“องค์รัชทายาทประทับอยู่ในเมืองเหลียงโจวแล้วมิใช่หรือ หากวันพรุ่งที่ว่าการมณฑลยังคงนิ่งเฉย เช่นนั้นข้าก็จะมิสนใจอะไรแล้ว ข้าจะไปหาองค์รัชทายาทเพื่อขอคำอธิบายเอง” “ตกลง! เช่นนั้นพวกเราสามคนเจอกันวันพรุ่ง!” “ได้ รักษาตัวด้วย!” ทั้งสามกล่าวลากัน จากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างขนส่งข้าวร้อยต้านกลับไปยังพื้นที่ของตน ในเวลาเดียวกัน ในเมืองเหลียงโจว ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่าชี่ไพ่โจวเซินและสวี่โย่วไฉสองคนกำลังหารือเรื่องการซื้อเสบียงบรรเทาภัยพิบัติกับพ่อค้าขายข้าวในท้องถิ่นหลายคน ในเวลานั้นพ่อค้าข้าวหลายคนต่างมีสีหน้าหนักใจ บางคนถึงกับแสดงความมิพอใจออกมา โจวเซินยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็นก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทุกท่าน ข้าอธิบายชัดเจนเป็นอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งนี่คือความหมายของใต้เท้าเฉินด้วย พวกท่านเองก็พิจารณานานพอแล้ว ข้าขอคำตอบที่แน่ชัดเสียทีได้หรือไม่?” คนทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดว่า “ท่านผู้ช่วย เนื่องจากผลกระทบของภัยพิบัติเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราคาข้าวจึงพุ่งสูงขึ้นทุกครั้ง แต่พวกท่านจะให้กำไรพวกเราแค่สองส่วนเท่านั้น เช่นนี้มันขาดทุนเห็น ๆ นะขอรับ” “ใช่แล้วผู้ช่วยโจว ถ
สวีหลายพูดอย่างจริงจังว่า “สังหารพวกเขาตอนนี้ก็เป็นเพียงการแหวกหญ้าให้งูตื่น จะเป็นการทำให้เฉินจางและพรรคพวกหนีรอดไปได้ พวกเราจะต้องถอนรากถอนโคนพวกนั้น!” “นับแต่โบราณนานนมราษฎรมิอาจต่อกรกับขุนนางได้ มันจะง่ายดังเช่นท่านพูดที่ไหนกัน” “สำหรับพวกเรามันยากก็จริง แต่ว่าในเมืองยามนี้มิได้มีคนที่สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกมันได้แล้วหรือไร?” เฉิงอิงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยถาม “สามี ท่านหมายถึงองค์รัชทายาทใช่หรือไม่?” สวีหลายพยักหน้าเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว องค์รัชทายาททรงได้รับพระราชโองการให้มาสำรวจพื้นที่ภัยพิบัติและทรงมีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลัง” “แต่ว่าสามี ได้ยินว่าองค์รัชทายาททรงประพฤติผิดศีลธรรม ทั้งหมกมุ่นในสุรานารีทั้งวัน พระองค์จะออกหน้าเพื่อราษฎรหรือ?” “นั่นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ระยะหลังการแสดงออกขององค์รัชทายาทกลับโดดเด่นกว่าองค์ชายพระองค์อื่นมากนัก นอกจากนี้ข้าเคยพบเขาที่หลงโย่วเมื่อมินานมานี้ เขาทำให้ข้ารู้สึกว่า เขามิเหมือนจวิ้นอ๋องที่เอาแต่แสวงหาความสำราญเลย” เฉิงอิงยังคงกังวลอยู่ “ถึงแม้องค์รัชทายาทจะประสงค์ดูแลเรื่องนี้จริง ๆ แต่เฉินจางกับโจวเซินล้วนเป็นพวกมากเล่ห์เ
“เดิมสำนักหอดูดาวหลวงก็มีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลังอยู่แล้ว หากนางค้นพบหลักฐานความผิดของเฉินจางจริงก็ถือว่าเขาสมควรตาย แต่เฉินจางเป็นถึงผู้ว่าการมณฑล หลักฐานกระทำผิดจะถูกเปิดเผยง่าย ๆ ได้อย่างไร” “เช่นนั้นแล้วองค์รัชทายาทก็ยังให้กู้เสวี่ยเจี้ยนแอบไปสืบที่จวนผู้การมณฑลงั้นหรือเพคะ?” “นางเอาแต่พูดจ้อใส่หูข้ามิหยุด หูข้าแทบจะด้านอยู่แล้ว” เช่นนี้เซี่ยหลานถึงได้ยิ้มอย่างจนใจ “อารมณ์ของกู้เสวี่ยเจี้ยนนั้นยากที่จะคาดเดานักเพคะ ก่อนหน้านี้นางก็เย็นชาถึงเพียงนั้น” ฉินซูบ่นว่า “เย็นชาอะไรกัน