็ได้ ข้าอยากจะเห็นเหมือนกันว่า ใครกันที่บังอาจลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาท!"สวีเซี่ยงเฉียนพูดจบ ก็เอื้อมมือไปดึงผ้าปิดหน้าของคนชุดดำทั้งสองออกและได้เห็นว่าคนทั้งสองมีใบหน้าขาวสะอาด ไม่มีหนวดเครา ลักษณะอ้อนแอ้นเหมือนสตรีเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของคนทั้งสอง สวีเซี่ยงเฉียนก็ชะงักไปเขายื่นมือไปจับที่เป้าของคนทั้งสอง จากนั้นก็อุทาน "ให้ตายสิ พวกเจ้าเป็นขันทีจากสำนักขันทีฝ่ายพิธีการ!!"เมื่อครู่เขายังรู้สึกว่าคนทั้งสองคุ้นหน้ามาก รู้สึกเหมือนเคยเจอที่ใดมาก่อนยามนี้เมื่อรู้ว่าคนทั้งสองเป็นขันที เขาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเคยเจอพวกเขาที่สำนักขันทีฝ่ายพิธีการขันทีจากสำนักขันทีฝ่ายพิธีการก
"น้องสอง สวีเซี่ยงเฉียน พวกเจ้าสองคนอยู่คุ้มครององค์รัชทายาทและพวกใต้เท้าถาน ส่วนที่เหลือตามข้ามา!"ตงฟางไป๋พูดจบ ก็ยกดาบรบขึ้นฟ้า นำหน้าพุ่งเข้าโรมรันหลังจากพุ่งเข้าไปในกลุ่มศัตรู ดาบรบในมือของเขาก็ฟาดฟันอย่างรุนแรง ฟันคนไปหลายคนราวกับผ่าแตงคนอื่น ๆ ก็ตามเข้าไปต่อสู้กับโจรป่าที่บ้าคลั่งเหล่านี้แม้ว่าวรยุทธ์ของโจรป่าเหล่านี้จะมิแข็งแกร่งนัก แต่ก็มีจำนวนมากแม้ตงฟางไป๋กล้าหาญถึงเพียงนี้ แต่ก็มิสามารถฆ่าพวกมันให้หมดได้ในคราวเดียวตงฟางโซ่วและสวีเซี่ยงเฉียนที่เฝ้าอยู่หน้ารถม้า จ้องมองการต่อสู้อย่างมิกะพริบตา ดาบรบในมือของพวกเขาพร้อมที่จะฟาดฟันได้ทุกเมื่อในขณะที่การต่อสู้กำลังดุเดือด จู่ ๆ ก็มีร่างคนสองร่างพุ่งออกมาจากป่าข้าง ๆ !ทั้งสองปิดหน้า สวมชุดดำ คนหนึ่งกระโดดเข้ามา โจมตีฉินซูที่อยู่ข้างรถม้า"บังอาจนักเจ้าพวกโจร!!"ตงฟางโซ่วคำราม พลันกระทืบเท้ากับพื้น ร่างพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่สวีเซี่ยงเฉียนก็มิยอมแพ้ โบกดาบรบในมือใส่ชายชุดดำอีกคนในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้ตะลุมบอนกับคนชุดดำ ร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากราวป่าหลังจากปรากฏตัว เท้าทั้งสองของเขาก็เหยียบหินก้อนใหญ่ข้า