อย่างนางเรียกว่าพวกซึนเดเระ” “ซึนเดเระหรือเพคะ?” เซี่ยหลานถามอยางสงสัย “องค์รัชทายาท ซึนเดเระหมายความว่ากระไรหรือเพคะ?” ฉินซูกำลังจะอธิบาย ตอนนี้เองตงฟางไป๋ได้เดินเข้ามา “องค์รัชทายาท มีคนด้านนอกนำจดหมายมาส่ง บอกว่ามอบให้ท่านขอรับ” ในขณะที่พูด ตงฟางไป๋ก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ ฉินซูเปิดอ่านเพียงแวบเดียวก่อนกล่าวว่า “เซี่ยหลาน ข้าต้องออกไปทำธุระสักครู่ เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน หากพวกเฉินจางถามถึงก็บอกว่าข้าออกไปเดินเล่น” “เพคะ องค์รัชทายาทโปรดทรงระวังตัวด้วย” ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อยแล้วออกไปพ
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งตงฟางไป๋ว่า “เจ้านำคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูพ่อค้าขายข้าวในเมือง และต้องเฝ้าดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด!” “น้อมรับพระบัญชา!” ตงฟางไป๋กำลังจะออกไป แต่กลับลังเลเล็กน้อยและถามว่า “องค์รัชทายาท หากข้าน้อยออกไปแล้ว ท่านเพียงพระองค์เดียว…” ฉินซูตอบอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่ว่าเจ้ามิรู้ถึงพลังของข้า จะกังวลอะไรอีก” ตงฟางไป๋หัวเราะอย่างจริงใจ “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เป็นข้าน้อยที่คิดมากไปเอง” ตอนนี้เอง สายตาของฉินซูเย็นเยียบในฉับพลัน มือใหญ่ของเขาคว้าออกกลางอากาศโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า! “ปัง!” ประตูถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชายคนหนึ่งถูกฉินซูบีบคอไว้อย่างแน่นหนา! ชายผู้นี้คิ้วโก่งและตาเหมือนหนู มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดี หลังจากถูกฉินซูบีบคอ เขาตกใจจนหน้าซีด แววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฉินซูตะคอกถามว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ?” “ข้า… แค่ก ๆ…” ชายผู้นั้นพูดอย่างยากลำบาก ยังมิทันพูดจบประโยค ใบหน้าก็แดงก่ำฉินซูคลายมือเล็กน้อย ชายคนนั้นถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง หลังจากตั้งสติได้ เขาพูดด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “องค์รัชทายาท ข้าน้อยแค่ผ่านม
เขานั่งลงพร้อมใบหน้าที่สนใจใคร่รู้และเอ่ยถามว่า “พี่น้องทั้งหลาย ที่พวกท่านเพิ่งพูดคือความจริงงั้นหรือ?” คนเหล่านั้นเห็นว่าฉินซูสวมเสื้อผ้าหรูหรา ท่าทางมิธรรมดาจึงเริ่มทำหน้าระมัดระวังในทันใด หนึ่งในนั้นส่ายหน้าและปฏิเสธว่า “เมื่อครู่พวกเรามิได้พูดอะไรเลย…”ฉินซูยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “พวกท่านอย่ากังวลไปเลย ข้าคือคนต่างถิ่น เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกท่านพูดเช่นนั้นจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาเท่านั้นเอง” แต่ว่าคนเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความระแวดระวัง จึงไม่มีใครเปิดปากพูด เห็นท่าทีนั้น ฉินซูจึงหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเมื่อเห็นเงิน ดวงตาของพวกเขาก็ส่องสว่างทันที ชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งเอ่ยถามว่า “คุณชายท่านนี้ เงินนี้…ให้พวกเรางั้นหรือ?” “ถูกต้อง ขอเพียงพวกท่านสามารถตอบคำถามของข้าสองสามข้อตามความจริงได้ เงินนี้จะเป็นของพวกท่าน” ได้ยินแล้วพวกเขาต่างแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็พยักหน้ารัว ๆ จากนั้นฉินซูจึงถามเข้าประเด็นทันทีว่า “เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งพูดว่า ที่ว่าการมณฑลกักตุนข้าวของเหลียงโจวไว้ นั่นหมายความว่าอย่างไร?” คนเหล่านี้ถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มเล่าเรื่องราว แท้จริงแล้ว ห
“จิ๊! ก็เป็นไปได้!”“ถูกต้อง มิเช่นนั้นใครจะใจกว้างขนาดนี้เพื่อสืบหาข้อมูลพวกนี้กันเล่า”“หากเป็นเช่นนั้นจริง ชีวิตที่สุขกายสบายใจของพวกขุนนางกังฉินอย่างเสินจางก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ถือว่าสวรรค์มีตาฟ้ามีใจโดยแท้!”ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทว่าหลังจากที่ฉินซูออกมาจากโรงน้ำชา เขาก็มิได้กลับไป แต่เดินสอบถามไปตามถนนและเมื่อสอบถามข้อมูลมาได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในเมืองเหลียงโจวแล้วนอกเหนือจากอำเภอทั้งสามอันได้แก่เหรากู่ ฉงซานและเป่ยเซียงที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากภัยพิบัติครั้งนี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอำเภอที่เหลือก็มิได้ร้ายแรงมากนัก โดยอาศัยการกักตุนข้าวในโรงนาของที่ว่าการอำเภอในแต่ละอำเภอ ราษฎรผู้ประสบภัยจึงสามารถรอดพ้นจากความอดอยากไปได้อย่างปลอดภัยฉินซูยังตามหาพ่อค้าเหล่านั้นโดยเฉพาะเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่ที่ว่าการอำเภอบังคับซื้อข้าวในราคาต่ำแต่พวกเขามีความกังวลบางอย่าง จึงมิได้ตอบกลับตรง ๆเมื่อเห็นสถานการณ์ ฉินซูก็รู้ว่าข้อมูลเหล่านี้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงแล้วหลังจากเดินเตร่ไปตามถนนได้สักพักเขาก็กลับมายังที่ว่าการมณฑลขณะเดียวกันห้อ
ฉินซูพยักหน้าอย่างมิหวั่น “ยากนักที่ใต้เท้าเฉินจะมีน้ำใจเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปที่นั่นแน่นอน!”“ขอบพระทัยสำหรับพระกรุณา เช่นนั้นเหล่าข้าน้อยขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”เฉินจางโค้งคำนับด้วยความดีใจ จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไปพร้อมกับโจวเซินและคนอื่น ๆทันทีที่พวกเขาออกไป ถานเหวยก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“องค์รัชทายาท เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นพวกเขาทำสายตาล่อกแล่ก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทำอะไรผิดมาแน่ อาจจะมีบางอย่างผิดปกติกับราคาที่พวกเขาเจรจากับพ่อค้าขายข้าวเหล่านั้น พวกเราจะมิสอบถามสักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มพลางส่ายหัว “ตอนนี้ปล่อยไปก่อน หากพวกเขากล้าที่จะโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ข้าจะทำให้พวกเขาต้องกระอักเลือดออกมาสิบครั้งร้อยครั้ง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถานเหวยก็ตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเขาก็แวววาวคาดหวัง!ครึ่งวันถัดมา เฉินจางและคนอื่น ๆ ก็นำเงินห้าแสนตำลึงไปซื้อเสบียงระหว่างทางโจวเซินขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาสั่นไหวและมิรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เฉินจางถามอย่างสงสัย “ผู้ช่วยโจว เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ขมวดคิ้วเช่นนี้?”“ใต้เท้าเฉิน ข้าแค่คิดว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเกินไป องค์รั
ฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “แค่เรื่องเล็กน้อย มิควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอก”“เรื่องขององค์รัชทายาทก็ถือเป็นเรื่องของข้าน้อย หากทรงต้องการให้ข้าน้อยรับใช้สิ่งใด องค์รัชทายาทก็หาอย่าได้เกรงพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีปัญหา ๆ นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว กินข้าวกันก่อนเถิด ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็คงหิวแล้วเช่นกัน”“ที่องค์รัชทายาทตรัสก็ถือว่าถูก มาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยขอเชิญท่านดื่มหนึ่งจอก”เฉินจางยกแก้วขึ้นเป็นสัญญาณ จากนั้นก็ดื่มสุราจนหมดในอึกเดียวฉินซูยิ้มบาง ๆ และดื่มด้วยเช่นกัน“หว่านเอ๋อร์ รีบรินสุราให้องค์รัชทายาทเร็วสิ”เฉินหว่านเอ๋อร์ส่งเสียงอืมตอบรับ จากนั้นก็หยิบไหเหล้าขึ้นมา พลางก้มลงและรินสุราให้กับฉินซูนอกจากนี้นางยังจงใจก้มต่ำมากกว่าปกติเพื่อให้ฉินซูสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่ภายในชุดกระโปรงของนางแบบเต็ม ๆ ตาได้อย่างง่ายดายเมื่อเซี่ยหลานเห็นภาพนั้น นางก็โกรธมากจนกัดฟันและนึกอยากจะเข้าไปตบเฉินหว่านเอ๋อร์สักฉาดสองฉาดการที่เห็นเฉินหว่านเอ๋อร์ยั่วยวนฉินซูอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำเอานางถึงกับโมโหขึ้นมาตอนนี้ที่โจวเซินกับคนอื่น ๆ ต่างดื่มอวยพรให้กับฉินซู ถานเหวยและคณะเดินทางก็ท
หนึ่งชั่วยามต่อมาฉินซูและคนอื่น ๆ กลับมาถึงที่ว่าการอำเภอเหรากู่ พบว่ามีเหล่าเจ้าหน้าที่จำนวนมากมุงล้อมรอบอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ ถานเหวยจึงเอ่ยถาม "ใต้เท้าเว่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"ผู้ว่าการเว่ยเห็นฉินซูและคนอื่น ๆ กลับมาก็รีบรุดหน้าเข้ามาพบเขาดูตื่นตระหนกอย่างมากและกล่าวขึ้น "องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ผู้ตรวจการของเราถูกสังหารไปหลายคน ส่วนใต้เท้าเซี่ยเองก็ถูกคนชั่วนั่นจับตัวไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"“ว่ากระไรนะ?!”ฉินซูเปลี่ยนสีหน้า ถามเสียงเข้มว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”“ข้าน้อยเองก็มิทราบรายละเอียดนัก แต่คนร้ายได้เขียนข้อความทิ้งไว้ตรงหน้าประตูที่ว่าการอำเภอ หากพระองค์...”มิทันพูดจบ ฉินซูก็ก้าวยาว ๆ ผ่านฝูงชนตรงไปตรงหน้าประตูที่ว่าการอำเภอบนประตูมีข้อความถูกจารึกไว้อย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง "ฉินซู หากอยากช่วยสตรีของเจ้าก็จงมาที่ลานหินแตกนอกเมือง หากเจ้ามิมาถึงก่อนอาทิตย์ตกดินก็รอรับศพสตรีของเจ้าซะ!"เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินซูก็ดุดันน่าสะพรึงกลัวกู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองฉินซูอย่างสงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็จึงดึงปิ่นปักผมที่ปักไว้บนประตูออกมาหลังจากพินิจปิ
ผู้ตรวจการที่ประจำอยู่หน้าประตูมองเห็นชายผู้นั้น ก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านลุง มีเรื่องอะไรจะมาแจ้งความหรือ?”ชายชราผู้มีผมขาวแต่ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สวมเสื้อคลุมสีเทา มิใช่ใครอื่นนอกจากซือคงเหยียน!เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "องค์รัชทายาทอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้ตรวจการหลายคนสบตากัน ก่อนที่หัวหน้ากลุ่มจะถามกลับด้วยความระมัดระวัง "ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงสอบถามเรื่องนี้?"แววอำมหิตฉายไปทั่วใบหน้าของซือคงเหยียน มือใหญ่ของเขาพลันยื่นออกมา!เพียงชั่วพริบตา เขาก็คว้าคอผู้ตรวจการคนนั้นเอาไว้!ทันใดนั้นสีหน้าของคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างชักดาบออกมา!“ปล่อยหัวหน้าของเราเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นพวกเราจะมิเกรงใจแล้ว!”ซือคงเหยียนเหลือบมองพวกเขาและพูดอย่างหยามหยัน "แมลงตัวกระจ้อย ยังกล้าตะโกนใส่หน้าข้า ช่างมิรู้จักความตายเสียแล้ว!"สิ้นเสียงพูด เขายกมืออีกข้างออกมาตบผู้ตรวจการคนนั้นผ่านอากาศ!ลมปราณที่รวดเร็วสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา!ผู้ตรวจการหลายคนยังมิทันได้ขยับตัวก็ถูกแรงฝ่ามือนั้นซัดปลิวไปไกลถึงสี่หรือห้าจั้ง ก่อนจะตกกระแทกพื้นอย่างแรงหลังจากที่พวกเขาล้มลงกับ
ดวงตาของซือคงเหยียนฉายแววสังหาร จากนั้นเขาก็เริ่มค้นหาภายในป่าแต่หลังจากค้นหาอยู่นานก็มิพบอะไรเลยสีหน้าของเขาหม่นมืดลึกลับ และพึมพำกับตัวเอง“ทั่วทั้งป่ามีเพียงตรงนี้ที่มีเลือดของจื่อชิน แต่ว่าศพของเขาไปอยู่ที่ใดกัน? ต่อให้ถูกพวกปีศาจภูเขากิน ก็เป็นไปมิได้ที่จะหายไปมิเหลือร่องรอย!”ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องน่าประหลาดเกินไปแต่ตอนนี้ที่ยังหาศพของหนานกงจื่อชินมิพบ ซือคงเหยียนจึงทำได้เพียงเก็บความคับแค้นไว้ในใจและเดินออกจากป่าไปในตอนนั้นเอง ที่ถนนหลวงด้านนอก มีพ่อค้าเร่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านพอดีชายคนหนึ่งพูดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง "พี่เจียง เจ้าได้ยินแล้วหรือยังว่า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าเหยียนของเราได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์หออะไรนั่นของเป่ยเยี่ยนแล้ว!"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของซือคงเหยียนพลันมืดหม่นลง ร่างของเขาวูบไหวชั่วขณะก่อนปรากฏขึ้นตรงหน้าชายผู้นั้นราวกับภูติผีชายคนนั้นตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซือคงเหยียนจนขาอ่อนและเซล้มลงกับพื้นเมื่อเห็นกลิ่นอายอำมหิตบนใบหน้าของซือคงเหยียน ชายคนนั้นก็ตื่นตกใจจนพูดอะไรแทบมิออก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร คิดจะทำ… ทำอะไร?”ซือคงเ
“หวังฉือกับเนี่ยหงไอ้สุนัขสองตัวนั่น กล้าโจมตีพวกเราต่อหน้าเหล่าขุนนางเลยรึ น่าโมโหนัก!”ฉินหงปลอบใจเขา "เสด็จพี่สามใจเย็นก่อน ทั้งตุลาการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายไม่มีทางก่อปัญหาใหญ่ได้หรอก เมื่อไหร่ที่รัชทายาทล้มลง พวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้เจ้าของ ไยต้องไปถือสาหาความกับพวกเขาเล่า”“ข้าแค่หงุดหงิดเท่านั้นเอง อีกอย่าง เสด็จพ่อยังสั่งให้หัวหน้าสำนักจับตาดูหอดารารักษ์ แล้วคนจากหอดารารักษ์จะมีโอกาสไปแก้แค้นฉินซูได้อย่างไร?”“ความแข็งแกร่งของหอดารารักษ์มิได้ด้อยไปกว่าสำนักหอดูดาวหลวงเลย เจ้าสำนักคงมิสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จ มิว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ต้องทำให้องค์รัชทายาทยุ่งยากแน่นอน พวกเราแค่รอดูผลลัพธ์ก็พอ”ฉินหยางพยักหน้าเล็กน้อยและถามอีกครั้ง "ว่าแต่ มีข่าวคราวจากเรือสินค้าที่มุ่งใต้ไปยังหลิ่งหนานบ้างหรือไม่?"ฉินหงถอนหายใจ “ยังไม่มีเลย แต่ถ้าคำนวณเวลา ตอนนี้เรือลำนั้นน่าจะผ่านเขตเหยี่ยนโจวแล้ว”“หึ พวกโจรสลัดในเหยี่ยนโจวนั่นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ข้าวแปดพันต้านกับเงินหกแสนตำลึง ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินมหาศาล แต่พวกมันกลับมิกล้าลงมือ!”“คงมิแน่เสมอไปว่าจะมิกล้าลง
ฉินอู๋ต้าวยังมิทันได้แสดงท่าที หวังฉือก็โต้แย้งขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยมิเข้าใจคำพูดของอ๋องซิ่น ยามนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเลย แล้วเหตุใดท่านจึงต้องให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาให้รอบคอบด้วยหรือ?”“นั่นสิ เป่ยเยี่ยนเดิมทีก็มีความตั้งใจจะล่วงล้ำพรมแดนของราชวงศ์ต้าเหยียนมาตลอด ยามนี้ยังมิได้มีการระดมทัพเลย แต่ท่านอ๋องซิ่นกลับกลัวแล้ว หากวันหนึ่งเป่นเยี่ยนระดมทัพขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะมิสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิแบ่งดินแดนให้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินหยางถูกหวังฉือและเนี่ยหงโต้กลับจนหน้าซีดในที่สุดบัดนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า หวังฉือและเนี่ยหง ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสองที่กลายเป็นคนของฉินซูไปแล้วเขาเกิดความสงสัย ฉินซูเป็นองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด เขามีดีอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นยอมรับเขาเป็นผู้นำ?แต่เมื่อเผชิญกับคำซักถามอย่างเข้มงวดของหวังฉือและเนี่ยหง เขาก็มิอาจอุบเงียบเอาไว้ได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา"หึ! ข้าในฐานะจวิ้นอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ต่อให้วันข้างหน้าสงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง ก็ย่อมไม่มีทางให้เสด็จพ่อยอมสละดินแดนเพื่อขอสันติภาพ เพียงแต่ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร
ข่าวที่ว่าฉินซูได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์นั้นแพร่กระจายราวกับไฟป่า ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ทุกมื้อหลังอาหารบางคนยกย่องฉินซูว่าเขาทำให้ต้าเหยียนมีเกียรติบางคนถึงกับแอบส่ายหัว แม้ว่าฉินซูจะเป็นรัชทายาท ทว่าการสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์โดยไร้เหตุผลนั้นคงมิเป็นที่ยอมรับของราชสำนักเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ จากนี้ไปฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้อาจไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุขอีกต่อไปคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดคงเป็นมู่หรงจื่อเยียนหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ใจนางก็เกิดความสงสัยว่า คนที่ฆ่าหนานกงจื่อชินคือฉินซูจริง ๆ หรือ?แต่ฉินซูเก่งแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารหนานกงจื่อชินได้อย่างไร?ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อยามหลังจากที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น ฉินซูเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นได้ในพริบตา นางก็ตระหนักว่าความแข็งแกร่งของฉินซูนั้นมิธรรมดาเมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบสงบสติอารมณ์ และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงหากมู่หรงฟู่รู้ว่าฉินซูมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ สถานการณ์ของฉินซูคงจะอันตรายอย่างมากต่อมา มู่หรงจื่อเยียนเลือกที่จะ
ฉินหงมองเนื้อหาในจดหมายเพียงครู่เดียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!เขากล่าวเสียงทุ้มหนัก "เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนอ๋องซิ่น แล้วก็แจ้งให้ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเซี่ยมาประชุมที่จวนอ๋องซิ่นด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ!"สองเค่อต่อมาฉินหงพร้อมด้วยหลินซีและคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันที่จวนอ๋องซิ่นฉินหยางถามอย่างสงสัย "น้องสี่ ดึกป่านนี้พวกเจ้ายังมากัน มีข่าวดีอะไรจากทางคูมู่หรือ?""ยังติดต่อคูมู่มิได้ แต่เสด็จพี่สาม พวกท่านลองดูนี่ก่อน"ฉินหงพูดพลางวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะฉินหยาง หลินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความบนจดหมายโดยพร้อมเพรียงหลังจากได้อ่านแล้ว เซี่ยเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "ว่ากระไรนะ? ฉินซูสังหารศิษย์เอกของหอดารารักษ์?!"ฉินหยางถามด้วยสีหน้าฉงน "น้องสี่ แน่ใจหรือว่าข่าวนี้เป็นความจริง?""น่าจะมิใช่เรื่องเท็จ ศิษย์เอกของหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่งในแคว้นเป่ยเยี่ยน ผู้ใดจะกล้าพูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้""แต่ศิษย์เอกอย่างหนานกงจื่อชินมีพลังแข็งแกร่งนัก องค์รัชทายาทจะสังหารเขาได้อย่างไร?"หลินซีเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน "ใช่แล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนแห่งสำนักหอดูดาวหลวงจะติดตามองค์รัชทายาทไปทางเหนือด้วยแต่ด้ว
นางพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมถามกลับว่า "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนฆ่าพี่จื่อชินเช่นนั้นหรือ?"ซือคงเหยียนรีบพูดขึ้น "องค์ชาย ท่านหญิงจื่อเยียนมีใจรักใคร่กับจื่อชิน นางจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? การตายของจื่อชินถือเป็นการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงต่อนาง โปรดอย่าได้สงสัยในตัวนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงฟู่ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย จากนั้นก็สงบอารมณ์ลงเขาพูดอย่างจริงจัง "จื่อเยียน ข้าหาได้มีเจตนาสงสัยเจ้าไม่ แต่เจ้าต้องบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของจื่อชิน มิเช่นนั้นพวกเราจะล้างแค้นให้เขาได้อย่างไร?"“หม่อมฉันมิรู้จริง ๆ เดิมทีพี่จื่อชินได้ขวางเส้นทางของฉินซูไว้ในป่า หม่อมฉันกังวลว่า คนของฉินซูจะรู้เรื่องนี้เข้า จึงขอร้องพี่จื่อชินว่าอย่าทำอะไรวู่วาม สุดท้ายเขาก็ฟาดข้าจนหมดสติไปพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าผา หม่อมฉันปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหาม้าตัวหนึ่งขี่กลับมา ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันมิรู้จริง ๆ”หลังจากฟังคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแล้ว สีหน้าของมู่หรงฟู่และซือคงเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักอึ้ง "
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